แบ่งปันประสบการณ์

ชีวิตจะง่าย เมื่อไม่มีเนื้อสัตว์

February 7, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,636 views 0

ชีวิตจะง่าย เมื่อไม่มีเนื้อสัตว์

ชีวิตที่ตั้งอยู่บนความเรียบง่าย คือชีวิตที่กินใช้อย่างประหยัด พอเพียง ไม่นำสิ่งของหรือส่วนเกินใดๆ ที่ไม่จำเป็น เข้ามาเปลืองพื้นที่ในชีวิต เช่นเดียวกันกับชีวิตที่ไม่มีเนื้อสัตว์ มันช่างเรียบง่าย ประหยัด และยาวนาน

ผมได้ลองใช้ชีวิตอยู่บ้านต่างจังหวัด บ้านของผมอยู่ห่างจากบ้านอื่นๆ ราวสองร้อยเมตร ห่างจากชุมชนใกล้เคียงประมาณหนึ่งกิโลเมตร ที่บ้านยังไม่ได้นำไฟฟ้าจากการไฟฟ้าเข้ามา มีเพียงไฟฟ้าที่ผลิตเองจากแผงโซล่าเซลล์ให้พอใช้สูบน้ำ,เปิดไฟ,ชาร์จโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์พกพาเท่านั้น ดังนั้นการจะหวังว่าจะได้ใช้ทีวี ตู้เย็น พัดลม ฯลฯ ในชีวิตประจำวันก็ลืมไปได้เลย

เมื่อผมได้มาทดลองอยู่อย่างประหยัด เรียบง่าย มีสิ่งอำนวยความสะดวกน้อย จึงมีข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ในการหาสิ่งใดๆก็ตามมาปรนเปรอกิเลส

เนื้อสัตว์ก็เป็นวัตถุอีกชนิดที่มีอิทธิพลต่อจิตใจคนมาก ถึงขนาดว่าขาดกันไม่ได้ เป็นคุณค่า เป็นชีวิตจิตใจสำหรับใครหลายคนกันเลยทีเดียว แต่สำหรับผม เนื้อสัตว์ไม่ได้มีคุณค่าอะไรเลยในชีวิต เป็นเพียงวัตถุแท่งก้อนอ่อนนุ่มที่หากกินเข้าไปแล้ว ย่อยยาก เป็นโทษ เป็นเหตุแห่งโรค สร้างกลิ่นตัว ราคาแพง เน่าเสียง่าย เก็บรักษายาก และอีกหลายๆ ข้อเสียของเนื้อสัตว์เมื่อเทียบกับพืชผัก แม้มันจะทำให้อิ่มท้องและสร้างพลังงานได้ก็ตาม แต่ผมก็ไม่จำเป็นต้องเลือกพลังงานจากแหล่งเหล่านั้น ในเมื่อมีสิ่งที่มีคุณค่าและประโยชน์มากกว่าขายกันอยู่ทั่วไป

หากว่าผมยังหลงติดหลงยึดในเนื้อสัตว์ ผมจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพที่มีข้อจำกัดเช่นนี้ได้ เรื่องแรกคือการจัดเก็บเนื้อสัตว์ มันไม่สามารถวางไว้ในอุณหภูมิห้องได้ เพราะจะทำให้เน่าเสียและมีสัตว์อื่นมากินได้ง่าย ต่างกับผักที่ซื้อมาวางไว้เป็นอาทิตย์ยังคงสภาพเดิมได้ดีอยู่ เช่น ฟักทอง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี มะเขือยาว หอมใหญ่ มันต่างๆ ฯลฯ ถ้าต้องการเสพเนื้อสัตว์เป็นประจำ นั่นหมายถึงต้องมีตู้เย็นหรือสร้างที่เก็บกักความเย็นเพิ่มให้มันวุ่นวายมากกว่าการเก็บผัก นี่คือเริ่มจะฟุ้งเฟ้อสิ้นเปลืองแล้ว

เรื่องที่สองคือหากไม่ได้คำนึงถึงการจัดเก็บ เลือกที่จะออกไปซื้อเนื้อสัตว์ทุกวัน ก็ยังเป็นค่าใช้จ่ายและการเสียพลังงานที่ไม่จำเป็นอยู่ดี เพราะเมื่อเทียบกับผัก ผมสามารถออกไปซื้อผักมาครั้งเดียวอยู่ได้เกือบครึ่งเดือน อย่างต่ำๆก็ หนึ่งสัปดาห์

เรื่องที่สามคือค่าใช้จ่ายต่อหนึ่งมื้อนั้น เนื้อสัตว์ยังไงก็มีค่าใช้จ่ายมากกว่าผัก และเมื่อเทียบมวลต่อน้ำหนัก หนึ่งกิโลกรัมของเนื้อสัตว์นั้นจะได้น้อยกว่ามวลของผัก คือซื้อผักหนึ่งกิโลกรัมจะดูได้เยอะกว่า ซึ่งเมื่อพิจารณาต่อไปอีกว่าการได้มาซึ่งเนื้อสัตว์หนึ่งกิโลกรัมต้องใช้อาหารสัตว์มากมายเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่างจากผัก คือผักหนึ่งกิโลกรัม ก็มีอย่างมากแค่ปุ๋ยกับน้ำเท่านั้น เมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ น้ำก็ต้องกิน พืชผักสัตว์ก็ต้องกิน อาหารเสริมสัตว์ก็ต้องกิน ไหนจะกระบวนการฆ่า ชำแหละอีก มีขั้นตอนยุ่งยากกันมากเลยทีเดียว ผักนี่เก็บมาเอารากล้างน้ำสลัดดินออกเขาก็เอามาขายกันแล้ว

เรื่องที่สี่คือเนื้อสัตว์ ผลิตเองไม่ได้ ถึงจะเลี้ยงเองแต่ชาวพุทธเขาก็จะไม่ฆ่าสัตว์กัน ไม่จ้างวานผู้อื่นฆ่าด้วย และไม่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นหากรับรู้ว่าผู้อื่นฆ่ามาด้วย ดังนั้นแม้จะเลี้ยงสัตว์ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เนื้อสัตว์เป็นผลผลิตทันทีเมื่อใจอยากเสพ คงจะต้องรอให้ฟ้าผ่ามันตาย หรือมันเดินไปโดนรถชนตายเอง หรืออะไรที่ทำให้มันตายของมันเองเท่านั้นถึงจะกินมันได้ , ต่างจากผักที่สามารถปลูกเองได้ โตเมื่อไหร่ก็กินได้ คิดอะไรไม่ออกก็ปลูกผักบุ้ง ปลูกง่ายโตไว และหากมีเวลาก็ปลูกธัญพืช และปลูกข้าวไว้กินเองได้ ผักหลายชนิดยิ่งตัดก็ยิ่งงอกออกมา บ้างก็ปักชำใหม่ได้ บางชนิดเก็บเกี่ยวแล้วก็หว่านใหม่ ได้ผลผลิตไม่จบไม่สิ้น

ถ้าชาวพุทธอยากกินเนื้อสัตว์ก็คงต้องเลี้ยงกันหลายร้อยตัว จะได้มีสัตว์ตายไปตามกรรมบ้างบางเวลา จะได้รอเสพโดยไม่ต้องให้ใครฆ่าเขามากิน แต่พอนึกถึงภาพนั้นก็ดูลำบากยุ่งยากขึ้นมาทันที

เมื่อผมพิจารณาด้วยเหตุปัจจัยดังนี้แล้ว การที่เรายังต้องการเสพเนื้อสัตว์อยู่นั้นจะสร้างความลำบากยุ่งยากให้กับชีวิตอย่างมาก ต้องมีสิ่งต่างๆมาเพิ่มเติมมากกว่าชีวิตที่กินผักเป็นหลัก อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็อยู่ได้สบายโดยไม่ต้องลากสายไฟเข้ามาให้เสียเงินเสียทองผมจึงยังไม่เห็นเลยว่าอะไรที่จะทำให้ชีวิตมันง่ายไปมากกว่าการที่เราไม่ต้องหาเนื้อสัตว์มากินอีก

หรือถ้าผู้ใดจะเห็นต่างก็สามารถเห็นเช่นนั้นได้ เพียงแต่ควรจะต้องอยู่บนเหตุปัจจัยเดียวกัน คือมีสิ่งอำนวยความสะดวกน้อย ถึงจะมีเงินก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปจ่ายเพื่อให้ตนเองได้เสพสมใจ แบบนั้นมันไม่ขัดเกลา การอยู่อย่างขัดเกลาคือมีสิ่งอำนวยความสะดวกพอประมาณ ให้มีแค่พอกินพอใช้ ไม่ให้ฟุ้งเฟ้อ ให้เกิดความเจริญทางจิตวิญญาณ ให้พอเกิดประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น

– – – – – – – – – – – – – – –

26.1.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

จากโลกียะถึงโลกุตระ : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

January 3, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,130 views 2

ได้รับเชิญไปร่วมพูดคุยในรายการ “จากโลกียะถึงโลกุตระ” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนที่เคยสุขตามโลก มาเป็นคนที่พยายามออกจากโลกเดิมๆที่มีกิเลส ในตอนนี้ก็จะพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นมาของ “ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์” ว่าเป็นใคร ทำไมถึงมาเขียนบทความธรรมะ ทำไมถึงหันมาปฏิบัติธรรม รับชมได้ครับ มีทั้งหมด 2 ตอน

– – – – – – – – –

จากโลกียะถึงโลกุตระ คุณดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ ตอน 1

จากโลกียะถึงโลกุตระ คุณดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ ตอน 2

ให้งดเนื้อสัตว์?

December 23, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,359 views 0

ผมไม่เคยบอกสักคำว่าทุกคนต้องงดเนื้อสัตว์ แค่นำเสนอข้อมูลไปแล้วให้ไปพิจารณาเอาเองว่าสมควรไหม? อย่างไร? แล้วก็เลือกกันเอาเอง

พิมพ์บทความเกี่ยวกับเรื่องลดเนื้อกินผักทีไร มีชาวยัดเยียดมาใส่ยศ “สาวกพระเทวทัต” กันทุกทีเลย ผมว่าพวกเขาน่าจะมีปัญหาในการจับใจความและการสรุปความนะ เป็นปัญหาใหญ่ในการสื่อสารเลย

มีบางคนบอกว่าผมพยายามให้คนเลิกกินเนื้อสัตว์ …แต่ผมว่าไม่นะ แค่เผยแพร่ความรู้ไปเท่านั้นแหละ มีของดีเราก็แจกจ่ายกันไป ทำไมต้องโง่ไปหวังผลด้วยล่ะว่ามันจะเกิดดีหรือไม่ดี แค่ทำดีก็พอแล้ว

…ผมไม่เห็นรู้สึกเดือดร้อนเลย ถ้าจะใครกินเนื้อสัตว์หรือไม่กินเนื้อสัตว์ ใครอยากกินก็กิน ไม่อยากก็ไม่ต้องกิน ทุกคนก็รับผิดชอบกรรมของตัวเองไป ทำไมต้องไปเดือดร้อนแทนคนอื่น??

ส่วนคนที่คิดจะมาศึกษาธรรมะ ผมจะบอกว่าถ้าแค่ฐานกินเนื้อสัตว์ ยังทำความเข้าใจไม่ได้ว่าเป็นโทษอย่างไร ไอ้ที่ยากกว่าเช่น กินจืด กินมื้อเดียว โสด ทำงานฟรี ฯลฯ นี่คุณจะไม่สามารถเข้าใจได้เลย

ธรรมะนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาบังคับกันนะ แต่จะเป็นไปตามฐานของแต่ละคน คนที่ทำไม่ได้ก็ไม่ได้ ทำได้ก็ได้ คนที่เบื้องต้นยังไม่ได้ก็หัดขั้นต้นไปก่อน อย่าไปลัดเอาเบื้องปลาย มันไม่มีหรอก มันเฉโกเท่านั้นแหละ

สุดท้ายผมล่ะสงสารคนที่เห็นผิดจับใจ แค่เข้ามาข่มก็สร้างวิบากให้ตัวเองมากพอแล้ว ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยว่าถิ่นนี้เขาคุยเรื่องอะไรกัน บางทีอัตตามันหนา พกความมั่นใจมาเต็มที่สุดท้ายได้กลับบ้านไปคือชั่วกับซวย…คุ้มไหมเนี่ย

………..

ลักษณะที่เจอส่วนใหญ่ คนจะเข้ามาพร้อมชุดความคิดที่สรุปมาแล้ว ว่าต้องเป็นอย่างนั้น ฉันเห็นอย่างนั้น ไม่ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนกันหรอก แค่อยากจะมาสรุปว่าฉันเห็นของฉันแบบนี้ ของเธอผิดและของฉันถูก

บางทีเรื่องที่เอามากล่าวหาก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับบทความก็มี ไม่รู้ไปสุมไฟแค้นมาจากไหน ประเด็นมากมายปนกันมั่วไปหมด หลุดประเด็นหลักมาสร้างประเด็นใหม่ก็มีเหมือนกัน

ทำไมมันต้องเป็นอย่างที่เห็นแล้วเข้าใจด้วยล่ะ สิ่งที่เห็นและเข้าใจมันจะต้องถูกต้องเสมอไปเลยรื้อ~ บางทีก็มาเดาใจกันไปว่าฝืนทน กดข่ม อยากให้คนอื่นเลิกกินเนื้อสัตว์ ฯลฯ มันก็เดากันไปไกล รู้จักคบคุ้นเคยคุยกันรึเปล่าก็ไม่ใช่

จะมาตัดสินกันด้วยเวลาอันสั้นนี่มันไม่ได้หรอกน้า มันต้องดูกันไปนานๆ ศึกษากันไปนานๆ พระพุทธเจ้ายังตรัสไว้เลยว่าเรื่องศีลเรื่องปัญญาจะต้องดูกันนานๆ ไม่ใช่กาลเพียงชั่วครู่ คนมีปัญญารู้ได้ คนไม่มีปัญญาต่อให้นานแค่ไหนก็รู้ไม่ได้ … นี่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆละน้า

แต่นักรบ anti มังฯ เขาก็บุกโจมตีชาวมังฯ ไปเรื่อยๆนั่นแหละ ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่ไปดีขวางหูขวางตา เขาก็เล่นเอาแล้ว ถ้าไม่ดีจริงเขาก็เล่นเราอีก แหม่ คนเราจะมาจับผิดอะไรคนอื่นกันนักกันหนา เรื่องตัวเองไม่ค้นหา ผิดชาวบ้านนี่ล่ะจับกันจังเลย

………..

หลังจากที่พิจารณาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม ผมก็ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจ และเป็นคำตอบที่แลกมาด้วยการเปื้อนซะเยอะเลย

การที่มีคนเข้ามาเห็นต่างนั้นเป็นเรื่องปกติ ซึ่งอันนี้รู้กันอยู่แล้ว แต่มันเกิดจากสาเหตุกิเลสหยุมหยิมประการใดนั้นเป็นสิ่งที่ผมอยากรู้มาก เลยพยายามหาคำตอบอยู่พักใหญ่

ก็ได้ข้อสรุปเป็นว่าเขาก็มาเสพให้สมใจนั่นแหละ อันนี้ภาพกว้างๆ คงไม่ขยายไว้ในที่นี้ คือมาเสพการได้แสดงออก การได้พูด ได้ข่ม ได้แสดงตัวตน ฯลฯ ซึ่งผมเคยคิดว่ามุมนี้เป็นมุมติดดีน่าจะพอแก้ไขกันได้ แต่จริงๆไม่ใช่เลยนะ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนพาลมีการเพ่งโทษเป็นกำลัง หมายถึงถ้ามาแนวเพ่งโทษเมื่อไหร่ก็นั่นแหละคนพาล ซึ่งนี่มันเลวร้ายกว่าสภาพของการติดดีอีกนะ เพราะมันคือติดชั่ว อันนี้ที่ผมประเมินผิดไป

แล้วทีนี้มงคล 38 ข้อแรกท่านให้ห่างไกลคนพาล คือต้องห่างทั้งกาย วาจา ใจ เลย คืออย่าไปสาละวนอยู่กับคนพาล มันจะเปื้อน มันจะเละ และแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก

สรุปว่าถ้ามาแนวๆเพ่งโทษ นี่ก็ให้ปล่อยไปเลย ไม่ต้องข้องแวะ ถือเป็นมงคลในชีวิตครับ (ภาษาฝรั่งว่า don’t feed trolls )

พอรู้แล้วเลยมาแบ่งปันประสบการณ์ให้ร่วมเรียนรู้กันครับ

เงิน 5 บาททำอะไรได้บ้าง?

December 5, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,918 views 0

เงิน 5 บาททำอะไรได้บ้าง?

เงิน 5 บาททำอะไรได้บ้าง?

ผมเคยนึกสงสัยนะว่าเงิน 5 บาทจะใช้ทำอะไรได้ในสมัยนี้ ขบคิดอยู่นาน ทำยังไงหนอให้มันเกิดประโยชน์สูงสุด ซื้ออะไรก็แทบไม่ได้ และถึงจะซื้อได้สิ่งเหล่านั้นก็มักจะไม่มีประโยชน์เท่าไรนัก คำตอบสุดท้ายในใจของผมคือเก็บเงิน 5 บาทนั้นเอาไว้…

จนกระทั่งเมื่อวาน… ผมมีนัดกับเพื่อนและแยกย้ายกันเกือบเที่ยงคืน หลังจากล่ำรากันผมรีบเดินไปขึ้นรถกะป๊อกลับบ้าน เพราะเขาว่ารถจะหมดตอนเที่ยงคืน

โชคยังดีที่ยังเหลือรถอยู่หนึ่งคัน ผมถามคนขับว่าไปถึงสุดซอยหรือไม่ คนขับพยักหน้า ในรถมีหนึ่งป้าและสองวัยรุ่น ทั้งสามดูไม่ได้รู้จักกัน เมื่อขึ้นไปนั่ง ป้าก็บ่นให้คนขับที่นั่งรอคนอยู่นอกรถฟังดังๆ ประมาณว่า “ไหนว่ามีคนขึ้นสองสามคนแล้วรถจะออก ให้นั่งรอนานๆ นี่มันร้อน” สีหน้าของป้าดูหงุดหงิด ไม่เป็นมิตร

คนขับตอบมาว่า “ก็รอพี่น้องเราอีกสักหน่อย เผื่อจะตกหล่น” ผมก็เข้าใจคนขับนะ ว่าการที่มีคนเพิ่มเขาก็ได้เงินด้วย และที่สำคัญ ถ้ารถออกไปแล้วผมคงต้องเสียเงินมากกว่านี้ในการกลับบ้านแน่ๆ ไม่นานนักก็มีหนุ่มนักศึกษาขึ้นมาเพิ่มและรถก็ออก

เมื่อรถออก ผมขยับขาเล็กน้อยเพื่อที่จะนั่งได้มั่นคงมากขึ้น ป้าหยิบสัมภาระที่วางอยู่ใกล้ๆเท้าของผมขึ้นไปมัดไว้กับราวข้างหนึ่ง หน้าตาดูไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก ผมทบทวนตัวเองว่าทำอะไรให้ป้าไม่พอใจหรือไม่ …ก็ไม่นี่

นั่งรถไป ลมเย็นๆเวลาเที่ยงคืนก็พัดไป คนก็ค่อยๆทยอยลงไป เหลือแต่ผมกับป้า…

ป้าถามขึ้นมาว่า “หนูลงสุดซอยใช่ไหม?” ผมก็ตอบว่า “ใช่ครับ” แล้วก็นั่งไปจนสุดซอย ป้าก็บอกถึงแล้ว ผมก็ลงไปจ่ายเงินและเดินต่อไปเพื่อที่จะกลับบ้าน

เดินไปไม่กี่วินาที รถกะป๊อขับไล่หลังมา ตะโกนทักว่าไปไหม จะไปส่งใกล้ๆ ผมเห็นดีด้วยก็ขึ้นไป ป้าที่นั่งอยู่ในรถก็ตะโกนบอกคนขับว่า “สองคน 10 บาทพอเน้อ คนละ 5 บาท” แล้วหันมาบอกผมว่า เดี๋ยวแม่ออกให้ๆ ผมก็ตอบรับว่าขอบคุณครับ

ตอนแรกเราก็นึกว่าเขาใจดีไปส่งฟรี แต่จริงๆป้าเป็นคนจัดแจงให้ เพราะทางที่จะต้องเดินไปนั้นค่อนข้างเปลี่ยว เดินคนเดียวก็คงจะเสียวๆอยู่บ้าง สมัยนี้ถึงเป็นผู้ชายเขาก็ปล้นจี้กันเป็นธรรมดา

ก่อนลงรถ ป้าก็บอกอีกครั้งว่า “เดี๋ยวแม่จ่ายให้เนาะ เดี๋ยวเราเดินต่อไปด้วยกัน” …การแทนตัวว่าแม่ ทำให้ผมนึกถึงสมัยที่ไปเรียนรู้อยู่กับกลุ่มเครือข่ายชาวนาที่จังหวัดยโสธร คนที่นั่นเขาจะแทนตัวว่าพ่อว่าแม่ คือมองทุกคนเหมือนลูกหลาน ก็น่ารักดีนะ เมื่อถึงที่หมาย ผมก็ลงรถและเดินไปยืนรอ ในขณะที่ป้ากำลังจ่ายเงิน

เสร็จแล้วป้าก็เดินถือสัมภาระมา และเดินกันไปต่ออีกราวๆ 15 เมตร ก่อนจะถึงทางแยก ป้าถามว่าเราไปทางไหน เราก็ตอบว่าไปทางนั้น ป้าก็บอกว่าป้าไปทางโน้น ผมก็เลยขอบคุณและลาป้าเดินกลับบ้านต่อไป

แต่ก่อนหน้านี้ผมไม่มีปัญญานะ ว่าเงิน 5 บาทจะทำอะไรที่มีประโยชน์ได้ แต่ป้ากลับใช้เงิน 5 บาทแสดงให้ผมเห็นว่า เงิน 5 บาทนี่มันทำประโยชน์ได้ขนาดนี้เชียวนะ

ป้าก็ดูเป็นชาวบ้านธรรมดา ดูเป็นคนต่างจังหวัดเข้ากรุง ไม่ได้ดูรวยเหมือนป้าคนเมืองทั่วไป แต่กลับสละเงินแม้จะจำนวนไม่มาก แต่ก็เป็นทานที่มีผลให้ผมได้รับความสะดวกและปลอดภัยขึ้น บอกกันตรงๆว่าผมก็คิดไม่ถึงว่า 5 บาทจะสามารถทำประโยชน์ได้ขนาดนี้

ที่สำคัญคือเงิน 5 บาทนี้ไม่ได้ใช้เพื่อตัวเอง ป้าคงเห็นว่าผมจะเดินไปในทางเปลี่ยว ซึ่งคงจะถามคนขับว่าผมจะไปไหน ด้วยความเมตตากรุณาที่มีจึงสามารถใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้

ในตอนแรกป้าอาจจะดูหงุดหงิดเพราะรอรถออกนาน ซึ่งอากาศในรถก็ร้อนอบอ้าว แม้จะเปิดโล่งในทุกทิศก็ตาม แต่เมื่อนั่งไปจนสุดทางป้ากลับเปลี่ยนเป็นอีกคน อาจจะเพราะลมเย็น อาจจะเพราะใกล้ถึงที่หมายแล้ว อาจจะเพราะอะไรก็ตาม

แต่การที่ป้าได้แสดงให้ผมได้เห็นว่า ถ้าเรามีปัญญา เราก็จะใช้เงินแม้เพียงเล็กน้อยสร้างสิ่งที่ดีได้มากมาย นั่นคือประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับผมเลยเชียวล่ะ

คืนนั้นไม่มีรถมอเตอร์ไซค์อยู่ที่วินเพื่อต่อรถเข้าบ้าน ผมกลับดีใจที่ผมจะได้เก็บเงินไว้และเดินกลับบ้านไปแทน เผื่อวันหนึ่งเงินที่ประหยัดไว้ได้ จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นได้แบบป้า

– – – – – – – – – – – – – – –

5.12.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)