ความหลง ความรัก ความตาย : เมื่อรักทำร้าย กลับกลายเป็นยาพิษ

December 8, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 625 views 0

ความหลง ความรัก ความตาย : เมื่อรักทำร้าย กลับกลายเป็นยาพิษ

ความรักที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่สวยงาม หอมหวาน เป็นสิ่งที่หลายคนแสวงหา ยอมทุ่มเท ลงทุนลงแรง เสียเวลามากมายเพื่อที่จะได้มันมาครอบครอง แต่สุดท้ายรักนั้นกลับเบาบางกว่าเมฆหมอก ไม่มีตัวตน สลายหายไป ทิ้งไว้แต่ความผิดหวัง

ถ้ามีรักแล้วมันเป็นสุขตลอดไป ก็คงจะไม่มีคนทุกข์ แต่ใช่ว่าคนจะแก้ปัญหาที่ความทุกข์ พวกเขากลับไปแก้ปัญหาที่ความรัก โทษรัก ใส่ความว่ารักนั้นทำให้ผิดหวัง เป็นทุกข์  ทั้งที่คนที่ไปตั้งความหวังไว้ผิด ๆ ก็คือคนที่แสวงหาความรักเหล่านั้น การแก้ปัญหาของพวกเขาคือแสวงหาคนรักที่ดีขึ้น มั่นคงขึ้น สุขยาวนานขึ้น นั่นคือทิศทางของความคาดหวังที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากความใคร่อยากเสพความรัก กลายเป็นความกลัวความผิดหวัง จึงพยายามหาสิ่งที่จะป้องกัน มาประกันให้รักนั้นคงอยู่ให้นาน เท่าที่ตนจะได้เสพสมใจตลอดไป

การป้องกันรักร้าวแตกสลายที่คนนิยมทำกันคือการยอม ยอมตามใจ ยอมให้ ยอมแพ้ ยอมเป็นเบี้ยล่าง ยอมเสียตัว ยอมเสียศักดิ์ศรี ยอมเป็นทาส ฯลฯ เพื่อแลกมาซึ่งการดำรงอยู่ของความรักเหล่านั้น แต่ถึงแม้จะยอมสักเท่าไหร่ จะจ่ายสักเท่าไหร่ จะแลกไปสักเท่าไหร่ ก็ไม่ได้หมายความรักนั้นจะไม่แปรผัน ความรักเหล่านั้นยังอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์ คือลักษณะ 3 อย่าง คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตน

ผู้คนพยายามแสวงหาหนทางที่จะเอาชนะไตรลักษณ์ พยายามที่ก้าวข้ามความไม่เที่ยง ความทุกข์ และสร้างตัวตนขึ้นมาจากความว่างเปล่า ก็จริงอยู่ที่ว่าเขาอาจจะมีอำนาจ บารมีที่สามารถดำรงสภาพเหล่านั้นไว้ได้ช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีสิ่งใดในโลกหนีจากไตรลักษณ์ได้เลย เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็ต้องเจ็บปวด ผิดหวัง ทรมาน ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ นำมาซึ่งการกล่าวหากัน ทำร้ายกัน จนถึงขั้นฆ่ากันตาย ไม่ฆ่าคนอื่น ก็ฆ่าตัวเอง ด้วยความคับแค้นใจ ทนไม่ได้ ยอมรับไม่ได้กับสภาพรักที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่มั่นคง ไม่แท้ ไม่จริง

ทุกวันนี้มีข่าวคนตายเพราะความรักมากมาย เรียกได้ว่าเห็นเกือบจะทุกวัน วันละ 1-2 ข่าว อันนี้เท่าที่เขานำมาทำข่าว ที่ไม่รู้อีกตั้งเท่าไร ความร้ายของความรักนั้นยิ่งกว่าอุบัติเหตุ เพราะจิตโลภ โกรธ หลง นั้นมีน้ำหนักที่แตกต่างกันไปตามเหตุ  อุบัติเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความประมาท (กรรมใหม่) อีกส่วนหนึ่งเกิดจากวิบากกรรมเก่า(ผลของการกระทำเก่า) แต่การทำร้ายกันเพราะความรัก ถูกกำหนดด้วยจิตอันมีกิเลสเป็นอำนาจในปัจจุบันล้วน ๆ ว่าจะทำหรือไม่ทำ ถ้ากิเลสมากก็ร้ายแรงมาก ถ้ามีธรรมะก็อาจจะพอข่มอาการได้บ้าง แต่ถ้าไม่มีกิเลส ก็จะไม่มีความเบียดเบียนใด ๆ เกิดขึ้นเลย

ถ้าเกิดบาดหมางกับคนดีมีศีลธรรม อย่างมากก็แค่ทุกข์ใจ ส่วนทุกข์กายนั่นก็แล้วแต่ใครจะปรุงสารพัดอาการไม่สบาย กินไม่ได้นอนไม่หลับขึ้นมาเอง แต่คนส่วนใหญ่ในโลกนั้นไม่ใช่คนมีศีลธรรม โดยมากแล้วเป็นคนไม่มีศีล แรกคบหากับคนไม่มีศีลก็อาจจะไม่เห็นโทษเห็นภัยอะไร แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมา กิเลสมันกำเริบ มันก็จะทำผิดเกินไปถึงขีดที่อันตราย ด่ากันได้ ทำร้ายกันได้ ฆ่ากันได้ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวถึงมงคลชีวิต อันดับแรกเลยคือไม่คบคนพาล และในกรณีที่จำเป็นต้องเลือกคู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ให้เลือกคนมีศีล ศีลธรรมนั้นจะคุ้มครองคน ไม่ให้ทุกข์มาก ไม่ให้ลำบากมาก ดีที่สุดคือคบหาคนมีศีลระดับที่เขาไม่ยินดีในคู่ครองนั่นแหละ จะแคล้วคลาดปลอดภัย เพราะเขาไม่มายุ่งอะไรกับเราแน่ ๆ อันนี้ก็เป็นกรณีของการถูกคลุมถุงชน

แต่สมัยนี้ไม่ค่อยมีหรอกคลุมถุงชน ก็มีแต่เลือกกันตามความหลงเท่านั้นแหละ ชอบแบบไหน ยึดมั่นถือมั่นแบบไหน ก็เอาแบบนั้น เคยได้ยินผู้หญิงที่เขาชอบผู้ชายเจ้าชู้ไหม? นั่นเขาชอบรสจัดแบบนั้น มันต้องมีลีลา ท่าทีเย้ายวน ล่อลวง หอมหวาน อันนี้มันก็ติดเสพรสไปตามอัตตาที่มี ดีไม่ดีจะเป็นอัตตาซ้อนไปอีกว่า “ข้าแน่” ข้านี่แหละจะปราบเสือร้าย มันก็เมาขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง คนเขาก็หลงไปตามภพตามภูมิของเขา ชอบอะไรก็ใฝ่หาอันนั้นมาเสพ เป็นความหลงที่พาให้แสวงหา แล้วก็วนเวียน สมหวัง ผิดหวัง เศร้า เหงา แล้วก็หาเสพใหม่ เป็นวงจรที่น่าสงสาร เนิ่นนานผ่านไปหลายภพหลายชาติก็ใช่ว่าจะหมดรส ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งคาดหวัง หาสิ่งใหม่มาเสพ ก็หวังว่าคนใหม่จะดีกว่าคนเก่า หรือไม่ก็มีประสบการณ์มั่นใจว่าเลือกได้ดีกว่าเก่า อันนี้มันก็ยังหลงโง่อยู่

เพราะสุขจริง ๆ สุขแท้ ๆ สุขโดยส่วนเดียวจากความรักมันไม่มีหรอก มันจะมีทุกข์ด้วยเสมอ แล้วเอาจริง ๆ ถ้าตัดเรื่องกิเลสออกไป สุขจากความรักมันไม่มีเลย ที่มันมีเพราะกิเลสมันปรุงสุขขึ้นมา ได้สมใจก็สุข ได้ดั่งใจก็สุข มันก็ไปปั้นสุขลวงขึ้นมาจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง เหมือนกับเด็กที่อยากได้ของเล่น อยากมากจนถึงขั้นร้องห่มร้องไห้ พอโตขึ้นมาคิดย้อนไป อันนั้นเราไปอยากได้ขนาดนั้นได้ยังไงหว่า? นั่นกิเลสมันปรุงสุขลวงมาอย่างนั้น มันเห็นสิ่งไม่มีประโยชน์เป็นสิ่งมีประโยชน์ แล้วก็อยากได้อยากมี พอได้มาแล้วก็หลงเป็นสุขใจ กอดของไร้สาระอย่างเป็นสุข รสสุขจิตเราปั้นขึ้นมาเอง จริง ๆ มันไม่มี

เรื่องคู่ก็เช่นกัน จริง ๆ สุขมันไม่มี แต่ที่มันเป็นสุข เกิดอาการสุข รู้สึกสุข รู้สึกยินดี ปลื้มใจ อิ่มใจ อุ่นใจ พอใจ อะไรเหล่านี้มันก็ปั้นขึ้นมาเหมือนเด็กได้ของเล่นนั่นแหละ ถ้าโตแล้วจะเห็นเลยว่าของเล่นมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย มันมีสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์มากกว่า อันนี้ผู้ใหญ่ที่มีศีลธรรม พ้นทุกข์ พ้นโง่นะ แต่ถ้าผู้ใหญ่แบบหลงมัวเมาไม่เลิก เขาก็ยินดีกับเด็กที่ได้ของเล่นนั่นแหละ เหมือนกับคนที่แก่แล้ว ถึงวัยแล้ว แต่กลับมีจิตยินดีในคนคู่ ในความเป็นคู่ พวกนี้ก็ยังเป็นเด็กในทางธรรมอยู่ เหมือนกับผู้ใหญ่ที่เห็นเด็กเล่นของเล่นแล้วอยากเล่นด้วย ยินดีกับการเล่นนั้นด้วย ส่งเสริมการเล่นนั้นด้วย มันก็พากันเมาไป เรื่องนี้มันก็เข้าใจยาก

คนที่ปฏิบัติธรรมตามหลักพระพุทธเจ้าแล้วสามารถล้างความหลงติดหลงยึดในเรื่องคู่ได้จริง จะไม่วนเวียนอยู่กับการแส่หาความรักอีกต่อไป จะเกิดสภาพของบัณฑิตโดยธรรม คือ มีการประพฤติตนเป็นโสดเป็นธรรมดา ส่วนคนที่พลาดพลั้งไปมีคู่แล้ว ก็จะเห็นความจริงตามความเป็นจริง คือเห็นนรกจริง เห็นความลำบากจริง ๆ เห็นภาระจริง ๆ ที่ต้องแบกไว้ ให้หนัก ให้เหนื่อย ให้ลำบาก ก็จะมีความเหนื่อยกายเป็นหลัก ส่วนความเหนื่อยใจถ้าล้างความหลงไปได้มันก็ไม่ทุกข์ เหลือแต่ภาระ คือวิบากกรรมชั่วที่เคยทำมา ที่ต้องใช้เวลาในการชดใช้ หรือที่เรียกกันว่า “รับกรรม”

ก็ใช่ว่าคนคู่เขาจะออกจากสภาพความเป็นคู่ได้ง่าย ๆ แม้เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าคู่ของเรานั้นจะมีสภาพจิตเหมือนเรา เกิดเขาเป็นผีห่าซาตานมาเกิด แล้วเราดันเลือกเขามาแล้ว ตอนเลือกก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ไม่มีศีลธรรม ต่อมาตนเองก็พัฒนาขึ้น แต่คู่ไม่พัฒนาด้วย มันก็เหมือนผีกับเทวดาอยู่ด้วยกัน อันนี้มันก็ลำบากหน่อย เพราะถ้าจะไปหักกันรุนแรง พาลจะบาดเจ็บล้มตายแล้วกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งกันเปล่า ๆ

คู่เทวดากับเทวดา หรือคนดีมีศีลคู่กัน ถ้าพ้นหลง พ้นโง่ พ้นทุกข์แล้ว ที่เหลือก็แยกวงกันเท่านั้นเอง เพราะการคบหา การแต่งงาน สัญญาเหล่านั้นก็เป็นแค่เรื่องสมมุติขึ้นมา พอไม่ได้ยึดสมมุติ มันก็เลิกได้ทุกเมื่อ ก็แค่ตกลงกันว่าจะเอาอย่างไร เหมือนกับกรณีของพระมหากัสสปะ ที่มีคู่มีบารมีทางธรรมเหมือนกัน พอนึกจะเลิก ก็เลิกได้เลย แล้วก็แยกกันไปบวชตามทางของแต่ละคน

ส่วนคู่ผีกับผี ก็เป็นอย่างหัวข้อเรื่อง พากันหลงวนเวียน สุดท้ายก็จบด้วยความบาดหมาง ว่าร้ายกัน ทำร้ายกัน ฆ่ากันเอง ฆ่าคนอื่น ฆ่าตัวเอง ไม่มีพลังความดีคุ้มภัย ไม่มีศีลไว้คุ้มกันความชั่วของตนเอง ไม่มีกุศลธรรมคอยพาให้แคล้วคลาดปลอดภัย ห้อยพระดังแค่ไหนก็ไม่ช่วย เพราะคนจะเจอดี เจอร้าย ไม่ได้เกี่ยวกับพระที่ห้อยคอเลย แต่เกี่ยวกับกรรมที่ทำมา พระพุทธเจ้าสอนว่าเรามีกรรมเป็นของของตน เราเป็นทายาทของกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราทำกรรมอะไรไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราต้องได้รับผลกรรมนั้นอย่างแน่นอน

… สรุป เรื่องความรักก็เป็นความหลงแบบหนึ่งที่ทำให้คนเบียดเบียนกันได้มากถึงขนาดทำร้ายกัน ฆ่ากันตาย ฆ่าตัวตาย ซึ่งจริง ๆ เป็นเรื่องที่ป้องกันได้ ยับยั้งได้ ลดภัยจากความรักนั้นทำได้ง่ายกว่าลดอุบัติเหตุเสียอีก แต่การจะเข้ามาศึกษาเพื่อลดทุกข์ โทษ ภัยจากความรักให้ถ่องแท้นั้น ทำได้ยากยิ่งเหลือเกิน

27.11.2562

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

แม้เราจะระวังเต็มที่แล้วก็ตามที

December 1, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 634 views 0

แม้เราจะระวังเต็มที่แล้วก็ตามที

บทเรียนจากการไปค่ายพระไตรปิฎกกับแพทย์วิถีธรรม ที่ศาลีอโศก เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้อีกคำสอนหนึ่งจากอาจารย์หมอเขียวผ่านช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างทำงานพัฒนาพื้นที่

การเรียนรู้ภาคทฤษฏีจากอาจารย์นั้น ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ควรศึกษา ควรให้เวลา แต่การเรียนรู้ผ่านภาคปฏิบัตินั้นก็สำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะภาคปฏิบัติที่มีอาจารย์รวมอยู่ด้วย เราจะได้เห็นความเป็นจริงว่า คนที่เราศรัทธาอยู่นั้น คิดอย่างไร ทำอย่างไร

ในครั้งนี้ก็เป็นบทเรียนสั้น ๆ ในระหว่างกิจกรรมขนเศษวัสดุเอามาทำบ่อระบายน้ำไปสู่ใต้ดิน คนส่วนมากก็เข้าร่วมกิจกรรมกันได้สักพักแล้ว ผมก็ตามไปทีหลัง พอไปถึงหน้างาน มีคนทักว่าให้ไปเปลี่ยนกับอาคนที่เขาทำงานอยู่ ตำแหน่งที่อาท่านนั้นยืนอยู่คือจุดที่มีความลาดชันสูง และเป็นตำแหน่งที่ต้องส่งของต่อให้อาจารย์

ผมก็เข้าไปทำเพราะเห็นว่าอาท่านนั้นดูไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไหร่ เราไปแทนก็น่าจะดี ว่าแล้วก็เข้าไปทำ สิ่งที่ต้องระวังคือการส่งของ การรับของนั้นเราไม่ค่อยรู้สึกว่าต้องระวังเท่าไหร่ แต่การส่งให้คนอื่นรับเป็นเรื่องที่ต้องระวังเผื่อเขาไว้ด้วย และคนที่ผมจะส่งต่อให้ก็คืออาจารย์ ดังนั้น มันก็จะระวังเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย

งานลำเลียงวัสดุ ดำเนินไปได้ด้วยตามลำดับ เป็นจังหวะบ้าง ไม่เป็นจังหวะบ้าง แต่ก็ยังไม่มีอะไร เพราะก็เราตั้งสติเต็มที่ มันมีหลายปัจจัย เช่น มีคนส่งมา ต้องรับ พื้นที่ยืนก็ชันมาก ชันขนาดที่ว่าผมเอาเท้าข้างหนึ่งฝังลงไปในพื้นกันตัวเองลื่น และต้องส่งต่อด้วย มันก็ต้องระวังเป็นธรรมดา

….แม้เราจะระวังเต็มที่แล้วก็ตามที … อุบัติเหตุมันก็เกิดขึ้นได้ เนื่องจากวัสดุแต่ละชิ้นมีความแตกต่างด้านรูปร่าง เพราะส่วนใหญ่เป็นเศษศาลพระภูมิที่เขาทุบมา ดังนั้นแต่ละชิ้นมันจะไม่เท่ากัน การประมาณในการรับส่งก็ต้องปรับกันไป ในขณะที่ผมกำลังส่งของลงไปด้วยสองมือ อาจารย์หมอเขียวก็มารับพอดี แต่มันผิดเหลี่ยม พวกวัสดุมันก็ชนเข้ากับมืออาจารย์

ในวินาทีนั้นเอง อาจารย์ก็พูดขึ้นมาประมาณว่า “ขนาดเราระวังแล้วก็ยังพลาดได้” ผมจำประโยคจริง ๆ ไม่ได้แล้ว แต่จำความเข้าใจที่เกิดขึ้นขณะนั้นได้ว่า แม้เราจะพยายามระวังให้ดีแค่ไหนก็ตาม แม้จะเป็นองค์ประกอบที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบยังไงก็ตาม แต่มันก็พลาดกันได้ มันจะมีเหตุให้พลาดจนได้นั่นแหละ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนว่า “โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ”

เรื่องนี้ในมุมของผม แน่นอนว่าผมระวังเต็มที่อยู่แล้ว และผมเชื่อว่าอาจารย์ท่านก็ระมัดระวังเช่นกัน แต่ความไม่เที่ยงนี่แหละที่จะทำลายความสมบูรณ์แบบของเรา อาจารย์ก็สอนเรา โดยอาศัยความผิดพลาดและความเจ็บนี่แหละ ว่าแล้วก็ทำงานกันต่อไปตามปกติ เป็นเวลาไม่กี่วินาทีที่เรียนรู้อะไรมากมาย

ถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ได้แจ่มแจ้งจริง ๆ เราจะไม่ถือสาใครหรือเหตุการณ์ที่ไม่ได้ดั่งใจใด ๆ เลย เพราะมันจะมีโอกาสพร่องแน่ ๆ แม้ทุกคนจะทำดีเต็มที่แล้วก็ตามที จะเห็นว่าอาจารย์ไม่ได้โทษใคร ไม่ไดโทษผม แล้วผมก็ไม่ได้โทษตัวเองเหมือนกัน เหตุการณ์มันออกมาแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่เราระวังแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่สุดวิสัยแล้ว สุดความสามารถที่จะป้องกันแล้ว เราก็ทำได้แค่วางใจ ก็รับรู้ว่าพลาด ว่าโดนแล้ว แล้วก็วางใจ ทำดีต่อไป อะไรดีก็ทำอันนั้น ก็ตามที่เห็นสมควรว่าดี ณ ขณะนั้น ๆ

ว่าแล้วผมก็ทำงานต่อไปด้วยความเบิกบาน ใครจะรู้ว่ามีเพชรอยู่ในงานขนอิฐ ขนหินแบบนี้กันล่ะ นี่มันงานใช้แรงงานชัด ๆ ไม่ได้ใช้สมองเลย แต่ถ้าคนมีปัญญามาใช้แรงงาน พอเกิดปัญหา ก็จะยังใช้ปัญญาได้ มีมิตรดีนี่มันดีกับชีวิตจริง ๆ

1.12.62

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ไปแต่ผู้เดียว เด็ดเดี่ยวเหมือนนอแรด

December 1, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,229 views 0

ระหว่างค้นหาพระไตรปิฎกในหมวดคนคู่ ก็มาเจอ “ขัคควิสาณสูตร ที่ ๓” (25,296) ในภาพรวม ท่านกล่าวเปรียบถึงถ้าเจอกับสภาพที่ไม่ดี อยู่คนเดียวจะดีกว่า ซึ่งแน่นอนว่า ถ้ามันแย่ เราก็ต้องห่าง แต่อะไรล่ะที่มันไม่ดี แล้วอะไรที่มันดี ที่ควรใกล้ ในบทนี้มีทั้งไปแต่ผู้เดียว และเก็บเกี่ยวคนดีมาเป็นเพื่อน จะยกเป็นช่วง ๆ มาลองวิเคราะห์กันครับ

“พ.ความเยื่อใยย่อมมีแก่บุคคลผู้เกี่ยวข้องกัน ทุกข์นี้ย่อมเกิดขึ้นตามความเยื่อใย บุคคลเล็งเห็นโทษอันเกิดแต่ความเยื่อใย พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรดฉะนั้น”

… ส่วนนี้จะทำให้เห็นภาพรวมของสภาพไม่ดี เป็นทุกข์ เป็นบาป เป็นอกุศล คนที่มีปัญญาเห็นโทษดังนั้น ให้ละออกเสีย มีของไม่ดี อย่ามีเลยดีกว่า

“พ.บุคคลข้องอยู่แล้ว ด้วยความเยื่อใยในบุตรและภริยา เหมือนไม้ไผ่กอใหญ่เกี่ยวก่ายกัน ฉะนั้นบุคคลไม่ข้องอยู่เหมือนหน่อไม้ พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น”

… ถ้ามองไผ่กอใหญ่ก็จะเห็นถึงความวุ่นวาย ลมพัดมาก็เสียดสีกันบ้าง ชนกันบ้าง เสียงดัง เหมือนกับเรื่องคู่มันวุ่นวาย ถ้าใครยังไม่มี ยังไม่ถึงวัย ยังเป็นหน่อไม้อยู่ ก็ไม่ต้องไปมี ไม่ต้องไปยุ่ง ไปคนเดียว ฉายเดี่ยวเหมือนนอแรด

“พ.ถ้าว่าบุคคลพึงได้สหายผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตน ผู้เที่ยวไปร่วมกันได้ มีปรกติอยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ไซร้ พึงครอบงำอันตรายทั้งปวง เป็นผู้มีใจชื่นชม มีสติ เที่ยวไปกับสหายนั้น หากว่าบุคคลไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตน ผู้เที่ยวไปร่วมกันได้ มีปรกติอยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ไซร้พึงเที่ยวไปแต่ผู้เดียว”

… แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ส่งเสริมให้ไปคนเดียวตลอด ไม่ได้ให้หลีกหนีผู้คน ถ้าเจอคนดี มีปัญญา พาทำกรรมดี ก็ให้อยู่ร่วมกัน พึ่งพากัน แต่ถ้าหาคนมีปัญญาไม่ได้ ไปคนเดียวเถอะ โดดเดี่ยวดั่งนอแรด

“พ.เราย่อมสรรเสริญสหายผู้ถึงพร้อมด้วยศีลขันธ์เป็นต้น พึงคบสหายผู้ประเสริฐสุด ผู้เสมอกัน กุลบุตรไม่ได้สหายผู้ประเสริฐสุดและผู้เสมอกันเหล่านี้แล้ว พึงเป็นผู้บริโภคโภชนะไม่มีโทษเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรดฉะนั้น”

… พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้คบคนมีศีล คนที่เก่งกว่า มีศีลมากกว่า มีปัญญามากกว่า หรือผู้ที่เสมอกัน แต่ถ้าชีวิตนี้มันอับจนหนทาง ไม่มีบารมี ไม่เจอคนที่สูงกว่า ไม่เจอคนเสมอกัน ก็อยู่กินใช้สิ่งที่ไม่เป็นโทษ คือใช้ชีวิตไม่หลงระเริงไปตามกิเลส แล้วก็เด็ดเดี่ยวดั่งนอแรดกันไป

จะเห็นได้ว่า ในศาสนาพุทธไม่ได้มีคำสอนมิติเดียว ใช่ว่าจะให้หนีผู้คนออกป่าหาความสงบไปเสียหมด อันนั้นมันคือกรณีที่หมดปัญญา หมดบารมีหาคนเก่งกว่าไม่ได้แล้วเท่านั้น ถึงจะปลีกตัวออกไปคนเดียว ถ้าหาคนเก่งกว่าหรือเสมอกันได้ ท่านก็ให้อยู่เกื้อกูลกัน พึ่งพากัน อันนี้เป็นปัญญาของพุทธที่ต่างจากฤๅษี ถ้าสายฤๅษีนี่เข้าถ้ำไปคนเดียวเลย สายพุทธนี่จะหาคนมีปัญญาแล้วร่วมกันทำกุศล

จริง ๆ ยุคนี้ก็มีครูบาอาจารย์อยู่มาก แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นผิด หลงป่ากันไปเยอะ ถ้าเอามาเทียบพระไตรปิฎกหลาย ๆ บทจะเห็นว่ามีความขัดแย้งสูง แต่ถ้าเอาบางบทมา มันก็ดูเหมือนจะใช่ ในความจริงแล้วยังมีครูบาอาจารย์ที่มีความสามารถมากอยู่ แต่การจะไปอยู่ผู้เดียวทั้ง ๆ ที่มีคนเก่งอยู่ นั่นก็สื่อให้เห็นว่าเขาไม่มีปัญญารู้ว่าใครเก่งกว่าเขา ไม่เห็นใครเก่งเสมอเขา เขาก็ฉายเดี่ยวไปเหมือนนอแรดตาบอดกันเลยล่ะนั่น คือปฏิบัติถูกบางบท แต่ภาพรวมไม่ครบทุกบท

แต่ก็ห้ามกันไม่ได้หรอก วิบากกรรมเขาเป็นแบบนั้น การได้เห็นพระพุทธเจ้าหรือสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกที่มนุษย์จะพึงเห็นได้เลยนะเอ้อ (อนุตตริยสูตร) ดังนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา

 

เมื่อมีมาร มุ่งมาท้าทายความเป็นโสด

November 30, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,215 views 0

เมื่อมีมาร มุ่งมาท้าทายความเป็นโสด : “ความอยากมีคู่ครอง” กับดักเพื่อฆ่าบัณฑิตบนเส้นทางธรรม

ถ้าใครมีคำถามประมาณว่า พยายามประพฤติตนเป็นบัณฑิต พยายามปฏิบัติตนให้เป็นคนโสด แต่ก็มีผู้เข้ามาท้าชิง จนปวดหัว ไม่รู้จะทำอย่างไร พรากก็แล้ว ห่างก็แล้ว ยังตามจีบ ตามคุย ตามหา จะทำอย่างไรให้การตัดสินใจต่าง ๆ เป็นไปในทางที่ดีงาม

ก็เป็นคำถามที่ดีนะครับ เพราะคนส่วนมาก แม้จะตั้งใจปฏิบัติให้ตนเป็นบัณฑิต ตั้งใจอยู่เป็นโสด แต่ส่วนใหญ่ พอเจอโจทย์เข้าจริง ๆ จะหลงไปเลย ไม่มีสติยั้งคิดที่จะมาถามหรือแสวงหาคำตอบอะไรหรอก คำตอบของเขามักจะเป็นไปสองทางคือ ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ถ้าถูกใจก็ไปกับเขาเลย ถ้าไม่ถูกใจก็อาจจะลองดู ๆ กันไป หรือไม่ก็ผลักเขาออกไปเพราะไม่ถูกใจเท่านั้นเอง

ทีนี้คนที่ตั้งใจก็เหลือไม่เยอะหรอก คนส่วนน้อยในโลกเท่านั้นแหละ ที่จะตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสดได้จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะผ่าวังน้ำวนโลกีย์ที่หมุนอย่างรุนแรงด้วยกำลังของกามและอัตตาในสังคมปัจจุบัน จะตอบคำถามโดยไล่เป็นประเด็น ๆ ไปนะครับ

  1. ผู้มาด้วยความกำหนัดกล้า

เมื่อเราตั้งจิตตั้งใจที่จะอยู่เป็นโสด ก็เป็นธรรมดาที่จะมีโจทย์เข้ามากระทบในชีวิตประจำวัน ผู้ที่มานั้น ก็ใช่ว่าจะมาอย่างไร้ศักยภาพ ฟ้าจะส่งผู้ที่มีความสามารถเข้ามาท้าทายเรา เหมือนมีอัศวินใส่เกราะขี่ม้าขาวมาพร้อมอาวุธครบมือมาท้าทายอยู่หน้าบ้าน คนที่จะเข้ามาเจอเรานี้ มักจะมีองค์ประกอบที่เราจะแพ้ทางโดยธรรมชาติ เพราะเขาคัดมาแล้ว ต้องแบบนี้ คนนี้เท่านั้นที่จะปราบความไม่จริงใจในความโสดของเราได้ หมายจะเอาชนะเราให้ได้แน่ ๆ ไม่ได้มาเพื่อแพ้ ให้ทำความเข้าใจไว้ได้เลยว่าประมาทไม่ได้ แม้หนึ่งการสบตาหรือรอยยิ้มเพียงแค่ครั้งเดียว เป้าหมายในการมีอยู่ของเขาก็แน่นอน ทำให้เราเกิดความอยากที่จะไปมีคู่

  1. มารไม่มา บารมีไม่มี

การประพฤติตนเป็นโสดนั้น ไม่ได้หมายความเป็นโสดอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ หลบ ๆ เลี่ยง ๆ แบบกลัว ๆ แต่สามารถตั้งใจเป็นโสดได้แม้จะมีสิ่งยั่วย้อมมอมเมาที่น่าใคร่น่าเสพขนาดไหนเข้ามาปะทะ ก็ยังตั้งใจที่จะอยู่เป็นโสดได้ แม้จิตหวั่นไหวก็ใจแข็งสู้ มันจะไม่ง่ายเหมือนคิดเอา เพราะจริง ๆ แล้ว เขามาเพื่อชนะ เราก็ต้องปราบมารนี่แหละ เพื่อที่จะเพิ่มกำลังของเรา แม้ในตอนแรกอินทรีย์พละ หรือกำลังของเรายังไม่สูง แต่ถ้าเราตั้งมั่นพากเพียร เราจะพบเลยว่า ตัวเราที่ผ่านโจทย์นี้มา จะเป็นตัวเราอีกคนที่เหนือกว่าตัวเราที่เคยเป็นอย่างเทียบไม่ได้ กำลังใจ กำลังปัญญาจะเพิ่มขึ้นมหาศาลแทบจะเปรียบได้ว่า ปราบอัศวินผู้ช่ำชองในการรบได้เพียงแค่กระดิกนิ้วเท่านั้น อันนี้เป็นผลของการปราบมาร เล่ากันไว้ก่อน จะได้มีเป้าหมาย

  1. มารทุบหม้อข้าวลุย

โดยธรรมชาติของมาร เวลาเราตั้งใจจะสู้จริง ๆ มันก็จะเอาจริงเหมือนกัน มันจะจริงจังตามความจริงใจในธรรมะของเราเลย ยิ่งถ้าเราตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสดด้วยนะ เรียกว่าแทบจะไม่มีอะไรเหลือให้มารเสพเลย มันจะยอมหรือ? มันก็ทุบหม้อข้าวลุยล่ะทีนี้ หมายถึงมันก็ทุ่มหมดตัวเหมือนกัน เราก็ทุ่มหมดใจเหมือนกัน มารในที่นี้ไม่ใช่อัศวินขี่ม้าขาวนะ แต่เป็นความอยากมีคู่ในใจเรานี่แหละ ที่จะเสกอัศวินขึ้นมา ถ้าไม่มีจิตอยากมีคู่นะ ถึงจะมีโคตรอัศวินขี่ม้าขาวเป็นร้อย ก็ได้แค่เดินวนไปวนมาหน้าบ้านเราเท่านั้นแหละ เพราะไม่มีทางเข้ามาตีได้ สะพานไม่มีเขาจะข้ามมาได้อย่างไร อย่าไปทอดสะพานให้เขาเข้ามาตีแล้วกัน ยิ่งถ้าใหม่ ๆ ชักสะพานออกเลย ไม่ต้องไปยุ่ง อย่าไปพัวพันมาก เรื่องคู่นี่ไม่ใช่ง่าย รบแพ้แล้วมักจะแพ้หลุดลุ่ยเลย

  1. หมู่มิตรดี ชีวีผาสุก

เวลาเจอข้าศึกมาบุก การจะสู้คนเดียวมันก็ดูจะลำบาก ควรจะมีพันธมิตรร่วมสู้ด้วย การสร้างพันธมิตรหรือหมู่มิตรดีนั้น ก็ใช่ว่าจะสร้างกันตอนข้าศึกบุกทันนะ มันต้องขยันสร้างกันไว้แต่เนิ่น ๆ คือมีเวลาก็เข้าไปคบหาหมู่มิตรดีที่ตั้งใจปฏิบัติตนเป็นโสดไว้  ให้เน้นคนที่มีกำลังใจกำลังปัญญามาก ๆ เช่นทนการยั่วเย้าได้มาก ๆ หรือ มีปัญญาเถียงสู้กิเลสได้เก่ง ๆ ยิ่งได้ครูบาอาจารย์ที่ท่านพ้นเรื่องนี้แล้วยิ่งเป็นกำลังสำคัญเลยแหละ เรียกว่ากำลังเสริมระดับกองทัพ ยกทัพมาตีคนสองคนไม่รอดหรอก การสานพลังกับหมู่มิตรดี ก็คือเข้าไปคบคุ้น ช่วยกันทำดี หมั่นสนทนาธรรม ฟังธรรม หมั่นเข้าหาปรึกษาครูบาอาจารย์ จะทำให้เรามีความมั่นคงขึ้น ไม่มีทางถูกตีแตกได้ง่าย ๆ ไม่หวั่นไหวได้ง่าย ๆ เพราะมีที่พึ่งที่ถูก เป็นที่พึ่งที่พาพ้นทุกข์

*Key success factor หนึ่งเดียวของการพาตนเองเป็นโสดอย่างผาสุก ก็คือหมู่มิตรดีนี่แหละ ถ้าคบผิดกลุ่ม ไปคบหาของปลอม ไม่ได้มีธรรมะจริง ไม่มีของจริง ไม่หลุดพ้นจริง ไม่รอด 100% แต่ถ้าคบกับกลุ่มที่จริง ยังมีโอกาสรอดขึ้นมาตามความพากเพียร ถ้าคบผิดกลุ่มปิดประตูบรรลุธรรมไปได้เลย

  1. กิจตน กิจท่าน

เวลาเจอข้าศึกบุก หรือมีคนมาจีบ ให้ตั้งเป้าหมายให้ถูก เรียงลำดับความสำคัญให้ถูก กำลังจิตและปัญญาเรามีจำกัด ไม่ควรเทไปในจุดที่ยังไม่สมควร นั่นคือควรลำดับงานที่สมควรทำก่อน งานที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือล้างความอยากมีคู่ในตัวเองเสียก่อน เอาให้เด็ดขาดเสียก่อน อย่าพึ่งไปคิดเมตตาเขาหรือไปช่วยอะไรเขา เอาตัวเองให้รอดก่อน เดี๋ยวไม่งั้นมันจะกลายเป็นการทอดสะพาน ชักศึกเข้าบ้าน ไปช่วยเขา สุดท้ายเขามาแทงเราตาย อันนี้มันก็ผิด เราต้องจัดการศึกในตัวเราก่อน อย่าเพิ่งไปเปิดศึกข้างนอก พระพุทธเจ้าได้สอนพระอานนท์ไว้ว่า เวลาเจอเพศตรงข้าม ก็ไม่ต้องมอง ถ้าจำเป็นต้องมองก็ไม่ต้องพูด ถ้าจำเป็นต้องพูด ก็ให้ตั้งสติ พูดอย่างสำรวม อย่าให้ความอยากความหลง ความยินดีพอใจปลื้มใจในเพศตรงข้ามแทรกเข้ามาครอบงำจิตใจได้  จะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติที่ตนก่อน เรื่องคนอื่นอย่าเพิ่งไปคิด

  1. ความอยากมีคู่คือเชื้อร้าย

ในท้ายที่สุด เราก็จะพบว่า ศัตรูที่แท้จริงก็อยู่แค่ภายในใจของเราเอง คือกิเลสที่มันสิงเราอยู่นี่แหละ เหมือนถูกผีสิง ความอยากมีคู่มันอยู่ในใจเรา มันเป็นเชื้อร้ายที่คอยดึงสิ่งต่าง ๆ เข้ามา ความปลื้มใจ ความยินดีพอใจต่าง ๆ เป็นสิ่งที่มันเสกสร้างขึ้นมาทั้งนั้น อารมณ์สุขจากความอยากมีคู่ ความยินดีพอใจในการมีคู่ คือสิ่งที่กิเลสนั้นสร้างขึ้นมาหลอกให้เราหลงว่ามันเป็นสุข หลอกให้เราหลงวนอยู่ในโลกนี้ ในความสงสารนี้ เป็นสิ่งที่กักขังเราไว้จากอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ ความเป็นอิสระจากความอยากมีคู่นั้นหากจะลองยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้พอเห็นภาพ ก็เหมือนคนที่ถูกขังในคุกแคบ ๆ อันมืดมิดหนาวเหน็บอยู่หลายสิบปีแล้วต่อมาถูกปล่อยออกมาพบทุ่งกว้าง ลมพัดเย็น และอบอุ่น  เป็นความสบายใจ ความปลอดภัยที่ไม่มีวันจะพบได้หากยินดีที่จะดำรงอยู่ในคุก กิเลสมันก็หลอกเราว่า ในคุกนี้แหละดี เป็นสุข อย่างน้อยก็มีอาหารให้กินเลี้ยงชีพ มันก็เอาความอยาก เอารสยินดีพอใจในคนคู่นั่นแหละ มาเป็นอาหารให้เราเสพดำรงชีวิตไป นั่นเพราะเรามีอัตตายึดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพ ถ้าเราไม่ยึดความอยากมีคู่ คุกคนคู่นั้นย่อมพังทลายลง อาหารทิพย์นั้นรสดีสูงค่ากว่าอาหารคุกคนคู่มากนัก อย่างที่ไม่มีใครหลุดพ้นคุกคนคู่แล้ว เวียนกลับไปกินอาหารคุกอีกเลย

  1. สำรวมกายใจ

เมื่อรู้แล้วว่าต้องทำอะไร สิ่งใดที่เป็นภาพลวง สิ่งใดที่เป็นเป้าหมายที่ควรทำลาย ให้สำรวมระวังกายใจทั้งหมด โจทย์จะผ่านมาทางการกระทบ ด้วยหน้าตาลีลา ด้วยน้ำเสียง ด้วยคำหวาน ด้วยสัมผัส ฯลฯ สารพัดสิ่งที่เข้ามากระทบ โดยหลักแรก เราก็ต้อง สงบ สำรวม ไม่หวั่นไหว ดำรงสติให้ตั้งมั่นก่อน เมื่อมีสติแล้วจับให้ได้ว่าแต่ละครั้งที่กระทบ มันมีอาการใจฟู อิ่มใจ พอใจอะไรไหม เมื่อเห็นอาการก็พิจารณาวิจัยหาสาเหตุว่ามันมีจิตไปชอบสิ่งใดลีลาใด จับเหตุนั้นให้ได้ จับโจรให้ได้ก่อน ส่วนจะการลงโทษเป็นอีกขั้น ต้องใช้ปัญญาครูบาอาจารย์ร่วมด้วย เพราะปัญญาเราจะไม่พอ ถ้าปัญญาเราพอ เราจะไม่หวั่นไหว ถ้าเราหวั่นไหวแสดงว่ามันสู้ไม่ได้ ต้องใช้คำสอนคำแนะนำจากครูบาอาจารย์หรือมิตรดีที่ท่านพ้นเรื่องคู่เข้ามาช่วย จะเป็นการอ่านทบทวนธรรม จะฟัง  หรือจะเป็นการปรึกษาก็ได้ทั้งนั้น เอายังไงก็ได้ให้มีปัญญาไปเถียงกิเลส แน่นอนว่าไม่ง่าย มันต้องมีกำลังจิตพอที่จะกดไม่ให้ฟุ้งซ่าน และปัญญาที่คมพอจะตัดความโง่ที่ไปหลงผิด ที่ไปหลงปลื้มกับรสสุขลวงของกิเลสนั้นได้

มาถึงขั้นตอนนี้ ก็ต้องยอมรับว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่เอาสมบูรณ์แบบ ทุกคนพลาดกันได้เป็นธรรมดา แต่พลาดแล้วต้องตั้งสติสำรวม อย่าพลาดซ้ำพลาดซ้อน หรือปล่อยให้พลาดจนไหลร่วงตกหล่นไปคบหากัน ไปแต่งงานมีลูกกัน เพราะความจริงมันมีเวลาให้พิจารณาโดยลำดับ แพ้ก็สู้ พลาดก็สู้ แก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดพลั้งเผลอไปทุกวัน กำลังมันจะมากขึ้น แต่ถ้ายอมแพ้กิเลสทุกวัน ก็มีแต่จะเสื่อมถอยตกร่วงไปเรื่อย ๆ

  1. เมตตามหานิยม

อย่างที่กล่าวกันไว้ก่อนหน้านี้ ว่ากิเลสจะทุบหม้อข้าว ดังนั้นมันจะงัดทุกเหลี่ยมทุกมุมของอวิชชาที่มันมีออกมาโชว์ ให้เราเห็นว่าเราโง่แค่ไหน เราหลงแค่ไหน ให้พยายามตั้งสติเพียรพิจารณาล้างความหลงผิดไปโดยลำดับอย่างพากเพียร อย่าโทษเขา อย่าโทษใคร อย่าโทษตัวเอง ให้มีเมตตาต่อตัวเอง ให้เข้าใจว่าทำชั่วมามาก หลงมานานมาก มันมีคราบสกปรกเกรอะกรังมาก มันก็ต้องใช้เวลา ธรรมะหรือแม้แต่เหตุการณ์ที่พิสดารอย่างมากในการชำระล้าง อย่าโกรธแค้นตัวเองที่ทำชั่วมามาก ให้ทำความเข้าใจว่ากิเลสมันก็พาให้โง่ ให้หลงไปแบบนั้น แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาพากเพียรล้างไป

อย่าไปโกรธเขาที่เขาพยายามที่จะเข้ามาจีบ มาหว่านล้อมเรา เพราะเขาไม่เข้าใจว่าความสุขแท้คืออะไร เขาก็แค่เล่นตามบทบาทของเขา เพื่อที่จะเอาชนะใจเรา เขามีความหลงผิดของเขา เราควรทำใจให้เมตตาเขา อย่าไปโกรธ อึดอัน ขุ่นเคืองใจในความไร้เดียงสาของเขา เมื่อเราล้างกิเลสไปโดยลำดับ เราจะยิ่งเห็นความจริงไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นการจีบ การดูแลเอาใจ จะเห็นความจริง คือกิเลสต่าง ๆ ที่แทรกอยู่ในลีลา อาการ คำพูด มารยาเหล่านั้นที่เขาแสดงออกมา ในเบื้องต้นเราจะชัง ซึ่งเป็นธรรมชาติของลำดับขั้นตอนในการปฏิบัติธรรม มันจะต้องชังความชั่วก่อน ถึงจะล้างความชั่วได้ พอล้างความชั่วได้ ที่เหลือคือล้างความยึดดี ซึ่งก็ต้องจับความชัง แล้วล้างไปพร้อม ๆ กับความรู้สึกหวั่นไหว ไม่เป็นสุขอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น

อย่าโกรธใครเขาที่ไม่เข้าใจเรา ในการปฏิบัติตนเป็นโสด ถ้าเขาจะไม่เข้าใจ ก็ถูกของเขา พอมาถึงจุดหนึ่งมันจะเหนือการรับรู้อย่างสามัญของโลกไปแล้ว แม้เขาจะเข้าใจอยู่บ้างว่า ศาสนาพุทธก็พากันยินดีในความเป็นโสด แต่เขาไม่เข้าใจหรอกว่าความเป็นโสดนั่นแหละคือความยินดี เต็มใจ พอใจ สุขใจ ถ้าเขาคิดเอาเอง ถ้าเป็นเขา เขาก็เป็นทุกข์ เขาจะไม่เข้าใจหรอกว่าการตั้งตนอยู่บนความโสดนั้นผาสุกอย่างไร มันเป็นเหมือนดินแดนอันเป็นทิพย์ที่เข้าไปได้เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติตนตั้งอยู่ในคุณอันสมควรแล้วเท่านั้น ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่คนรอบข้างจะไม่เข้าใจ ให้เมตตาเขา อย่าไปถือสาเขา

  1. ปล่อยวางอย่างลูกหลานพระโพธิสัตว์

เมื่อเราทำงานของเราเสร็จ เราล้างความอยากมีคู่ของเราได้สำเร็จจนไม่เหลือแม้เศษฝุ่น หรือเศษเสี้ยวแห่งความหวั่นไหวใด ๆ ในใจเลย เราก็จะเหลือแต่งานนอก คือช่วยเหลือผู้อื่น

ด้วยกำลังของปัญญาที่เราสะสมมา จะทำให้เราเห็นมากกว่าที่เคยเห็น คือมีตาทิพย์ หูทิพย์ จะได้เห็นได้ยินความจริงตามความเป็นจริง นี่กิเลส นี่มารยา นี่ทุกข์ ปนอยู่ในชีวิตประจำวันของเพื่อนมนุษย์ เป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้เห็นก่อนหน้านี้ จะสามารถเป็นผู้จำแนกอาการกิเลสและรู้วิธีแก้ตามประสบการณ์เท่าที่เราเคยได้ทำมา เราทำมาเท่าไหร่เราก็เก่งเท่านั้น แม้เราจะเก่งน้อยที่สุดของผู้มีปัญญาพ้นความอยากมีคู่ แต่ก็ความเก่งนั้นก็ยังห่างไกลกับคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างมากจนเทียบกันไม่ได้ นั่นหมายถึงเราจะสามารถเริ่มนำมาความรู้มาช่วยคนได้

คนที่เราช่วยแบบผ่านมาผ่านไปก็ไม่ค่อยมีปัญหา แต่คนที่เข้ามาจีบเรานี่แหละ เราจะช่วยอย่างไร กรรมเป็นของของเรา เราทำมา เราก็ต้องรับ ชาติใดชาติหนึ่งก็ไปหลับหูหลับตาจีบคนที่ไม่สมควรจีบแบบนี้แหละ ก็ทำความเข้าใจตรงนี้ ว่าแล้วก็ช่วยแนะนำเขาเท่าที่ปัญญาตัวเองมี หรือไม่ก็แนะนำคำสอนของครูบาอาจารย์ ก็ช่วยไปโดยสังเกตไปโดยลำดับว่าพาเขาลดกิเลสได้ไหม พาเขาคลายความอยากจะเข้าหาเราได้ไหม

ถ้าทำสำเร็จ นั่นก็เพราะความดีมันสังเคราะห์กันพอดี เขาก็ทำดีมามาก เราก็มีปัญญาพอจะช่วยเขา และที่สำคัญเขายอมให้เราช่วย มันจึงสำเร็จ

แต่โดยมากมันจะไม่สำเร็จ พอเมตตาไปแล้ว ลงมือช่วยไปแล้ว มันไม่สำเร็จ จะทำอย่างไร? ขั้นตอนนี้คือตอนจบของการปฏิบัติธรรม คือปล่อยวางให้ได้ ทำดีเต็มที่ สุดความสามารถแล้ว มันไม่ได้ผล งานที่ต้องทำมันก็เหลือแค่เลิกทำงานเท่านั้นเอง การปล่อยวางเป็นองค์ประกอบของหนึ่งที่สำคัญของนักปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การผลักดันช่วยเขาไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่พร้อม เขายังไม่ถึงวาระที่จะเข้าใจธรรมะจากเรา เขายังไม่ถึงเวลาที่เขาควรจะพ้นทุกข์ เขายังมีอกุศลวิบากที่ต้องใช้ เขายังมีบาปที่ต้องหลงต่อไป ให้เราทำความเข้าใจแล้วปล่อยวาง

ซึ่งก็ไม่ต้องกังวลอะไร ไม่ต้องห่วงใคร เพราะแม้ว่าเราจะไม่สามารถที่จะช่วยเขาไว้ได้ แต่เขาจะจำสิ่งที่เราสอน สิ่งที่เราทำให้ดู สิ่งที่เราอยู่ให้เป็นตัวอย่าง แล้วพอเขาทุกข์มาก ๆ จากบาป จากอกุศลกรรมของเขา เขาจะระลึกได้ แล้วเขาจะหันมาทำตาม การที่เขาได้ให้โอกาสเราได้ช่วยเขา มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้กันได้แล้ว เราจะได้ทำหน้าที่เท่าที่ฟ้าให้เราทำ ความสำเร็จไม่ใช่สมบัติของเรา สมบัติของเรามีเพียงความผาสุก สงบเย็น แม้จะไม่สามารถช่วยใครได้ก็ตามที แท้ที่จริงเราก็ได้ช่วยไปแล้วนั่นแหละ เราได้ลงมือไปแล้ว เราได้ทำมันก็สำเร็จเท่าที่เราทำ แต่ผลสำเร็จที่สมบูรณ์แบบนั้นเป็นของเขา ของโลก เป็นส่วนของคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สมบัติของเรา เราจึงไม่ได้สิ่งนั้น ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะเราไม่ได้ปฏิบัติธรรมมาเพื่อจะเอาอะไร แม้จะเอาการได้ช่วยเราก็ไม่เอา เราก็ทำหน้าที่ไปตามธรรม เขาให้ทำ เราก็ทำเต็มที่ เราไม่ให้ทำ เราก็ปล่อยวางให้เต็มที่ แค่นี้ก็สุขที่สุดหาอะไรเปรียบได้แล้ว

สรุป… ความดีงามที่สุดคือทำตนเองให้พ้นความอยากมีคู่ให้ได้นั่นแหละ ดีที่สุด สมบูรณ์และเป็นไปได้มากที่สุด ส่วนเรื่องที่ปฏิบัติต่อคนอื่นให้เกิดกุศล ก็ทำไปตามความรู้ของตนตามที่ได้ศึกษามาจากพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ท่านต่าง ๆ และพร้อมวางใจ เพราะโลกนี้ พร่องอยู่เป็นนิจ จะหาความสำเร็จที่สมบูรณ์ไม่ได้เลย

30.11.62

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์