Dinh (Author's Website)
เลี้ยงฉัน เพื่อกินฉัน มันถูกต้องแล้วจริงหรือ?
เลี้ยงฉัน เพื่อกินฉัน มันถูกต้องแล้วจริงหรือ?
การที่ฉันได้เกิดมาเช่นนี้ อยู่ในคอก อยู่ในกรง มันเป็นผลกรรมของฉัน
ถูกจำกัดพื้นที่ กินและขี้ในที่เดียวกัน มันก็เป็นผลกรรมของฉัน
ลากฉันไป ทุบตีฉัน เอามีดเชือดคอฉัน ก็เป็นผลกรรมของฉันเช่นกัน
แต่การเป็นเหตุหนึ่ง ที่ดลให้เขาทำสิ่งเหล่านั้นกับฉัน มันคือกรรมของคุณ!!
. . .
ลองคิดดูสิว่า หากชีวิตเราต้องเกิดมาในคอกเล็กๆ ที่มืดและอับชื้น
ต้องกินอาหารเมนูเดิมๆ ทุกวัน และยังต้องแย่งกันกินอีกด้วย
ที่กิน ที่นอน ที่ขับถ่าย ก็เป็นที่เดียวกัน เรานอนกันบนกองขี้
พอถึงวัยรุ่น จะมีเพื่อนๆ ที่ต้องแยกจากกันไปอย่างไม่มีวันกลับ
ถึงจะมีชีวิตโตขึ้นมาได้ก็มีแต่ช่วงเวลาเดิมๆ อยู่แบบเดิมๆ
ชีวิตนี้ถูกเขาเอามาเลี้ยงไว้โดยไม่รู้ว่าวันไหนจะต้องถูกเชือด
ถ้าแย่หน่อยก็ต้องกลายเป็นแม่พันธุ์ โดนเขากักไว้ในกรงแคบ
กรงที่ขนาดพอดีตัว ไม่มีที่ให้แม้แต่จะหมุนตัว เดิน วิ่ง….
โดนข่มขืนโดยตัวผู้ที่เขาจัดมาให้ หรือไม่ก็กระบอกน้ำเชื้อ
ต้องตั้งท้อง ต้องคลอดลูกกันซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า กี่ครอกก็ไม่เคยพอ
แถมลูกที่รัก ก็ยังจะต้องถูกพรากออกไป โดยไม่ทันได้ล่ำรา
วันเวลาผ่านไป โดยไร้ความหมาย ไร้คุณค่า อยู่อย่างชินชา
ถึงจะเบื่อยังไงก็หนีไปไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องขึ้นรถไปแดนประหาร
ดินแดนที่ผู้คนต่างไม่แยแสในความตายของเราพวกเขาล้วนสมยอม
เพราะเขาจะได้เอาเนื้อเราไปขาย เขาจะได้กินเนื้อเราเขาจะมีความสุข
. . .
การเลี้ยงเพื่อกินนั้น มันถูกต้องแล้วจริงหรือ? มันสมควรแล้วจริงหรือ?
มันไม่เบียดเบียนหรือ? มันเป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์อย่างนั้นหรือ?
มันเป็นไปเพื่อเพิ่มวิบากบาปหรือไม่? มันคุ้มค่าที่จะทำอย่างนั้นหรือ?
แล้วชีวิตที่จำเป็นต้องอาศัยและพึ่งพาการเบียดเบียนเพื่อดำรงชีพ
การปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปเช่นนั้น จะเป็นชีวิตที่ประเสริฐแท้ได้อย่างไร…
ใครเล่าจะสรรเสริญ ใครกันจะยินดี ก็คงจะโดนเขาประณามและย่ำยีเรื่อยไป
– – – – – – – – – – – – – – –
26.9.2558
ลากันสักพัก
ลากันสักพัก
บางครั้งบางเวลา เราก็ควรจะมีช่วงเวลาที่ละเว้นจากกิจกรรมเดิมๆ เพื่อใช้เวลาเหล่านั้นในการคิดทบทวนและทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆที่ทำลงไปแล้วหรือคิดไว้ว่าจะทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
แม้บทความในเพจนี้จะถูกเผยแพร่เป็นจำนวนมาก ถี่ที่สุดก็เผยแพร่กันหลายบทความต่อวัน ซึ่งนอกจากเยอะแล้วยังจะยาวอีกด้วย
แต่ก็มีบางช่วงที่ผมรู้สึกว่าไม่สมควรจะเรียบเรียงอะไรออกมาเลย ไม่ควรแม้แต่จะคิด แต่ควรจะศึกษาให้มากขึ้น เพื่อลับความคมที่มีอยู่ ให้คมยิ่งขึ้นกว่าเดิม
มีหลายครั้งที่ผมหายไปและกลับมาพร้อมความรู้ความเข้าใจชุดใหม่ จนบางครั้งผมก็แปลกใจกับตัวเองเหมือนกันว่าการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพียงเล็กน้อย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้เชียวหรือ…
สรุปแล้วที่ผมหายไปเป็นช่วงๆ ก็คือไปทบทวนตัวเอง ให้เวลากับตัวเองได้ลองเปลี่ยนแปลงบ้าง ให้ตัวเองได้พบกับความสงบบ้าง ซึ่งในชีวิตปกติแล้วผมมักจะอยู่กับความ “ฟุ้ง” เป็นหลัก ไม่ว่าจะการศึกษา หาข้อมูล วิจัยวิจารณ์ คิดเรื่องต่างๆ แต่การเปลี่ยนวิถีชีวิตไปสู่ความ “ดับ” คือไม่ต้องคิดอะไรเลย ก็เอื้อให้ชีวิตสมดุลขึ้นได้เหมือนกัน
ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ก็ควรจะประมาณตนไม่ให้ฟุ้งจนเหนื่อย และไม่ให้ดับจนไม่เหลืออะไรเลย เมื่อเรายังไม่เก่งในการใช้จิตของตัวเองจัดการทุกอย่าง เราก็ควรจะใช้องค์ประกอบภายนอกในการสร้างสภาวะให้เหมาะสมต่อการเข้าใจชีวิตด้วย
– – – – – – – – – – – – – – –
25.9.2558
ความรักไม่ลึกลับ
ความรักไม่ลึกลับ
ความรัก แท้จริงแล้วไม่ลึกลับ ที่มันลึกลับเพราะว่าหลง หลงจนรู้สึกว่าสิ่งนั้นน่าใคร่น่าพอใจ
คนที่ไม่หลงในความรักจะชัดเจนว่า ความรู้สึกรักและชอบใจนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร ความรู้สึกเช่นว่า ทำไมฉันจึงชอบคนนั้น ในขณะที่รู้สึกเฉยๆกับคนอื่นๆ หรือทำไมถึงคิดถึงคนหนึ่งได้ขนาดนี้ทั้งๆที่แต่ก่อนไม่เคยคิดอะไร ฯลฯ สิ่งเหล่าจะไม่เกิดขึ้นกับผู้ที่รู้ชัดเจนในความรัก
ผู้ที่ยังมีรักที่ลึกลับ รักที่ไม่อยากจะหานิยาม รักที่หาคำตอบไม่ได้ว่ารักเพราะอะไร คือผู้ที่ยังหลงวนอยู่ในความไม่รู้ ไม่รู้เหตุปัจจัยในการเกิดความรัก นั่นหมายความว่า เขาย่อมที่จะไม่รู้เหตุแห่งการดับความทุกข์จากความรักเช่นกัน
เมื่อไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ ดังนั้นการดับทุกข์ย่อมไม่มีวันเกิดขึ้นได้
– – – – – – – – – – – – – – –
17.9.2558
รักเพราะอะไร
รักเพราะอะไร
ความหลงนั้นทำให้เราเป็นทุกข์ ในทางกลับกันการรู้แจ้งในเหตุปัจจัยเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่จะพาให้คนเราหลุดพ้นจากทุกข์
การหลงอยู่ในความรักที่ไม่รู้ว่าหลงในอะไรนั้น ไม่สามารถทำให้คนพ้นจากทุกข์ไปได้ เช่นเดียวกันหากเรารู้แจ้งในทุกเหลี่ยมมุม ทุกมิติของความรักนั้น เราก็จะสามารถหลุดพ้นจากทุกข์เหล่านั้นได้
การที่เราพยายามศึกษาในเหตุปัจจัยของความรักเหล่านั้นจนรู้แจ้ง จะส่งผลให้เราไม่พลั้งเผลอปล่อยใจไปกับความรักที่หลอกลวง แถมยังสามารถดึงตัวเองออกจากความทุกข์ได้อีกด้วย สามารถใช้ได้ทั้งในการป้องกันและการแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับภาษิตที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะทั้งหมดร้อยครั้ง
รักของฉันคืออะไร
เมื่อเกิดความรู้สึกรักขึ้น แทนที่จะปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงไปตามความรักด้วยนิยามที่สวยหรู เราควรกลับมาพิจารณาดูว่าเราเกิดความรู้สึกรักหรือชอบใจขึ้นได้อย่างไร เขามีอะไรดีเราจึงเกิดความรัก เขาหน้าตาดี เขาปากหวาน เขามีน้ำใจ เขามีฐานะ เขาเข้าใจและรับฟัง เขาเป็นคนดี ฯลฯ ซึ่งปัจจัยทั้งหลายนี้ต้องถูกชำแหละออกมาเป็นส่วนๆให้ชัดเจน
ตามธรรมชาติของความหลง เราย่อมไม่ยินดีที่จะพิจารณาหาเหตุแห่งความรัก เพราะถ้าค้นไปแล้วมันก็มักจะรักไม่ลง ดังนั้นจึงไม่ค้นดีกว่า จะได้รักกันต่อไป ยอมหลงกันต่อไป
แต่ถ้าเราได้พยายามต่อสู้กับความหลงมาในระดับหนึ่งจนยอมพิจารณาเหตุแห่งความรักนั้นแล้ว เราก็จะได้ข้อดีของคนที่เราหลงรักมา เราก็เอาข้อดีนั้นแหละมามองตามความเป็นจริงว่า ถ้าคนอื่นเขามาทำดีกับเราแบบนี้ เราจะไปรักคนอื่นไหม ถ้าใช่แสดงว่าค้นหาเหตุแห่งรักเจอแล้ว เพราะถ้าเหตุของรักมันใช่สิ่งนั้นจริงมันต้องรักทุกคนที่ทำสิ่งนั้นให้กับเรา แต่ถ้ายังไม่ใช่ ก็ต้องค้นหาต่อไปว่าทำไมคนนี้จึงต่างจากคนอื่น ทำไมเราจึงรักคนนี้ ไม่รักคนอื่นทั้งๆที่มีคุณสมบัติเท่ากัน
เมื่อหาเหตุแห่งความรักได้จนถึงรากแล้ว ก็ค่อยพิจารณาธรรมไปตามความจริง หากเรายังหลงเสพในสิ่งนั้นอยู่ จะสร้างโทษภัยให้ชีวิตอย่างไร มันไม่เที่ยงอย่างไร มันเป็นทุกข์อย่างไร มันมีตัวตนอยู่จริงไหม ถ้าเราไม่หลงจะเกิดประโยชน์อะไรกับชีวิตบ้าง ก็เพียรพิจารณาความจริงกันไปเรื่อยๆ ให้ความหลงได้จางคลายโดยลำดับ
เขารักอะไรในตัวฉัน
เช่นเดียวกันกับการตรวจสอบเหตุแห่งความรักของตัวเอง เรายังสามารถใช้วิธีนี้สังเกตผู้อื่นได้อีกด้วย ว่าเขามารักอะไรในตัวเรา เรากำลังนำเสนออะไร จุดขายของเราคืออะไร รูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ หรือเงินทองของเรา เราลองตัดปัจจัยดูทีละตัวสิ เช่นไม่แต่งหน้าแต่งตา ลองปรับปรุงนิสัยให้ดีขึ้น มีมารยาทมากขึ้น หวงเนื้อหวงตัวมากขึ้น ลองทำตัวประหยัดขึ้น ตามเหตุปัจจัยที่เราคิดว่าเขาจะมาหลงเราในจุดนั้น เขาหลงในอะไร เราก็ทำให้มันเจริญขึ้นด้วยศีล เพราะอย่างน้อยๆศีลจะกันคนไม่ดีออกจากชีวิตได้
แม้ว่าเราจะตั้งศีลที่สูง เช่น กินมังสวิรัติ กินมื้อเดียว ไม่แต่งตัวแต่งหน้า ไม่สมสู่ ไม่สะสม ไม่ฟุ่มเฟือย ทำทานเป็นประจำ ไม่เล่นการพนัน ไม่กินเหล้าเมายา ไม่เสพสิ่งไร้สาระ เข้าวัดฟังธรรม ถือศีลทำสิ่งดีเท่าที่กำลังของเราจะพอทำได้ ถ้าเขารักเราจริง เขาก็ควรจะรักที่เราเป็นคนดี ไม่ใช่รักเพราะเราหน้าตาดีมีฐานะ ไม่ใช่รักเราที่เปลือกหรือองค์ประกอบภายนอกของเรา
ฉันจะปล่อยวางความรักอย่างไร
การจะปล่อยวางได้นั้น ต้องรู้เสียก่อนว่าเรากำลังถืออะไรอยู่ ถ้าไม่รู้ว่าความรักของเรานั้นคืออะไร มันไปติดใจอะไร มันไปเสพสุขตรงไหน ก็ไม่มีทางที่จะปล่อยวางความหลงหรือความรักเหล่านั้นได้เลย
การปล่อยวางไม่สามารถทำได้เพียงแค่คิดเอา กำหนดจิตเอา หรือทำเป็นลืมไปอย่างนั้น เราจะปล่อยวางได้ก็ต่อเมื่อรู้ว่าเหตุแห่งการยึดมั่นถือมั่นนั้นคืออะไร แล้วทำลายเหตุเหล่านั้นด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง ว่าการยึดในสิ่งเหล่านั้นเป็นทุกข์โทษภัยผลเสียอย่างไร การปล่อยวางจึงเป็นสภาพผลที่เกิดขึ้นจากการชำระเหตุแห่งทุกข์ที่ถูกตัวถูกตนด้วยปัญญาที่ทรงพลังมากกว่ากิเลส
เมื่อไม่เหลือเหตุที่จะต้องเข้าไปยึดมั่น ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแบกความทุกข์เหล่านั้นไว้ และปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยให้กิเลสออกไปจากความรัก สุดท้ายแล้วความรักนั้นยังจะคงอยู่ มีเพียงแค่กิเลสที่หายไป ความรักที่ปราศจากกิเลสนั้นงดงามจนไม่สามารถหาสิ่งใดมาเปรียบ มันไม่มีการยึดมั่น ไม่มีการครอบครอง ไม่มีเจ้าของ ไม่มีตัวตน
– – – – – – – – – – – – – – –
11.9.2558