Tag: บัณฑิต
การเพิ่มศรัทธา
วันก่อนได้คุยกับกลุ่มเพื่อนนักปฏิบัติธรรม มีประเด็นของความศรัทธาที่มีต่อกัน ว่าจะเพิ่มได้อย่างไร ต้องทำงานร่วมกัน?
ผมก็ให้ความเห็นว่า การจะเพิ่มศรัทธาได้แท้จริง มั่นคง ยืนยาวนั้น ต้องล้างกิเลสอย่างเดียว ถ้าล้างกิเลสได้จะมีอินทรีย์พละเพิ่มขึ้น ศรัทธาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบนั้น
การทำงานจะทำให้เพิ่มศรัทธาแก่กันได้ไหม?
เพิ่มได้ แล้วก็ลดได้เหมือนกัน คนมาใกล้กันจะเป็นได้ทั้งสองทิศทางคือเพิ่มศรัทธาต่อกันและเสื่อมศรัทธาต่อกัน ก็อยู่ที่ธาตุของคนนั้นจะเป็นธาตุของบัณฑิตหรือธาตุของคนพาล
ถ้าเป็นธาตุบัณฑิตก็จะศรัทธาคนได้ง่าย ส่วนถ้าเป็นธาตุคนพาลทำงานกับใครก็เสื่อมศรัทธาเขาไปหมด เพ่งโทษ นินทา ถือสา ฯลฯ
แต่การทำงานจะสร้างกุศล คือความดี คือกรรมดี ที่จะเป็นพลังส่งผลไปสู่สิ่งที่ดี ดั้งนั้น การทำงานร่วมกันก็เป็นองค์ประกอบที่จะสร้างศรัทธาให้กับผู้ที่มีจิตที่ดี
ส่วนคนพาล ให้ห่างไว้ ไม่ต้องไปทำงานด้วย ยิ่งทำด้วยยิ่งเสื่อม ยิ่งเชื่อมยิ่งต่ำ เหมือนทำนาบาป หว่านข้าวไปเท่าไหร่มีแต่หญ้าขึ้น ไม่ได้ผล เสียเวลา เสียทุน เสียแรงงาน ได้ทุกข์ โทษ ภัย เป็นผล มีความเสื่อมเป็นกำไร
ดังนั้นการจะเพิ่มศรัทธาหรือทำความเจริญ ก็ต้องขยันร่วมทำงานทำกุศลร่วมกับบัณฑิต คือผู้ที่พยายามปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์และได้ผลโดยลำดับ จะไม่เสื่อมศรัทธา เพราะเป็นนาบุญ หว่านน้อยได้น้อย หว่านมากได้มาก ตามความเพียร มีผลเป็นทิพย์ เป็นความผาสุก เบิกบาน แจ่มใส
ไม่ลดกิเลส จะไม่ทันพวกทำดีเอาหน้า พวกสร้างภาพ
วันนี้อาจารย์หมอเขียวพูดถึง คนที่ผิดศีลจะมีวิบาก(ผล) ให้ได้ข้อมูลผิด เช่น เห็นพวกทำดีเอาหน้าแล้วดูไม่ออก คือไม่เห็นความชั่วที่ซุกแอบซ่อนในการทำดีของเขา
ผมก็เคยพลาดมา แต่เราตั้งใจปฏิบัติศีล จึงได้เห็นข้อมูลจริง ว่าเขาผิดศีล ไม่ได้ขยันอย่างจริงใจ คือทำดีสร้างภาพ หวังลาภสักการะ ฯลฯ ซุกซ่อนกิเลสภายใน
ทีนี้ใช่ว่าเราออกมาได้ แล้วเราก็จะเฉย ๆ เราก็ช่วยคนอื่นโดยการเผยแพร่ข้อมูล ลักษณะของคนพาล และรูปรอยของคนผิดศีลนั่นแหละ ก็คงจะไม่ได้ประจานกันตรง ๆ เพราะชนกับคนพาลจะมีแต่เสีย แล้วเจตนาเราไม่ได้หวังจะช่วยคนพาล แต่จะช่วยคนดีที่ยังไม่รู้ทันคนชั่ว
เชื่อไหมว่า คนที่ปิดบังหรือไม่เปิดเผยความจริง ส่วนใหญ่ที่เข้ามาในชีวิต ไม่นานเขาจะหลุดความจริงออกมา ผมเคยตั้งจิตว่าขอให้ได้รู้ว่าใครเป็นใคร เท่านั้นแหละ พาลเป็นพาล บัณฑิตเป็นบัณฑิตเลย
พาลคือไม่ได้จริงอย่างที่พูด พูดอย่างทำอีกอย่าง พูดเกินความจริงที่ตนมี เช่นบรรลุขั้นนั้นขั้นนี้ แต่ชีวิตจริงยังไปจีบหญิงอยู่เลย แบบนี้เรียกพวกเน่าใน ทุศีล สร้างภาพว่าสวยงาม แต่ข้างในไม่ได้มีจริง บางทีเขาก็พูดเอาโก้ ๆ หลอกคน เพราะหลงโลกธรรม
ธรรมะนั้นเป็นของสูง คือมีลาภสักการะมาก มีสรรเสริญมาก คนชั่วเขาก็จะเข้ามาเอาประโยชน์ตรงนี้เหมือนกัน คือเข้ามาแล้วทำให้ดูเหมือนขยันทำดี ขยันเอาธรรม ขยันสนทนาธรรม บางทีเขาซ่อนกิเลสเขาไว้ แต่ไม่แสดงออก แล้วก็แอบเสพไป สร้างภาพไป
ด้วยความที่ผมทำดีมามาก เลยได้ข้อมูลค่อนข้างเยอะ ที่จะช่วยไม่ให้หลงไปคบคนผิดหรือคนพาลนาน พอเราได้ข้อมูลว่าเขาผิดศีล ไม่จริงอย่างที่พูด เราก็ไม่คบ มันก็ง่าย ๆ แค่นี้
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสื่อสารให้คนอื่นได้รู้อย่างเรา แม้จะพูดไปเต็มปาก ก็ใช่ว่าเขาจะเชื่อได้ เพราะถ้าเขาทำดีมาไม่มากพอ ปฏิบัติศีลเจริญในธรรมได้ไม่มากพอ เขาจะไม่เห็นความชั่วที่แอบไว้ในความดีที่คนชั่วนำเสนอ
ก็สรุปกันง่าย ๆ ว่าโดนเขาสร้างภาพลวงให้หลงไว้นั่นแหละ สุดท้ายแม้เราพูดไป แล้วเขาไปศรัทธาคนที่ขยันทำดีแต่ไม่จริงใจมากกว่าเรา เขาก็จะเพ่งโทษเรา แทนที่จะช่วยเขา ก็กลายเป็นว่าเขาจะกลับมาเพ่งโทษถือสาเราอีก
ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยเสี่ยงแลกนักหรอก ถ้าดู ๆ แล้วคนเขาไม่ได้ศรัทธาเรามากพอ มันจะได้ไม่คุ้มเสีย บางคนเขาก็ทำเหมือนศรัทธาเรา แต่พอไปได้ยินคนนินทาเรื่องเรา กลับไม่มาถามเราสักคำว่า “เรื่องจริง ๆ” มันเป็นอย่างไร เราก็รู้เราว่าเขาเชื่อทางนั้น เราก็ไม่พูด เพราะพูดไปมันก็จะไปสู้กับสิ่งที่เขาศรัทธามันจะพังเปล่า ๆ
บางทีถ้าพยายามจะสื่อเต็มที่แล้วเขาไม่เข้าใจ มันก็ต้องวาง ให้ทุกข์ได้สอนเขา เราพ้นจากคนพาลแล้วเราจะทุกข์อะไร เราไม่คบ ไม่สื่อสารกับคนพาล ไม่อนุเคราะห์คนพาลให้มันลำบากชีวิตหรอก
เขามาชอบ บัณฑิตก็ยังเฉย ส่วนคนเขลา อยู่เฉย ๆ ก็ไปชอบเขา
การตรวจสอบความเจริญในการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง คือลดการเสพลงได้อย่างผาสุก เรื่องความรัก เรื่องคู่ก็เหมือนกัน ถ้าปฏิบัติได้เจริญ ความกระหายใคร่อยากในเรื่องเหล่านี้จะลดลง
แม้ในฐานศีล ๕ ที่กำลังพัฒนาตนเอง ก็จะไม่มีอาการอย่างคนทั่วไป คือจะไม่ไปไล่จีบเขา ไม่ไปหว่านเสน่ห์ ไม่ไปเกี้ยวพาราสี หรือไม่ไปพยายามล่อลวงใครมาให้เป็นคู่
เพราะจะมี “หิริ” อยู่ในใจ คือรู้สึกว่ามันเป็นบาป มันผิด มันไม่เจริญ แต่ใจจะยังอดไม่ได้ ยังอยากอยู่ข้างใน แต่จะพยายามควบคุมอาการไม่ให้ไปเบียดเบียนผู้อื่นนัก
คนที่มีฐานศีล ๕ ที่กำลังพัฒนาไปสู่ความเจริญ จะมีความละอายต่อการไปจีบหรือไปล่อลวงเขา การจะมีคู่ของคนที่อยู่ในสภาวะนี้คืออยู่ ๆ ก็ไปชอบเขาเอง แล้วก็ลงเอยกันไปแบบไม่หวือหวา
ส่วนคนที่ต่ำกว่าศีล ๕ หรือถือศีลแบบกระท่อนกระแท่น ถือศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ อาบน้ำกลัวเปียก ถือศีลแบบยึดเป็นวินัย ก็มักจะมีส่วนพร่องไปตามปัญญาที่ไม่เต็มรอบ
ดีไม่ดีก็ไปทำตามแบบปุถุชน หรือคนทั่วไปที่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรมหรือไม่ได้ตั้งใจลดกิเลสเลย คือแม้จะอ้างว่าถือศีล ๕ เป็นพระอริยะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ “จริง” ตามนั้น คำพูดนี่ใครก็พูดได้ เล่นคำ เล่นภาษากันไป แต่ถ้าในสภาวะจริง มันก็ต้องมี “ใจ” เป็นองค์ประกอบด้วย
เช่น ใจจะรู้สึกผิดบาปละอายต่อการไปจีบเขา ไปล่อลวงเขา อย่างพระโสดาบันนี่จะไม่โกหกแล้ว ไม่ไปบอกใครหรือล่อลวงใครว่า ” มีคู่สิไม่ทุกข์เท่าไหร่หรอก หรือถึงมีก็ยังสามารถทำใจให้ทุกข์น้อยได้ ” คำพูดล่อลวงพวกนี้จะไม่มีหลุดออกจากปากหรือจากใจเลย เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามันทุกข์มาก แต่มันอดรนทนไม่ไหว มันอยากมี ถึงจะมีก็มีด้วยใจสังวร
เพราะรู้ว่าสิ่งที่เจริญกว่านี้ยังมี ผาสุกกว่านี้ยังมี เพราะมีสัตบุรุษที่ทำตนเป็นตัวอย่าง แสดงธรรมที่เลิศกว่า ประเสริฐกว่า พอรู้ว่ามีดีกว่า แต่ใจมันยังเอาไม่ไหว ถึงจะไปมีคู่ก็ใช่ว่าจะยินดีในการมีคู่เต็มร้อย ใจมันจะละอาย มีหิริอยู่ตลอด จะครองรักไปอย่างคนคุก สำรวม เจียมตัว เพราะรู้ว่าตนยังไม่เจริญ ตนยังทำไม่ได้ และรู้ว่าคนที่เจริญกว่าตนยังมี
คนที่ต่ำกว่าศีล ู๕ และไม่มีคุณวิเศษของสาวกที่ครบพร้อม จึงปฏิบัติตนเหมือนคนทั่วไป ไปรักเขา ชอบเขา จีบเขา ล่อลวงเขา ป้อล้ออยู่นั่น ไม่มีความละอายแก่ใจ เจอคนพวกนี้ให้ห่างไว้ แม้จะโฆษณาว่าตัวเองยิ่งใหญ่ เจริญในธรรม หรือมั่นคงเพียงใด แต่ความจริงข้างในนั้นยังเน่าเหม็นมากอยู่
ส่วนบัณฑิตนี่ไม่ต้องเล่าให้ยุ่งยาก ไม่ไปจีบใครเขา และใครมาจีบ มาชอบ มาอ่อย ก็ไม่หวั่นไหวด้วย ใส่พานมาเสิร์ฟก็ไม่กิน เพราะมีสิ่งดีกว่าให้เสพ สุขสบาย ผาสุกกว่าเอาชีวิตไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องความรัก ก็คือไม่ต้องมีความรัก ไม่ต้องมีคู่ให้ปวดหัว
เป็นสภาพที่ไม่ต้องทน เพราะเข้าใจทุกอย่าง ทั้งเข้าใจตัวเองและเข้าใจโลก ที่สำคัญคือเข้าใจเรื่องกรรม ก็เราทำกรรมมา เราก็ต้องรับ สมัยก่อนเราก็ไปจีบเขา เราก็ต้องรับ แล้วสมัยก่อนนี่มันกี่ชาติต่อกี่ชาติก็ไม่รู้ ไปจีบ ไปล่อลวงเขามากี่ร้อยล้านคนแล้ว ชาตินี้จะต้องเจอคนมาจีบ มาวุ่นวาย ก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะเข้าใจความเป็นไปของกรรม
ใช้กรรมแล้วมันก็จบดับไป เราไม่ได้ก่อกรรมชั่วใหม่ ไม่เห็นจะต้องทุกข์ใจอะไร ก็มีแต่จะดี จะเจริญไปเรื่อย ๆ
ส่วนคนเขลานี่ไม่ต้องให้ใครมาจีบเขาหรอก อยู่เฉย ๆ เขาก็แส่หา ทำอาการระริกระรี้ เดี๋ยวไปจีบคนนั้นทีคนนี้ที ดีไม่ดีจีบหลาย ๆ คนพร้อมกันอีก
คนรู้ธรรม รู้กรรมจริงนี่ไม่ต้องไปจีบใครให้ปวดหัวหรอก ชั่วที่ทำสะสมไว้มันมีเยอะ เดี๋ยวตัวเวรตัวกรรมเขาก็จะมาทวงอยู่ดีนั่นแหละ ทั้งทัก ทั้งอ่อย ทั้งป้อยอ ฯลฯ ป้องกันให้ทันแล้วกัน อย่าไปตกเป็นเหยื่อของกิเลสมาร ที่มาล่อให้เราหลงว่าคู่ครอง คู่รักเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามี
มีคู่ดี สุขกว่าเป็นโสด จริงไหม?
เห็นความเห็นนี้ในพวกเว็บบอร์ด ก็นำมาวิจารณ์กันหน่อย เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่ตั้งใจที่จะออกจากนรกคนคู่
คนที่เขาหลงเขาก็ว่ามีคู่เป็นสุขกันหมดนั่นแหละ ยิ่งคู่ดียิ่งเป็นสุขกว่าโสด นั่นเขาฟันธงอย่างนั้น เชื่ออย่างนั้นหมดใจเลย
ก็เหมือนกับเด็กที่อยากได้ของเล่น อยากได้ของเล่นแพง ๆ พอได้มาเขาก็จะเป็นสุขใช่ไหม? ลองนึก ๆ ดูตัวเราในอดีตก็น่าจะตอบว่าใช่ ได้ของเล่นมันก็เป็นสุข
แต่ถ้าลองคิดดูว่าผู้ใหญ่ได้ของเล่นแบบนั้นมันจะสุขไหม ได้ของเล่นดีมากเลยนะ ดีมากแพงมาก หายากมาก มันจะสุขไหม ตุ๊กตาแพง ๆ ได้มา มันจะสุขไหม … เอามาทำไม ไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นสุขหรอก ส่วนใหญ่ก็น่าจะเข้าใจได้แบบนี้ ยกเว้นพวกติดของเล่นไม่เลิก
เรื่องคู่ก็เหมือนกัน คนที่เขาโตแล้ว มีปัญญาแล้ว เขาก็ไม่ไปเป็นสุขกับของที่มันไม่สามารถสร้างสุขได้จริงหรอก เวลาคนหลงอะไรมันก็เป็นสุขกับสิ่งนั้น เหมือนเด็กเล่นของเล่น เขาหลง เขาชอบ เขาก็สุข คู่ก็เหมือนกัน คนหลง คนชอบ แม้ได้คู่ไม่ดีมาเขาก็เป็นสุข ไม่ต้องไปพูดถึงคู่ดีเลย ทุกวันนี้คู่ร้าย ๆ เขาก็ยังยินดีคบหากัน ใช่ว่าร้ายแล้วเขาจะเลิกกันซะที่ไหน
ถ้ามีใครมาถามมีคู่ดี สุขกว่าเป็นโสด จริงไหม? มันก็ตอบได้ทั้งสองมุมนั่น มุมโลกีย์ หรือมุมที่ยังหลงสุข ยังโง่อยู่ เขาก็เป็นสุขของเขาแบบนั้น
แต่ถ้าตอบมุมโลกุตระ ก็ตอบได้ง่าย ๆ คือ ไม่จริง เพราะบัณฑิต(ผู้ปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์) เขาประพฤติตนเป็นโสดกัน ไม่แส่หา ไม่ป้อล้อ ไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับคนอื่นโดยเฉพาะเรื่องชู้สาว ไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนให้มันปวดหัวหรอก เพราะมันเป็นทุกข์ยังไงล่ะ ส่วนสุขน่ะหรอ ไม่มีจริงอยู่แล้ว ไอ้ที่เขาสุข ๆ นั่นกิเลสเขายึดเขาปั้นเขาเสพของเขาเอง แล้วเขาก็หลงของเขานั่นแหละ
ผมเห็นเขาไปถามในเว็บบอร์ด ว่าโสดหรือมีคู่สุขกว่ากัน ดูแล้วก็เห็นใจ เพราะส่วนใหญ่ก็เรียกว่า ชุ่มไปด้วยกามกันทั้งนั้น สุดท้ายถ้าไม่มีของเก่าจริง ๆ ก็จะโดนโน้มน้าวไปทางโลกีย์วิสัย คือไปหาสิ่งที่โลกเข้าใจว่าดีมาเสพ
ใครจะลองศึกษาเทียบดูก็ได้ ให้มาเปรียบเทียบกันเลย เอาสิ่งที่ว่าสุขมาจดไว้ทุกวัน เล่าความสุขของการมีคู่ดีให้ได้ทุกวันนะ เอาแค่ความสุขนะ ยังไม่ต้องเขียนทุกข์ เดี๋ยวกระดาษจะไม่พอ
เอาให้ได้ทุกวันนะ เพราะผมเป็นโสดนี่เป็นสุขทุกวัน เพราะไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องหวัง ไม่ต้องระวัง กังวล ระแวง หวั่นไหวเพราะมีคู่ยังไงล่ะ สรุปมันสุขเพราะไม่ต้องมีคู่นี่แหละ
จะได้ศึกษากันไปชัด ๆ ว่าตกลงว่ามีคู่ดีมันสุขกว่าที่เข้าใจจริงไหม