Tag: สนองกิเลส
กระแสกิเลส ในสังคมเมือง
วันนี้ได้มีโอกาสได้ไปดูห้างใหม่ย่านพร้อมพงษ์…
ผมเห็นผู้คนจำนวนมาก กับแถวที่ต่อยืดยาวหน้าร้านอาหารที่เขาว่ากันว่าดีหลายร้าน
เป็นบรรยากาศที่แปลกตาเพราะปกติไม่ค่อยได้เข้าเมือง แต่คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอาจจะชินก็ได้ ชินกับการอยู่กับผู้คนจำนวนมาก ชินกับการไหลไปตามกระแสของความอยากที่ใครก็ไม่รู้ได้ชักจูง
ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในท้องทะเลแห่งกิเลสที่เต็มไปด้วยระลอกคลื่นลูกใหญ่ซัดมาตลอด
ผู้ที่ไม่สามารถต้านทานได้ก็จะถูกคลื่นแห่งกิเลสซัดให้จมและหลงวนอยู่ในนั้น “น่าอร่อยจัง ,ร้านนี้เขามีรีวิวไว้ว่าอร่อย,คนเขาต่อคิวฉันก็ต่อคิวบ้าง ,ฉันจะต้องกินจะได้ไม่ตก..trend ฯลฯ”
สิ่งเหล่านี้คือความสุขของพวกเขาอย่างนั้นหรือ?
การได้สนองกิเลสคือความสุขอย่างนั้นจริงๆหรือ?
ไม่ใช่ว่าเพราะมีกิเลสจึงต้องลำบากลำบนเพื่อหามาเสพหรือ?
ความสุขจากเสพมันมากจนทำให้มองไม่เห็นทุกข์เลยหรือ?
การที่ต้องมาคอยเสพเพื่อบรรเทาทุกข์นี้มันดีจริงหรือ?
– – – – – – – – – – – – – – –
4.4.2558
ชีวิตฟุ่มเฟือย

ชีวิตฟุ่มเฟือย
… เมื่อชีวิตที่มีถูกใช้ไปเพื่อสนองกิเลส
ชีวิตในสังคมเมืองปัจจุบันนั้นดูรีบเร่งและกดดัน คงมีไม่น้อยที่ต้องลำบากตั้งแต่เช้า ขึ้นรถสาธารณะที่คนแน่นจนขยับแทบจะไม่ได้ รถติดอยู่นานทั้งที่ลงทุนตื่นเช้า ทำงานอยู่กับความกดดันและน่าเบื่อจนหมดวันก็ต้องหอบชีวิตฝ่ามวลชนผสมรถติดกว่าจะถึงบ้านเพื่อที่จะได้เงินมาดำรงชีวิตและ…สนองกิเลส
เราใช้เงินในการดำรงชีวิตจริงๆไปเท่าไร เราเสียเงินให้กับกิเลสไปเท่าไร หากเราได้ลองทำบัญชีอาจจะพบว่าเรามักจะยินดีเสียเงินให้กับสิ่งฟุ่มเฟือยและไม่จำเป็นในชีวิตมากมาย แน่นอนว่าเรามักจะยอมแลกเงินและความเหนื่อยยากเหล่านั้นไปเพื่อการเสพสุข เรามักจะมีเหตุผลที่ดูดีมากมายในการใช้เงินมาสนองกิเลสตัวเอง เรามักจะปลอบตัวเองว่าไม่ผิดหรอกถ้าฉันจะใช้เงินที่ฉันหามาเพื่อสนองกิเลสของตัวเอง
ชีวิตที่เป็นทาสของกิเลสมันก็ต้องวิ่งวนหาเงิน ทำบาป ทำอกุศลเพื่อไปบำรุงบำเรอกิเลสแบบนี้ เพราะหลงว่าต้องเสพจึงจะเป็นสุข เข้าใจว่าความสุขเกิดได้จากการเสพเท่านั้น กิเลสจะไม่ปล่อยให้เราเข้าใจคำว่า “สุขกว่าเสพ” เป็นเหมือนคำในอุดมคติที่ไม่มีจริง เพราะเห็นกันอยู่เต็มๆตาว่าการกินของที่ชอบ ไปเที่ยวที่ที่อยากไป ได้ของที่ใฝ่ฝันนี่มันรู้สึกสุขอยู่จริงๆ
ความสุขที่ได้รับจากการเสพนั้นเป็นของจริง เกิดขึ้นจริง แต่ไม่ใช่สุขจริง เพราะมันคือ “สุขลวง” เป็นสุขที่กิเลสสร้างขึ้นเพื่อให้เราหลงเสพไปเรื่อยๆ ให้ขยันทำงานหามรุ่งหามค่ำประหยัดอดออมไว้เพื่อสนองกิเลส
เรามาดูลีลาของกิเลสที่สามารถเห็นได้ทั่วไป ซึ่งกลายเป็นเรื่องทั่วไปเสียแล้วหากคนจะยอมรับกิเลสเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แต่กิเลสนั้นทำอะไรกับเราบ้าง ถ้าเราไม่มีกิเลสจะดีอย่างไร ลองมาอ่านกัน
!เนื้อหาหลังจากนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านระมัดระวังความรู้สึกดังเช่นว่า ฉันก็สุขของฉัน, มันเรื่องของฉัน, ความสุขของฉัน, สิทธิของฉัน, คนเราไม่เหมือนกัน, คนอื่นเขาก็ทำกัน, คนเราเกิดมาครั้งเดียวต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม ฯลฯ เพราะความเข้าใจเหล่านี้คือ “กิเลสของฉัน” ทั้งสิ้น ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายระวังอาการกลัวของกิเลส ซึ่งมันจะร้อนตัว ต่อต้าน ไม่ยอมให้เราพิจารณาเรื่องของมัน พึงระวังกันไว้ให้ดี
1). อบายมุข
ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ เหล้า เบียร์ การพนันต่างๆ ล้วนเป็นความอยากที่เป็นภัยมาก ซึ่งจริงๆแล้วชีวิตเราไม่ต้องพึ่งพิงสิ่งเหล่านี้เลย มันไม่จำเป็นเลย แต่เราก็ไปยึดมันมาเป็นของเรา ทำให้ต้องเสียทั้งเงิน เสียเวลา เสียสติ หรือกระทั่งเสียชีวิต เพราะต้องวนเวียนอยู่ในสถานที่และเวลาที่ไม่สมควร
เราใช้เงินจากการทำงานหนักมาเพื่อเสพสิ่งไร้สาระเหล่านี้ นอกจากจะไม่มีประโยชน์ยังเป็นโทษอย่างมาก แต่เรากลับมองแต่ด้านประโยชน์ สูบบุหรี่แล้วโล่ง มีความสุข…แต่คนไม่สูบเขาก็สุขนะ กินเหล้าแล้วสบายใจได้ปลดปล่อย…แต่คนไม่กินเขาก็สบายใจนะ เป็นลักษณะของคนที่ต้องเสพจึงจะเป็นสุข แถมยังหลงไปอีกว่าคนอื่นไม่รู้หรอกว่าสุขเพราะเสพอย่างตนดีอย่างไร กลายเป็นทาสผู้จงรักภักดีต่อกิเลสแม้ว่ามันจะผลาญทรัพย์สิน สุขภาพ เวลา และชีวิตไปก็ตาม
2). สิ่งบันเทิง
การมัวเมาเสพสิ่งบันเทิงนั้นก็เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ไม่ต่างกับอบายมุขเท่าไรนัก เช่นการดูละครน้ำเน่า การดูกีฬา เทศกาลดนตรี ละครเวทีที่นำเสนอเรื่องราวบันเทิงต่างๆ หลงคลั่งไคล้ดารานักแสดง สิ่งเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นในชีวิตเลยสักนิดเดียว ไม่มีสาระอะไร ถึงจะไม่ได้เสพก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นหรือแย่ลง
แต่คนที่หลงมัวเมายึดสิ่งเหล่านี้ไว้จะมีความสุขความทุกข์ไปกับมัน เช่นเชียร์กีฬา พอฝ่ายที่เราเชียร์ทำแต้มได้ก็ดีใจ แต่พอเสียแต้มก็เสียใจ พอเขาทำไม่ถูกใจก็ขุ่นใจ มันหลงเอาตัวไปผูกกับเรื่องเล่นๆแบบนี้ ทั้งหมดนั้นมันเป็นเรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องจริง เขาแข่งกันให้เราดู ให้เราบันเทิง มันเป็นสิ่งบันเทิงใจแบบหนึ่ง เป็นกิเลสแบบหนึ่ง ถึงเขาจะชนะหรือแพ้มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตของเราเลย
ด้วยความที่เราหลงไปยึดมันหนักเข้าจนมัวเมา จึงกลายเป็นการทะเลาะกันระหว่างคนที่ชอบคนละฝ่าย มีการเย้ยหยัน กดดัน ดูถูกกัน ข่มกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลงมัวอย่างมาก จนกระทั่งมีการอวดกัน เอาชนะกัน ทะเลาะกัน ทำร้ายกัน ฆ่ากันก็มีให้เห็นมาแล้ว ซึ่งเป็นความเสียหายที่เกิดจากเรื่องเล่นๆ ไม่มีสาระ จะมีเรื่องเหล่านั้นหรือไม่มีก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตเรา แต่เราก็กิเลสหนา กิเลสเลยพาหาเรื่องเข้าไปเกี่ยวจนได้
3). อาหารการกิน
มีคนมากมายเสียเงินให้กับการกิน กินของเดิมๆก็ไม่พอใจ กิเลสมันไม่ยอม ต้องไปกินของอร่อยที่เขาว่าดีว่ายอด ต่อให้ต่างประเทศก็จะบินตามไปกิน มันหลงในการกินแบบนี้ หลงว่าการติดรสมันสุขมาก จึงยินดีลำบากเอาเงินที่มาจากการทำงานไปสนองกิเลสในเรื่องกิน เริ่มที่จะอยู่เพื่อกิน ไม่ได้กินเพื่ออยู่อีกต่อไป
สิ่งที่เรียกว่า “รสอร่อย” นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คนหลงมัวเมากันมากที่สุด ไม่ว่าจะอาหารหรือเครื่องดื่ม ต่างก็มัวเมาคนด้วยกามคุณ ๕ คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในสมัยนี้ยังไม่พอ ยังล่อเราด้วยโลกธรรม เช่นกินอาหารแพงๆ อาหารหรูๆ อาหารที่คนธรรมดาไม่มีปัญญาจะกิน กลายเป็นคนที่หลงงมงายอยู่กับการกิน ชีวิตมีแต่เรื่องกิน
ทรัพย์ที่หามาก็ไปหมดกับเรื่องกิน ขอให้ได้กินของดี ของที่เขาว่าอร่อย ดูดี มีคุณค่า มีรสนิยม มีประโยชน์ แต่จริงๆจะมีคุณค่าหรือประโยชน์หรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ความอร่อย ดูดีและรสนิยมนี่มันของลวงแน่นอน เป็นกิเลสแท้ๆ
4). ท่องเที่ยว
เป็นที่นิยมของคนในยุคนี้ มักจะเก็บเงินที่ทำงานหามาได้ยากลำบาก แลกกับการไปลำบากที่อื่น เพียงเพื่อจะได้เห็นดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มีหน้าตาต่างไปจากบ้านตัวเอง
บางคนลงทุนไม่มากเที่ยวในประเทศก็ไม่เท่าไหร่ แต่บางคนเที่ยวในประเทศแล้วก็ยังไม่พอใจ มันเสพไม่อิ่ม กิเลสมันบอกไม่ให้พอ มันต้องไปเสพที่บ้านอื่นเมืองอื่นต่อ มันต้องไปที่นั้นที่นี้ กลายเป็นชีวิตเดินตามความฝันของกิเลสไปโดยไม่รู้ตัว เอาเงิน สุขภาพ และความเสี่ยงภัย ไปแลกกับการเสพอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
หลายคนมีข้ออ้างในการเรียนรู้ชีวิต แน่นอนว่าประโยชน์นี้ก็มีอยู่ แต่การเรียนรู้ชีวิตนั้นสามารถทำได้หลากหลาย สุดท้ายถ้าไล่กันจนจนมุมก็จะสรุปว่าชอบท่องเที่ยว จริงๆมันก็ติดเที่ยวนั่นเอง อยากไปเสพรสเสพเหตุการณ์บางอย่างที่แตกต่างออกไปจากที่ตัวเองเคยเสพ กิเลสมันก็อยากแบบนี้แหละ ต่อให้ไปทั่วโลกมันก็ไม่หยุดหรอกมันจะไปนอกโลกต่อแล้วก็กลับมาเจาะรายละเอียดในโลกต่อ วนเวียนไปมาหาเรื่องเที่ยวอยู่แบบนั้นแหละ
5). แต่งตัว
แต่งตัวนี่เป็นความฟุ่มเฟือยที่เป็นภัยอย่างลับๆ ภัยที่มาในรูปของสิ่งที่ดูดี หลายคนใช้เงินที่หามาทุ่มเทไปกับการทำร่างกายและเครื่องนุ่งห่มให้ดูดี ดูเด่น ดูน่าสนใจ เพราะต้องการสนองทั้งอบายมุข กาม โลกธรรม และอัตตาของตัวเอง มันก็เสพทุกอย่างในเวลาเดียวกันนั่นแหละ ติดกิเลสอยู่หลายเหลี่ยมหลายมุมซึ่งก็คงจะไม่ไขกันทั้งหมดในบทความนี้
แม้ว่าเราจะใช้เงินมากมายในการทำให้เกิดความสวยความหล่อความงามเหล่านั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นประโยชน์กับชีวิต ถึงเราจะมองว่าความงามเหล่านั้นจะทำให้ชีวิตง่าย ทำงานสะดวก มีคนมาคบหา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเหล่านั้นจะดี
เมื่อเราแต่งตัวเพิ่มความงาม นั่นหมายถึงเรากำลังเพิ่มกำลังในการกระตุ้นกิเลสผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราไม่แต่งตัวโป๊ เขาคงไม่มองเรา พอเราแต่งโป๊เข้าหน่อยผู้คนก็เข้ามาจีบเราจนต้อนรับกันไม่ทัน นั่นเพราะเราไปกระตุ้นกิเลสเขา ไปทำให้เขาอยากเสพเรา ทีนี้แล้วยังไง? มันก็มีแต่ผีกิเลส มีแต่คนกิเลสหนาเข้ามาเท่านั้นแหละ ความคิดประมาณว่าเข้ามาเยอะๆแล้วคัดนี่มันใช้ไม่ได้นะ เพราะที่มาทั้งหมดนั่นก็พวกกิเลสหนาทั้งหมดนั่นแหละ เพียงแค่แสดงลีลาต่างกัน บางคนก็แอบไว้ บางคนก็เปิดเผย ใช่ว่าจะรู้กันง่ายๆ แต่ที่รู้ได้คือคนดีเขาไม่เข้ามาใกล้หรอก
สรุปก็คือเราฟุ่มเฟือยแต่งตัว ลงทุนไปเสริมความงาม ทั้งหญิงและชายก็มีมุมความงามในแบบของตัวเอง แต่สุดท้ายก็เหมือนกับการเสียเงิน เสียเวลาไปเพื่อลากสิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิตของตัวเองเท่านั้นเอง
6). การสะสม
การใช้เงินที่มีไปเพื่อการสะสม การได้รับนั้น แม้เป็นสิ่งที่สร้างสุขให้เมื่อได้รู้สึกครอบครอง แต่สุดท้ายจะกลายเป็นทุกข์ที่ขังให้หลงวนอยู่ในทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนกับสิ่งเหล่านั้นไม่จบไม่สิ้น
ไม่ว่าเราจะสะสมตุ๊กตา ของชำร่วย ต้นไม้หายาก รถราคาแพง บ้านหลายหลัง ธุรกิจมากมาย รวมไปถึงลูกและคู่ครอง ฯลฯ การเพิ่มจำนวนของสิ่งที่สะสมหมายถึงเงินที่ต้องจ่ายไปและภาระในการดูแลที่มากขึ้น แต่ด้วยความหลง เราก็จะยินดีแลกเงินกับการครอบครองสิ่งเหล่านั้น ขอแค่ให้เรารู้สึกว่าได้มี ได้ครอบครอง แล้วเราก็จะเป็นสุข
เป็นลักษณะของความโลภ ที่ต้องหามาครอบครองจึงจะเป็นสุข แต่ครอบครองชิ้นเดียวก็ไม่พอ พอได้แล้วก็อยากได้มากขึ้น อยากสะสมมากขึ้น อยากได้สิ่งที่ยอดกว่ามาครอบครอง หลงใหลอารมณ์สุขของการได้ครอบครอง ได้มี ได้อวด แม้จะไม่ได้ประกาศก็แอบภูมิใจอยู่ในตนเอง ที่สามารถครอบครองสิ่งเหล่านี้ได้
และเมื่อสะสมมากภาระก็มากและทุกข์ก็จะมากตามไปด้วย ของเสียก็ต้องมาดูแล ของหายก็ต้องหา กลัวใครเขาจะมาขโมยแย่งเอาไป เป็นภาระเป็นทุกข์ให้กระวนกระวายอยู่ตลอดการสะสมนั่นเอง
7). ลาภยศและชื่อเสียง
สมัยนี้คนก็เอาลาภแลกลาภกันมาก เอาแบบหยาบๆก็การพนัน หวย หุ้นต่างๆ ยศก็ใช้เงินซื้อกันได้ ชื่อเสียงก็ใช้เงินแลกมาได้ แต่เมื่อเราแลกสิ่งเหล่านี้มาด้วยความโลภ แลกมาเพื่อที่เราจะได้เสพในลาภ ยศ สรรเสริญที่มากขึ้น นั่นหมายถึงการสะสมบาปและสร้างอกุศลกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ
ในมุมยศและสรรเสริญนี้ อาจจะไม่เห็นภาพเหล่านี้ในชีวิตประจำวันชัดเจนมากนัก แต่ถ้าลองมองให้ใหญ่ขึ้นเป็นในมุมขององค์กร บริษัท ธุรกิจ การลงทุน การเมืองการปกครองก็จะสามารถเห็นภาพเหล่านี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การเอาโลกียทรัพย์ไปแลกสิ่งเหล่านี้ก็เป็นธรรมดาของคนกิเลสหนาที่ยังวนอยู่ในเรื่องโลก เมื่อใช้กิเลสเป็นเป้าหมาย แม้ว่าในตอนแรกจะได้เสพสุข แต่ในท้ายที่สุดก็จะทุกข์ และจะทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการใช้ความโลภและอำนาจที่มีเข้าไปแย่งชิงโลกธรรมนั้นหมายถึงการไปเบียดเบียนผู้อื่น ทำให้เกิดการแย่งชิง แข่งขัน ทำร้ายหรือฆ่ากันได้
เมื่อเรามัวเมาไปกับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเหล่านี้ เราก็จะพยายามรักษาและประคองไม่ให้มันเสื่อม ใช้ทรัพยากรและสิ่งที่มีเข้าไปอุดรูรั่วของความเสื่อม แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องเสื่อม เพราะโลกธรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่สลับหมุนวนสับเปลี่ยนขั้วกันอยู่เสมอ
แม้ว่าโลกธรรมที่ได้มาโดยธรรมเช่น เราเป็นคนดีเขาจึงให้ ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ก็ไม่ได้หมายความสิ่งที่ได้มาโดยธรรมเหล่านี้จะไม่เสื่อมไป แม้เราจะไม่ได้หามาแต่ถ้าเรายึดติดและเสพสุขกับสิ่งเหล่านี้ มันก็จะทำให้เราแสวงหาในวันใดก็วันหนึ่ง
8). อัตตา
จริงๆแล้วการที่คนเราแสวงหาเงิน ทำงานเหนื่อยยากสุดท้ายก็ใช้เงินเหล่านั้นมาสนองกิเลส ก็คือการสนองอัตตาของตัวเองนั่นแหละ เพราะเรามีตัวตนให้ยึดว่าฉันจะต้องเสพสุขแบบนั้น ฉันจะต้องได้อันนี้ ฉันจะต้องเที่ยวแบบนี้ แต่งตัวแบบนี้ กินแบบนี้ ใช้ชีวิตแบบนี้ มันก็เป็นอัตตาทั้งนั้น
อัตตานั้นยังมีการยึดในหลายระดับ ในระดับหยาบๆคือการยึดวัตถุ คน สัตว์ สิ่งของ ระดับกลางก็ยึดจิตที่ปั้นสุขขึ้นมาเอง หลงว่าเสพสิ่งนั้นแล้วมันจะสุข เช่นรสอร่อย รสสุขตอนเชียร์กีฬา ความสุขเมื่อได้เห็นพระอาทิตย์ยามเช้า เป็นความสุขที่จิตของเราปั้นขึ้นมาลวงเราเอง และในระดับละเอียดที่สุดนั้นจะเป็นการเสพสภาพสุขในอรูปภพ เช่นความมีศักดิ์ศรี เกียรติ ความเชื่อ ความเข้าใจ เช่นเข้าใจว่าคนระดับสูงอย่างเราต้องให้ทิปร้านอาหารเสมอ แบบนี้มันก็เป็นอัตตาที่พาเสียเงินได้แบบโง่ๆเหมือนกัน
สรุป
เมื่อเราเข้าใจว่าเรากำลังใช้ชีวิตของเรา ไม่ใช่ให้กิเลสใช้ชีวิตของเรา เราจึงควรพิจารณากิจกรรมส่วนเกินของชีวิตที่จะสร้างภาระและภัยให้กับตัวเอง
การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้หมายถึงการจะต้องเลิกทำงาน ละเว้นหน้าที่แต่อย่างใด หรือหมายเพียงแค่การที่เราเจียดเวลาเสาร์อาทิตย์ไปทำกุศล เข้าวัด ฟังธรรม ศึกษาธรรม สนทนาธรรมเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงการใช้ชีวิตไป ทำงานไป ล้างกิเลสไป สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเราก็ค่อยๆลด ค่อยๆเลิกไปตามกำลังที่ทำไหว
ถ้าเราไม่ถูกกิเลสจูง เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินให้กับกิจกรรมสนองกิเลสเหล่านั้น เพราะแม้ไม่ได้เสพก็ยังเป็นสุขอยู่ เพราะสุขที่มีนั้นสุขกว่าเสพ การทำลายกิเลสจะให้ผลเช่นนี้ คือยินดีที่จะไม่เสพด้วยใจที่เป็นสุข อธิบายแบบนี้ก็คงจะงงกันไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องเร้นลับอะไร เพราะเป็นความจริงที่ปฏิบัติได้จริง ทำได้จริง ไม่ว่าความหลงติดยึดในสิ่งใดก็สามารถชำระล้างได้จริง
เมื่อเราไม่มีกิเลสมาเป็นตัวผลักดัน เราจะใช้ชีวิตอย่างประหยัด มีความสุขเพราะไม่ต้องหาเงินด้วยความโลภ ไม่เอาเงินเป็นเป้าหมาย สามารถเลือกงานได้มากขึ้น ผ่อนคลายมากขึ้น มีเงินเหลือเยอะขึ้น มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น สุขภาพดีขึ้น ชีวิตโดยรวมดีขึ้นเมื่อปราศจากกิเลสไปโดยลำดับ ลดกิเลสได้บ้างก็ลดทุกข์ได้บ้าง ลดกิเลสได้มากก็ทุกข์น้อยมาก ทำลายกิเลสได้หมดเลยก็ไม่ต้องทุกข์จากกิเลสอีกเลย
ในชีวิตที่เราต้องหาเพื่อให้กิเลสกินใช้นี่ยังเรียกว่ามีภาระอยู่มาก แม้จะรู้ว่ากิเลสนั้นสร้างสุขลวงให้เราเสพแต่หลายคนก็กลับยินดีพอใจในรสสุขเพียงแค่นั้น หลงว่าสุขเท่านั้นคือสุขที่เลิศ ทั้งที่จริงมันมีสุขที่มากกว่า มากจนอธิบายไม่ได้
โดยนิยามแล้วเรียกว่า “สุขกว่าเสพ” คือไม่ต้องเสพก็ยังเป็นสุข แถมยังเป็นสุขมากกว่าคนที่ยังเสพ มันเป็นยังไง มันจะดีแค่ไหน มันมีด้วยหรือ โม้หรือเปล่า คิดไปเองรึไม่ ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองปฏิบัติดูเอง เริ่มจากสิ่งหยาบๆเช่นอบายมุข การเที่ยวกลางคืน การท่องเที่ยว ฯลฯ สิ่งที่ทำให้เสียทรัพย์มาก เสียแรงงานมาก เสียเวลามาก เพียงแค่ลดกิเลสเหล่านี้ได้ก็สุขมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าถ้าทำลายกิเลสได้หมดจะสุขขนาดไหน
– – – – – – – – – – – – – – –
18.1.2558
รวยเท่ากับซวย #3

รวยเท่ากับซวย #3
…เมื่อความมั่งคั่งในทางโลก คือความซวยชั่วกัปชั่วกัลป์
คนที่เกิดมาพร้อมกับความรวยนั้นดีจริงหรือ?มีบุญวาสนาเป็นตัวผลักดันจริงหรือ?เรารู้กันหรือยังว่าสิ่งใดเป็นตัวผลักดันให้เกิดความมั่งคั่งตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
สิ่งที่ทำให้คนเกิดมารวยก็คือ “กุศล” กุศลโลกียะแบบชาวบ้านๆนี่แหละ เช่นไปทำทานด้วยเงิน ส่งเสริมคนอื่นด้วยเงิน ช่วยเหลือคนอื่นไว้ด้วยเงินและด้วยปัจจัยอันมาก พอตายแล้วเกิดมาก็แค่ได้รับผลแห่งกุศลที่ตัวเองทำไว้ ไม่ได้เกี่ยวกับบุญแม้แต่น้อย เพราะบุญเป็นเรื่องของการลดกิเลส
ทีนี้พอเกิดมารวยแล้วไม่รู้ที่มาของความรวยนั้นก็จะถล่มใช้เงินเหล่านั้นทำบาป เสพกิเลส เพราะคนรวยนั้นมีศักยภาพที่จะสนองกิเลสมากกว่าคนอื่น สะสมบาปเวรภัยไปเรื่อยๆ เมื่อไปทำทานอย่างไม่มีปัญญารู้เรื่องบุญก็ได้แต่กุศลมาสะสม ทำให้เมื่อตายไปก็จะเกิดมารวยอีก แล้วก็เกิดมาสนองกิเลสอีกหลายภพหลายชาติจนกว่าบาปจะสั่งสมมากพอเป็นวิบาก เป็นผลทำให้เกิดทุกข์ โทษ ภัยในวันใดวันหนึ่ง
เมื่อเกิดทุกข์โทษภัย ทำให้ชีวิตลำบากหรือเกิดในชาติที่ชีวิตลำบากยากจน พอเห็นคนอื่นรวยก็อิจฉาแล้วก็ขยันหาเงินอีก พอมีเงินก็เอาไปทำทานเพื่อกุศล จนรวยขึ้นมาแล้วก็ตาย เกิดมาเสพกุศลตัวเองรวยไปอีกชาติ ก็วนเวียนจนๆรวยๆอยู่เช่นนี้ วนอยู่ในโลกแบบนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์
….เกิดมารวยมันก็เท่านั้น
เกิดมารวยมันก็เท่านั้นเอง มันไม่ได้ยืนยันว่าจะเป็นสุขมากกว่าเด็กชาวเขาที่วิ่งเล่นกันทุกวันโดยไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องเรียนพิเศษ ไม่ต้องแต่งตัวเรียบร้อย ไม่ต้องมีมารยาท ถ้าหากเราใช้เงินและความมั่งคั่งมาเป็นตัววัดความสุข เรากำลังมีความเห็นผิดอย่างรุนแรง เพราะเงินเป็นเพียงปัจจัยอำนวยความสะดวกแต่ซื้อความสุขไม่ได้
มีคนมากมายที่ไม่มีโอกาสสัมผัสกับความร่ำรวยแต่ก็ยังมีความสุขในชีวิตประจำวัน มีความสบายใจที่ไม่ต้องแบกภาระแบกกิเลสอันมากมายของเงิน แบบนี้สิเขาเรียกว่ามีบุญวาสนาบารมี เพราะเขามีการลดกิเลสมาอยู่แล้ว เขาสามารถมีความสุขได้ทั้งๆที่ไม่มีเงินมากมาย เพราะกิเลสเขาน้อย ชีวิตจึงไม่จำเป็นต้องลำบากหาเงินจำนวนมากเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าให้มันลำบากกาย ลำบากใจ เพราะไม่มีกิเลสหรือพลังแห่งบาปเป็นแรงผลักดัน
…รวยไม่ได้หมายความว่าทำบุญได้มากกว่า
การที่เรารวยไม่ได้หมายความว่าเราจะมีศักยภาพในการทำบุญมากกว่าคนอื่น การทำบุญหรือการลดกิเลสนั้นทุกคนไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ยากจนหรือรวย ก็สามารถที่จะเรียนรู้เรื่องลดกิเลสได้เหมือนกัน ในส่วนการทำกุศลเช่นนำเงินจำนวนมากไปบริจาคสร้างสถานที่หรือสนับสนุนโครงการต่างๆ นั้นก็เป็นกุศลอยู่บ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าคนจนจะทำกุศลไม่ได้ เพราะมีคนจนหลายคน ที่สร้างตัวเองให้เป็นนักสร้างแรงบันดาลใจ ทำให้ทุกคนสร้างความดี ทำให้คนในชุมชนทำดี แบบนี้มันกุศลมากกว่า เพราะความดีมันเกิดในจิตใจคน ไม่ใช่เพียงวัตถุสิ่งของ
เห็นไหมว่าการทำกุศลไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลย เงินจะเป็นปัจจัยที่ด้อยค่าด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับการทำความดีของคน ดังจะเห็นได้ว่ามีคนนำเงินไปบริจาคให้กับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจำนวนมากนั่นเพราะเขาเห็นว่าผู้ปฏิบัติดีเหล่านั้นจะสามารถใช้เงินให้เกิดประโยชน์ได้มากกว่าเขา นั่นเป็นเพราะว่าความดีในจิตใจของคนนั้นมีแค่เหนือเงินนั่นเอง
….คนรวยติดสุข
ความรวยนี่เองที่จะทำให้เราอยู่กับทุกข์ชั่วกาลนาน เพราะคนที่รวยจะติดสุข ติดไปกับโลกธรรมอยู่เรื่อยไป จะไม่มีวันเห็นทุกข์ในโลกธรรม เพราะตัวเองนั้นยังติดสุขอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ ที่เกิดจากความรวยของตน ชีวิตก็ติดอยู่ในภพของเทวดา มีคนหาของมาบำเรอ อยากได้อะไรก็หาได้ กลายเป็นเทวดาในร่างคน ติดภพ ติดสุข อยู่เช่นนี้ กอดความรวยของตนเองไว้หลงว่าเป็นสุข หลงว่าเป็นบุญ ทั้งๆที่เป็นเพียงกุศลหรือผลของความดีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับบุญ
คนที่เกิดมารวยหรือคนที่พยายามจะรวยนั้น โดยมากจะมีกิเลสหรือพรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณอยู่เสมอ ใช้ชีวิตบำเรอกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอยู่ไม่ขาด ไปที่ไหนก็ต้องกินดี ไปที่ไหนก็ต้องนอนดี อยู่ในที่ดีๆ ติดสุขอยู่แบบนี้ ยินดีในความรวยอยู่แบบนี้ จิตจึงตั้งมั่นอยู่ในความรวย แล้วพยายามสร้างกุศลให้ตัวเองได้เกิดมารวยอีกต่อไปเรื่อยๆ
เมื่อมีความติดสุขก็ย่อมไม่เห็นทุกข์ เมื่อไม่เห็นทุกข์ก็ไม่มีทางเห็นธรรม คนที่รวยมากๆจะเข้าถึงธรรมได้ค่อนข้างยาก จะเข้าถึงก็ได้แค่เพียงวัด แค่พระ แต่จะไม่เข้าถึงใจที่เป็นทุกข์จริงๆ การที่เราจะบรรลุธรรมได้นั้นเราต้องไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ในกิเลสด้านใดด้านหนึ่ง แต่คนรวยจะไม่ยอมทุกข์เพราะว่าตนเองติดสุข จะให้ไปทุกข์นั้นเขาจะไม่เอา แต่ถ้าให้ไปทำกิจกรรมในวัดที่เสริมโลกธรรมอันนี้จะชอบ เช่นแต่งชุดขาวเป็นประธานกฐิน ออกหน้าออกตาในสังคม อันนี้มันก็เป็นกุศลที่อาจจะปนบาปไปด้วยเช่นกัน
….ความซวยชั่วกัปชั่วกัลป์
ความหลงติดในความรวย ในความสุขสบายนี้เอง จะทำให้เราหลงติดอยู่ในโลกนี้ ไม่ยอมสละไม่ยอมทิ้ง คนที่ยอมสละได้ทิ้งได้ย่อมเป็นคนมีบุญเป็นอันมากและเมื่อทิ้งแล้วย่อมไม่ใช่คนรวย ดังเช่นพระพุทธเจ้าที่ทรงสละทุกอย่างมาออกบวช แม้รองเท้าก็ไม่เอาเป็นอดีตคนรวยที่สละทุกสิ่งเพื่อสิ่งที่ดีกว่า
ถ้าท่านยังคงติดอยู่ในราชสมบัติติดอยู่ในความสบายก็คงจะไม่มีคำสอนเรื่องธรรมะมาถึงพวกเราจนถึงทุกวันนี้ คนรวยในปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน หากยังหลงในความรวยอยู่ ยังยึดติดว่าต้องรวยก่อนจึงจะทำกุศลได้อยู่ ยังมีความเห็นผิดเป็นอันมากอยู่ ก็จะกอดเก็บและสะสมความรวยนั้นไว้ สร้างบาป เวร ภัยต่อตัวเอง เป็นคนขี้โลภที่กอดกิเลสไว้ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมสละความรวย ไม่ยอมจน คนที่จะพ้นทุกข์ได้ไม่ใช่คนรวย พระพุทธเจ้าท่านก็ทำให้ดูแล้ว แต่ต้องเป็นคนจน จนขนาดที่ว่าแทบไม่มีอะไรเป็นของตัวของตนเลย มีเพียงแค่บาตร จีวรและเครื่องบริขารอีกเล็กน้อยไว้ดำรงชีพเท่านั้นจึงจะทำให้ชีวิตเบา
เพราะยิ่งรวยก็ยิ่งต้องแบกภาระ ก็ยิ่งต้องหนัก แต่พอจนมันไม่ต้องแบกไม่ต้องรับผิดชอบ ที่จริงคนรวยนี่เองคือคนที่ติดสุข ติดกิเลส ติดสะดวกสบาย ก็เลยหากาม หาโลกธรรมมาบำเรอตัวเองจนรวยเพื่อที่จะได้เสพความสบายวนเวียนไปอยู่เช่นนี้ติดภพติดสุขอยู่ในโลกไปเช่นนี้อย่างไม่มีวันจบสิ้น
– – – – – – – – – – – – – – –
15.12.2557
รวยเท่ากับซวย #1

รวยเท่ากับซวย #1
…เมื่อความร่ำรวย ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขและโชคดีเสมอไป
การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมยุคทุนนิยมในปัจจุบัน ผู้คนต่างก็พากันใฝ่หาความมั่งคั่งร่ำรวยเป็นเป้าหมายตั้งแต่เกิดไปจนตายว่าต้องร่ำรวยจึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นภารกิจที่ผูกมัดให้เราต้องแสวงหา ไขว่คว้าเพียงเพื่อจะร่ำรวย
แล้วเราร่ำรวยไปทำไม? เป็นคำถามที่ดูตลกสิ้นดี คำตอบนั้นมีมากมายรองรับไว้ตั้งแต่เราเกิดมาแล้ว เช่น จะได้สบาย จะได้กินใช้ตามต้องการ จะได้ไม่ลำบากตอนแก่ฯลฯ
แล้วเราต้องร่ำรวยขนาดไหน? มาถึงคำถามนี้หลายคนก็จะเริ่มตอบตามฐานะ ตามฝันของแต่ละคน เช่นตอนนี้ยังไม่ได้ล้านก็เอาล้านก่อน ได้ล้านมาแล้วแต่เดี๋ยวจะเอาสิบล้านว่าจะพอ พอได้สิบล้านเห็นเป้าร้อยล้านว่าจะคว้ามาก่อน สรุปง่ายๆว่าหาเท่าที่กิเลสจะนำพานั่นแหละ
….ความมั่งคั่งกับกิเลส
ขึ้นชื่อว่ากิเลสนี่มันไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีขอบเขตและมันไกลออกไปเป็นอนันต์ การได้มาซึ่งเงินหรือความมั่งคั่งเป็นเพียงแค่ฉากหน้า แต่กิเลสที่มีทั้งอบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา นั้นเป็นฉากหลังที่ยิ่งใหญ่และอลังการ ไม่มีวันที่คนจะพอใจกับการสนองกิเลสด้วยเงิน มันไม่มีวันจบสิ้นแม้จะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เงินคืออสรพิษ” แต่ถึงอย่างนั้นศาสนาพุทธก็ไม่ได้ปฏิเสธความมั่งคั่งที่มาโดยธรรม เพียงแค่ให้รู้จักบริหารความมั่งคั่งเพราะถ้าสะสมมากเกินไปมันจะกลายเป็นพิษ ดังเช่นในฐานของศีล ๑๐ ก็จะมีเรื่องของเงินเข้ามาอย่างชัดเจน นั่นหมายถึงถ้าอยากให้ชีวิตมีความสุขก็อย่าไปยุ่งกับเงินมากนัก
ถึงกระนั้นก็ตามในฐานของศีล ๑๐ นั้นเป็นฐานะที่สูงมาก การจะมาถึงได้ต้องลดกิเลสมาตามลำดับจากศีล ๕ ศีล ๘ จนมั่นใจว่าถือศีลได้อย่างปกติเสียก่อนจึงจะขยับฐานมาศีล ๑๐ ไม่ใช่ว่าเห็นว่าศีล ๑๐ ดีแล้วจะเลิกรับเงินทุกอย่างแล้วทำตัวยากจนต้องทนทุกข์ทรมานจากกิเลส อยากได้ อยากมี อยากกิน อย่างคนอื่นเขาแต่อดไว้เพราะถือศีล อันนี้ก็เรียกว่าถือศีลไม่เหมาะสมตามฐานะ
ความเป็นพิษของความมั่งคั่งนั้นก็คือการเสพอย่างเกินพอดี คิดเพียงแค่ว่าตนหามาได้มากก็มีสิทธิ์ใช้มาก แปลกันตรงตัวก็คือหาเงินได้มากก็เอามาสนองกิเลสได้มาก สนองกิเลสมากมันก็บาปมาก ทางไปนรก(ความเดือดเนื้อร้อนใจ) ก็เปิดกว้างมากเช่นกัน
….รวยแล้วมันซวยยังไง
หลายคนอาจจะบอกว่ารวยก่อนถึงจะดี ในบทความนี้เราไม่ได้ปฏิเสธเงินเสียทีเดียว แต่เราปฏิเสธความรวยซึ่งหมายถึงการมีเกินพอดี คำว่ารวยนั้นแสดงถึงสภาพเหลือกินเหลือใช้ นั่นก็แสดงถึงความล้น ความเฟ้อ ความไม่พอดีอยู่แล้ว
ทีนี้เมื่อเรามีมาก เราก็อยากใช้มาก เพราะกิเลสเราโตตามไปพร้อมกับเงินด้วย สมมุติว่ามีคนคนหนึ่งตอนเขาจน เขากินข้าวจานละ 50 บาทก็ยังว่าแพง แต่ตอนเขารวย กินอาหารมื้อกลางวันมื้อเดียว 1,000 บาทก็ยังว่าคุ้มค่า ดูสิกิเลสมันหลอกได้ถึงขนาดนี้ มันเอารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสมาหลอกขายเขา เขาก็หลงเชื่อเห็นไหม ตอนเขาจนเขายังฉลาดกว่าตอนรวยเลยนะ เพราะเห็นว่าของที่คนรวยกินเข้าไปนั้นมันทั้งแพงทั้งน้อย แม้อร่อยแต่ก็ไม่คุ้มค่าเงิน คนรวยเขากล้ากินได้ยังไง ตอนจนมันจะเห็นคุณค่าเงิน 50 บาทว่ามาก จึงใช้เงินอย่างประหยัด แต่พอตอนเขารวยนี่มันกินได้หมดเลยนะ มันไม่ต้องคิดอะไรเพราะมันจ่ายได้หมด มันเห็นคุณค่าเงิน 1,000 บาทว่าน้อย เห็นไหมมันเริ่มโง่แล้ว
ค่าอาหารที่แพงขึ้นไปคือราคาของกิเลส ราคาของกามคุณที่เขาแต่งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ราคาของโลกธรรมที่เขายกยอปอปั้นว่าดีว่ายอด ราคาของอัตตาที่เราหลงไปให้คุณค่าว่ามันดี ราคาที่จ่ายไปนี่คือค่ากิเลสล้วนๆ คือความโง่บริสุทธิ์บนความรวยนี่เอง ถ้าได้ลองล้างกิเลสเรื่องอาหารจนหมดจะพบความจริงว่า ทั้งหมดนี้มันก็เท่านั้นเอง ข้าวมื้อละ 1,000 บาทกับมื้อละ 50 บาท มันก็อิ่มเท่ากัน ก็เท่านั้นเอง
การใช้เงินเป็นนี่ไม่ได้หมายความว่าใช้เงินตามฐานะอย่างที่เข้าใจกันเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการใช้เงินอย่างพอเหมาะพอควรให้เหมาะสมกับสิ่งที่จ่ายเงินซื้อไป ดังเช่นเรื่องที่ยกตัวอย่างนั้น คนเรากินเพื่อดำรงชีวิตอยู่แต่คนมีกิเลสนั้นดำรงชีวิตอยู่เพื่อกิน จึงต้องเสียเงินมากมายให้กับการกินที่สิ้นเปลือง ซึ่งก็มักจะมีคำพูดที่ดูดีเหตุผลที่สวยหรูจากกิเลสมารองรับ
ในมุมของความเป็นภัยนี่ก็มาก ความรวยจะเรียกคนที่ไม่จริงใจเข้ามาใกล้กับชีวิตเราเยอะมาก มีการฆ่ากันเพราะความรวยกันมาก็เยอะ คดีดังๆก็มีให้เห็นหลายคดีจนมีคำถามว่ารวยแล้วยังไง? สุดท้ายก็โดนเขาฆ่าแล้วเอาเงินไปใช้ มันตายเพราะความรวยแท้ๆ
ความรวยยังเป็นภัยในมุมของการบริหารงาน เช่นหากประเทศอยู่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำสุดขีด เรามีโรงงานอยู่ซึ่งต้องแบกรับค่าใช้จ่ายรายเดือนสูงมาก เราบริหารไม่ผิดพลาดตามหลักการเลยนะ แต่สุดท้ายการเงินฝืดเคืองจนจำเป็นต้องลดสวัสดิการบางอย่างของพนักงาน แล้วเราดันรวย มีภาพรวยติดอยู่ในใจพนักงาน คือมีดีแค่ความรวยนี่แหละ เรื่องอื่นไม่ค่อยเด่น เพราะวันๆเอาแต่ทำตัวรวย ขับรถหรูไปกินอาหารแพงๆ เขาก็จะจ้องเราเหมือนกับฝูงหมาป่าจ้องลูกแกะนั่นแหละ ส่วนจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ลองจินตนาการกันดูว่าถ้าบริษัทที่เรากำลังทำงานถูกลดสวัสดิการ ลดเงินเดือน แต่ผู้บริหารยังใช้ชีวิตหรูหราตามปกติ เราจะรู้สึกอย่างไร
คนรวยที่เก็บกักทรัพย์ไว้ไม่สละออกนั้นก็ยากที่จะพบกับความสุข ในฆราวาสธรรม ๔ คือธรรมของผู้ครองเรือน ก็มี “จาคะ” หมายถึงการเสียสละแบ่งปัน ซึ่งจะใช้ลดความยึดมั่นถือมั่น ความตระหนี่ถี่เหนียวของของรวยนี้เอง
เมื่อมีทรัพย์แต่ไม่ได้บริหารทรัพย์ให้ไปเป็นไปในทางกุศล ไม่ได้ทำให้เกิดบุญ แต่นำไปสนองตัณหา นำไปเสพที่กิเลสสั่งนั้นก็จะกลายเป็นบาป นั่นหมายถึงว่ายิ่งรวยก็จะยิ่งมีศักยภาพในการทำบาปสูงเท่านั้น นำมาซึ่งสิ่งอกุศลมากมาย
….การบริหารความรวยไม่ให้ซวย
ในสมัยพุทธกาลนั้นก็มีเศรษฐีมากมายที่ทำทาน เปิดโรงทาน แจกของแจกอาหารทุกวัน ซึ่งเป็นลักษณะของผู้ศรัทธาในการทำทาน เป็นการบริหารทรัพย์ที่มีมากให้เกิดประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่เกิดบุญกุศลเท่านั้น ยังสามารถทำให้ตนเองนั้นพ้นภัยไปได้ด้วย
ยกตัวอย่างในยุคนี้เช่นกรณีของบิล เกตส์เมื่อครั้งหนึ่งเคยมีปัญหาที่ทำให้ชื่อเสียงและความมั่นคงในชีวิตตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย เขาได้ใช้การบริจาคเงินตั้งมูลนิธิขึ้นมาและผ่านพ้นวิกฤตินั้นไปได้ ด้วยผลแห่งการทำทานนั้นเอง
ในกรณีเช่นนี้ ถ้าตามหลักของ CSR (Corporate Social Responsibility : ความรับผิดชอบต่อสังคม)ก็ยังเป็นระดับปลายเหตุ เหมือนกับที่บริษัทยักษ์ใหญ่มากมายถล่มทรัพยากรธรรมชาติ กดขี่พนักงาน ลดคุณภาพสินค้า ขายสินค้าราคาแพง สุดท้ายเอารายได้ส่วนหนึ่งมาจัดกิจกรรมสังคมให้ดูดีหรือกลบเกลื่อนชื่อเสียงที่ไม่ดี ไม่ใช่ทานที่ให้ตั้งแต่เริ่มกระบวนการผลิตหรือตั้งแต่ต้นสายปลายเหตุ แต่ก็ยังถือว่าเป็นการบริหารความรวยไม่ให้ซวยได้ระดับหนึ่ง
ซึ่งในกรณีนี้ถ้าเราสมมุติกิจกรรมเป็น 10 ส่วน ทำบาปทำอกุศลไปซะ 9 ส่วน ทำดีเอากำไรมาทำทานเสีย 1 ส่วน มันก็ดูดีใช่ไหม แต่มันจะทานพลังบาปอกุศลของ 9 ส่วนนั้นไม่ได้นานหรอก วันหนึ่งหากยังไม่หยุดเอาเปรียบลูกค้า พนักงาน สังคมสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ได้มาซึ่งกำไร ก็ไม่มีทางจะต้านผลแห่งบาปที่ทำสะสมไว้ได้ สุดท้ายก็ซวยอยู่ดี
การบริหารความรวยที่ดีที่สุดคือการไม่รวย หรือการไม่ปล่อยให้ตนเองรวยจนถึงขีดที่เป็นภัย มีเท่าไหร่ก็ขจัดออก ปัดออก ยกตัวอย่างของประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก “โฮเซ มูฮิกา” ที่มอบรายได้ต่อเดือนของตนกว่า 90% ให้กับการกุศล โดยใช้ชีวิตอย่างพอเพียงอยู่ในบ้านไร่ของเขากับภรรยา เรียกได้ว่าเป็นการบริหารความรวยอย่างชาญฉลาด เพราะนอกจากปัดภัยจากเงินที่จะเข้ามาหาตัวแล้ว ยังสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นด้วย
ในทางพุทธศาสนายังมีวิธีการบริหารที่ดีกว่านั้น คือทำงานฟรี คือไม่รับความรวยไว้ตั้งแต่แรกเลย เมื่อไม่ได้รับมาก็ไม่ต้องมานั่งบริหาร ไม่ต้องมาคอยลำบากเพราะความรวย และใช้การบริหารชีวิตและสังคมด้วยระบบสาธารณโภคี คือใช้ของส่วนกลาง ไม่มีของส่วนตัว พึ่งพาอาศัยกัน เลี้ยงดูกันและกัน สร้างประโยชน์แก่กันและกันแบบฟรีๆ
….การบริหารความรวยที่ผิด
ลองมายกตัวอย่างการบริหารความรวยที่ผิดบ้าง มีตัวอย่างมากมายให้เห็นเช่น ในระดับทั่วไป คนที่มีเงินมีทองก็สวมใส่ทอง เอาเงินมากมายใส่กระเป๋าด้วยความอยากแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนรวย ทีนี้พอเตะตาบางคนที่เขามีความโลภมากๆเข้าก็มักจะเกิดการกระชากสร้อย ปล้นจี้ ขโมย อันนี้เป็นระดับชาวบ้านทั่วๆไป
ลองขยับขึ้นมาเป็นเรื่องของที่อยู่อาศัยบ้าง คนรวยก็มักจะตกแต่งบ้านประดับบ้านด้วยสิ่งของราคาแพง บ้านจะใหญ่และโดดเด่นกว่าคนอื่น เพราะคนรวยที่หลงเมาในกิเลสก็จะพยายามทำตัวให้คนอื่นรู้ว่าตนรวย ทีนี้พอโดดเด่นก็จะเป็นเป้าสายตา แล้วก็จะกลายเป็นเป้าหมายของโจรเข้าในวันใดวันหนึ่ง ความสูญเสียทรัพย์สินหรือชีวิตก็จะตามมา
ลองเปลี่ยนมาเป็นการบริหารงานบ้างดังเช่นกิจการที่มีการเติบโต ผู้บริหารจึงขยายกิจการออกไปเพื่อหวังกำไรให้มากขึ้น แต่เมื่อมีสาขามากขึ้นภาระก็มากขึ้น ต้องทำยอดขายมากขึ้น ปัญหาก็มากขึ้น ทั้งที่ชีวิตจริงๆก็ดีอยู่แล้ว แทนที่จะนำทรัพยากรมาพัฒนาสวัสดิการภายในต่างๆให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่กลับขยายให้ใหญ่แต่มีคุณภาพแบบทั่วๆไป เป็นลักษณะการบริหารความรวยที่ผิดที่เห็นได้โดยทั่วไปลองคิดดูก็ได้หากบริษัทจะบอกกับคุณว่าปีนี้ไม่มีโบนัสเพราะบริษัทจะนำเงินไปลงทุนขยายกิจการ จะรู้สึกอย่างไร
ลองมาดูในมุมของการบริหารเงินกันบ้าง หลายคนเอาเงินไปลงทุนในธุรกิจต่างๆที่มีความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่นลงทุนในตลาดหุ้นในลักษณะระยะสั้น สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า ซึ่งมีการแปรผันอย่างรวดเร็วและคาดเดาผลได้ยาก และแม้จะใช้คำว่า “การลงทุน” แต่ก็มีคุณสมบัติเหมือนการพนันอย่างไม่ผิดเพี้ยน คือมีการลงทุนและหวังให้ทุนเพิ่มมากกว่าที่ลงโดยมีโอกาสลดลงเช่นกัน ไม่ต่างอะไรกับการเล่นพนันอื่นๆ เพียงแค่ใช้ข้อมูลทางผลประกอบการและเศรษฐกิจเป็นตัวอ้างอิงที่ใช้เล่นกันไม่ต่างกับลูกเต๋าหรือไพ่ เมื่อเป็นการพนันจึงกลายเป็นการบริหารความรวยที่มีผิดไปจากทางที่ควรจะเป็นกุศล
การบริหารความรวยที่ผิดนั้นไม่ได้มาจากเหตุอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็มาจากโลกธรรม คือความโลภ ความอยากได้การชื่นชม อยากให้มีคนยอมรับ อยากอยู่ในตำแหน่งสูงสุด อยากมีความสุข สนองอัตตา ก็เพียงแค่นั้น
….การประกอบอาชีพอย่างพุทธ
การได้มาซึ่งความร่ำรวยนั้นต้องไม่ได้มาจากการพนัน การขโมย การแย่งชิง การเอาเปรียบ ฯลฯ ความรวยที่สุจริตนั้นมาจากการประกอบอาชีพที่สุจริต และอาชีพที่สุจริตนั้นมีอยู่ในพระไตรปิฏก อยู่ในสัมมาอริยมรรคข้อหนึ่งที่ว่า “สัมมาอาชีวะ” เป็นคำที่ผู้คนต่างเข้าใจกันเพียงว่าเลี้ยงชีพชอบ แล้วอย่างไรจึงชอบ อาชีพใดจึงดี เราจะไปขยายกันต่อในบทความต่อไป
– – – – – – – – – – – – – – –
13.12.2557

