ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน
ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน
… ความจริงที่จะมาอธิบายเหตุผลมากมายร้อยแปดพันเก้าว่าทำไม…เขาถึงมาจีบฉัน
เราอาจจะต้องใช้เวลาเนิ่นนานเป็นเดือนเป็นปีในการทำความเข้าใจว่าทำไมเขาจึงมาจีบฉัน แต่ในบทความนี้จะย่อช่วงเวลาแห่งการหาคำตอบเหล่านั้นไว้ให้เหลือเพียงไม่กี่หน้า เพื่อให้ง่ายต่อการจับประเด็นและรู้เท่ากิเลสที่แอบซ่อนอยู่ภายในลึกๆ ก่อนที่จะพลาดท่าเสียทีให้กับความรักลวงนั้นได้
ในบทความนี้เราจะพูดในมุมของผู้หญิงซึ่งเป็นมุมที่มักจะถูกจีบ ถูกดูแล ถูกเอาใจ เป็นมาตรฐานสากลของไทยที่ใครตั้งไว้ก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าพูดในมุมผู้หญิงก็จะอธิบายให้เห็นภาพได้ชัด ส่วนคุณผู้ชายก็อย่าน้อยใจกันไป ลองอ่านแล้วเปรียบเทียบกันดูได้ เพราะลีลาท่าทางต่างๆของคนที่มาจีบก็เหมือนๆกันนั่นแหละ
เราอาจจะสงสัยว่าทำไมเขาจึงมาจีบ มาทุ่มเท ดูแล เฝ้าเอาใจ ไม่ห่างไปไหน เขาช่างดีแสนดี หลายเดือนหลายปีก็ยังอยู่ เรามีอะไรดีนักหนา ผู้คนตั้งมากมายทำไมต้องเป็นเราหรือเขาคือเจ้าชายที่ขี่ม้าขาวมาเพื่อเรา มาเป็นเนื้อคู่ของเรากันแน่นะ พลังมโน หรือการคิดไปเองนี่มันร้ายยิ่งกว่าร้าย มันปรุงแต่งสิ่งลวงให้เป็นของจริงได้ แต่ก่อนจะมโนกันไปมากกว่า เรามาเข้าเรื่องกันเลย
1). ทำไมเขาจึงมาจีบฉัน
เหตุผลในการมาจีบทางโลกนั้นมีอยู่มากมายยากจะชี้ให้เห็นทั้งหมด แต่ถ้าเราจับต้นสายปลายเหตุดีๆ ค้นไปให้ลึกให้เห็นถึงต้นเหตุที่ผลักดันให้เขามาจีบ เราก็จะสามารถเห็นได้ว่ามีกิเลสอยู่ 4 ระดับหลักที่ผลักดันให้เขามาติดมายึดเรา
1.1).อบายมุข … ความอยากในอบายมุขนี่ก็เช่น พวกกิจกรรมที่พาเสื่อมต่างๆ เป็นนักกินเหล้า นักพนัน ชอบดูละครน้ำเน่า ชอบเที่ยวกลางคืน เกียจคร้านการงาน ติดเล่นเสเพลไปเรื่อย เมื่อเขาเหล่านั้นเจอคนจริตเดียวกัน คือเราก็เป็นคนที่หลงในอบายมุขด้วย จึงชอบพอและมาจีบด้วยเหตุที่ว่าจะได้ใช้ชีวิตไปกับการเสพอบายมุขสนองกิเลสไปด้วยกัน คิดแบบกิเลสท่วมใจว่า แหม.. เราเสพคนเดียวยังสนุกขนาดนี้ ถ้าชวนเธอมาเสพสุขในเรื่องเหล่านี้มันจะสุขขนาดไหน
ในมุมคนเจ้าชู้ เขาเหล่านั้นจะลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในการได้เสพการยอมรับและการสมสู่ จึงตระเวนแจกขนมจีบไปทั่วโดยไม่หวังผล แม้จะเป็นการจีบไปทั่วแต่ก็มักจะเป็นการจีบที่มีผลให้หญิงผู้มีจิตใจอ่อนไหวต่อกิเลสได้พลาดท่าเสียทีมาแล้วนับไม่ถ้วน ดังที่เป็นกรณีศึกษาที่ปรากฏทั่วไปในสังคม
และในมุมที่ตรงไปตรงมาที่สุดของการมาจีบในระดับอบายมุข คือจีบมาเพื่อเป็นที่สนองตัณหา สนองความใคร่ จีบเพื่อจะได้สมสู่ จนมีคำเรียกที่ว่า “รักนิรันดร์ ฟันแล้วทิ้ง”
1.2).กามคุณ … กามนี้เป็นกิเลสในฐานที่คนยึดถืออยากได้อยากมีจนจีบกันในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความสวย หุ่นดี เสียงไพเราะ ตัวหอม ผิวนุ่ม ต่างเป็นที่น่าหลงใหลของชายทั่วไป หญิงที่พรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณ ๕ จึงเหมือนกับดอกไม้ที่มีหมู่ผึ้งมาคอยจ้องจะมาเอาน้ำหวาน เรียกง่ายๆว่าเขาหลงในความงามเขาจึงมาจีบ เพราะเขาอยากได้ความงามของเรามาเสพ มันก็ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนเท่าไหร่
1.3).โลกธรรม … ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขแบบโลกๆ เพราะเรามีสิ่งเหล่านี้ เขาจึงมาจีบเพื่อหวังได้เสพสิ่งเหล่านี้จากเรา เราอาจจะรวย อาจจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานดี อาจจะมีชื่อเสียง อาจจะดูเหมือนบำเรอสุขให้เขาได้ เขาจึงมาจีบเรา แบบว่าอยู่กับคนนี้ก็สบายไปทั้งชีวิต
ในมุมผู้ชายมาจีบเพื่อโลกธรรมอาจจะเห็นได้ไม่มาก แต่ถ้ามองย้อนกลับไปที่ผู้หญิงที่มาจีบหรือจะตกลงใจต่อผู้ชายจะเห็นภาพได้ง่าย เพราะในสังคมไทย ผู้หญิงมักจะต้องตั้งเงื่อนไขไว้ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เช่น “สมัยนี้ไม่มีใครเขากัดก้อนเกลือกินกันแล้ว” หรือไม่ก็ “รักคนดี ชอบคนหล่อ แต่งงานกับคนรวย” คนที่มาจีบเพราะโลกธรรมมันก็แบบนี้ เพราะเขาหวังว่าสุดท้ายแล้วจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขโลกๆ มาสนองให้กับตนจึงพยายามจีบ หรือคอยให้ท่า
1.4). อัตตา … ในมุมของอัตตานี่ล้ำลึกที่สุด เพราะเหตุผลไม่ค่อยชัด ประมาณว่าฉันก็ชอบของฉันแบบนี้ ฉันจะต้องได้คนแบบนี้ ฉันคัดคนแบบนี้มา เธอคือสเปคของฉัน รักตั้งแต่แรกพบอะไรก็ว่ากันไป ในมุมอัตตานี่จะมีในระดับศีลธรรมต่ำก็ได้ จะสูงก็ได้ แต่เนื้อแท้คือต้องการแบบเธอคนนั้นมาสนองอัตตาของฉัน ซึ่งอัตตานี้เองเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและลึกลับที่สุด ถ้าอยากรู้ต้องค่อยพิจารณาขุดค้นหากิเลสซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก
ต้องยอมรับกันจริงๆว่าบางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ผูกพันกันมาหลายภพหลายชาติ มันจะมีอาการดูดดึงกันแปลกๆ ความรู้สึกอยากเสพความสวยความงาม ความรวย ความมีชื่อเสียง หรือการสมสู่มันก็ไม่ได้อยากจะมีมากนักหรอก แต่มันอยากได้คนคนนี้ มันต้องเป็นคนนี้เท่านั้น อันนี้แหละเขาเรียกว่าเจ้ากรรมนายเวร เหตุผลทางโลกนี่จะใช้อธิบายไม่ได้เลย เพราะมันจะอยากได้อยากมีแบบดื้อๆ ไม่ค่อยมีเหตุผล
….สรุปแล้วการที่เขามาจีบนั้นก็มีเพียงภาพกว้างๆเท่านี้ เขาอาจจะอยากเสพหลายอย่างพร้อมกันก็ได้ทั้งกามทั้งโลกธรรม หรืออาจจะเป็นเหลือแค่อัตตาก็ได้ เราก็ใช้ลักษณะของกิเลสเหล่านี้ไปสังเกตเขาแล้วก็ค่อยๆวิเคราะห์ไปตามเหตุปัจจัย
2). จริงๆฉันก็รู้และอยากให้เขามาจีบฉัน
ผู้หญิงหลายคนก็ฉลาดในเรื่องโลก ฉลาดในทางสะสมกิเลส ฉลาดเฉโก รู้อยู่เต็มอกนะ ว่าเขามาจีบเพราะอะไร นอกจากจะรู้แล้วยังไม่อยู่เฉย มักจะคอยกระตุ้นผู้ชายให้มาจีบมากขึ้นด้วยการเร่งกิเลสของเขา
2.1).อบายมุข … พอรู้ว่าผู้ชายติดอบายมุข ติดการสมสู่ก็เข้าไปเร่งกิเลสผู้ชาย แต่งตัวโป๊ ใส่กระโปรงสั้นๆ ใส่เสื้อผ้ารัดรูป เว้านิด เปิดหน่อย เสื้อบางๆ ถ่ายรูปโชว์หน้าอกนิดหนึ่ง ทำหน้าอ้อนๆนิดหน่อย หรือถ้าหลงมัวเมาหนักๆในการยั่วกิเลสก็โป๊ให้เห็นเลย หรือถ้าพูดกันตรงๆก็คือวางแผนให้ท่าอ่อยเหยื่อผู้ชาย สุดท้ายก็หลอกล่อให้เขามาสมสู่กับเรานั่นแหละ อันนี้มันระดับอบาย เป็นนรกแท้ๆ แม้จะมีให้เห็นทั่วไป แต่อย่าไปลองเลย เพราะมันได้แค่สุขลวงแต่เป็นทุกข์แท้ๆ
2.2).กามคุณ …พอรู้ว่าผู้ชายชอบผู้หญิงสวยๆ ก็จะดูแล บำรุงให้ตัวเองดูดี ในระดับกามนี้จะไม่ตกต่ำไปจนโป๊เปลือย แต่จะสวยอยู่ในระดับที่สังคมยอมรับได้ มีการแต่งหน้าทาปากเพื่อให้สวยตามสังคมทั่วไป แต่งตัวให้ดูดีแบบทั่วไป หัดพูดจาให้เสียงไพเราะ ทำตัวให้หอม ทำเนื้อตัวให้เนียนนุ่ม อันนี้ก็อยู่ในขีดของกาม ผู้หญิงจะรู้ตัวและแอบดูแลตัวเองอยู่เพราะลึกๆต้องการให้ใครสักคนมาจีบ
คนที่ติดในกามหลงในกามมากเข้าจะเริ่มต้องการมากขึ้น อยากเสพความงามมากขึ้น เพราะเชื่อว่าถ้าสวยขึ้นงามขึ้นก็จะมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตมากขึ้น ถึงขั้นที่ว่าไปศัลยกรรมตกแต่งร่างกาย ฉีดตรงนั้น ตัดตรงนี้ เพิ่มตรงนั้น ลดตรงนี้ ซึ่งในขีดนี้ก็เรียกได้ว่าเสื่อมถึงขนาดเข้าขีดของอบายมุขแล้ว
ในข้อนี้อาจจะมีความเห็นแย้ง ว่าปกติฉันก็แต่งอยู่แล้ว คนเรานั้นมีกิเลสลีลาหนึ่งที่เรียกว่า “แข่งดีเอาชนะ” ถ้าให้เทียบทั่วไปก็คือการแข่งกันสวยแข่งกันเด่น แต่แข่งกันไปเพื่ออะไรล่ะ? การแข่งนี้เป็นสัญชาติญาณของสัตว์ไม่ใช่ของผู้เจริญแต่อย่างใด สัตว์จะแข่งกันโชว์ความสวยงามเรียกร้องให้เพศตรงข้ามมาสนใจ แต่ถ้าเราคิดว่าเราแต่งไปเพราะความชอบล้วนๆนี่มันเป็นอัตตา มันหลงยึดหลงติดแบบไม่มีเหตุผล มันต่ำยิ่งกว่าสัตว์อีก
2.3).โลกธรรม …ในกิเลสมุมนี้จะขออธิบายในมุมผู้ชายเพื่อให้เห็นภาพชัดกว่า เมื่อเราเห็นว่าผู้หญิงติดโลกธรรม อยากได้อยากมี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แน่นอนว่ามีผู้ชายบางจำพวกสามารถสนองกิเลสด้วยลาภได้อย่างไม่ยากไม่ลำบาก จึงเกิดการเลี้ยงดู บำเรอด้วยลาภ หรือที่เขาเรียกกันว่า “เด็กเสี่ย” อะไรประมาณนั้น เป็นการใช้เงินเข้ามาล่อผู้หญิงขี้โลภให้เข้ามาติดกับ จริงๆแล้วมันก็ต่างพึ่งพาอาศัยกันและกันละนะ ต่างคนก็เสพสมใจในมุมของตัวเอง ใช้คนอื่นสนองกิเลสตัวเองกันไป
2.4). อัตตา …กลับไปในมุมของผู้หญิงเหมือนเดิม แม้ว่าจะเป็นผู้ชายที่มีอัตตามาก มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เป็นตัวของตัวเอง มีอุดมการณ์มาก แต่ก็มักจะต้องพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงคนใดคนหนึ่งอยู่เสมอ เพราะเธอเหล่านั้นวางค่ายกลที่จะสนองอัตตาไว้แล้ว เป็นมารยาที่มีมากกว่าร้อยเล่มเกวียน เป็นการสนองอัตตาจนผู้ชายคนนั้นยอมรับผู้หญิงที่มีมารยาผู้นั้นไว้เป็นหนึ่งในอัตตาของตัวเอง
เมื่อผู้ชายรับเอาผู้หญิงเป็นอัตตาแล้วยังไง? ก็เข้ามาจีบเท่านั้นเอง ผู้หญิงที่วางแผนไว้แต่แรกก็อาจจะเล่นตัวอีกสักเล็กน้อยให้พอดูมีศักดิ์ศรีบ้างเพื่อสนองอัตตาเขาไปอีกที สุดท้ายก็จะจับผู้ชายที่มีอัตตาจัดได้ไม่ยาก
3). ทำไมเขาจึงไม่มาจีบฉันบ้างล่ะ
ก็เพราะเขาคิดว่าผู้หญิงอย่างฉันนั้นไม่สามารถสนองกิเลสของเขาได้ หรือไม่ก็มีคนอื่นที่สนองกิเลสเขาได้มากกว่า เขาจึงไม่จีบฉันยังไงล่ะ หรือจะเรียกได้ว่าฉันไม่ใช่กรรมกิเลสของเขา (ก็ดีแล้ว) หรืออีกนัยหนึ่งคือเราไม่มีกรรมผูกกันมาขนาดนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมาผูกกันอีกครั้ง (ก็ดีแล้ว)
4). จีบแล้วพาให้หลง
เมื่อเขามาจีบแล้วก็มักจะสนองกิเลสเราด้วยความลวง เราไม่สวยก็ว่าเราสวย เราไม่ดีก็ว่าเราดี ทำให้เราเริ่มหลงจนเริ่มมีนิสัยเสีย งอแง เอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์ เพราะไม่ว่าจะทำนิสัยไม่ดีเท่าไหร่ เขาก็ทนได้ เขาก็รับได้ ที่เขาทนได้เพราะเขายอมให้เราตายใจก่อนจะได้เสพสมใจเท่านั้นเอง แต่เวลาเราสร้างนิสัยเสียขึ้นนี่มันเสียแล้วเสียเลย เสียแล้วมันแก้ยาก กิเลสมันขึ้นแล้วมันลงยาก นี่แหละผลของการจีบแล้วทำให้หลงผิด
5). รักจริงหรือ…จึงมาจีบ
เรามักจะเห็นภาพความเพียรพยายาม ดูแลเอาใจใส่ ทำตัวดังพ่อบุญทุ่ม ยากแค่ไหนก็ยอมฝ่า เจ็บปวดแค่ไหนก็ยอมทน ดีแสนดีเหนือใคร ซื่อสัตย์ อดทน ให้อภัย เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของสามีในอนาคต ดังเทพบุตรที่ส่งมาจากฟ้า พร้อมคำมั่นสัญญาว่าจะรักและมั่นคงไปชั่วนิรันดร์
แค่นั้นยังไม่พอ ยังทุ่มเทและบำรุงเราด้วยอบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา กระหน่ำเข้ามาไม่เว้นวัน วันละหลายครั้งสามเวลาหลังอาหาร คำว่ารัก รัก รักนี่ตกเกลื่อนพื้นเรี่ยราดมากมายจนเก็บไม่หมด เฝ้าฝันเฝ้ารอคอย ตามตื้อจนกว่าเธอจะรับรัก อดทนรอหลายเดือน หลายปี หลายสิบปี ทำความดีให้เห็นอย่างไม่ลดละ เธอชอบคนดีฉันก็เข้าวัดฟังธรรมสวดมนต์ เธอชอบเล่นหุ้นฉันก็ศึกษาหุ้นวิเคราะห์หุ้นให้ เธอชอบอะไรฉันก็จะสนองเธออย่างนั้นจนกว่าเธอจะยอม
เป็นเทพบุตรสุดที่รักที่น้ำเน่ายิ่งกว่าละคร เป็นนักแสดงค่าตัวแพงที่ยอมเล่นก่อน จ่ายทีหลังพร้อมกับดอกเบี้ยบานเบอะ ถ้าเจอแบบนี้ให้ลองสังเกตดูว่าเขาดูแลพ่อแม่ดีแบบนี้หรือไม่?
ถ้าผู้ชายที่ดีแสนดีจะดูแลใครสักคนให้ดี เขาจะต้องดูแลพ่อแม่ของเขาให้ดีก่อนเป็นแน่ เขาจะไม่มาเสียเวลาแจกขนมจีบให้เราหรอก เพราะเขาเอาเวลาไปดูแลครอบครัวของเขาดีกว่า เพราะพ่อแม่นั้นเป็นผู้มีพระคุณที่ควรจะกตัญญู ไม่เหมือนกับเราซึ่งเจอกันไม่นาน ถ้าเขาสามารถรักเราที่พึ่งเจอกันไม่นานมากกว่าพ่อแม่ได้ ก็ลองพิจารณากันดูเองว่าควรแล้วหรือ? รักนั้นจริงแล้วหรือ? คนที่มีรักจริงทำตัวเช่นนี้หรือ?
6). จีบไปทำไม
จริงๆแล้วเขาก็มาจีบเพื่อจะเสพเรานั่นแหละ และโดยรวมทั้งหมดตามธรรมชาติของมนุษย์เลยก็คือการได้สมสู่ ดังนั้นเป้าหมายก็จะเป็นการจีบเพื่อสมสู่ แม้ว่าภาพที่แสดงออกจะดูดีแค่ไหน สุภาพบุรุษแค่ไหน สุดท้ายก็สมสู่อยู่ดี ชีวิตมันก็วนเวียนอยู่กับเรื่องสมสู่นี่แหละ จีบกันหมายจะมีคู่มันแค่เรื่องสมสู่นี่แหละ แล้วเราก็หลงไปว่าเรามีคุณค่ากับเขาอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆแล้วมันก็มีคุณค่าแค่ไว้สมสู่นี่แหละ
กล่าวกันแบบนี้อาจจะดูแรงไปสักนิด แต่ถ้าคนเรารักกันจริงมันไม่ต้องจีบกันให้เมื่อยหรอก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสมสู่เลยเพราะหยาบเกินไป เอาแค่จีบกันนี่ก็ไม่ไหวแล้วนะ การจะคอยสนองกิเลสใครนี่มันเหนื่อยและใช้พลังงานมาก มันไม่บริสุทธิ์เพราะมันมีกิเลส รักกันนี่ไม่จำเป็นต้องเสพกันก็ได้ เป็นเพื่อนกันก็รักกันได้ แต่ที่มันจะพยายามให้เกินเพื่อนเพราะมันอยากจะเสพบางอย่างที่มันเกินเพื่อนไปนั่นแหละ
ผู้ชายหลายคนอาจจะเริ่มซึ้งและเข้าใจกิเลสตัวเองมากขึ้นหลังจากได้เสพสมใจและเสพจนกระทั่งเบื่อหน่าย จนพบว่าสุดท้ายเมื่อตัดความใคร่ออก ก็จะเหลือแค่คำว่าเพื่อนชีวิตเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วเพื่อนนี่มันไม่ต้องจีบ ไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้ แต่การจีบจนกระทั่งแต่งงานนี่มันจะได้สมสู่กันอย่างถูกต้องตามจารีตประเพณีที่คนเขายอมรับกัน
เมื่อเริ่มเบื่อหน่ายจากเมียที่เคยรักเคยหลง ก็จะเริ่มเห็นทุกข์แท้จริง เพราะไม่ว่ากามคุณที่เธอเคยมีนั้นก็จะเสื่อม แก่ เหี่ยว หย่อนยาน เสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ โลกธรรมที่เคยมีนั้นก็ร่อยหรอลงเรื่อยๆ อัตตาที่เคยยึดมั่นถือมั่นไว้ก็คลายลงเรื่อยๆ แต่ก็จะอยู่ในสภาวะที่ต้องจำยอมรับผิดชอบกับอีกชีวิตหนึ่งที่เอามาผูกกันไว้
สุดท้ายก็เป็นผู้ชายเองที่ติดกับผู้หญิง หลงจีบผู้หญิงเพราะอยากได้อยากมีเธอมาไว้สนองกิเลสตัวเอง จริงๆแล้วเธอก็อยู่ของเธอดีๆ เราก็ไปยุ่งกับเธอเอง ไปชอบเธอเอง ไปอยากได้เธอเอง แล้วก็ไปจีบเธอเอง สุดท้ายหลังจากกระตุ้นกิเลสเธอจนเธอยอมก็ได้เธอมาเป็นของตัว แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้นั่นก็ไม่เที่ยง เสพสุขไม่นานมันก็หมดรสสุข เสพไปก็ไม่สุขเหมือนเดิม ความสุขนั้นลวงเราตั้งแต่แรก เราสุขแป๊ปเดียวเท่านั้นแหละ จีบกันไม่กี่ปี แต่ต้องทุกข์อีกหลายสิบปี ทุกข์ไปจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง หรือมีใครคนใดคนหนึ่งไม่ซื่อสัตย์แยกตัวออกไป
และสำหรับผู้ชายที่ไม่เคยพอ เมื่อไม่สุขเหมือนที่เคยเสพ ก็จะทิ้งผู้หญิงที่ตนเคยรัก เคยดูแล เคยเอาใจ เคยสาบานว่าจะรักไปจนชั่วนิรันดร์ไปหาเสพสิ่งที่ตัวคิดว่าสุขเอาดาบหน้า ไปมีกิ๊ก ไปมีชู้ ไปมีเมียน้อย ฯลฯ ทิ้งผู้หญิงซึ่งถูกเสพจนเสื่อมสภาพ และถูกเอาใจจนเสียนิสัยที่ดีไปหมด ไว้ให้เป็นเพียงแค่อดีตตอนหนึ่งของชายคนนั้นเท่านั้น
7). รักฉันอย่าจีบฉัน
ดังที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า การจีบนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อมอย่างแน่แท้ ความรักที่แท้จริงไม่ได้หวือหวา น่ามหัศจรรย์ น่าหลงใหลขนาดนั้น แต่เป็นความสงบเย็น อ่อนละมุน บางเบา ไม่เร่าร้อน ไม่เรียกร้อง เมื่อเห็นเช่นนั้นพึงเข้าใจว่า “รักฉันอย่าจีบฉัน” อย่าทำให้ฉันหวัง อย่าบำเรอกิเลสฉันจนฉันหลงไป อย่าเอาใจฉันจนฉันนิสัยเสีย อย่าบิดเบือนความจริงด้วยความลวง อย่ามองฉันเป็นเพียงเป้าหมายที่ต้องพิชิต อย่าให้ฉันกลายเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในชีวิตของเธอ อย่าให้ฉันเป็นของเธอและอย่าให้เธอมาเป็นของฉัน
การที่คนเราจะรักกันนั้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นของกันและกัน เราแค่เพียงมีกันและกันเดินร่วมกันไปดังเส้นขนาน แม้ว่าจะไม่ได้เสพสมสู่กันดังธรรมชาติของผู้คนทั่วไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรักกันไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีความสุข ความสุขจากการได้เสพสมใจตามกิเลสมันจะมีค่าอย่างไรในเมื่อมันเป็นแค่ความหลง
ดังนั้นหากว่ารักฉันจริง จงอย่าจีบฉัน อย่าทำร้ายฉันด้วยดอกไม้ คำหวาน และคำสัญญาใดๆอีกเลย เพราะฉันรู้ว่ามันไม่มีวันเป็นจริง
– – – – – – – – – – – – – – –
13.1.2558
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)
ทุกข์ใจเมื่อสามีมีผู้ชายมาติดพัน และสามีมักไปขลุกอยู่กับเขา เหมือนเบี่ยงเบน
ดูไปก่อนนะครับ แต่อย่าจินตนาการไปเอง ทำหน้าที่ภรรยาที่ดีต่อไป สุดท้ายผลจะออกให้เห็นเอง หัวก้อยก็ค่อยว่ากันตอนนั้นอีกที
ถ้าเราทุกข์ใจไปทั้งๆที่คำตอบยังไม่ชัดเจน เราก็ชิงทุกข์ล่วงหน้าไปเท่านั้นเอง ถ้าตอนนี้แค่ “เหมือน” มันก็ยังไม่ใช่อยู่ดีนั่นแหละนะผมว่า
เรื่องราวเกิดขึ้น10 ปีที่ไม่รู้คำตอบช่วง2-3ปีต้องทนกับเหตุการณ์ที่ทำให้ความรู้สึกสั่นคลอนทุกวันนี้อยู่ทำหน้าที่แม่ให้ลูก และพยายามดึงใจตัวเองกลับ ไม่รู้ความจริงพยามยามพิจารณาตามหลักกาลามสูตร เมื่อสังเกตกระบวนการทางจิต เมื่อเกิดอารมณ์กระทบ ก็เห็นว่า มีความทรงจำ เป็นชุดที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น. มีการปรุงแต่งของจิต มีรสชาติของความเจ็บปวดที่จิตได้รับ และพบว่า เหตุที่ทำให้ทุกข์นั้นคือ อัตตาของตนเอง คำถามคือ มีวิธีจะลดอัตตาของตนเองอย่างไร วิปัสสนาทำอย่างไร ไม่อยากให้ปฏิจสมุปบาท 12 หมุนครบรอบ นั่นเท่ากับว่าจิตยังคงสั่งสมการผูกในการครองคู่
ดูว่าเรายึดอะไร เรายังสุขจากเสพอะไร เราทุกข์เพราะไม่ได้เสพอะไร จับอาการของเวทนาเหล่านี้ให้ดีแล้วค้นต่อไป เราอาจจะยึดมุมไหนก็ได้ กิเลสมันหลากหลายมาก เราอาจจะติดอัตตาตรงที่ว่าเป็นสามีภรรยาต้องซื่อสัตย์ต่อกัน เราอาจจะติดโลกธรรมกลัวคนเขานินทา หรือเราอาจจะติดการสมสู่กลัวคนอื่นแย่งไป ตรงนี้ต้องค้นให้เห็นเหตุจริงๆก่อนแล้วค่อยวิปัสสนา อย่าเพิ่งไปตบทิ้ง อย่าเพิ่งปล่อยวาง หาเหตุแห่งทุกข์ให้เจอก่อน แล้วค่อยว่ากัน
ผมแนะนำบทความเพิ่มเพื่อการพิจารณาให้เห็นเหตุ “http://life.dinp.org/เหตุแห่งทุกข์-สมุทัย/“
ตั้งแต่ครั้งแรก. รบกวนช่วยช่วย ลบ email. ที่แสดงให้ด้วยค่ะ ถ้าต้องการปรึกษาแบบไม่แสดง email. ทำได้อย่างไรคะ รู้สึกไม่ผ่อนคลาย ขอบคุณมากค่ะ
ผมแก้ให้แล้วนะ จริงๆใส่ชื่ออีเมล์อะไรก็ได้นะ ไม่ต้องเป็นของจริงหรอก
ขอบคุณที่กรุณาค่ะ อ่านสมุทัยแล้วนะคะ. รู้สึกว่าลึกๆแล้ว น่าจะติดที่จะเสพความรู้สึกอุ่นใจ ที่มีคนให้ความสำคัญกับเรา เหมือนว่ามีใครให้ความรักแก่เรา. เหมือนว่าเราคือหนึ่งเดียวสำหรับเขา. ถ้าเขาพูดดีๆ ใส่ใจ เอาใจ. อัตตาของเราชอบ เรื่องความสัมพันธ์ทางกายเป็นแค่เครื่องยืนยันว่า เขาต้องการเรา ถ้าเขามีความสุขจากเรา ติดในการเสพเรา. สังเกตว่าจะสุขใจ. และถ้าเขาไม่เอาใจมีความลับกับเรา ถึงเขาจะพยายามให้ความสุขทางกายเท่าใด ก็ไม่สามารถชดเชยความรู้สึกขาด หรือต้องการความอบอุ่น การใส่ใจจากเขาได้ และเมื่อมีผู้ชายอีกคน รอเขา ถ้าเขาไม่ทานข้าวด้วย ผู้ชายคนนั้นจะเหงา และรอเขา. ถึงแม้ว่าถ้าความจริงสามีอาจจะไม่ได้มีอะไรกับเขา แต่ถ้าสามีใส่ใจว่าเขาชายคนนั้นเหงา. พยายามจะไปใช้เวลาตามที่เขาเรียกร้อง แม้กิจกรรมจะไม่แน่ใจว่ามีทางกายหรือไม่. แต่การที่สามีสนใจ ไปเป็นเพื่อนเขาเมื่อชายคนนั้นชวนไปทานข้าว หรือ รู้ว่าเทศกาลต่างๆ เขาไลน์ถึงกันแบบตอบทันที. แม้จะมีความจริงแค่นี้ อัตตาเราก็รู้สึกว่า ไม่ได้มีเราที่สามีสนใจคนเดียว เหมือนมีใครที่รอเขา. และขอแบ่งเวลาบางส่วนจากเขา. อัตตาของเรารู้สึว่าสามีทำไม ถึงไม่แคร์ความรู้สึกว่าเราเสียใจที่สามีออกไปเมื่อชายคนนั้นอยากมีเพื่อน แต่ถ้อยคำที่ชายคนนั้นใช้ในไลน์. มีความส่วนตัวระหว่างเขากับสามี สติ๊กเกอร์เหมือนส่งหัวใจ หรือจูบมาให้แฟน. เสียใจที่แฟนตอบไลน์เขา มองในแง่ดีแฟนอาจไม่ลึกซึ้งเท่าชายคนนั้น. และแฟนเป็นคนอีโก้สูงค่ะ คิดว่าที่แฟนยังไปไหนกับเขาโดยที่ยอมทะเลาะกับเรา น่าจะเพราะว่าชายคนนั้นเสริมอัตตาแฟนว่าเขามีคุณค่ามากในสายตาของชายคนนั้น ชายคนนั้นรอเขา และจะเหงา ถ้าไม่ได้ไปกับแฟนเพราแฟนไม่ว่าง ขายคนนั้นจะส่งข้อความทำนองว่าบรรยากาศดูเงียบเหงาไปหาแฟน แต่อัตตาเราไม่ชอบที่แฟนปล่อยให้เขาพัวพัน บางช่วงที่ชายคนนนั้นไม่ติดต่อมา. เห็นอัตตาตนเอง ขอบที่แฟนพาไปทานข้าว. พูดดีๆด้วย อบอุ่นที่ไปเที่ยวกับแบบพ่อ แม่ ลูก เมื่อเราเหนื่อยเราจะไปนอนตักแฟนนิ่งๆ ถ้ารู้ว่าสำหรับตนเอง. อัตตาเราต้องการให้แฟนสนองในมุมนี้. ถ้าอยากลดอัตตาที่มีความต้องการให้คนอื่นสนองตอในมุมนี้. รวมทั้งรู้สึกว่าตนเองเชื่อในเรื่องของการกระทำของภรรยาที่ดี แม่ที่ดี. มักจะทุ่มเททำอย่างเต็มที่. เพื่อสนองอัตตาของตนที่ว่าฉันเป็นคนดี. ทำหน้าที่ของตนได้ดีตามความเชื่อที่ยึดติดแน่น จะแกะตัวเองให้หลุดจากบ่วงพวกนี้อย่างไรคะ
ในมุมที่ผมเห็นนะ ก็ดีแล้วที่คุณสามารถเห็นอัตตาของตัวเองว่าเป็นตัวปัญหาได้ เพราะเราขาด เราพร่องจึงต้องให้เขามาเติมอยู่เรื่อยไป เราได้เขามาเติมเต็มกี่ปีแล้วก็ยังไม่อิ่มไม่พอใจเสียที พอมีคนจะเข้ามาแบ่งผลประโยชน์เราก็รู้สึกหวง กลัวว่าสิ่งนั้นจะหายไปจากชีวิตเรา ในมุมนี้ให้พิจารณาต่อไปว่าเราเสพสุขอะไรจากความเป็นเขา ขุดละเอียดให้ลึกลงไปอีกทีหนึ่ง มันจะเหมือนรากต้นไม้ตรงนี่ยิ่งขุดก็ยิ่งแผ่ ยิ่งกระจาย แต่เราต้องจดจ่ออยู่กับประเด็นหลักไม่งั้นหลงทาง คือเราไปติดสุขอะไรจากการเสพความเป็นเขา มันจะเป็นอีกชั้นหนึ่งที่ลึกและละเอียดขึ้น เช่นนอนตักมันสุขอย่างไร ทำไมมันจึงสุข สุขเพราะได้นอนนุ่ม หรือเพราะได้สมอัตตาความเป็นเจ้าของ
จุดที่สองคือความเป็นภรรยาที่ดี แม่ที่ดี เพื่อสนองว่าฉันเป็นคนดี ตรงนี้ต้องค้นไปว่าเป็นคนดีเพื่ออะไร มันได้หลายมุมเช่น คนดีเพื่อไม่ให้มีคนมานินทา (ติดโลกธรรม) คนดีเพื่อความเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า(อัตตา) คนดีเพราะเป็นหน้าที่ที่สมควรกระทำ (อนัตตา : อันนี้ยกไว้เป็นเป้าหมายเลย อย่าเพิ่งรีบไปคิดว่าตนเองเป็นเช่นนี้ เดี๋ยวจะไม่ได้หาสมุทัยกัน) … คนดีนี้มันควรจะเป็น แต่ไม่ควรเป็นคนติดดี เพราะติดดีมันแก้ยาก”มาก”
ในขั้นนี้ต้องชัดกว่าเดิมว่าเรากำลังเสพสุขในอารมณ์แบบไหน เมื่อเจอแล้วว่าเราสุขเพราะเรื่องไหน ทุกข์เพราะเรื่องไหนก็ค่อยพิจารณากิเลสที่สะท้อนออกมาจากความรู้สึกเหล่านั้นด้วยไตรลักษณ์ คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ,พิจารณากรรมและผลของกรรม ,พิจารณาประโยชน์และโทษ ทำซ้ำๆย้ำๆ อย่างพากเพียรจะลดความยึดมั่นถือมั่นได้
โดยใช้วิธีตั้งศีลขึ้นมากำกับกิเลสตัวนั้น เช่น เมื่อเราค้นเจอว่าเรารู้สึกสุขเมื่อได้รับการเอาใจ เราก็ตั้งศีลว่าเราจะไม่ยินดีเมื่อได้เสพสิ่งเหล่านั้น เมื่อเราตั้งศีลไว้เช่นนี้ ก็จะเหมือนสิ่งที่คอยเตือนใจไม่ให้เราเผลอไป เมื่อเกิดสุขขึ้นมาก็พิจารณาไปตามธรรม เช่นว่า สุขจากเสพแบบนี้มันก็ไม่เที่ยงหนอ เราได้เสพก็สุขแป๊ปเดียวแต่พอไม่ได้ก็ทุกข์ แท้จริงแล้วสุขเหล่านี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราเลย เป็นเพียงสุขที่หลอกให้เรามีตัวตนอยู่เพื่อเสพเท่านั้น , หากเรายังจะเสพสุขแบบนี้กรรมที่เราได้รับคือเราจะต้องทุกข์ใจคันหัวใจตลอดไป ,หากเราไม่สุขเพราะเรื่องแบบนี้มันจะดีอย่างไร แล้วถ้ายังติดสุขติดดีอยู่แบบนี้จะมีโทษอย่างไร
เมื่อพิจารณาไปจนเต็มรอบจะเกิดปัญญาละหน่ายคลายตัวตน แต่แน่นอนว่าไม่จบง่ายๆ เราจะสามารถขุดค้นสมุทัยต่อไปได้อีก ขุดลึกลงไปได้อีกตามกำลังอินทรีย์พละที่ได้มาโดยลำดับ ดังนั้นการจะทำลายอัตตาอย่างทะลุทะลวงตั้งแต่แรกนั้นเป็นไปได้ยาก ถ้าไม่มีบุญบารมีสะสมมาก่อนคือเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเพียรพิจารณาประโยชน์และโทษให้กระจ่างแจ้งเท่านั้น ซึ่งมันจะเหนื่อย หนัก ท้อ เพราะแรงของกิเลสมันมีมาก สู้เท่าไหร่ก็ไม่ชนะสักที แต่เราจะชนะครั้งเดียวเท่านั้นคือครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ถ้าสามารถพิจารณาจนเกิดปัญญาแล้วมันชนะแล้วชนะเลย
ชอบนอนตักเพราะรู้สึกติดกับความต้องการที่ว่ามีใครสักคนให้พึ่งพิงทางใจเมื่อเราเหนื่อย แต่ความเป็นจริงคิดว่า ไม่ใช่แต่แก้ตนเองไม่ได้สักทีที่ต้องการให้ใครสักคนสนใจ เห็นความสำคัญของเรา เป็นที่พึ่งทางใจและอยู่เป็นเพื่อน ที่บอกว่าไม่ใช่เพราะทางโลก สามีไม่ค่อยได้แบ่งปันเรื่องของเขาและไม่รับฟังสิ่งที่เราอยากให้มีใครสักคนฟัง ตรงนี้พอทราบนะคะว่าเป็นความต้องการอยากเสพของเราเอง ที่เมื่อไม่ได้แล้วจะนำมาซึ่งความทุกข์
แต่ถึงแม้สมมุติว่าเขาเป็นอย่างที่เราอยากให้เขาเป็นก็เป็นการสนองความอยากของเราเอง และเท่ากับว่าได้ยึดติดกับการอยากมีคู่ ซึ่งจะนำมาซึ่งทุกข์อีกหลายอย่างในวัฏจักรของสังสารวัฏ เหมือนว่าถ้าไม่หัดมีปัญญาในชาตินี้ ก็ต้องไปจมอยู่กับทุกข์ในชาติต่อๆไป เพราะเท่าที่เคยฟังธรรมมา การไม่มีคู่หรือมีคู่ในขาติต่อๆไปขึ้นกับความคิดของเราและปัญญาของเราในชาตินี้ด้วย แต่ก็ยังพยายามหาทางออกจากการยึดมั่นถือมั่น ความอยาก การมีตัวเราและอัตตาของเราอยู่ค่ะ
ถูกแล้วครับว่าเราสามารถสร้างกรรมที่จะโสดอย่างเป็นสุข ไม่ต้องทุกข์เรื่องคู่ ไม่ต้องแบกภาระครอบครัวในอนาคตได้จากชาตินี้
และแน่นอนว่าผลของชาตินี้ก็เกิดมาจากเหตุของอดีตที่สะสมไว้หลายต่อหลายชาติที่ผ่านมา กรรมนั้นส่งผลจริง ทำให้ต้องมารับสภาพคู่ที่ทั้งรักทั้งชังอยู่ และกรรมนั้นก็เกิดมาจากกิเลสที่มานั่นเอง
การเอาคนอื่นมาเป็นที่พึ่งพิงทางใจนั้นเหมือนไปยึดไม้ปักเลน ไม่มั่นคง เราควรยึดพระรัตนตรัยเป็นสิ่งพึ่งพิงทางใจแทนจะดีกว่า นี่เราสุขใจเพราะเราไปยึดเขา เราจึงควรค่อยๆถอนการยึดออกจากเขาโดยพิจารณาโทษของการยึดเขา และพิจารณาประโยชน์ในการยึดพระรัตนตรัย
ในมุมนี้ต้องมาดูอีกทีว่าเรายึดอะไร จำเป็นต้องเป็นเขาจริงไหม หรือเอาใครก็ได้มาแทนที่เขาได้ (ถ้ามี) มันจะไม่เหมือนกันถ้าเรายึดเขา หรือเราเหงา ตรงนี้ต้องแยกกิเลสให้ดีก่อนว่าเรากำลังติดอะไร
จะลองยกตัวอย่างเรื่องอาหาร เช่นเราชอบอาหารญี่ปุ่น แต่เราไม่ได้ชอบความเป็นญี่ปุ่น เราชอบแค่รสวาซาบิ เราก็แก้ที่วาซาบิ ไม่ต้องไปแก้อาหารญี่ปุ่น
จะแก้ความยึดมั่นถือมั่นต้องระบุเหตุไปให้ชัดก่อน ต้องถึงสมุทัยก่อน ไม่งั้นมันจะแก้ไม่ได้มันจะพัน จะวนเวียน จะเมาหมัดของกิเลสอยู่แบบนั้น
รู้ได้เลยค่ะยึดคนที่แต่งงานกับเราค่ะ ถ้าสมมุติแต่งกับใครก็ยึดคนนั้นค่ะ มักจะคาดหวังให้เขาทำหน้าที่support จิตใจเราเป็นสามีที่ดี ติดภาพของสามีที่ดีตามที่หวังค่ะ. เป็นพ่อที่ดี เมื่อเขาดีแบบของเขา ซึ่งอาจจะไม่เหมือนกับมุมที่เราตั้งไว้หรือวาดภาพไว้เราก็ทุกข์เพราะอยากให้เขาสนองอัตตาเรา เช่นกันที่เราอาจไม่เหมือนอย่างที่เขาอยากให้เป็นเช่นอยากให้เราขอบการท่องเที่ยวแบบลุยๆแต่เราเป็นคนชอบสงบไม่ติดการท่องเที่ยวและยิ่งลูกมีงานหรือการสอบไม่อาจตอบสนองตามความต้องการเขาได้.ต่างคนก็ต่างทุกข์เพราะกืเลสตัวเอง แม้เป็นเรื่องน้อยนิด เพียงมุมเดียวของชีวิตคู่ แต่ก็ทำให้รู้ได้ว่าการมีชีวิตคู่ไม่ใช่ตอนจบของภาพยนตร์ที่จบลงด้วยความสุขเหมือนในละคร แต่ก็คือทุกข์ที่ต้องสนองอัตตาของทุกคนที่มาอยู่ร่วมกัน และไม่มีทางที่ความต้องการของทุกคนจะสอดคล้องกันตลอด ทุกข์ตลอดเวลา. และเป็นทุกครอบครัว แต่คนทั่วไปไม่คิดว่าเป็นทุกข์ คิดว่าความสุขในการอยู่ร่วมกันเป็นตามมาตรฐานสังคมสำคัญกว่า
เหมือนกันกับมุมของลูก ใครเกิดมาเป็นลูกเราเราก็เลี้ยงแบบแทบถวายชีวิตให้ เพราะติดคำว่าเขาเป็นลูกเราซึ่งถ้าไม่ใช่เด็กคนเดิม เป็นเด็กคนอื่นที่เป็นลูก ก็ทุ่มสุดตัวแบบมีอัตตาของเราเพราะเขาเป็นอนุพันธ์ของเราค่ะ
แทบจะอธิฐานจิตขอให้มีปัญญาในชาติต่อๆไป ขอครองตัวเป็นโสดและอยากสร้างสั่งสมปัญญาในชาตินี้ค่ะ
จากข้อมูลตามที่ให้มาจะเห็นได้ว่าคุณไม่ได้ติดกับคนคนนี้หรอก แต่ติดรูปแบบความเป็นคู่ ต้องมีคนมาสนองอัตตา ดูๆแล้วเขาก็เป็นเหยื่อกิเลสของเราดีๆนี่เอง มันมีสภาพดูดดึงในเรื่องคู่อยู่ การจะออกจากสภาพที่ยึดมั่นถือมั่นคู่เป็นตัวเป็นตนได้ต้องทำให้เกิดสภาพผลัก คือให้ยึดดีไปก่อน ให้พึ่งตัวเองได้ ให้เสพตัวเอง ให้มีอัตตาเพื่อเสพตัวเอง ลดการเสพเขาลง สุดท้ายจะติดอัตตาแล้วก็ต้องมาล้างอัตตาอีกทีหนึ่ง แต่ตอนนี้ให้ทำลายสภาพของการดูดดึงหรือความจำเป็นว่าต้องมีเขาอยู่เพื่อสนองตัณหาของเราเสียก่อน
ปัญญาที่มีตอนนี้เป็นปัญญาสำหรับเริ่มต้น เริ่มเห็นปัญหา แต่ต้องเพียรพยายามให้รู้เห็นความจริงตามความเป็นจริงมากขึ้นด้วยการพิจารณาธรรมดังที่ผมยกตัวอย่างไปก่อนหน้านี้เช่น การพิจารณาไตรลักษณ์ในเรื่องอยากมีคู่ กรรมและผลของกรรมในการมีคู่ ประโยชน์และโทษ มันจะไม่เห็นผลอะไรถ้าไม่ตั้งใจ เพราะการจะออกจากการยึดติดนั้นเพียงแค่คิดเอาไม่ได้ ต้องพิจารณาจนกว่าน้ำจะเต็มแก้ว ปัญญาเต็มรอบและจะเข้าใจกระจ่างแจ้งเองในทุกเรื่องของคู่ที่ผ่านมา เรียกว่า ปัญญาที่เป็นผล สั่งสมลงเป็นปัญญาพละนั่นเอง
ให้สังเกตุทุกข์และสุขที่เกิดขึ้น เราอยากออกนะ ไม่อยากมีคู่ แต่พอเวลาคู่ทำดี เอาใจ ได้อ้อนเรากลับเป็นสุข หรือลูกพูดดี เรียนเก่ง ทำตามคำสั่งเรา เราก็เป็นสุข แต่พอไม่ได้ดั่งใจก็เป็นทุกข์ นี่คือสภาพสุขจากเสพของกิเลส มันแค่คิดจะออกไม่ได้ ต้องทำจนกว่าจะรู้แจ้งเห็นจริงในกิเลสนั้นๆเอง
ลองดูว่าตอนเราสุขๆนี่เราอยากเลิกมีคู่ไหม จิตใจมันยอมสละไหม หรือมันหวงไว้ มันแค่อยากเลิกตอนที่เขาทำไม่ดีกับเราทำเท่านั้นหรือเปล่า เราแค่งอนเขาหรือเปล่า จะตัดกิเลสมันต้องตัดตอนสุข ทำลายความยึดมั่นถือมั่นมันต้องทำลายตอนที่สุข ตอนที่ยึด ถ้ามันไม่ยึดแล้วมันจะเข้าไปทำอะไรไม่ได้ เหมือนกับเราเบื่อของเล่นเด็กอ่อน แต่ตอนเราเป็นเด็กเราชอบ ตอนโตมามันเลิกชอบ มันก็เป็นภาพเบื่อแบบโลกๆเท่านั้นเอง
คู่ครองหรือลูกคือคนที่มีหนี้บาปหนี้บุญกันมา ถ้าอยากจะหลุดบ่วงกรรมนี้เร็วๆก็ทำดีใช้หนี้เข้ามากๆ ทำดีที่ดีที่สุดคือการลดกิเลส ใช้ทาน ศีล เข้ามาขัดกิเลส ลองตั้งศีลเองไปเลย เราจะไม่เสพสุขจากสามีแล้วมันจะเห็นกิเลสที่แอบซ่อนอยู่อีก พอกิเลสขึ้นก็พิจารณาธรรมไป มีโอกาสได้ลดกิเลสเรื่องใดก็ให้ขยันทำ บุญและกุศลที่เราทำจะไปเร่งให้กรรมที่ต้องรับหมดไปไวขึ้นหรือเจือจางสิ่งที่ต้องแบกรับให้เบาบางลง
จริงอย่างที่คุณถามไว้ เมื่อปีใหม่ไปเที่ยวกันเป็นครอบครัว ไม่มีใครแย่งเวลาและความสนใจของแฟนไปเมื่อได้ออกไปเที่ยวเป็นครอบครัวหลายวัน ได้สังเกตใจตนเองเห็นว่าอยากเสพสุข ความอบอุ่นใจ เสพความสุขที่แฟนใส่ใจ แต่ก็มีความรู้สึกบางส่วนที่มองเห็นใจตนเองว่าเสพสุขในการมีชีวิตครอบครัว มีอีกเสียงในใจตนเองที่บอกว่าไม่ใช่สุขที่แท้จริง เห็นภาพกราฟคลื่นของเส้นกราฟทางคณิตศาสตร์ในหัว เหมือนว่า กราฟความสุขโค้งขึ้นสูงบวกมากขึ้นเทเท่าใดเมื่อยามเสพการมีคู่. ก็รู้ได้ว่าเตรียมใจไว้ได้เลยว่า เมื่อไม่ได้ดั่งใจในอนาคตเมื่อใด ทุกข์นั้นก็เหมือนกราฟที่โค้งลงติดลบและทุกข์เท่านั้นเมื่อไม่ได้ในสอ่งที่เคยเสพจากการมีชีวิตครอบครัว นึกรู้อยู่ในขณะที่กำลังเสพ ในเมื่อเห็นภาพกราฟสุขและทุกข์ขึ้นมาในหัวขณะนั้น ก็ไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรต่อ นึกสงสัยเมื่ออ่านมาถึงตอนที่คุณบอกว่าจะตัดกิเลสต้องตัดตอนสุข จะตัดความยึดมั่นถือมั่นต้องตัดตอนสุข. อยากทราบว่าเมื่อเห็นภาพกราฟคลื่นของความสุขที่สูงขึ้นเมื่อเสพ และกราฟลงเมื่อทุกข์โผล่ขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติในหัวเมื่อกำลังสุขสุดๆ เล้วจะตัดความยึดมั่นถือมั่นตอนที่สุขสุดๆนั้นทำได้อย่างไรคะ
ส่วนเรื่องของลูกนั้นลูกคนโตมีบางอย่างช้า ต้องให้ช่วยมากเป็นพิเศษตั้งแต่เล็กๆ เลี้ยงมาด้วยความสงสารเขามาตลอด เมื่อเข้าโรงเรียนก็มีปัญหาพัฒนาการบางส่วน และมักถูกเพื่อนเอาเปรียบและรังแกจากการที่เพื่อนดูออกว่าเขาช้าและมีปัญหาในบางเรื่อง เคยคุยกับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมจนรู้ตัวว่าตนเองน่าจะลดละอัตตาเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก และลองค้นบทความในกูเกิลดูจนได้อ่านข้อความที่คุณเขียนในเรื่องอัตตาเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกเมื่อหล่ยเดือนก่อน ข้อความเกี่ยวกับพรหมวิหาร4 ในบทความที่เอ่ยถึงส่วนของอุเบกขา จำได้ว่ามีประโยคหนึ่งที่บอกไว้ทำนองว่าอุเบกขาหมายถึงการวางเฉยได้เมื่อเราช่วยสุดความสามารถแล้ว เขายังคงได้รับวิบากกรรมอันนั้นอยู่ ให้วางเฉย เป็นการนำอุเบกขามาใช้อย่างถูกต้อง ตำไม่ได้ว่าอยู่ในหัวข้อใด แต่จำเนื้อความที่สื่อเกี่ยวกับอุเบกขาได้ทำนองนี้. เมื่อนำมาพิจารณากับสภาพชีวิตในการเลี้ยงลูกของตนเอง ก็พยายามทำใจและนึกเสมอว่าสัตว์โลกมีกรรมเป็นของตนเอง ได้พยายามช่วยเหลือลูกอย่างเต็มความสามารถ ซึ่งก็มีคำถามขึ้นมาอีกว่าข่วยขนาดเตรียมตัวในเนื้อหาการทำรายงานที่ครูให้ยากและครูอยากให้พ่อแม่ช่วยทำจนต้องอดนอน ลูกก็ยังคงได้รับวิบากที่เพื่อนรังแก เอาเปรียบ เมื่อลูกไม่ทันความเจ้าเล่ห์ของเพื่อน ที่เอาเปรียบคนที่อ่อนแอกว่า พัฒณาการช้ากว่าในบางเรื่อง คำถามโลกแตกคือ ตรงไหนคือคำว่าสุดความสามารถของคนเป็นแม่. เมื่อแลกด้วยเวลาเกือบทั้งชีวิต และสุขภาพที่ต้องอดทนเพื่อช่วยให้ลูกสามารถเรียนและอยู่ในโรงเรียนได้. ไม่รู้จริงๆว่าอุเบกขาจะวางลงได้ที่ตรงไหน เอาอะไรเป็นตัวชี้วัด ว่าเราทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้ว เพื่อนที่รู้เรื่องราวในชีวิตโดยละเอียดได้พูดว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนทุกข์กับการใช้ชีวิตครอบครัววิบากที่มีร่วมกันจะนำมาซึ่งทุกข์ในชีวิตของคนๆหนึ่งได้ขนาดนี้ เพื่อนให้พยายามหาความสุขในชีวิตแบะมห้คิดในแง่ดีว่า ชาตินี้เป็นช่ติที่ได้มาสร้างชันติบารมี การให้อภัยทานแก่แฟน. เมื่อแฟนไม่ช่วย. และอาจแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวเสมอ. ในขณะที่แฟนไม่ค่อยได้ช่วยคิดแก้ปัญหาเมื่อเกิดปัญหากับลูก ในขณะที่เรารู้ตัวว่าต้องการกำลังใจ และการใส่ใจจากใครสักตนจึงคาดหวังจากแฟน เมื่อไม่ได้ก็หันมาสนใจฟังธรรม อ่านหนังสือ. และในบางคาั้งที่มีเรื่องหนักในชีวิต. ก็จะโทรหาเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมและเป็นหญิงี่ไม่มีครอบครัว เหมือนเพื่อใช้วธีสนทนาธรรมบ้าง จนในเดือนที่แล้วได้บอกเพื่อนไปตรงๆว่าเหมือนคนขาดที่พักพิง เมื่อไม่ไดจากแฟนแลต้องการเอาใจของตนกลับมาจากความคาดหวังในแฟนมีบางครั้งที่รู้ตัวว่าใช้เพื่อนและกำละงใจจากเพื่อน เพื่อนก็ทราบและบอกมาตลอดว่าควรมีตนเองเป็นที่พึ่งและเดินไปบนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า. เราต่างเดินบนเส้นทางเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เพื่อนยอกเสมอว่าต้องเข้าไปดูทุกข์ด้วยตนเอง เพื่อนไม่แต่งงานเพราะกลัวทุกข์ในการมีคู่ จริงที่ว่าไม่มีใครทำให้เราพ้นทุกข์ได้จากตัวเราเอง เฝ้าสังเกตใจตนเอง หลายครั้งเผชิญปัญหาคนเดียว แต่มีบางครั้งที่หนักหนาและเหมือนเสพกำลังใจ และได้วิริยะในการปฏิบัติจากเพื่อน ซึ่งเป็นกัลยาณมิตร. แต่ก็รู้ได้ว่าเหมือนต่อไปก็ต้องพึ่งตนเอง จนพึ่งตนเองได้แล้ว ก็มาลดอัตตาของตนอีกทีจนในที่สุดรู้ว่าทุกข์ในการครองคู่่และมีภาระรับผิดชอบครอบครัวมาจากอัตตาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสักยทิฏฐิหนึ่งในสังโยชน์เบื้องต่ำนั่นเองค่ะ นี่คือสิ่งที่เมื่อมองลงไปในใจแล้วรู้ว่าเพร่ะมีตัวเราจึงเป็นทุกข์
การเรียนรู้ทำลายกิเลสต้องปฏิบัติกันทีเวทนาเพราะเป็นจุดที่รับรู้ได้ถึง ทุกข์ สุข เฉยๆ ที่ว่าตัดตอนสุขก็คือตัดใจจากความสุขนั้นให้ได้เสีย ในระดับแรกถ้ามันยากก็ใช้สมถะตบ(การกำหนดจิต พุท-โธ เดินจงกรม กำหนดลมหายใจ ฯลฯ) หรือกดข่มไปก่อนก็ได้ซึ่งวิธีนี้ไม่สามารถล้างกิเลสได้ ทำได้เพียงกดสุขหรือทุกข์ให้จมลง การจะมาล้างได้ต้องวิปัสสนาอย่างถูกตรงเท่านั้น คือพิจารณาความจริงตามความเป็นจริงดังที่ได้เคยยกตัวอย่างไป
สรุปง่ายๆว่าคุณสามารถเบรก หรือดับสุขที่เกิดขึ้นได้ไหม หรือปล่อยใจให้เสพสุขไปกับอารมณ์เหล่านั้นเพลิดเพลินไปกับสิ่งเหล่านั้นพอเห็นว่ามันหมดก็ทุกข์นี่มันธรรมดา แต่ถ้าที่เรียนรู้เรื่องกิเลสจะสามารถรู้จนกระทั่งทำลายกิเลสในขณะที่เกิดขึ้นได้เลย แน่นอนว่าไม่ใช่ง่ายๆ และไม่ใช่ครั้งเดียว ต้องทำไม่รู้กี่ครั้งและไม่รู้ว่านานเท่าไหร่กว่าปัญญาจะเต็มรอบ ต้องเพียรไปเรื่อยๆ
อุเบกขาไม่ได้หมายความว่าวางเฉย แต่หมายถึงการปล่อยวางเมื่อได้ เมตตา กรุณา อย่างเต็มที่แล้ว แม้จะเกิดผลดีดังใจหรือไม่เกิดผลก็ให้วางความคาดหวังในผลนั้นเสีย หน้าที่ของแม่คือการอุ้มชูเลี้ยงดูเขาตามบุญบารมีของเขา ตามวิบากกรรมของเขา เราจะไปกำหนดไม่ได้ เขาเป็นตัวกำหนดกรรมของเขา เราแค่บอกทางที่ดีแนะนำวิธีที่ดีเท่านั้น ยกเว้นบางกรณีที่มันจะร้ายแรงเราอาจจะต้องใช้อำนาจของพ่อแม่เพื่อหยุดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นบ้าง ถ้าถามว่าอุเบกขาตรงไหนก็ทุกตรงกิจกรรมที่ทำนั่นแหละ ความคาดหวังจะมาทำร้ายเราเสมอถ้าเราไม่ปล่อยวางความคาดหวังแล้วมันจะทุกข์
ถ้าถามว่าที่สุดของความเป็นพ่อแม่มันอยู่ตรงไหน ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน มันอยู่ที่วิบากกรรมร่วมระหว่างคุณกับลูก ทั้งนี้เพื่อให้คุณได้เรียนรู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์ หาเหตุแห่งทุกข์ เข้าใจการดับทุกข์และปฏิบัติสู่การดับทุกข์ สิ่งเหล่านี้เป็นกรรมที่สะท้อนให้เราได้เพ่งเพียรปฏิบัติออกจากโลก ถ้าคุณยังอยู่ในโลก (โลกียะ) ก็ยังต้องวนเวียนทุกข์ไปแบบนี้ไม่จบไม่สิ้น รู้ว่าทุกข์ก็ยังไม่จบ รู้เหตุแห่งทุกข์ก็ยังไม่จบ ต้องดับทุกข์ให้ได้จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่รู้วิธีดับทุกข์
เรื่องที่พึ่งผมว่าเพื่อนคุณวิเคราะห์ได้ดี การที่เราไปพึ่งพาใครต่อใครก็เหมือนไปเกาะไม้หลักปักเลน ไม่มั่นคง ชาวพุทธเราควรมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะขอขยายในส่วนของพระสงฆ์นั้นหมายถึงผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นเชื้อแท้ๆของพระพุทธเจ้า มีสัจจะแท้ มีโลกุตระธรรม และการยึดเป็นที่พึ่งนั้นไม่ใช่ยึดในรูปที่เห็น แต่ยึดในนามธรรม คือเอาความดีงามเหล่านั้นมาเป็นเครื่องอาศัย ถ้าคุณยึดสามสิ่งนี้ชีวิตคุณจะไม่สั่นคลอนอีกเลย เพราะเป็นของแท้
การเห็นทุกข์เป็นเพียงก้าวแรกในการพ้นทุกข์ ผมว่าคุณเห็นชัดแล้วแหละ แต่ต่อไปก็คือเหตุแห่งทุกข์ซึ่งยากสุดยาก เพราะถ้าหาเหตุแห่งทุกข์ไม่เจอ ดังที่เคยพิมพ์กันในตอนก่อนๆ หรือหลงเหตุ ก็ไม่มีทางเจอผลแน่ ถึงมรรคจะถูกวิธีสู่การดับทุกข์ แต่คุณเดินมรรคผิดจุดก็ไม่ถึงผล (อริยสัจ ๔) ดังนั้นต้องแม่นในการหาเหตุแห่งทุกข์เสียก่อน ตรงนี้คนมาติดกันเยอะมาก ไม่สามารถหาเหตุได้ มองแต่ทุกข์เป็นตัวปัญหา ถ้ามองได้แค่นั้นมันก็ได้แค่นั้น มันไม่ลึกถึงรากของกิเลส สุดท้ายมันก็วนอยู่ในโลกียะ สุขๆ ทุกข์ๆ แบบโลกๆนั่นแหละ
ใช้เชื้อทุกข์เหล่านี้เป็นอาหารเพื่อความเจริญเติบโตของจิตใจ จนถึงวันที่ทุกข์สุดทุกข์หรือวันที่ปัญญาเต็มรอบก็จะสามารถเห็นและเข้าใจทุกเหลี่ยมมุมในกิเลสเหล่านี้ได้เอง ก็เลือกเอาว่าจะทำกรรมสะสมไปจนทุกข์หรือจะเพียรพยายามเพ่งเผากิเลสด้วยความจริงตามความเป็นจริง