Tag: ความผาสุก

มะเขือเทศสอนธรรม : ปลูกอย่างได้อีกอย่าง

January 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,908 views 0

มะเขือเทศสอนธรรม : ปลูกอย่างได้อีกอย่าง

มะเขือเทศสอนธรรม : ปลูกอย่างได้อีกอย่าง

…ข้อคิดจากการปลูกต้นไม้กับการเลี้ยงดูบุตรและดูแลจิตวิญญาณ

บางครั้งเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นก็สามารถสอนให้เราเข้าใจธรรมได้ คนที่คอยเฝ้าสังเกตและจับใจความของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นโดยแยบคายก็อาจจะเจอความหมายที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้

เรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องต้นไม้ของแม่ แม่เป็นคนที่ชอบปลูกต้นไม้และเริ่มจะปลูกผักไม่นานมานี้ แม่สนใจที่จะปลูกพริกหวาน ซึ่งเก็บเมล็ดมาจากลูกที่ซื้อมากิน แต่ผักส่วนมากที่ปลูกนั้นก็ไม่ได้เติบโตจนเห็นผลได้เท่าไรนักด้วยข้อจำกัดของแสงในพื้นที่ จนกระทั่งแม่ได้ลองย้ายต้นกล้ามาปลูกบนชานบ้านที่โดนแสงเต็มวัน ต้นพริกหวานที่แม่ปลูกไว้ค่อยๆโตขึ้นอย่างรวดเร็วผิดกับที่เก่าที่เคยอยู่

จนกระทั่งวันหนึ่งต้นพริกหวานที่เคยมั่นหมายได้ออกดอกออกผล แต่ผลนั้นกลับกลายเป็นมะเขือเทศ??? แม่เองยังเข้าใจว่าตนเองนั้นได้ปลูกพริกหวาน เพราะว่าเพาะเมล็ดกับมือ อีกทั้งไม่มีความสนใจที่จะปลูกมะเขือเทศอีกด้วย

แน่นอนว่าจริงๆแล้วแม่ปลูกมะเขือเทศตั้งแต่แรก แต่ความเข้าใจผิดนั้นเริ่มตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ผมเองก็ไม่เคยเห็นซองเมล็ดมะเขือเทศที่แม่ซื้อมาสักครั้งเดียว เพราะปกติจะดูเมล็ดพันธุ์ที่แม่ซื้อมาอยู่เหมือนกัน และแม่เองก็ไม่เคยสนใจหรือเก็บเมล็ดมะเขือเทศเช่นกัน ความเป็นไปได้อย่างเดียวคือซื้อเมล็ดพันธุ์ผิดตั้งแต่แรก ….แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงเรื่องเล่าที่ยังไม่เข้าถึงสาระสำคัญ

1). เลี้ยงไม่โต

การจะได้เห็นผลนั้นไม่ได้ง่ายเพียงแค่ปลูกแล้วรดน้ำ ยังมีปัจจัยที่ส่งผลหลักนั่นคือแสงแดด ต้นไม้แต่ละชนิดใช้แสงแดดในการสังเคราะห์ชีวิตไม่เท่ากัน บางต้นแดดน้อยก็งามดี บางต้นแดดมากจึงจะโต ต้นไม้ทุกต้นมีข้อกำหนดในการเติบโตของมันอยู่ มันควรจะได้รับธาตุอาหารเท่าไหร่นั้นไม่มีใครรู้ เราซึ่งเป็นผู้ปลูกต้นไม้นั้นต้องคอยสังเกตเองว่าสิ่งที่เราให้ไปนั้น เป็นไปในทิศทางที่เจริญหรือเสื่อมลง

เหมือนกับการเลี้ยงดูเด็กสักคนหนึ่ง เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาต้องการอาหารแบบไหน ที่จะทำให้ร่างกายและจิตใจของเขาเจริญไปในทางบวก การเลี้ยงดูแบบไหนจะทำให้เขาเติบโตเป็นคนดี เราต้องเฝ้าสังเกตเป็นนักวิเคราะห์ นักสถิติ ใส่ใจมากพอที่จะเลี้ยงเขาให้เกิดผลดีได้

เราไม่สามารถใช้ตำราอ้างอิงวิธีการปฏิบัติกับเด็กทุกคนได้ คนเราทุกคนมีกรรมต่างกัน เราจึงไม่สามารถใช้ค่ามาตรฐานวัดใครได้ เราไม่สามารถบอกได้ว่าเด็กคนนี้ต่ำหรือสูงกว่ามาตรฐานเพราะเขานั้นมีมาตรฐานตามกรรมของเขาเอง เขาจะโตได้ก็ต่อเมื่อเขาได้รับปัจจัยที่เหมาะสมกับกรรมของเขา

หากเราเป็นคนปลูกต้นไม้ที่ไม่ได้ใส่ใจองค์ประกอบของต้นไม้ต้นนั้น แม้ว่าจะรดน้ำดูแลทุกวัน ใส่ปุ๋ยพรวนดิน แต่หากขาดธาตุที่ต้นไม้นั้นต้องการ แม้ว่าเราจะรักและใส่ใจเพียงใดแต่กลับไม่เรียนรู้ที่จะเข้าใจธรรมชาติของต้นไม้นั้น เราก็จะไม่มีวันเห็นมันโตดังที่ใจเราหมาย

2). ปลูกพริกหวานได้มะเขือเทศ

ในเรื่องตัวอย่างเราจะเห็นได้ว่าตอนแรกตั้งใจปลูกพริกหวานแต่กลับโตมาเป็นมะเขือเทศ ในหัวข้อนี้แบ่งออกได้เป็นสองมุม

2.1)ปลูกอย่างได้อีกอย่าง

ความบังเอิญในการปลูกต้นไม้ผิดจากที่คิดไว้นั้นยังพอสามารถหาต้นตอหาสาเหตุได้ แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการสร้างบุตรสักคนนั้นกลับเป็นเรื่องเร้นลับยากจะหาคำตอบ

แน่นอนว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดต่างหมายมั่นว่าตนนั้นจะเป็นผู้ปลูกเมล็ดพันธุ์ที่ดีงาม จะสร้างเด็กที่เป็นคนดี เป็นคนเก่ง เป็นคนแข็งแรง เป็นคนฉลาด สารพัดคุณสมบัติที่ดีตามแต่จะฝันไปได้ เปรียบเสมือนกับเราเลือกซองเมล็ดผักมา ก็คิดว่าผักที่ปลูกนั้นจะเป็นดังใจหวัง

เด็กที่มาเกิดนั้น เขาเกิดมาพร้อมความหวังของพ่อแม่ แต่ความหวังนั้นไม่ใช่ความจริง เมื่อวันที่ถึงเวลาอันควร ความจริงก็จะปรากฏให้เห็นว่าสิ่งที่เราคาดหวังนั้นไม่ได้เป็นดังใจหวังเสมอไป เหมือนกับที่ปลูกพริกหวานได้มะเขือเทศ แต่เรื่องของลูกนั้นซับซ้อนยิ่งกว่า มันผิดพลาดตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้สาเหตุ พ่อก็เป็นคนดี แม่ก็เป็นคนดี แข็งแรงสุขภาพดี แต่ลูกเกิดมากลับพิการ งอแงเอาแต่ใจ โตมานิสัยไม่ดี

เรื่องแบบนี้มีให้เห็นเป็นปกติ เราผิดพลาดกันตั้งแต่ตอนไหน? ก็ตั้งแต่ที่เรายึดมั่นถือมั่นว่าเราเลือกซองเมล็ดผักมาปลูกนั่นแหละ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเมล็ดในซองเมื่อเพาะแล้วจะงอกออกมาเป็นต้นรูปร่างลักษณะอย่างไร หรือผิดเพี้ยนไปแบบไหน เหมือนกับเมื่อเราคิดจะมีลูก เราก็ดูดีแล้วนะว่าพ่อก็เป็นคนดี แม่ก็เป็นคนดี เราก็มั่นใจว่าลูกเราจะต้องดีแต่มันไม่ใช่เสมอไป เรื่องโลกมันไม่เที่ยงเพราะเขาก็มีกรรมของเขามาเกิด กรรมของเขาเท่านั้นที่จะกำหนดชีวิตของเขา ไม่ใช่เราที่เป็นคนปลูก คนปลูกหรือพ่อแม่นั้นเป็นเพียงผู้ที่รับผลของกรรมที่ตัวเองปลูกเท่านั้น

แต่ใช่ว่าปลูกอย่างได้อีกอย่างจะไม่ดีเสมอไปเพราะก็มีหลายกรณีที่พ่อแม่ก็ไม่ได้คิดจะมีลูกแต่เด็กก็มาเกิดแล้ว หรือไม่มีเวลาใส่ใจดูแลลูก แต่เด็กเหล่านั้นก็เติบโตเป็นคนดีได้ ทั้งนี้เพราะเมล็ดพันธุ์หรือเด็กเหล่านั้นมีกรรมดีอยู่แล้ว เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีอยู่แล้ว ไปตกที่ไหนก็โตได้ แม้จะแห้งแล้งกันดารก็โตได้ แบบนี้ก็มีเหมือนกัน

2.2) กลายพันธุ์จากการเลี้ยงดู

แต่ก็ใช่ว่ากรรมเก่าจะเที่ยงไปทั้งหมด เหมือนกับที่เราซื้อเมล็ดผักมาปลูกบางทีมันก็มีการกลายพันธุ์จากการเลี้ยงดูของเรา เช่น ใส่สารเคมีมากเกินไป ให้แดดน้อยไป ให้น้ำมากไป แม้ว่าผักนั้นจะอยู่ได้แต่มันก็จะอยู่แบบปรับตัวตามปัจจัยเท่าที่มีจนกระทั่งแข็งแกร่งขึ้นวิวัฒนาการกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่

การกลายพันธุ์เป็นได้ทั้งในด้านร้ายและดี แม้เมล็ดพันธุ์นั้นจะเป็นเมล็ดที่มีคุณภาพ แต่หากเราใส่ปุ๋ยบำรุงมากเกินไป ให้ปัจจัยที่ไม่เหมาะสมกับมันจนเกินไปมันก็จะกลายพันธุ์ได้ เหมือนกับการเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง เนื้อแท้ของเด็กนั้นดีอยู่แล้ว แต่พ่อแม่กลับคอยสนองกิเลสให้ลูก คอยบำรุงบำเรอให้ลูก ทำผิดก็ไม่ตักเตือน ไปแกล้งคนอื่นก็ยังว่าคนอื่นผิด แบบนี้ก็เป็นกรรมใหม่ที่ทำให้ลูกเสียคน กลายพันธุ์ไปในทางเสื่อมได้เช่นกัน

ส่วนในทางดีนั้น เช่น แม้เมล็ดพันธุ์นั้นจะด้อยคุณภาพ แต่ถ้าให้การบำรุงที่เหมาะสมก็อาจจะเจริญไปด้านดีได้ ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่เกิดมาในสังคมที่ไม่ดี มีสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมจากศีลธรรม แต่ถ้าพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูคอยเป็นตัวอย่างในทางที่ดี สอนที่สิ่งที่ดี พาให้เป็นคนดี ประหยัด มีน้ำใจ เสียสละ แบบนี้ก็เป็นกรรมใหม่ที่ทำให้เกิดความเจริญขึ้นได้ เป็นการกลายพันธุ์ที่เป็นไปในทิศทางที่ดี

3).ผลที่แท้จริง

ต้นไม้กับคนก็คล้ายกันอยู่อย่างหนึ่งคือถ้าให้ปัจจัยที่เหมาะสมก็จะให้ผลที่เหมาะสมเช่นกัน หลังจากที่เราเฝ้าสังเกตและเข้าใจกับต้นไม้ต้นนั้น เมื่อเราตัดความเชื่อที่บอกต่อกันมา ความรู้พื้นฐานบางอย่าง หรือมาตรฐานทั่วไปที่ใช้กับต้นไม้ต้นนั้น หันมาใช้ความรู้ใหม่ที่ได้จากการสังเกตจริง เป็นของจริง เป็นความเข้าใจที่ทำให้เกิดผลเจริญจริง เราก็จะมีโอกาสได้เห็นผลที่สวยที่สุดของต้นไม้ต้นนั้น

เช่นเดียวกับเด็กคนหนึ่ง การที่เขาจะเติบโตและสร้างสิ่งที่ดีงามหรือประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้น ส่วนหนึ่งก็จะเกิดจากการดูแลเอาใจใส่ของพ่อแม่ การเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจตามกรรมของเด็กคนนั้น ปล่อยวางอัตตาความยึดมั่นถือมั่น เลิกเปรียบเทียบ เลิกตั้งความหวังเพื่อตนเอง และเลี้ยงดูเอาใจใส่ตามปัจจัยที่เหมาะสมที่สุดกับเด็กคนนั้น

เด็กคนนั้นจึงจะมีโอกาสที่จะได้แสดงให้เห็นถึงผลจริงๆที่เขามี ไม่ใช่ผลตามมาตรฐานตามที่เป็น ผลที่เกิดขึ้นจริงนั้นไม่จำเป็นต้องสูงกว่ามาตรฐาน แต่จะถูกต้องและดีที่สุดตามกรรมที่ทำได้ เป็นขีดสูงสุด เป็นที่สุดแห่งกุศลที่หนึ่งจิตวิญญาณจะกระทำได้

…ทุกวันนี้เราผ่านมาเท่าไหร่แล้ว 20 , 30 , 40 , 50 ,… ปี เราเคยเห็นผลเจริญของตนเองบ้างหรือยัง? เราอาจจะเห็นผลทางโลก เป็นไปตามโลก ตามมาตรฐานโลก โดยทั่วไปคือมีปัจจัยสี่ มีอาหาร มีที่อยู่ มีเครื่องนุ่งห่ม มียารักษาโรค หรือกระทั่งการมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ปัจจัยเหล่านั้นก็เป็นเพียงสิ่งที่เป็นไปในทางโลก สิ่งที่พาให้วนอยู่ในโลก

ผลที่แท้จริงไม่ใช่การเกิดมาแค่เรียนรู้ ทำงานหาเงิน ใช้ชีวิต มีครอบครับ แก่ แล้วก็ตายไปหรอกนะ แบบนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า “โมฆะบุรุษ” คือคนที่เกิดมาเสียชาติเกิด เกิดมาใช้ชีวิตสร้างบาป สร้างกรรมชั่วมากกรรมดีนิดหน่อยแล้วก็ตายไปฟรีๆหนึ่งชาติ แล้วก็เกิดมาใหม่วนเวียนไปแบบนี้ สะสมโลกธรรมเสพสุขอยู่ในโลกไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นชีวิตหนึ่งที่เกิดมาจึงไม่มีความสำคัญใดๆเลยหากว่าไม่สามารถทำให้เกิดผลที่แท้จริงได้

ผลที่แท้จริงของหนึ่งดวงจิตวิญญาณนั้นไม่ใช่แค่เพียงความสำเร็จทางโลก ความมั่งคั่ง ความมีชื่อเสียง ความสุขลวงๆ สิ่งเหล่านี้เป็นผลปลอมๆ เป็นของลวงที่หลอกเราไว้ให้หลงในผลเหล่านี้จนไม่สามารถสร้างผลที่แท้จริงได้

และเมื่อขึ้นชื่อว่าผลที่แท้จริง ก็ย่อมเกิดได้ยากยิ่งเช่นกัน เพราะต้องทวนกระแส ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นไปตามโลก ขัดกับโลก สวนทางกับโลกโดยสิ้นเชิง ผู้ที่พากเพียรปฏิบัติอย่างถูกตรงย่อมสามารถสร้างผลที่แท้จริงให้เจริญขึ้นมาได้ ดังเช่นเหล่าพุทธบริษัทในศาสนาพุทธ

พระพุทธเจ้าผู้เป็นเสมือนพ่อและพระอริยะสาวกผู้เป็นเสมือนแม่ คอยพร่ำสอนขัดเกลาเหล่าลูกผู้เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์แห่งความดีจนเจริญเติบโตให้ผลที่แท้จริงได้จนส่งต่อผลเจริญเหล่านั้นผ่านมาหลายยุคหลายสมัย เป็นธรรมะที่สามารถพาเราและท่านเข้าสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืนใจปัจจุบันนี้นั่นเอง

– – – – – – – – – – – – – – –

11.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

หุ้นขึ้นใจลอย หุ้นตกใจตรม

December 17, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,406 views 0

หุ้นขึ้นใจลอย หุ้นตกใจตรม

หุ้นขึ้นใจลอย หุ้นตกใจตรม

….ผลกำไรที่ได้รับมานั้นคุ้มค่ากับการลงทุนจริงหรือ

การลงทุนในตลาดหุ้น เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอันมากในหมู่คนเมืองและคนทำงานในยุคสมัยนี้ เพราะนอกจากจะทำให้ภาพลักษณ์นั้นดูเหมือนว่าเป็นนักลงทุน มองการไกล วิเคราะห์เก่ง แล้วยังสามารถสร้างรายได้ขึ้นมาได้จริงๆด้วย เป็นอะไรที่ตอบโจทย์โลกธรรมทั้งในมุมของลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อย่างเต็มที่

แม้ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นจะสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ มากมายขนาดที่ว่าการขยันหาเงินทั้งชีวิตก็อาจจะไม่ได้เงินมากเท่าลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งก็มีบุคคลที่ประสบความสำเร็จให้เห็นเป็นตัวเป็นตนกันมากมาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความทุกคนจะสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนเหล่านี้ได้

การประสบความสำเร็จในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น มีปัจจัยที่ส่งผลมากกว่าสิ่งที่เห็นได้ด้วยตาหรือวิเคราะห์ด้วยปัจจัยแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจและสังคม นั่นคือพลังงานของกรรม ขึ้นชื่อว่ากรรมก็เป็นเรื่องอจินไตยยากจะคาดเดาผล แต่การจะเกิดกรรมนั้นก็มาจากการกระทำ เราสามารถมองเผินๆได้ว่าเพราะเขามีการวิเคราะห์เป็นการกระทำเขาจึงประสบความสำเร็จ แต่ในมิติของกรรมนั้นลึกซึ้งกว่านั้นมาก

เพราะการจะเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งหรือสิ่งที่เรียกว่าประสบผลสำเร็จ จะต้องมีกรรมทั้งในส่วนของปัจจุบันคือการวิเคราะห์และตัดสินใจ และกรรมในส่วนของอดีตที่เราเคยทำมาสังเคราะห์กันอย่างลงตัวจึงจะเป็นผลที่ว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ

ดังนั้นหากเราสังเกตดีๆว่า แม้เราจะลงทุนตามคนที่ประสบความสำเร็จแต่เราจะไม่ได้รับเหตุการณ์ดังที่เราคาดหมายตลอดไป นั่นเป็นเพราะกรรมของเรา เราไม่มีกรรมที่จะได้รับลาภจากการลงทุนในลักษณะนี้เราจึงไม่มีทางได้มัน ไม่ว่าเราจะพยายามเท่าไรเราก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ เว้นเสียแต่ว่าเราสะสมกิเลสเข้ามากๆ หมกมุ่นเข้ามากๆ เราจึงจะพอประสบความสำเร็จได้บ้าง แต่นั่นก็หมายถึงเราแลกมาด้วยบาปจำนวนมาก เพราะไม่มีอะไรที่เราจะได้รับโดยที่เราไม่ได้ทำ การที่เราจะได้รับอะไรสักอย่าง เราต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ และสิ่งนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เรามองเห็นก็ได้

….หุ้นขึ้นก็กิเลสขึ้น หุ้นตกก็กิเลสขึ้น

ถ้าหากเรามีเวลาทบทวนใจของเราดีๆ จะสังเกตได้ว่าเวลาที่หุ้นที่เราถือครองอยู่นั้นปรับค่าขึ้นหรือมีแนวโน้มที่จะขึ้นจิตใจของเราก็จะฟูขึ้นด้วยความดีใจ ตามติดมาด้วยความโลภที่จ้องจะขายเมื่อถึงราคาที่เราพอใจ บ่อยครั้งที่ชะล่าใจขายไม่ทันแล้วสุดท้ายราคาร่วงลงมา และบ่อยครั้งที่รีบขายทั้งที่ราคายังพุ่งขึ้นไปได้อีก ไม่มีเหตุการณ์ใดเลยที่ไม่มีกิเลสเข้าไปปนในกระบวนการเหล่านั้น ทุกความดีใจเสียใจล้วนปนไปด้วยกิเลสทั้งสิ้น

แม้ว่ายามหุ้นตก จิตใจก็ตกต่ำตาม ด้วยความเสียดายเงินที่ลงไป พยายามติดตามข่าวด้วยใจที่หวังว่ามันจะขึ้น จะได้เงินจะมากขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลในเรื่องของการลงทุนนั้นก็เป็นไปในรูปแบบของการพนันทั้งสิ้น แม้เราจะนิยามมันว่า การลงทุน มีการวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมมากมาย แม้จะดูเหมือนเป็นนักวิเคราะห์ เป็นผู้รู้ เป็นนักวางแผน แต่ก็อยู่ใต้เกมของกรรมกิเลสที่เรียกว่าอบายมุขอยู่ดี

….หุ้นคืออบายมุข

การลงทุนในหุ้นแม้จะได้รับการยอมรับในสังคม แม้จะไม่ถูกมองว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นสิ่งที่ผิดในทางธรรม เป็นทางเสื่อมแห่งอบายมุขอยู่ดี ไม่ว่าเราจะสรรหานิยามมาปรุงแต่งการลงทุนให้ดูสวยหรูเพียงใด ดูดีมีประโยชน์แค่ไหน การลงทุนเหล่านี้ก็เป็นได้แค่หนึ่งในทางฉิบหายของชีวิตหรือที่เรียกว่าอบายมุข นั่นคือการพนันนั่นเอง

ลักษณะของการพนันคือการลงทุนไปหนึ่งหน่วยแต่หวังจะให้มันงอกเงยมากกว่าหนึ่งหน่อยโดยอาจจะใช้ตรรกะเข้ามาคิดคำนวณและก็มีโอกาสที่จะหนึ่งหน่วยนั้นจะหายไปด้วย ทั้งหมดนี้คือลักษณะของการพนันแบบแท้ๆ ไม่ใช่สัมมาอาชีวะ ไม่ใช่ทางที่ถูกของพุทธ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางสู่ความผาสุกในชีวิต

….หุ้นกับความผาสุกในชีวิต

เรามักจะได้รับข้อมูลว่าการลงทุนนั้นทำให้ร่ำรวยและสบายในตอนท้ายของชีวิต ทำให้ชีวิตผาสุกซึ่งเป็นค่านิยมในยุคนี้ที่คนจะลงทุนในตลาดหุ้น แต่ในยุคก่อนหน้านี้การลงทุนจะต่างออกไป คือจะลงทุนให้เวลากับหน้าที่การงาน ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด อดทน คือลักษณะที่เห็นได้ชัดในคนยุคเบบี้บูม แต่พอมาในยุคนี้เรากลับลงทุนในการพนัน โดยใช้การพยากรณ์ การวิเคราะห์ เรียกตามภาษาชาวบ้านว่าเดา การเดานี้มันก็มีข้อมูลเหมือนกันไม่ใช่ว่าไม่มี เช่นการเดาข้อสอบเราก็เดาว่าคำตอบส่วนใหญ่น่าจะเป็นข้อนี้มากที่สุด เช่นเดียวกันกับการลงทุนในตลาดหุ้น แม้ว่าจะมีข้อมูลมากมายมหาศาลวิเคราะห์กันจนหัวหมุน สุดท้ายก็สรุปลงตรงที่การเดา

เมื่อชีวิตมีแต่การคาดเดา ไม่ได้สร้างทรัพย์ขึ้นมาด้วยแรงกายแรงใจและความสามารถอย่างแท้จริง ก็ต้องวัดดวงกับเศรษฐกิจและสังคม เป็นการพนันที่อ้างอิงระบบใหญ่ขึ้นมามากกว่าการใช้ไพ่หรือลูกเต๋าเท่านั้นเอง

ดังนั้นการจะมีชีวิตผาสุกบนพื้นฐานของอบายมุขนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย ผู้ประสบความสำเร็จนั้นก็เป็นเพียงคนที่กินกุศลเก่า เอากรรมเก่าของตนเองมาใช้เสพกิเลส ส่วนคนที่โลภอยากได้ตามเขาก็ต้องเจ็บช้ำไปตามๆกันเพราะตัวเองไม่มีกุศลเก่าให้กินให้ใช้เหมือนคนอื่นเขาก็เลยต้องขาดทุนกันเรื่อยไป

ผู้ที่คิดจะเอาดีในทางธรรม หรือต้องการจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หากยังข้องแวะกับอบายมุขหรือการลงทุนในตลาดหุ้นหรือการลงทุนในลักษณะอื่นๆที่ใกล้เคียงกัน ก็ยากจะพบกับความผาสุกในชีวิต เพราะกิเลสหยาบแสนหยาบในระดับอบายมุขตัวเองยังพ้นไปไม่ได้ ยังยินดีที่จะจมอยู่ในนรกโดยแลกมาด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็ไม่มีวันที่จะออกจากขุมนรกนี้ได้ ไม่มีวันผาสุก ต้องวนเวียนอยู่ในความฉิบหายอีกนานแสนนาน

….ความร่ำรวยไม่ได้หมายความว่าจะสนองกิเลสได้ทุกอย่าง

การที่เรามีความร่ำรวย มีเงินทองสนองกิเลสนั้นไม่ได้หมายความจะสนองกิเลสได้ทุกอย่างเสมอไป ในมุมคนที่ไม่เคยมีลาภ มีเงินทองก็มักจะมองว่า หากฉันมีเงินฉันจะมีความสุข หากฉันร่ำรวยชีวิตของฉันจึงเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ แบบนี้มันคิดแบบคนไม่เคยมี พอไม่เคยมีก็ไม่เคยเห็นกิเลสตัวเอง

กิเลสนี่แหละคือสิ่งที่เหนือชั้นเหนือความร่ำรวยขึ้นไปอีก หากเรามีลาภเราก็จะอยากได้ยศ พอมียศเราก็จะอยากได้สรรเสริญ ทั้งหมดเพราะเราเมาในโลกียสุขนั่นเอง กิเลสไม่เคยปล่อยให้เราพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน มันจะกระตุ้นความอยากในจิตใจของเราให้ออกไปแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า สิ่งที่แพงกว่ามาเสพเสมอ

เมื่อเรามีเงิน กิเลสก็จะชักจูงเราไปเสพสิ่งต่างๆเพื่อบำเรอกิเลส การหาเงินเก่งไม่ได้หมายความว่าจะเก็บเงินเก่ง ถึงจะเก็บเงินดีอย่างไรสุดท้ายก็ต้องเสียไปให้กิเลสอยู่ดี ถ้าจะสรุปจริงๆก็คงจะเป็นหาเงินเพราะกิเลสตั้งแต่แรก มันมีกิเลสเป็นตัวบงการแต่แรก ยอมเป็นทาสกิเลสตั้งแต่เริ่มจนจบนั่นแหละ

ซ้ำร้ายเงินและความมั่งคั่งไปด้วยยศและชื่อเสียงก็ยังไม่ใช่สิ่งที่บันดาลสุขให้ได้เสมอไป หากเราพบว่าตัวเรานั้นเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย ถึงจะร่ำรวยและมีคนนับหน้าถือตาเพียงใด ก็คงจะไม่สามารถทำให้เรามีความสุขได้เท่าก่อนหน้าที่เราจะพบว่าเราป่วยอย่างแน่นอน นั่นเพราะเงินซื้อไม่ได้เสียทุกอย่าง คนที่ลงทุนในตลาดหุ้นแล้วมองว่าถ้ามีเงินก็จะได้สนองกิเลสได้นั้นเป็นการประเมินกำลังของกิเลสที่ผิดอย่างมหันต์

….ความไม่เที่ยงของหุ้นและชีวิตนักลงทุน

แม้ว่าเราจะมองว่าการลงทุนในหุ้นเป็นการออมเงินที่ได้ผลกำไรดีวิธีหนึ่ง แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่เที่ยงอยู่ดี เพราะในมุมของโลกียะถ้ามีผลดีก็ต้องมีผลไม่ดีอยู่คู่กันเสมอ การออมในหุ้นจึงเป็นคำเรียกที่ดูดีเอาไว้หลอกคนโลภให้มั่นใจในการเล่นหุ้นเท่านั้นเอง

การที่เรามีเงินมากมายในตลาดหุ้นไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นหลักประกันในชีวิตของเราได้เสมอไป ยังมีเหตุปัจจัยอีกมากมายที่บีบให้เราต้องสละทรัพย์ทั้งหมดเพื่อสิ่งอื่น เช่นเมื่อเราเล่นหุ้นไปสักพักสะสมวิบากบาปได้จนเหมาะสม กรรมก็อาจจะดลบันดาลให้เราหรือคนรักของเราป่วย ทำให้เงินที่เราสะสมมาต้องถูกใช้ไปหมดในพริบตาก็ว่าได้

ปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้ตลาดหุ้นมีสภาพไม่เที่ยงนั้นมีมากไปหมด ตั้งแต่เศรษฐกิจและสังคม จนถึงการปั่นหุ้นของคนมีกิเลสด้วยกันก็ทำให้เกิดสภาพเหล่านั้น เมื่อสภาพเหล่านั้นไม่เที่ยงแต่เรากลับไปยึดเกาะด้วยหมายที่จะเอาชนะ ยึดมั่นถือมั่นว่าฉันนี่แหละแน่ ฉันนี่แหละคือคนที่จะได้กำไรในสภาพไม่เที่ยงเหล่านี้ ดูสิกิเลสมันอหังการขนาดไหน ขนาดเห็นกันอยู่ชัดๆว่าเป็นการพนันบนสภาพที่แปรผันตลอดเวลายังเมามายในอบายมุขกันได้อย่างภาคภูมิใจ

คงจะเหมือนดังที่เขาเปรียบไว้ว่า “แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ” แต่จะว่าเหมือนก็คงไม่ใช่ แมลงนี่มันมีปัญญาน้อย การที่มันจะหลงในแสงสีของไฟก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลก แปลกตรงคนที่เรียกตัวเองว่าเป็น มนุษย์ผู้ประเสริฐแต่กลับหลงเมามายอยู่ในอบายมุขและเห็นกงจักรเป็นดอกบัว มองว่าการพนันอย่างการลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องดีเสียอย่างนั้น

….วิบากกรรมของคนเล่นหุ้น

ขึ้นชื่อว่าอบายมุข หรือทางฉิบหายในชีวิตแล้ว วิบากกรรมหรือผลกรรมที่เกิดจากการเล่นหุ้นนั้นคงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ในมุมแรกคือหากเราประสบความสำเร็จจากการเล่นหุ้น ก็จะไปเหนี่ยวนำหรือเป็นตัวอย่างให้คนอื่นเล่นหุ้นตาม แล้วก็จะมีคนที่เข้าสู่อบายมุขเพิ่ม แม้เขาจะได้กำไรหรือขาดทุนก็ถือว่าเป็นการชักจูงคนเข้าสู่อบายมุข แม้จะมีหน้าตาสดใส แต่งตัวดี ผูกไทด์ใส่สูทสร้างภาพดูหรูหราน่าชื่นชมอย่างไร สุดท้ายก็เป็นแค่ทูตแห่งอบายมุขเท่านั้นเอง

แล้วเงินที่เราลงทุนไปในตลาดหุ้นนั้นสร้างอะไรให้กับเรา ในมุมของนักลงทุนเขาก็จะบอกว่านำไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศชาติเจริญ แต่ในมุมของธรรมะไม่ใช่แบบนั้น เงินที่เราลงทุนไปในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งนั้นต้องดูให้ดีว่าเขามีธรรมาภิบาลหรือไม่ เขาประกอบสัมมาอาชีวะหรือไม่ ผิดมิจฉาวณิชชาหรือไม่ หากเขาทำธุรกิจบาป เราก็จะกลายเป็นคนที่สนับสนุนบาป ก็ได้บาปร่วมกันกับเขาไป แต่ถ้าหากฉากหน้าเขาเป็นธุรกิจที่ดี แต่รู้หรือไม่ว่าเงินที่ลงทุนนั้นถูกโยกย้ายไปมาอยู่เสมอ ธุรกิจของเขาอาจจะเป็นธุรกิจที่ดี แต่เขาเอาเงินลงทุนที่เราลงไปส่วนหนึ่งไปลงทุนกับอีกบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นธุรกิจบาป เราก็ต้องรับในวิบากกรรมส่วนนี้ไปด้วย เพราะเราเป็นหนึ่งในแรงหนุนให้เขามีกำลังไปทำบาป

ทีนี้พอเราสนับสนุนธุรกิจบาปเข้ามากๆ บาปก็จะกลับมาเล่นงานเราเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเราไปลงทุนในธุรกิจอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์เช่นไก่ทอด เราก็จะอยากสนับสนุนให้บริษัทที่เราลงทุนไว้มีกำไรเราจึงกินไก่ทอดนั้น พอมีคนมาชวนให้กินมังสวิรัติซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่บาปของเราจะก็จะต่อต้านในทันทีเพราะขัดแย้งกับสิ่งที่เราลงทุนไว้ เห็นไหมนี่เป็นเพียงมุมเล็กๆที่เกิดจากความเห็นผิดไปในอบายมุขเท่านั้น

วิบากบาปจากการลงทุนในตลาดหุ้นยังมีอีกมาก หากสังคมยังเคลื่อนที่ไปด้วยทุนนิยม ชีวิตจะไม่มีวันพบกับความผาสุกเลย ลองสังเกตเมืองใหญ่ที่มีเงินมากมายมหาศาล มีเม็ดเงินหมุนเวียนกันสร้างวัตถุได้ยิ่งใหญ่มากมาย แต่กลับมีความสุขไม่มากเท่าประเทศเล็กๆอย่างภูฏานซึ่งแทบจะไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เลย

คนที่หลงว่าทุนนิยมคือความสุขนี่แหละคือวิบากบาปของคนที่หลงมัวเมาในเงิน ในความมั่งคั่งจนบดบังความจริงของชีวิต กิเลสมันจะบังไว้หมด ทำให้หลงว่าเงินและความเจริญของประเทศคือความสุข มันจะไม่เห็นว่าความพอเพียงคือความสุข และความเข้าใจนี้เองที่จะผลักดันให้พวกเขาเดินหน้าสู่นรกอย่างมั่นใจ นี้เองคือพลังแห่งวิบากบาปที่ทำให้เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

….การลงทุนในโลกียะกับชาติภพที่ไม่มีวันจบสิ้น

นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นหรือในการลงทุนอื่นๆที่มีลักษณะคล้ายๆกัน คือนักลงทุนที่วิเคราะห์และเข้าใจได้เพียงความเป็นอยู่ในชีวิตนี้เท่านั้น จึงตัดสินใจลงทุนแม้ว่ามันจะเป็นอบายมุข จะเป็นการพนันแค่ไหนก็ยินดีที่จะทำเพราะมองเห็นเพียงแค่ว่า ขอให้ฉันมีชีวิตที่สุขสบายในชาตินี้ก็เพียงพอ

แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้จบแค่ตาย ความตายเป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านของภพหนึ่งไปภพหนึ่ง เปลี่ยนจากคนแก่เปลี่ยนชีวิตที่ใกล้ตายไปเป็นชีวิตใหม่ โดยใช้กรรมเก่าที่ทำมาในชาติที่ผ่านมา ร่วมกับกรรมเก่าที่เก็บสะสมไว้หลายต่อหลายชาติก่อนหน้านี้ สังเคราะห์ขึ้นมาเป็นร่างใหม่ในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมแก่กรรม

ดังที่เราเห็นได้ว่า เราเกิดมาพร้อมกับปัจจัยที่ไม่เท่ากันในแต่ละคน บางคนรวย บางคนจน บางคนหน้าตาดี บางคนธรรมดา บางคนปกติ บางคนพิการ ในเมื่อผลของกรรมคือการรับสิ่งที่เราทำมา แต่เราเกิดมาเรายังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็มีพ่อแม่มาเลี้ยงแล้ว ดังนั้นไม่ว่าการเกิดมาในภพใด จะยากดีมีจน มีคนรักมีคนดูแลหรือถูกทิ้ง ล้วนเกิดจากกรรมที่สะสมไว้ทั้งนั้น เป็นการนำกุศลกรรมเก่ามากินมาใช้ในช่วงที่ยังเป็นเด็ก

ทีนี้นักลงทุนที่มองเพียงแค่ชาติเดียวก็จะลงทุนพลาด จะลงทุนไปเพียงแค่ในเชิงโลกียะ หรือแม้จะทำกุศลก็ทำไปเพียงแค่ในเชิงโลกียะ การจะเกิดมารวยหรือจนนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งสำคัญคือการเกิดใดๆล้วนต้องประสบทุกข์ ไม่ว่าจะปุถุชนหรือพระอรหันต์ก็ต้องเจอกับทุกข์

ดังนั้นการลงทุนของนักลงทุนทั่วไปก็จะสามารถทำให้ตัวเองมีกินมีใช้ในชาตินี้หรืออย่างมากก็ชาติหน้าเท่านั้น แต่นักลงทุนที่เก่งกว่าจะมองเห็นไปถึงวัฏสงสารที่แสนยาวไกล จึงวางแผนได้ไกลกว่า วิเคราะห์ได้ลึกซึ้งกว่า เห็นไปถึงรูปและนามที่สะสมมา เห็นกิเลส เห็นภพ เห็นชาติ เห็นการเกิดและการดับใดๆก็ตามในโลกนี้ จึงสามารถจัดสรรการลงทุนให้เป็นไปทางโลกียะและโลกุตระอย่างเหมาะสม ลงทุนทั้งทางโลกและทางธรรมให้เป็นไปอย่างกุศล ทางโลกก็เพื่ออาศัย ทางธรรมก็เพื่อดับกิเลส อาศัยเกิดและดับไปอย่างนี้ทุกชาติ สร้างกุศลซึ่งเป็นกำไรแท้สะสมไปทุกชาติ

ดังนั้นนักลงทุนข้ามภพข้ามชาติจึงไม่กลัวจน แต่จะกลัวรวย เพราะการรวยนั้นหมายถึงการเบิกกุศลเก่ามาใช้เกินพอดี แต่การจนนั้นคือการออม และเก็บสะสมกุศลที่ตัวเองไว้กินใช้ภายหน้า ซึ่งเหมือนกับธนาคารกรรมที่เก็บสะสมไว้ ส่วนจะมีมากน้อยเพียงไร คงมีเพียงนักลงทุนผู้นั้นเท่านั้นที่จะรู้ได้

– – – – – – – – – – – – – – –

17.12.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

มังสวิรัติทางสายกลาง การปฏิบัติธรรมด้วยการล้างความอยากเสพเนื้อสัตว์โดยเว้นจากทางสุดโต่งสองด้าน

October 19, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,568 views 0

มังสวิรัติทางสายกลาง

มังสวิรัติทางสายกลาง การปฏิบัติธรรมด้วยการล้างความอยากเสพเนื้อสัตว์โดยเว้นจากทางสุดโต่งสองด้าน

ในสังคมยุคปัจจุบันนี้ การกินมังสวิรัติเป็นสิ่งที่เข้าใจและรับรู้กันโดยทั่วไปว่า เพื่อสุขภาพ เพื่อละเว้นชีวิตสัตว์ เพื่อความไม่เบียดเบียน เพื่อกุศล นั่นก็เป็นความรู้ความเข้าใจที่มีทิศทางไปในด้านบวก ด้านที่เจริญ ซึ่งก็ดีอยู่แล้ว แต่แท้ที่จริงแล้วการกินมังสวิรัติยังมีประโยชน์มากกว่านั้น ยังมีสาระสำคัญมากกว่านั้น หากเราเข้าใจการกินมังสวิรัติเพื่อการปฏิบัติธรรม

แผนที่การเดินทางที่จะทำให้เราไปสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืนนั้นก็คือทางสายกลาง เป็นทางเดียวที่จะพาพ้นจากทุกข์ และเช่นเดียวกับการกินมังสวิรัติ หากเราต้องการกินมังสวิรัติอย่างผาสุกและยั่งยืน มีแค่ทางนี้ทางเดียวคือเราจะต้องเป็น “มังสวิรัติทางสายกลาง

ทางสายกลางคืออะไร?

ทางสายกลางนั้นคือมรรควิถี คือสัมมาอริยมรรค แต่การจะเดินไปบนเส้นทางสายกลางนั้นไม่ง่าย ไม่ใช่เพียงแค่คิด ไม่ใช่เพียงแค่ท่องจำ ไม่ใช่เพียงแค่รู้ ไม่ใช่เพียงแค่เข้าใจ ไม่ใช่เพียงแค่เพ้อฝันเอาเองว่ากำลังเดินบนทางสายกลางแต่ต้องพากเพียรปฏิบัติจนถึงผลนั้น

การจะมาสู่ทางสายกลางนั้น เราต้องต้องเว้นจากทางโต่งทั้งสองด้านเสียก่อน เหมือนกับคนเมาที่เดินเซไปเซมา ซ้ายทีขวาที เราเองก็เช่นกัน ถ้าเรายังเป็นคนที่หลงมัวเมาอยู่ในกิเลส เราก็จะเดินหลงไปทางโต่ง ไม่ด้านในก็ด้านหนึ่ง สลับกันไปมา ไม่สามารถเดินตรงได้สักที

การจะบอกว่าตนเองนั้นหลงมัวเมาอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะโดยส่วนมากคนที่หลงมัวเมาก็จะไม่รู้ว่าตัวเองมัวเมา หรือหลงยึดหลงติดอยู่กับอะไร ดังนั้นการนำศีลเข้าไปปฏิบัติจะทำให้เราได้เห็นขอบเขตการมัวเมาของเรา เหมือนกับเอาเชือกมากั้นไว้ไม่ให้เดินออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งการกินมังสวิรัติก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะทำให้เราได้เห็นความมัวเมาลุ่มหลงในทางโต่งสองด้านนั่นเอง

ทางโต่งสองด้าน

ด้านกาม หรือ กามสุขลิกะ …คือการโต่งไปในทางการเสพ ในกรณีมังสวิรัติ นั่นคือการที่เรายังไปกินเนื้อสัตว์อยู่ ไม่ว่าจะในกรณีใดๆก็ตาม หากกินด้วยความอยาก ด้วยความอร่อย ด้วยความติดใจในรสชาติของเนื้อสัตว์นั้น ก็หมายถึงการติดกาม เป็นทางโต่งทางหนึ่งที่ควรละเป็นอันดับแรก เพราะจะเกิดการเบียดเบียนผู้อื่นอย่างเป็นรูปธรรม คือการเอาเลือดเอาเนื้อของสัตว์อื่นมาบำรุงกิเลส บำรุงกามของเรา เป็นอกุศล เป็นบาป จึงควรละทางโต่งด้านนี้เสีย

ด้านอัตตา หรือ อัตตกิลมถะ… คือการโต่งไปในทางการทรมานตัวเองด้วยอัตตา ในมุมของผู้ที่ยังยึดติดกับเนื้อสัตว์ ก็จะทรมานตัวเองโดยการกินเนื้อสัตว์ เพราะหลงยึดหลงติดว่าเนื้อสัตว์นั้นมีคุณค่าทางอาหาร หากไม่บริโภคเนื้อสัตว์แล้วจะป่วย จะไม่แข็งแรง เป็นอัตตาที่ยึดไว้ ทำให้ต้องทรมานตัวเองด้วยการกินเนื้อสัตว์

ทรมานอย่างไร? ในเมื่อกินแล้วมีความสุขจากเสพ ..พระพุทธเจ้าตรัสว่า “การเบียดเบียนทำให้มีโรคมากและอายุสั้น” ผู้ที่ยังหลงติดหลงยึดในการเบียดเบียนเพราะเข้าใจไปว่าต้องเบียดเบียนเพื่อให้ตัวเองแข็งแรง เพื่อสุขภาพดีนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด ดังนั้นจึงเป็นการทรมานตัวเองด้วยวิบากบาปอันเกิดจากความไม่รู้แจ้งในเรื่องกรรมและผลของกรรม

และเมื่อเรายึดเนื้อสัตว์เป็นอัตตา แม้จะมีผู้รู้ท่านใดมาบอกว่าการยึดนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิเพียงไร คนผู้ยึดอัตตาก็มักจะกอดความยึดมั่นถือมั่นว่าเนื้อสัตว์นั้นดี เป็นการทรมานตัวเองไปเรื่อยๆ โดยการกอดกิเลสไว้ไม่ยอมให้ตัวเองพ้นทุกข์

ในอีกมุมหนึ่งของอัตตาคือความยึดดี ถือดี อวดดี มักเกิดขึ้นในผู้ที่สามารถละทางโต่งในด้านกามได้สมบูรณ์แล้ว คือไม่ไปเสพเนื้อสัตว์แล้ว ก็จะมีความยึดดี หลงว่าสิ่งที่ตัวทำนั้นดี มักจะเอาความรู้ ความถือตัวไปข่ม ไปเบ่งทับคนที่เขายังไม่สามารถละกิเลสได้ ซึ่งการยึดดีถือดีเหล่านี้ก็เป็นการเบียดเบียนเหมือนกัน สุดท้ายพอไม่ได้ดั่งใจ ไม่สามารถทำให้ใครมากินมังสวิรัติได้อย่างใจ ก็มักจะทุกข์ใจ ขุ่นเคืองใจ เป็นการทรมานตนเองด้วยอัตตา เป็นทุกข์เพราะความยึดดี ถือดี เป็นการเบียดเบียนทั้งคนเองและผู้อื่น มักจะเสพยินดีกับเหตุการณ์ที่ตัวเองคิดว่าต้องเกิดดี พอไม่เกิดดีดังใจหมายก็ทุกข์ก็มักจะทำร้ายตัวเองและผู้อื่นด้วยความยึดดี เป็นการบำรุงอัตตาของเรา เป็นอกุศล เป็นบาป จึงควรละทางโต่งด้านนี้เสียด้วย

…ดังจะเห็นได้ว่า การกินมังสวิรัติทางสายกลางนั้น ไม่ได้หมายถึงการกินเนื้อสัตว์บ้างกินผักบ้าง แต่เป็นการเว้นขาดจากการไปเสพกาม เว้นจากการเสพเนื้อสัตว์ หรือไม่ไปกินเนื้อสัตว์เลย และไม่ทรมานตนเองด้วยอัตตา คือความยึดดี ถือดี ยึดว่าคนอื่นต้องกินผัก เลิกกินเนื้อสัตว์จึงจะเป็นสุข กินมังสวิรัติด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่รังเกียจเนื้อสัตว์ ไม่ได้รักผัก แต่ก็ไม่กินเนื้อสัตว์ และยินดีในการกินผัก

การกินมังสวิรัติทางสายกลางนี้และคือทางเดียวที่จะทำให้ชีวิตตนเองและผู้อื่นเป็นไปด้วยความผาสุก ตัวเราก็ใช้ชีวิตโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น และสามารถเผยแพร่ความรู้ในการกินมังสวิรัติด้วยความเป็นอนัตตา ซึ่งจะทำให้ผู้ที่สนใจสามารถรับฟังและเข้าใจโดยไม่มีความอึดอัดขุ่นเคืองใจ ไม่กดดัน ไม่บังคับ ไม่บีบคั้น เป็นเพียงแค่การเชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ประโยชน์และคุณค่าของการกินมังสวิรัติโดยการปฏิบัติทางสายกลางเท่านั้น ไม่ได้เป็นผู้บงการ ผู้กำกับใดๆ ใครจะกินก็ได้ ไม่กินก็ได้ จะกินมังสวิรัติเฉยๆไม่ปฏิบัติธรรมก็ได้ หรือจะปฏิบัติไปด้วยก็ได้

เมื่อเราปฏิบัติล้างความยึดติดในทางโต่งสองด้านแล้ว เราก็จะเข้าสู่ความผาสุกในชีวิตหรือวิถีแห่งสัมมาอริยมรรคได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นความสุขความเจริญ เป็นคุณค่าที่ถูกสอดร้อยเอาไว้ในการกินมังสวิรัติ ซึ่งการจะเข้าถึงคุณค่าเหล่านี้จึงจำเป็นต้องเรียนรู้การปฏิบัติธรรม ลด ละ เลิก การเสพการยึดไปตามลำดับนั่นเอง

– – – – – – – – – – – – – – –

19.10.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ครูบาอาจารย์ที่ใช่ ตรงใจ ตรงจริต ตรงธรรม

September 25, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 4,118 views 1

ครูบาอาจารย์ที่ใช่ ตรงใจ ตรงจริต ตรงธรรม

ครูบาอาจารย์ที่ใช่ ตรงใจ ตรงจริต ตรงธรรม

การดำเนินชีวิตไปสู่ความผาสุกที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะในทางโลก หรือทางธรรมนั้น สิ่งที่จำเป็นประการหนึ่งก็คือผู้ชี้นำที่ดี…

เพราะคนนั้นเรามีขอบเขตการเรียนรู้ที่จำกัด มีสติที่จำกัด มีปัญญาที่จำกัดการที่เราจะสามารถขยายข้อจำกัดเหล่านั้นได้คือการพัฒนาตัวเอง แต่เราจะพัฒนาตัวเองได้อย่างไรในเมื่อเราไม่รู้วิธีที่จะเพิ่มหรือขยายสติปัญญาเหล่านั้น ดังนั้นการที่เรามีผู้ชี้นำ หรือครูบาอาจารย์ที่ดีนั้น จะสามารถนำพาเราไปสู่ความเจริญได้ทั้งทางโลกและทางธรรม

1.คบหาผู้รู้

พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเกี่ยวกับเหตุแห่งการหลุดพ้นไว้ในอวิชชาสูตร ว่าการที่เราหลงงมงายไปในสิ่งไร้สาระ หลงไปในกิเลสนั้นเกิดจากอวิชชา เป็นความโง่ เป็นความไม่รู้ ซึ่งเหตุแรกสุดของอวิชชานั่นก็คือการไม่คบหาสัตบุรุษ

สัตบุรุษ คือ คนผู้รู้สัจจะ รู้ความจริง รู้วิธีพ้นทุกข์ ท่านเหล่านั้นได้ร่ำเรียนมาจากพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ สะสมบารมีมาหลายภพหลายชาติ จนเกิดความรู้แจ้งในตนเอง เมื่อมีสัจจะ ก็สามารถสอนสัจธรรมได้ เป็นธรรมที่พาไปสู่การพ้นทุกข์ เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด เพื่อความไม่สะสม เพื่อความมักน้อย เพื่อความสงบจากกิเลส เพื่อการละกิเลส ฯลฯ

ดังนั้นเมื่อเราไม่ได้คบหาสัตบุรุษ ก็ไม่มีทางที่จะทำลายอวิชชาได้ หรือเรียกได้ว่าไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมได้เลย

2.ลักษณะของผู้รู้

ผู้ที่เป็นสัตบุรุษนั้น จะสามารถแสดงธรรมอย่างแกล้วกล้าอาจหาญ ไม่ประหม่า ไม่เขินอาย ไม่ลังเล ไม่สับสน เพราะรู้แน่ชัดว่าธรรมที่ตนมีนั้นเป็นของจริง พาพ้นทุกข์ได้จริง สามารถสอบถาม พร้อมทั้งให้ตรวจสอบกันได้ และยังเชื้อเชิญให้มาลองพิสูจน์ธรรมะนั้น เพราะรู้ว่าผู้ใดที่ศรัทธาและปฏิบัติจะเห็นและเข้าใจได้ ไม่ใช่สิ่งเร้นลับ ไม่ใช่เวทมนต์ ไม่ใช่เดรัจฉานวิชา เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ตลอดกาลไม่ว่ายุคใดสมัยใด และเป็นสิ่งที่ควรกระทำให้เกิดธรรมเหล่านั้นขึ้นในวิญญาณของตน

สามารถเล่า ชี้แจ้ง สภาวะ การปฏิบัติ ขั้นตอนต่างๆได้อย่างมีศิลปะ คือมีทั้งสาระและสุนทรียะ ปรับเปลี่ยนร้อยเรียงธรรมให้เข้าใจได้ง่ายอย่างวิจิตรพิสดารให้เหมาะกับผู้ฟังได้ โดยแสดงธรรมไปตามลำดับ หยาบ กลาง ละเอียด โดยมีเหตุผล มีที่อ้างอิง และมีความเอ็นดูเข้าใจต่อผู้อื่น ไม่พูดให้เกิดการกระทบ กดดัน บีบคั้น ทำร้ายทำลายใจ ไม่กักขังหรือผลักไส ไม่ได้สอนเพื่อให้คนมาศรัทธา ไม่สอนเพื่อแลกมาซึ่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ บริวาร บารมีต่างๆ แต่สอนเพื่อให้คนลดกิเลส ให้คนพ้นทุกข์

ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น ไม่ได้อยากสอนและไม่ได้ไม่อยากสอน เพียงแต่มีเมตตาให้กับเพื่อนมนุษย์ผู้ยังมีทุกข์อยู่ จึงใช้ความรู้ที่มีสร้างประโยชน์ให้กับตนคือสร้างกุศลและประโยชน์ของผู้อื่น คือช่วยชี้นำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

สัตบุรุษนั้นไม่จำเป็นต้องมีพรรษาที่มาก ไม่จำเป็นต้องเป็นเพศนักบวช ไม่จำเป็นต้องร่ำรวย มีชื่อเสียง มีคนนับหน้าถือตา มีคนยกย่อง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เพียงแค่มีโลกุตระธรรม คือธรรมที่พาสวนกระแส พาล้างกิเลส เป็นธรรมที่ไม่พาไปตามโลก ขัดกับโลก ขัดใจ แต่ไม่ขัดกับสัจจะ

3.คุณสมบัติของผู้รู้

คุณสมบัติหรือธรรมที่สัตบุรุษพึงมี (สัปปุริสธรรม ๗) ก็คือ ความเป็นผู้รู้ธรรม รู้ทั้งโลกียะธรรมและโลกุตระธรรม ,เป็นผู้รู้สาระประโยชน์ว่าทำสิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดเป็นอกุศล ,เป็นผู้รู้ตน คือรู้ว่าตนเองมีศักยภาพเท่าไหร่ แค่ไหน อย่างไร, เป็นผู้รู้ประมาณ สามารถประมาณ คาดคะเน สิ่งต่างๆให้พอดี ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ,ผู้รู้เวลาอันควร รู้ว่าเวลาใดควรทำอะไร เท่าไหร่ อย่างไร, เป็นผู้รู้หมู่คน รู้ว่าคนหมู่นี้ต้องพูดอย่างไร ต้องปฏิบัติอย่างไร ,เป็นผู้รู้บุคคล รู้ว่าบุคคลนั้นควรจะสอนอย่างไร ควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดความเจริญ

4.การตามหาผู้รู้

การตามหาผู้รู้หรือสัตบุรุษนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตามหาเจอ ไม่ว่าจะเดินทางไปทั่วทั้งแผ่นดิน ทั่วฟ้า ใต้มหาสมุทรก็ไม่มีทางเจอ ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “กรรม

เรามักจะคิดกันไปว่าต้องหาอาจารย์ถูกจริต หาอาจารย์ที่ใช่ เราจะเลือกอาจารย์เอง หรืออาจารย์จะเลือกศิษย์เอง ความเข้าใจเหล่านี้ไม่เที่ยงทั้งนั้น เพราะบางทีก็เลือกได้ บางทีก็เลือกไม่ได้ บางทีที่เลือกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ ไอ้ที่ไม่เลือกกลับกลายเป็นดี ไม่มีอะไรแน่นอน จะยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ นอกจากจะเชื่อใน “กรรม

กรรมจะเป็นผู้ที่เลือกให้เราได้พบกับใคร ได้พบกับอาจารย์ท่านไหน และอาจารย์ท่านไหนจะได้พบกับเรา เพราะการที่เราจะได้พบกับครูบาอาจารย์ท่านนั้น เป็นเพราะเราบำเพ็ญเพียร เรียนรู้ ศึกษาและปฏิบัติร่วมกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว ดังนั้นแม้ว่าเราจะไปเจอครูบาอาจารย์ที่ใครเขาแนะนำว่าดีว่าเยี่ยมเพียงใด แต่ถ้าเราไม่เคยเกื้อกูลกันมา ก็มักไม่ถูกใจ ไม่เข้าใจ ถึงจะพยายามก็จะอยู่กันได้ไม่นาน หรือที่เรียกว่าไม่ตรงจริตนั่นเอง

ผู้ที่ไม่มีกรรมดีมาหนุนนำ แม้จะพบสัตบุรุษอยู่ตรงหน้า ได้พูดคุยสนทนากันนานหลายชั่วโมง ก็อาจจะไม่เข้าใจ ไม่รับรู้ ไม่ถูกใจก็ได้ เพราะวิบากบาปหรือบาปกรรมที่เขาเหล่านั้นได้กระทำไว้ ได้บังไม่ให้เขาได้เข้าถึงสิ่งที่ดี สิ่งที่มีประโยชน์คอยขัดขวางไม่ให้เขาเจอกับผู้รู้ธรรม ให้เขาได้ทนทุกข์นานเท่าที่กรรมจะยังมีผล

5.การจะได้พบผู้รู้

การได้เกิดมาพบพระพุทธเจ้านั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก หากไม่เคยทำกุศลมามากพอ ก็จะไม่มีวันได้พบกับสัตบุรุษใดๆเลย ถึงแม้จะพบ ก็เหมือนไม่ได้พบ แม้จะใกล้ชิดก็เหมือนไม่ได้ใกล้ชิด

การที่เราจะได้พบผู้รู้นั้น จำเป็นต้องสร้างกุศลกรรม หรือการสะสมบุญบารมีที่มากพอเราจึงต้องทำดีไปเรื่อย ช่วยเหลือคนไปตามที่ทำได้ แบ่งปัน เสียสละ ทำทาน ถือศีล อดทนฝืนข่มสู้กับกิเลสเท่าที่จะทำได้ ในวันใดวันหนึ่งเมื่อเราทำกุศลไปเรื่อยๆ เมื่อสะสมบุญบารมีที่มากพอ กรรมจะจัดสรรให้เราได้เข้าถึงกุศลที่ยิ่งใหญ่ขึ้น

เช่น เมื่อเราทำบุญทำทานไปเรื่อยๆ อยู่มาวันหนึ่งก็บังเอิญไปทำทานให้กับพระอริยะ ซึ่งก็เป็นทานที่ทำให้เกิดอานิสงส์มากกว่าทำทานกับ สัตว์ คน หรือพระทั่วไป เมื่อได้ทำสิ่งที่เป็นกุศลมากขึ้น ก็จะผลักดันให้เราได้เจอกับผู้รู้ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกรรม เมื่อเราสะสมกรรมดีมากๆ กรรมดีก็จะผลักดันเราให้ทำกรรมดีที่มากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากจากหยุดชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใสจากความเศร้ามองซึ่งมีที่มาจากกิเลส

ใครที่ยังรู้สึกว่าตามหาผู้รู้หรือครูบาอาจารย์ ที่ตอบได้ทุกคำถามที่สงสัยไม่เจอ เป็นเพราะเรายังทำดีไม่มากพอ เหมือนเรายืนอยู่บนบันไดขั้นที่ 5 แล้วการจะได้พบผู้รู้นั้นต้องขึ้นบันไดไปขั้นที่ 100 การขึ้นบันไดต้องอาศัยพลังกุศลเป็นตัวผลักดัน เมื่อเราทำกุศลมากๆ วันหนึ่งเราก็จะได้พบเจอเอง

ในทางกลับกัน ถ้าเราอยู่บันไดขั้นที่ 5 แล้วมีผู้ไม่รู้ ผู้หลงผิดเข้าใจว่าตนเป็นครูบาอาจารย์ อยู่ในบันไดขั้นที่ 3 เมื่อเราเผลอทำอกุศลหรือสิ่งชั่ว ทำสิ่งไม่ดีมากๆ อกุศลก็อาจจะพลักดันให้เราไปเจอกับอาจารย์ที่เป็นผู้มัวเมา หลอกลวง หรือพระอลัชชี พระนอกรีต ก็เป็นได้

การจะตามหาผู้รู้นั้น เพียงแค่ทำกุศลให้ถึงรอบ เมื่อถึงเวลาที่ควรเมื่อไหร่ก็จะได้พบเอง การตั้งจิตโดยไม่ได้ทำกุศลนั้น ก็เหมือนเรายืนอยู่ที่บันไดขั้นที่ 5 แต่เฝ้าฝันว่าจะไปถึงบันไดขั้นที่ 100 โดยที่ไม่ก้าวขาออกไป ดังนั้นในชีวิตนี้คงจะไม่มีวันเจอ

เมื่อไม่เจอก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ เกิดมาตายไปเปล่าๆ หนึ่งชาติ แล้วก็ต้องเกิดมาหลงทางใหม่อีกหนึ่งชาติและเกิดต่อไปอีกหลายชาติ ถ้าจังหวะพอเหมาะวิบากบาปส่งผลก็อาจจะได้ไปเกิดในช่วงกลียุคที่ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐๐ ยามที่พุทธศาสนาสูญสิ้น มีแต่คนบาปเต็มโลก ไม่สามารถทำกุศลได้ มีแต่อกุศล ก็เป็นโอกาสที่คนชั่วจะได้สะสมบาป สะสมอกุศลเพื่อเก็บไว้ทรมานในนรกกันต่อไป

6. แล้วเป็นผู้รู้จริงรึเปล่า

เมื่อเราไปคบคุ้นคบหากับผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นครูบาอาจารย์ อ้างว่าตนนั้นเป็นผู้รู้ อ้างว่ารู้ธรรมของพระพุทธเจ้า อ้างว่าเป็นอรหันต์ อ้างว่าเป็นผู้ไม่กลับมาเกิดอีก

พระพุทธเจ้าท่านไม่สอนให้เชื่ออะไรง่ายๆ ท่านได้ตรัสไว้ในกาลามสูตรว่า อย่าได้เชื่อถือตามที่ได้ยินมา ตามที่เขาเล่ามา ตามที่เป็นข่าวลือ ตามตำเรา ตามที่เดาเอาเอง คาดคะเนเอาเอง นึกคิดเอาเอง อย่าเชื่อเพราะท่านเหล่านั้นคิดตรงกับเรา หรือเพราะเขาดูน่าเชื่อถือ หรือแม้กระทั่งคนผู้นั้นเป็นครูบาอาจารย์ของเราก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ ท่านให้พิจารณาเอาว่าสิ่งนั้นหรือธรรมที่กล่าวอ้างนั้นปฏิบัติแล้วเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าเป็นกุศลก็ปฏิบัติให้เข้าถึงที่สุดแห่งกุศลนั้น แต่ถ้าเป็นอกุศลก็ให้ถอยห่างออกมา

ในสมัยพุทธกาลก็มีพระที่หลงผิดอยู่มาก หลงเข้าใจว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ก็มี ทำให้อัครสาวกต้องคอยตามแก้มิจฉาทิฏฐิกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าในสมัยนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ความเสื่อมของพุทธนั้นได้มาถึงครึ่งทางแล้ว ความหลงผิด ความมัวเมาย่อมจะรุนแรงและขยายตัวมากกว่าในสมัยพุทธกาลอย่างแน่นอน

ถ้าอยากรู้ก็ลองปฏิบัติตามท่านที่เราศรัทธาดู ถ้าทำเต็มที่แล้ว ถามท่านก็แล้ว ยังคงสงสัย ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแล้วก็ยังรู้สึกว่า กิเลสไม่ลด ชีวิตยังเหมือนเดิม ปีที่แล้วชอบกินน้ำอัดลม ปีนี้ก็ยังชอบกินน้ำอัดลมเหมือนเดิม ก็ให้ลองถามท่านดูว่าจะกำจัดความอยากนี้ได้อย่างไร ถ้าเราคอยปรึกษาและทำตามท่านอย่างเต็มที่แล้ว ปฏิบัติไม่มาไม่ไป ไม่เจริญ ก็มีสองอย่าง 1.เรามีวิบากบาปที่จะกั้นไม่ให้เราบรรลุธรรม ให้ทำดีให้มากๆ 2. ท่านไม่ได้รู้จริง … ให้ลองแก้ที่ข้อ 1 ให้เต็มที่ก่อน คือปฏิบัติตามท่านแล้วทำดีให้มากๆ ก็จะรู้เองว่าสุดท้ายคำคอบคืออะไร

7.ไม่ต้องพบสัตบุรุษแล้วบรรลุธรรมได้ไหม?

เราทุกคนไม่ว่าจะเกิดมาอีกสักกี่ครั้งก็จะมีบาปบุญ ภูมิเก่า และกรรมสะสมมาด้วยเสมอ ถ้าหากท่านบำเพ็ญเพียรจนเป็นพระอรหันต์มีหลายภพหลายชาติแล้ว เก็บสะสมปัญญาบารมี สะสมโลกะวิทู คือการรู้โลกนี้(โลกียะ)และโลกหน้า(โลกุตระ)อย่างแจ่มแจ้ง มากพอที่จะทำให้จิตตั้งมั่นว่าจะบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่จำเป็นต้องพบสัตบุรุษในชาตินั้นๆ ดังจะสังเกตได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ได้เองโดยไม่มีใครสอนธรรมะแท้ของพุทธให้กับท่านเลยในชาตินั้น นั่นเกิดมาจากการที่ท่านสะสมบุญบารมีมานานนับ 4 อสงไขย กับแสนมหากัป

ในสมัยนี้ก็มีมาก ที่มีผู้มัวเมา ตีขลุม ตีกิน ทึกทักเอาเอง อวดอ้างเอาเอง ว่าตนนั้นบรรลุธรรมมีบุญบารมีมาก ก็ขอให้ท่านใช้ปัญญาพิจารณากันเอาเองว่าท่านเหล่านั้นมีลักษณะและคุณสมบัติของสัตบุรุษหรือไม่

– – – – – – – – – – – – – – –

25.9.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์