Tag: ทางโลก

ครูบาอาจารย์ที่ใช่ ตรงใจ ตรงจริต ตรงธรรม

September 25, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,469 views 1

ครูบาอาจารย์ที่ใช่ ตรงใจ ตรงจริต ตรงธรรม

ครูบาอาจารย์ที่ใช่ ตรงใจ ตรงจริต ตรงธรรม

การดำเนินชีวิตไปสู่ความผาสุกที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะในทางโลก หรือทางธรรมนั้น สิ่งที่จำเป็นประการหนึ่งก็คือผู้ชี้นำที่ดี…

เพราะคนนั้นเรามีขอบเขตการเรียนรู้ที่จำกัด มีสติที่จำกัด มีปัญญาที่จำกัดการที่เราจะสามารถขยายข้อจำกัดเหล่านั้นได้คือการพัฒนาตัวเอง แต่เราจะพัฒนาตัวเองได้อย่างไรในเมื่อเราไม่รู้วิธีที่จะเพิ่มหรือขยายสติปัญญาเหล่านั้น ดังนั้นการที่เรามีผู้ชี้นำ หรือครูบาอาจารย์ที่ดีนั้น จะสามารถนำพาเราไปสู่ความเจริญได้ทั้งทางโลกและทางธรรม

1.คบหาผู้รู้

พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเกี่ยวกับเหตุแห่งการหลุดพ้นไว้ในอวิชชาสูตร ว่าการที่เราหลงงมงายไปในสิ่งไร้สาระ หลงไปในกิเลสนั้นเกิดจากอวิชชา เป็นความโง่ เป็นความไม่รู้ ซึ่งเหตุแรกสุดของอวิชชานั่นก็คือการไม่คบหาสัตบุรุษ

สัตบุรุษ คือ คนผู้รู้สัจจะ รู้ความจริง รู้วิธีพ้นทุกข์ ท่านเหล่านั้นได้ร่ำเรียนมาจากพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ สะสมบารมีมาหลายภพหลายชาติ จนเกิดความรู้แจ้งในตนเอง เมื่อมีสัจจะ ก็สามารถสอนสัจธรรมได้ เป็นธรรมที่พาไปสู่การพ้นทุกข์ เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด เพื่อความไม่สะสม เพื่อความมักน้อย เพื่อความสงบจากกิเลส เพื่อการละกิเลส ฯลฯ

ดังนั้นเมื่อเราไม่ได้คบหาสัตบุรุษ ก็ไม่มีทางที่จะทำลายอวิชชาได้ หรือเรียกได้ว่าไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมได้เลย

2.ลักษณะของผู้รู้

ผู้ที่เป็นสัตบุรุษนั้น จะสามารถแสดงธรรมอย่างแกล้วกล้าอาจหาญ ไม่ประหม่า ไม่เขินอาย ไม่ลังเล ไม่สับสน เพราะรู้แน่ชัดว่าธรรมที่ตนมีนั้นเป็นของจริง พาพ้นทุกข์ได้จริง สามารถสอบถาม พร้อมทั้งให้ตรวจสอบกันได้ และยังเชื้อเชิญให้มาลองพิสูจน์ธรรมะนั้น เพราะรู้ว่าผู้ใดที่ศรัทธาและปฏิบัติจะเห็นและเข้าใจได้ ไม่ใช่สิ่งเร้นลับ ไม่ใช่เวทมนต์ ไม่ใช่เดรัจฉานวิชา เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ตลอดกาลไม่ว่ายุคใดสมัยใด และเป็นสิ่งที่ควรกระทำให้เกิดธรรมเหล่านั้นขึ้นในวิญญาณของตน

สามารถเล่า ชี้แจ้ง สภาวะ การปฏิบัติ ขั้นตอนต่างๆได้อย่างมีศิลปะ คือมีทั้งสาระและสุนทรียะ ปรับเปลี่ยนร้อยเรียงธรรมให้เข้าใจได้ง่ายอย่างวิจิตรพิสดารให้เหมาะกับผู้ฟังได้ โดยแสดงธรรมไปตามลำดับ หยาบ กลาง ละเอียด โดยมีเหตุผล มีที่อ้างอิง และมีความเอ็นดูเข้าใจต่อผู้อื่น ไม่พูดให้เกิดการกระทบ กดดัน บีบคั้น ทำร้ายทำลายใจ ไม่กักขังหรือผลักไส ไม่ได้สอนเพื่อให้คนมาศรัทธา ไม่สอนเพื่อแลกมาซึ่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ บริวาร บารมีต่างๆ แต่สอนเพื่อให้คนลดกิเลส ให้คนพ้นทุกข์

ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น ไม่ได้อยากสอนและไม่ได้ไม่อยากสอน เพียงแต่มีเมตตาให้กับเพื่อนมนุษย์ผู้ยังมีทุกข์อยู่ จึงใช้ความรู้ที่มีสร้างประโยชน์ให้กับตนคือสร้างกุศลและประโยชน์ของผู้อื่น คือช่วยชี้นำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

สัตบุรุษนั้นไม่จำเป็นต้องมีพรรษาที่มาก ไม่จำเป็นต้องเป็นเพศนักบวช ไม่จำเป็นต้องร่ำรวย มีชื่อเสียง มีคนนับหน้าถือตา มีคนยกย่อง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เพียงแค่มีโลกุตระธรรม คือธรรมที่พาสวนกระแส พาล้างกิเลส เป็นธรรมที่ไม่พาไปตามโลก ขัดกับโลก ขัดใจ แต่ไม่ขัดกับสัจจะ

3.คุณสมบัติของผู้รู้

คุณสมบัติหรือธรรมที่สัตบุรุษพึงมี (สัปปุริสธรรม ๗) ก็คือ ความเป็นผู้รู้ธรรม รู้ทั้งโลกียะธรรมและโลกุตระธรรม ,เป็นผู้รู้สาระประโยชน์ว่าทำสิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดเป็นอกุศล ,เป็นผู้รู้ตน คือรู้ว่าตนเองมีศักยภาพเท่าไหร่ แค่ไหน อย่างไร, เป็นผู้รู้ประมาณ สามารถประมาณ คาดคะเน สิ่งต่างๆให้พอดี ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ,ผู้รู้เวลาอันควร รู้ว่าเวลาใดควรทำอะไร เท่าไหร่ อย่างไร, เป็นผู้รู้หมู่คน รู้ว่าคนหมู่นี้ต้องพูดอย่างไร ต้องปฏิบัติอย่างไร ,เป็นผู้รู้บุคคล รู้ว่าบุคคลนั้นควรจะสอนอย่างไร ควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดความเจริญ

4.การตามหาผู้รู้

การตามหาผู้รู้หรือสัตบุรุษนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตามหาเจอ ไม่ว่าจะเดินทางไปทั่วทั้งแผ่นดิน ทั่วฟ้า ใต้มหาสมุทรก็ไม่มีทางเจอ ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “กรรม

เรามักจะคิดกันไปว่าต้องหาอาจารย์ถูกจริต หาอาจารย์ที่ใช่ เราจะเลือกอาจารย์เอง หรืออาจารย์จะเลือกศิษย์เอง ความเข้าใจเหล่านี้ไม่เที่ยงทั้งนั้น เพราะบางทีก็เลือกได้ บางทีก็เลือกไม่ได้ บางทีที่เลือกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ ไอ้ที่ไม่เลือกกลับกลายเป็นดี ไม่มีอะไรแน่นอน จะยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ นอกจากจะเชื่อใน “กรรม

กรรมจะเป็นผู้ที่เลือกให้เราได้พบกับใคร ได้พบกับอาจารย์ท่านไหน และอาจารย์ท่านไหนจะได้พบกับเรา เพราะการที่เราจะได้พบกับครูบาอาจารย์ท่านนั้น เป็นเพราะเราบำเพ็ญเพียร เรียนรู้ ศึกษาและปฏิบัติร่วมกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว ดังนั้นแม้ว่าเราจะไปเจอครูบาอาจารย์ที่ใครเขาแนะนำว่าดีว่าเยี่ยมเพียงใด แต่ถ้าเราไม่เคยเกื้อกูลกันมา ก็มักไม่ถูกใจ ไม่เข้าใจ ถึงจะพยายามก็จะอยู่กันได้ไม่นาน หรือที่เรียกว่าไม่ตรงจริตนั่นเอง

ผู้ที่ไม่มีกรรมดีมาหนุนนำ แม้จะพบสัตบุรุษอยู่ตรงหน้า ได้พูดคุยสนทนากันนานหลายชั่วโมง ก็อาจจะไม่เข้าใจ ไม่รับรู้ ไม่ถูกใจก็ได้ เพราะวิบากบาปหรือบาปกรรมที่เขาเหล่านั้นได้กระทำไว้ ได้บังไม่ให้เขาได้เข้าถึงสิ่งที่ดี สิ่งที่มีประโยชน์คอยขัดขวางไม่ให้เขาเจอกับผู้รู้ธรรม ให้เขาได้ทนทุกข์นานเท่าที่กรรมจะยังมีผล

5.การจะได้พบผู้รู้

การได้เกิดมาพบพระพุทธเจ้านั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก หากไม่เคยทำกุศลมามากพอ ก็จะไม่มีวันได้พบกับสัตบุรุษใดๆเลย ถึงแม้จะพบ ก็เหมือนไม่ได้พบ แม้จะใกล้ชิดก็เหมือนไม่ได้ใกล้ชิด

การที่เราจะได้พบผู้รู้นั้น จำเป็นต้องสร้างกุศลกรรม หรือการสะสมบุญบารมีที่มากพอเราจึงต้องทำดีไปเรื่อย ช่วยเหลือคนไปตามที่ทำได้ แบ่งปัน เสียสละ ทำทาน ถือศีล อดทนฝืนข่มสู้กับกิเลสเท่าที่จะทำได้ ในวันใดวันหนึ่งเมื่อเราทำกุศลไปเรื่อยๆ เมื่อสะสมบุญบารมีที่มากพอ กรรมจะจัดสรรให้เราได้เข้าถึงกุศลที่ยิ่งใหญ่ขึ้น

เช่น เมื่อเราทำบุญทำทานไปเรื่อยๆ อยู่มาวันหนึ่งก็บังเอิญไปทำทานให้กับพระอริยะ ซึ่งก็เป็นทานที่ทำให้เกิดอานิสงส์มากกว่าทำทานกับ สัตว์ คน หรือพระทั่วไป เมื่อได้ทำสิ่งที่เป็นกุศลมากขึ้น ก็จะผลักดันให้เราได้เจอกับผู้รู้ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกรรม เมื่อเราสะสมกรรมดีมากๆ กรรมดีก็จะผลักดันเราให้ทำกรรมดีที่มากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากจากหยุดชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใสจากความเศร้ามองซึ่งมีที่มาจากกิเลส

ใครที่ยังรู้สึกว่าตามหาผู้รู้หรือครูบาอาจารย์ ที่ตอบได้ทุกคำถามที่สงสัยไม่เจอ เป็นเพราะเรายังทำดีไม่มากพอ เหมือนเรายืนอยู่บนบันไดขั้นที่ 5 แล้วการจะได้พบผู้รู้นั้นต้องขึ้นบันไดไปขั้นที่ 100 การขึ้นบันไดต้องอาศัยพลังกุศลเป็นตัวผลักดัน เมื่อเราทำกุศลมากๆ วันหนึ่งเราก็จะได้พบเจอเอง

ในทางกลับกัน ถ้าเราอยู่บันไดขั้นที่ 5 แล้วมีผู้ไม่รู้ ผู้หลงผิดเข้าใจว่าตนเป็นครูบาอาจารย์ อยู่ในบันไดขั้นที่ 3 เมื่อเราเผลอทำอกุศลหรือสิ่งชั่ว ทำสิ่งไม่ดีมากๆ อกุศลก็อาจจะพลักดันให้เราไปเจอกับอาจารย์ที่เป็นผู้มัวเมา หลอกลวง หรือพระอลัชชี พระนอกรีต ก็เป็นได้

การจะตามหาผู้รู้นั้น เพียงแค่ทำกุศลให้ถึงรอบ เมื่อถึงเวลาที่ควรเมื่อไหร่ก็จะได้พบเอง การตั้งจิตโดยไม่ได้ทำกุศลนั้น ก็เหมือนเรายืนอยู่ที่บันไดขั้นที่ 5 แต่เฝ้าฝันว่าจะไปถึงบันไดขั้นที่ 100 โดยที่ไม่ก้าวขาออกไป ดังนั้นในชีวิตนี้คงจะไม่มีวันเจอ

เมื่อไม่เจอก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ เกิดมาตายไปเปล่าๆ หนึ่งชาติ แล้วก็ต้องเกิดมาหลงทางใหม่อีกหนึ่งชาติและเกิดต่อไปอีกหลายชาติ ถ้าจังหวะพอเหมาะวิบากบาปส่งผลก็อาจจะได้ไปเกิดในช่วงกลียุคที่ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐๐ ยามที่พุทธศาสนาสูญสิ้น มีแต่คนบาปเต็มโลก ไม่สามารถทำกุศลได้ มีแต่อกุศล ก็เป็นโอกาสที่คนชั่วจะได้สะสมบาป สะสมอกุศลเพื่อเก็บไว้ทรมานในนรกกันต่อไป

6. แล้วเป็นผู้รู้จริงรึเปล่า

เมื่อเราไปคบคุ้นคบหากับผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นครูบาอาจารย์ อ้างว่าตนนั้นเป็นผู้รู้ อ้างว่ารู้ธรรมของพระพุทธเจ้า อ้างว่าเป็นอรหันต์ อ้างว่าเป็นผู้ไม่กลับมาเกิดอีก

พระพุทธเจ้าท่านไม่สอนให้เชื่ออะไรง่ายๆ ท่านได้ตรัสไว้ในกาลามสูตรว่า อย่าได้เชื่อถือตามที่ได้ยินมา ตามที่เขาเล่ามา ตามที่เป็นข่าวลือ ตามตำเรา ตามที่เดาเอาเอง คาดคะเนเอาเอง นึกคิดเอาเอง อย่าเชื่อเพราะท่านเหล่านั้นคิดตรงกับเรา หรือเพราะเขาดูน่าเชื่อถือ หรือแม้กระทั่งคนผู้นั้นเป็นครูบาอาจารย์ของเราก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ ท่านให้พิจารณาเอาว่าสิ่งนั้นหรือธรรมที่กล่าวอ้างนั้นปฏิบัติแล้วเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าเป็นกุศลก็ปฏิบัติให้เข้าถึงที่สุดแห่งกุศลนั้น แต่ถ้าเป็นอกุศลก็ให้ถอยห่างออกมา

ในสมัยพุทธกาลก็มีพระที่หลงผิดอยู่มาก หลงเข้าใจว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ก็มี ทำให้อัครสาวกต้องคอยตามแก้มิจฉาทิฏฐิกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าในสมัยนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ความเสื่อมของพุทธนั้นได้มาถึงครึ่งทางแล้ว ความหลงผิด ความมัวเมาย่อมจะรุนแรงและขยายตัวมากกว่าในสมัยพุทธกาลอย่างแน่นอน

ถ้าอยากรู้ก็ลองปฏิบัติตามท่านที่เราศรัทธาดู ถ้าทำเต็มที่แล้ว ถามท่านก็แล้ว ยังคงสงสัย ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแล้วก็ยังรู้สึกว่า กิเลสไม่ลด ชีวิตยังเหมือนเดิม ปีที่แล้วชอบกินน้ำอัดลม ปีนี้ก็ยังชอบกินน้ำอัดลมเหมือนเดิม ก็ให้ลองถามท่านดูว่าจะกำจัดความอยากนี้ได้อย่างไร ถ้าเราคอยปรึกษาและทำตามท่านอย่างเต็มที่แล้ว ปฏิบัติไม่มาไม่ไป ไม่เจริญ ก็มีสองอย่าง 1.เรามีวิบากบาปที่จะกั้นไม่ให้เราบรรลุธรรม ให้ทำดีให้มากๆ 2. ท่านไม่ได้รู้จริง … ให้ลองแก้ที่ข้อ 1 ให้เต็มที่ก่อน คือปฏิบัติตามท่านแล้วทำดีให้มากๆ ก็จะรู้เองว่าสุดท้ายคำคอบคืออะไร

7.ไม่ต้องพบสัตบุรุษแล้วบรรลุธรรมได้ไหม?

เราทุกคนไม่ว่าจะเกิดมาอีกสักกี่ครั้งก็จะมีบาปบุญ ภูมิเก่า และกรรมสะสมมาด้วยเสมอ ถ้าหากท่านบำเพ็ญเพียรจนเป็นพระอรหันต์มีหลายภพหลายชาติแล้ว เก็บสะสมปัญญาบารมี สะสมโลกะวิทู คือการรู้โลกนี้(โลกียะ)และโลกหน้า(โลกุตระ)อย่างแจ่มแจ้ง มากพอที่จะทำให้จิตตั้งมั่นว่าจะบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่จำเป็นต้องพบสัตบุรุษในชาตินั้นๆ ดังจะสังเกตได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ได้เองโดยไม่มีใครสอนธรรมะแท้ของพุทธให้กับท่านเลยในชาตินั้น นั่นเกิดมาจากการที่ท่านสะสมบุญบารมีมานานนับ 4 อสงไขย กับแสนมหากัป

ในสมัยนี้ก็มีมาก ที่มีผู้มัวเมา ตีขลุม ตีกิน ทึกทักเอาเอง อวดอ้างเอาเอง ว่าตนนั้นบรรลุธรรมมีบุญบารมีมาก ก็ขอให้ท่านใช้ปัญญาพิจารณากันเอาเองว่าท่านเหล่านั้นมีลักษณะและคุณสมบัติของสัตบุรุษหรือไม่

– – – – – – – – – – – – – – –

25.9.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ทางขึ้นภูเขามีหลายทาง

June 27, 2013 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,732 views 0

เป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้น บางครั้งการได้ยินได้ฟังมาก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจได้หมดเสมอไป เพราะการฟังหรือการได้ยินมาเป็นเพียงการรับรู้ แต่ไม่ใช่ประสบการณ์

ผมเคยได้ยินได้ฟังคำพูดประมาณว่า เส้นทางประสบความสำเร็จในชีวิตมันมีหลายทาง แตกต่างกันไปตามมุมมองของแต่ละคน ผู้นำทางสู่ความสำเร็จก็นำทางต่างกันแล้วแต่ใครจะชอบเดินทางแบบไหน

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะอาจจะเดินมาผิดทาง อาจจะหลงทาง อาจจะติดทางตัน ดังนั้นผู้นำทางในชีวิตจึงมีผลอย่างมากกับการประสบกับความสำเร็จ ปัญหาคือทุกวันนี้เรามีผู้นำทาง หรือการคบบัณฑิต (มงคล ๓๘) หรือยัง ในมุมมองของผมนั้นการประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม จะไปด้วยกัน มันต้องสมดุลกันคืออยู่ตรงกลางไม่โต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง จึงจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ

ทางขึ้นภูเขามีหลายทาง…

มาถึงเรื่องราวในตอนนี้ เป็นเรื่องของการขึ้นภูเขาลูกหนึ่ง ที่ชื่อว่า เขาฝาชี ซึ่งเมื่อต้นปี 56 ผมได้ขึ้นไปมาแล้วรอบหนึ่ง ช่วงนั้นอยู่ในช่วงหน้าหนาว ไม้ยังผลัดใบอยู่ ทุกอย่างดูจะแห้งแล้งมองเห็นอะไรได้ง่ายๆ ไม่ได้ขึ้นยากอะไรมากมาย

ในตอนที่ขึ้นครั้งล่าสุดนี้ผมคิดไว้แล้วว่ามันต้องรกขึ้นแน่นอน เนื่องจากครั้งนี้คือการขึ้นเขาในหน้าฝน มันคงจะลื่นและชื้นขึ้นมากทีเดียว ผมและเพื่อนเดินมาเจอทางที่ดูเหมือนทางขึ้นเขาที่ดูรกทึบ ดูๆแล้วมันรกกว่าเดิมมาก แต่ก็ตัดสินใจขึ้นไปทางนั้นเพราะคิดว่าเป็นทางเดิม แต่เมื่อขึ้นไปเรื่อยกลับพบว่ายิ่งลื่นและชัน เป็นภูเขาที่มีดินคลุม ทำให้การขึ้นยากมาก ซึ่งต้องใช้โคนต้นไม้เป็นที่ค้ำยัน เพราะยืนปกติไม่ได้ มันชันมากๆ ต้องเกาะต้นไม้ไปตลอดเส้นทาง ไหลลงมาบ้าง ค่อนข้างน่ากลัว เพราะถ้าพลาดไหลลื่นลงไปโอกาสบาดเจ็บหรือตายก็มีเหมือนกัน

เราขึ้นมาได้เกือบครึ่งทางและพบว่ามันผิดทาง แต่ก็ไม่สามารถลงไปทางเดิมได้แล้ว เพราะที่ขึ้นมามันชันมากๆ ลงไปต้องอันตรายแน่ ก็เลยเสี่ยงอันตรายปีนขึ้นไปต่อให้ถึงยอดเขา เพื่อที่จะได้เดินลัดเลาะยอดเขาไปซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเดินได้ไหม รู้แค่กลับไปทางเดิมไม่ได้แน่ๆ

ทุกก้าวที่ปีนขึ้นไปเต็มไปด้วยความเสี่ยง เสี่ยงที่จะไหลลงไป เสี่ยงที่ต้นไม้ที่เกาะจะหัก หินที่เหยียบแล้วอาจจะหล่นลงไปพร้อมหิน จำเป็นต้องมีสมาธิสูงมากๆ ในการขึ้นเขาครั้งนี้ สุดท้ายก็มาถึงยอดและพบว่ามันผิดลูกจริงๆ โชคยังดีที่สามารถเดินลัดเลาะยอดเขาไปยังเขาลูกเป้าหมายได้

ไม่น่าเชื่อแม้แต่การขึ้นเขาผิดลูกก็สอนธรรมได้…

ทำให้ผมกลับมามองย้อนไปในชีวิตว่า บางทีการไปถึงเป้าหมาย ถ้าเราไปถูกทางมันก็ง่ายและเสี่ยงน้อยกว่า มีทางมากมายให้ขึ้นเขาแห่งชีวิต เราจะเปิดทางใหม่ที่มันยุ่งยากหรือเดินไปในทางที่มีผู้คนมากมายไปถึงยอดแล้ว สุดท้ายแล้วก็อยู่ที่การเลือกของเรา ผมได้พูดประโยคหนึ่งออกมาตอนไปถึงยอดเขาลูกเป้าหมาย “ทางขึ้นเขามันมีหลายทาง แต่ถ้าฉลาดก็จะมาทางง่าย แต่ถ้าไม่ ก็ไปทางยากๆให้มันลำบากเล่นๆไป

ปัจจัยของเรื่องนี้มันอยู่ที่ “เวลา” หากเรามีเวลามากมาย เราอาจจะสามารถใช้เวลาอันมากมายเหล่านั้นหาทางขึ้นเขาได้หลากหลายเหลี่ยมมุมตามที่เราต้องการ แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะมีเวลาเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเวลาจะหมดเมื่อไหร่ การหาผู้นำทางที่ดี ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าหากใครต้องการขึ้นเขาด้วยตัวเองเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเองก็ตามสะดวก แต่ก็อย่าลืมไปว่าเป้าหมายของชีวิตนี้คืออะไร การมีความสุขระหว่างทางก็ดี สุขเมื่อถึงก็ดี ก็ขอให้เป็นการเดินทางที่มีแต่ความเบิกบานใจแล้วกันนะครับ

สวัสดี

ก่อนถึงวันผลัดใบ

May 7, 2013 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,090 views 0

แนวคิดเล็กๆ ที่มีอยู่ในบล็อกแห่งนี้ก็มาจากหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ผมเคยอ่านเมื่อตอนเฝ้ายายที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ก่อนวันผลัดใบ…

ดังที่เห็นว่าผมใช้ภาพใบไม้แห้ง หรือใบไม้ที่ร่วงหล่นมาเป็นภาพประกอบของบล็อก ซึ่งมันจะช่วยเป็นสัญลักษณ์ย้ำเตือนให้ผมคิดเสมอว่า ทุกอย่างก็ต้องมีวันดับ อย่างใบไม้ที่งอกขึ้นมาแก่และร่วงหล่นไปตามกาลเวลา เป็นเรื่องธรรมดาๆของโลกนี้ ซึ่งมันก็ทำให้ผมได้เข้าใจว่าตัวผมเองก็ไม่ต่างไปจากใบไม้เหมือนกัน นั่นคือมีเกิดและดับไป เมื่อถึงเวลาของมัน

ก่อนวันผลัดใบ

ก่อนวันผลัดใบ หนังสือแสดงเจตนาการจากไปในวาระสุดท้าย

หนังสือสอนใจในวาระสุดท้าย

ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้ไปพร้อมๆ กับการเฝ้ายายที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ความหวังนั้น หวังเพียงแค่ว่ายายจะได้ไปสบาย ผมอ่านไปเรื่อยๆ แบบกระโดดๆ ไปมา หน้านั้นบ้างหน้านี้บ้าง ตามแต่จะเปิดมาหน้าไหน

ผมมีเวลามากพอที่จะได้อ่่านจนจับประเด็นได้ว่า ยังมีมนุษย์ในโลกอีกมากที่เตรียมตัวตายไว้แล้ว แน่นอนซึ่งก็ยังมีอีกมากมายที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะตายเลย ความตายนั้นเข้ามาได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่จากปัจจัยภายนอกก็อาจจะมาจากร่างกายเราก็เป็นได้ หนังสือเล่มนี้ได้บอกเกี่ยวกับสภาวะใกล้ตาย การเตรียมตัวตาย การรับมือกับความตายทั้งในทางโลกและทางธรรม ซึ่งเป็นหนังสือที่อ่านแล้วปลงได้ดีจริงๆ

ถือว่าเป็นบุญของผมที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ถ้ายายไม่ได้ป่วยนอนโรงพยาบาลหลายวันก็คงจะไม่มีโอกาสได้อ่านเป็นแน่ การจากไปบางครั้งก็คงไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป หากมองในทางธรรม ก็เป็นเ็พียงการหมุนวนไปเริ่มต้นใหม่เท่านั้น ดังนั้นผู้ที่สามารถเรียนรู้ได้ทุกๆเวลาแม้กระทั่งการเีรียนรู้จากความตายของผู้อื่นนั้น ผมเชื่อว่าคงเป็นกุศลให้กับผู้จากไปไม่มากก็น้่อยอย่างแน่นอน