Tag: ความยึดมั่นถือมั่น
บทวิเคราะห์ : การกินไม่มีโทษจริงหรือ? การปฏิบัติธรรมให้เกิดความเจริญ สามารถละเว้นเรื่องอาหารการกินได้จริงหรือไม่?

บทวิเคราะห์ : การกินไม่มีโทษจริงหรือ? การปฏิบัติธรรมให้เกิดความเจริญ สามารถละเว้นเรื่องอาหารการกินได้จริงหรือไม่?
ความเห็นที่ว่าการไปยุ่งวุ่นวายกับการกินไม่ใช่เรื่องของนักปฏิบัติธรรมนั้น มักจะเป็นความเห็นที่มีการนำเสนอขึ้นมาในช่วงเทศกาลกินเจ แท้จริงแล้วศาสนาพุทธใส่ใจเรื่องการกินหรือไม่ หรือเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้ที่เข้าใจว่าการกินไม่มีผล เรามาลองศึกษาบทวิเคราะห์กันดู
มีความคิดเห็นของนักปฏิบัติธรรมบางคนที่เห็นว่าการกินนั้นไม่มีผลต่อการปฏิบัติธรรมบ้าง เลือกกินไปก็ไม่ได้ทำให้จิตใจเจริญบ้าง สนใจเรื่องกินก็ไม่บรรลุธรรมบ้าง แต่ในความเป็นจริงนั้น กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการขัดเกลาหนึ่งของผู้ที่บวชในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านี้ “ท่านให้ศึกษาการกินมื้อเดียว”
เปิดเรื่องมาก็เกี่ยวกับเรื่องกินแล้ว การกินมื้อเดียวนั้นอยู่ในจุลศีล ข้อ ๙ เป็นหลักปฏิบัติมาตรฐานในศาสนาพุทธของนักบวชทุกรูปที่พระพุทธเจ้าบวชให้ ถือเป็นศีลต้นกำเนิดของพุทธที่มีมาตั้งแต่แรก เป็นข้อปฏิบัติสู่ความเจริญ ต่างจากพระวินัยที่ถูกบัญญัติขึ้นมาทีหลัง
ท่านยังกำชับไว้ด้วยว่า การกินนี่ต้องประมาณให้ดีนะ (โภชเนมัตตัญญุตา) จะไปสักแต่ว่ากินแล้วกิเลสโตไม่ได้นะ เพราะกินอย่างพุทธคือต้องกินแล้วกิเลสลด กามลด อัตตาก็ลด กามคุณ ๕ เราก็ไม่หลง ความยึดมั่นถือมั่นเราก็ไม่ต้องมี ต้องประมาณให้เกิดความเจริญขึ้นในตน ให้เกิดการชำระกิเลส ให้เกิดกุศล ไม่ใช่แค่กินให้ชีวิตอยู่ไปวันๆ แบบนั้นใครเขาก็ทำกัน เพราะคนจะอยู่ได้ก็ต้องกินอาหารกันทุกคนอยู่แล้ว แต่การจะกินให้เกิดความเจริญนี่มีเฉพาะในพุทธเท่านั้น
พระพุทธเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับเหตุของการเกิดของตัณหา (ตัณหาสูตร) หนึ่งในนั้นคืออาหารที่ได้รับมา นั่นหมายความว่าการกินอาหารทุกวันนี่แหละ จะทำให้เกิดตัณหาได้ แล้วทีนี้คนที่เห็นว่าการกินไม่ใช่เรื่องของนักปฏิบัติธรรม ไม่มีผลต่อความเจริญ ประมาทในอาหาร สุดท้ายตัณหาก็แอบโตกันไปสิ เพราะไม่รู้เหตุของตัณหาว่าเกิดที่ใด พอไปยึดมั่นถือมั่นว่าฉันจะไม่ปฏิบัติเรื่องกิน ก็โดนกิเลสลากไปลงนรกหมด
พอตนเองไม่เท่าทันการเกิดของตัณหาในการกิน แล้วยังไม่ยินดีปฏิบัติธรรมในการกิน ก็เท่ากับเสียโอกาสในการล้างกิเลส เมื่อไม่ได้ตั้งศีลตั้งตบะเพื่อละเว้นอาหารที่จะก่อให้เกิดการกำเริบของตัณหา ถึงจะมีผัสสะแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะ “เมื่อไม่ตั้งใจละเว้นก็ย่อมเท่ากับ เสพกามได้เท่าที่ใจต้องการโดยไม่มีขอบเขต” พอไม่มีขอบเขตก็เลยไม่มีการปฏิบัติใดๆ เกิดขึ้น จึงกลายเป็นการกินเพื่ออยู่ไปวันๆ โดยไม่รู้เท่าทันตัณหา ตัณหานั้นมีอยู่แต่การรู้การมีอยู่ของตัณหาต้องใช้การละเว้นจากสิ่งเหล่านั้นเพื่อที่จะได้เห็นตัณหา(ใช้อธิศีล) เมื่อไม่ยินดีละเว้นหรือปฏิบัติธรรมในเรื่องอาหารก็คือการปล่อยให้ตัณหาโตโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งพระพุทธเจ้าให้ดับปัญหาที่เหตุ การปฏิบัติธรรมนั้นก็เพื่อดับทุกข์ ดับทุกข์ก็ต้องดับที่เหตุ ถ้าอาหารที่ได้มานั้นยังทำให้ตัณหาเกิดอยู่ก็ต้องปฏิบัติกันในเรื่องของอาหาร เพราะตัณหาที่เกิดจากอาหารก็ต้องมาจัดการที่อาหาร จะไปนั่งสมาธิ เดินจงกรมดับมันไม่ได้ ใจมันเกิดความหลงติดหลงยึดในอาหาร ไม่ใช่ว่าขี้เกียจนั่งขี้เกียจเดิน เหตุมันคนละตัวกัน ปัญหาเกิดที่ไหนต้องแก้ที่ตรงนั้น จึงเรียกได้ว่ารู้แจ้งสมุทัย รู้เหตุแห่งทุกข์
ท่านยังตรัสไว้ด้วยว่ากามนี่ให้ละก่อนเลย เพราะกามคือ ข้อปฏิบัติอย่างหยาบช้า (อาคาฬหปฏิปทา) คือ มันชั่วมาก หยาบมาก มีโทษมาก เบียดเบียนมาก ควรละเว้นให้ได้ก่อน คนที่หลงในกามจะมีความเห็นและคำกล่าวดังเช่นว่า “กามไม่มีโทษ” (๒๐,๕๙๖) ดังนั้นผู้ที่เห็นว่ากามไม่มีโทษย่อมตกลงไปในกาม จมสู่กาม มัวเมาในกาม ซึ่งกามในความหมายของพุทธศาสนานั้นกินความกว้างมาก โดยรวมคือการหลงเสพหลงสุข
จะยก “กาม” ที่เกี่ยวกับหัวข้อนี้คือ “กามคุณ ๕ ในอาหาร” เพื่อที่จะชี้ชัดกันว่า ผู้ที่ละเว้นการสำรวมในอาหารการกินนั้นจะมีความเห็นไปทางไหน
กามคุณ ๕ นั้นมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เช่นเดียวกับกับอาหารนั้นก็มีกามคุณ ๕ แบบครบเครื่อง เรียกว่าเป็นกิเลสที่สัมผัสกันได้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่รูปคืออาหารนั้นมีหน้าตาดีไหม น่ากินไหม เพียงแค่เห็นรูปสวยก็อยากกินสิ่งนั้นแล้ว, รสชาติ ของอาหารที่เขาว่าเด็ด ร้านไหนอร่อยต้องไปกิน ร้านไหนไม่อร่อยอยากจะขว้างทิ้ง , กลิ่นที่ยั่วยวนหอมหวาน พัดมาตั้งแต่ไหนทำให้เกิดความอยากกินเพียงแค่สูดกลิ่นเข้าไป, เสียง แค่ได้ยินเสียงผัด เสียงตะหลิวที่โดนกระทะ เสียงผัดดังซู่ซ่าก็ทำให้คิดถึงเมนูที่ชอบใจ เกิดอยากจะกินขึ้นมาทันที , สัมผัส ความกรอบ นุ่ม เย็น ร้อน ฯลฯ ทั้งหลายที่ชวนสัมผัส พากันจ่ายเงินซื้อมากินกันจนหนำใจ
เพียงแค่ยกตัวอย่างเรื่องกามหยาบๆเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า อาหารนี่เป็นเหตุแห่งตัณหาอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้จริงๆ แล้วยังไงล่ะ? ทีนี้คนที่ปฏิบัติธรรมแล้วตีทิ้งอาหารการกิน มองว่าการกินไม่มีผล เห็นว่าปฏิบัติเรื่องการกินไปก็ไม่เจริญ จะเป็นอย่างไร ….เขาก็โดนกิเลสตลบหลังเข้าสักวันนั่นแหละ เพราะประมาทต่อกาม เพราะกามนั้นล่อลวง กามทำให้ลุ่มหลง ทำให้ประมาทตามประสาของกิเลส
อะไรที่มันน่าใคร่น่าเสพคนเขาก็ไม่อยากจะพรากหรอก ก็หาสารพัดข้ออ้างที่แสนจะดูดีเพื่อให้เสพมันทุกวันนั่นแหละ เพราะมีตัณหา ก็เลยมีอุปาทาน แล้วก็จึงมีภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ไม่จบไม่สิ้น
มันจะจบได้อย่างไรในเมื่อตัณหาไม่ได้ถูกจัดการ ปล่อยไว้เป็นขยะหมักหมม เอาไปแอบซ่อนอยู่ในมุมหนึ่งของจิตใจ แม้วันนี้จะไม่เห็นโทษของมัน แต่วันหนึ่งก็จะรู้ได้เองว่ากามนั้นมีโทษมาก กามเป็นภัยมาก พระพุทธเจ้าจึงตรัสแสดงธรรมให้ปฏิบัติโดยลำดับคือให้จัดการกับกามเสียก่อน แล้วค่อยล้างความยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วไปมัวเมาเสพกาม อันนั้นมันวิปริตผิดพุทธ
– – – – – – – – – – – – – – –
13.10.2558
ปลดอาวุธพร้อม!! (เทศกาลเจ)
เข้าใกล้ช่วงเทศกาลเจเข้าไปทุกที จริงๆผมเองจำไม่ได้หรอกนะ เพราะไม่ค่อยสนใจเทศกาลอะไรสักเท่าไหร่
แต่ก็เรียกได้ว่าช่วงเจนี่เป็นช่วงปล่อยของแห่งปีเลยทีเดียว หลอกหลอนกันยิ่งกว่าวันปล่อยผี ผีกาม ผีอัตตา มีมากันเต็มไปหมด
เป็นช่วงเวลาที่หลายๆคนจะได้แสดงภูมิอันยิ่งใหญ่ของตนผ่านการยัดเยียดความรู้เหล่านั้นให้ผู้อื่น และจะดุดันเป็นพิเศษในช่วงปล่อยผีนี่แหละ
ซึ่งก็ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไรเหมือนกัน….. (คนเขาไม่อยากรู้ แล้วไปบอกเขาเรียกว่า…)
สำหรับผู้ที่แสวงหาความผาสุกในชีวิต ต้องการที่จะพ้นทุกข์ ก็แนะนำว่าให้ปลดอาวุธ วางหอก วางดาบ วางอัตตาของตัวเองไว้ แล้วเรียนรู้โลกอย่างที่มันเป็น
ไม่ได้ให้วางเฉยนะ เพียงแค่ให้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองเท่านั้นเอง จะอ่าน จะศึกษา จะแบ่งปันอะไรก็ทำไป แต่อย่าไปแข่งดีเอาชนะ อย่าไปดูถูกดูหมิ่น อย่าไปยกตนข่มใครหรือเถียงกันในพื้นฐานความเห็นที่แตกต่าง เพราะมันเป็นสิ่งที่เสียเวลาเอามากๆ
ฟ้าจะส่งนักรบเข้ามาพิสูจน์ความแข็งแกร่งของจิตใจด้วยลีลาท่าทาง ที่จะทำให้รู้สึกว่า แหม… มันน่าจะหยิบดาบมาฟาดให้หัวหลุดจากบ่าเสียนี่กระไร …แต่ช้าก่อน!!! ถึงจะทำเช่นนั้นไปก็เท่านั้น เพราะการตอบสนองอัตตาด้วยอัตตา ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีสิ่งดีงามอะไรเติบโตขึ้นมาในโลก มีเพียงคนที่จมลงสู่นรกอีกคนเท่านั้นเอง
เผื่อมีคนสงสัย … ถ้าเขาเข้ามาทิ่มแทงเราด้วยวาจา ฟาดฟันเราด้วยหลักฐานอ้างอิงต่างๆ ถ้าไม่สู้แล้วจะให้ทำอะไร?
…ก็ไม่ต้องทำอะไรหรอก ก็รับไปอย่างนั้นแหละ เขาจะฟันจะแทงมายังไงก็รับๆไป ปล่อยให้เขาชนะไป เขาไม่อยากได้อะไรจากเราหรอกนอกจากชัยชนะ เราก็ยอมให้เขาไป เห็นเขาอยากได้ แล้วเราชี้แจงหรือห้ามไม่ได้ก็ปล่อยเขาชนะไปอย่างที่เขาต้องการ
ส่วนเราก็มาตรวจสอบใจเราเองก่อน ว่าเป็นอย่างไร ถูกผิดวางไว้ก่อน เอาใจนี่เป็นหลักเลย จับผีในตัวเองให้ได้ก่อน อย่าไปเสียเวลาจับผีข้างนอก ถ้าใจสงบดีแล้วก็ค่อยมาตรวจสอบข้อมูลว่าที่เขาว่ามันถูกไหม เราแก้ไขส่วนผิดตัวเองได้ก็แก้ อะไรที่มันถูกอยู่แล้วก็คงไว้ เท่านั้นเอง
มะเขือเทศ

มะเขือเทศ
จากเคยชังกลายเป็นชอบ จากที่เคยผลักไสมาตลอดชีวิต วันนี้กลับเป็นสิ่งที่ไม่เคยมองข้าม
สมัยก่อนตอนที่ยังกินเนื้อบ้างกินผักบ้าง จะมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบมากเป็นพิเศษ ขนาดว่าให้กินพร้อมสลัดยังไม่อยากกิน ให้กินพร้อมส้มตำก็ไม่ไหวอีก สิ่งนั้นก็คือมะเขือเทศ
ผมเป็นคนที่สามารถกินพืชผักได้หลายชนิด แต่ยอมรับจริงๆว่ามะเขือเทศเป็นสิ่งที่ไม่ชอบมากที่สุด แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่คุ้นตาแบบที่เห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ก็ยังไม่อยากจะสนิทสนมกับมันอยู่ดี
มะเขือเทศกลายเป็นเหมือนกับเครื่องประดับที่ไม่มีวันได้เข้าปาก เป็นเหมือนส่วนเติมเต็มที่ไม่มีก็ไม่เป็นไร แม้มันจะถูกใส่ลงในต้มยำเพื่อให้รสของมันไปทำให้ต้มยำกลมกล่อม แต่เมื่อคิดถึงรสชาติของมะเขือเทศ คิดถึงจังหวะที่ต้องเคี้ยวมะเขือเทศ เพียงแค่นึกเท่านั้นก็ทำให้รู้สึกขยาดไม่อยากกินมันได้แล้ว
รสเปรี้ยวเป็นรสชาติหนึ่งที่ชีวิตผมไม่ค่อยเกี่ยวข้องด้วย แต่ก่อนตอนจะปรุงก๋วยเตี๋ยวก็จะหนักไปทางหวาน เผ็ด ถ้ามีรสไปทางเปรี้ยวนี่จะไม่ค่อยชอบ จนบางครั้งรู้สึกทุกข์มากกับการกินอะไรเปรี้ยวๆ และยิ่งประกอบกับสัมผัสที่นิ่มๆเละๆ ของมะเขือเทศยิ่งไปกันใหญ่ เป็นสัมผัสที่บอกไม่ถูก รู้แค่ไม่ชอบสัมผัสแบบนี้เอามากๆ ดังนั้นมะเขือเทศเลยกลายเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ผมไม่เอาเลย ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ และไม่ใส่ปากด้วย
…….จนกระทั่งมาศึกษาธรรมะ มาศึกษาการลดกิเลส มาหัดลดเนื้อกินผักอย่างจริงจัง ผมเริ่มรู้สึกว่าตนเองนั้นค่อยๆเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อมะเขือเทศ จากที่เคยไม่ชอบมัน ก็เริ่มกลั้นใจกินมันบ้าง พิจารณาประโยชน์ของมันเพิ่มบ้าง เริ่มมองความจริงตามความเป็นจริงได้ชัดขึ้นทีละนิด
มะเขือเทศเป็นพืชที่หาได้ง่าย ปลูกก็ง่าย ราคาไม่แพง เก็บได้นาน แถมยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย ช่วงหลังเลยพยายามทำตัวเองให้สนิทกับมะเขือเทศมากขึ้นด้วยการประกอบอาหารด้วยมะเขือเทศ กินมะเขือเทศกับอย่างอื่นบ้าง จนกระทั่งสามารถกินมะเขือเทศได้โดยไม่รู้สึกรังเกียจเช่นเดิม
ทุกวันนี้ถ้าเห็นมะเขือเทศ ก็รู้สึกว่ามันเป็นของที่ควรกิน จากที่ไม่เคยสนใจใยดี แต่ทุกวันนี้กลับรู้สึกว่าน่าเสียดายหากมะเขือเทศที่อยู่ในจานส้มตำจะต้องถูกเขี่ยทิ้งไป เรียกว่าจากที่เคยไม่มีค่าในชีวิต ในวันนี้กลับเปลี่ยนมาเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกมองข้าม
แต่ก่อนผมมองว่ามันไม่ใช่อาหาร จึงไม่เป็นมิตร เพราะไม่เห็นประโยชน์ของมัน แต่ในวันนี้เมื่อผมได้ทำลายความยึดมั่นถือมั่น ทำลายอคติลำเอียง ทำลายความชอบหรือไม่ชอบในรสใดรสหนึ่งที่เคยจัดจ้านรุนแรงให้เบาบางลง ผมก็จะเริ่มเห็นคุณค่าของมันตามความเป็นจริง
มะเขือเทศมีคุณค่าในตัวของมันและมีมันอยู่อย่างนั้นมาตั้งนานแล้ว แต่ผมกลับไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นเอง เป็นเพราะผมหลงติดหลงยึดในบางสิ่งบางอย่างจนไม่อยากมองตามความเป็นจริง จึงทำให้มองไม่เห็นคุณค่าของมันตามความเป็นจริง
หากเราสามารถมองให้เห็นความจริงตามความเป็นจริงแล้ว เราก็จะรับรู้ว่าทุกอย่างในโลกนี้มีคุณค่าในตัวของมันเองทั้งหมด มันมีเหตุผลในการก่อกำเนิดของสิ่งนั้นเพื่อสืบเนื่องไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง คือเส้นสายแห่งความสัมพันธ์ที่เชื่อมร้อยรูปและนามเข้าด้วยกันหมุนวนสร้างผลและรับผลต่อเนื่องกันไป เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการหลุดพ้นจากวงเวียนแห่งการเกิดและดับเช่นนี้
– – – – – – – – – – – – – – –
21.8.2558


