รอยทางของพระโพธิสัตว์

รอยทางของพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์คือผู้ที่มาบำเพ็ญ ช่วยเหลือผู้คนให้ข้ามพ้นทะเลแห่งทุกข์ที่ท่วมท้นด้วยกิเลสตัณหา โดยนำพาเหล่าคนผู้หลงผิดเหล่านั้นผ่านรอยทางที่ท่านได้กรุยทางไว้ด้วยความยากลำบาก
พระโพธิสัตว์องค์ที่ใหญ่ที่สุดและมีบารมีมากที่สุดที่หลายคนรู้จักกันคือ พระพุทธเจ้า ท่านก็มาทำหน้าที่ถากถางทางที่รกและวกวนให้เป็นทางเดินสู่การพ้นทุกข์ที่ชัดเจน เรียกว่าสัมมาอริยมรรค
ผ่านไปสองพันกว่าปี ทางที่ท่านเคยถากทาง มีหญ้า มีต้นไม้ มีป่าขึ้นรกทับถมเส้นทาง ทางแห่งความผาสุกนั้นมีอยู่ แต่น้อยคนจะรู้ชัดว่าทางไหนเป็นทางที่แท้จริง เขาเหล่านั้นก็เดินตามทางที่ตนเข้าใจว่าถูกและก็หลงป่ากันไปตามวิบากกรรมของแต่ละคน
ในปัจจุบันนี้มีบุคคลที่ผู้คนส่วนหนึ่งยอมรับและเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่มาบำเพ็ญในยุคนี้ ซึ่งท่านเหล่านั้นก็ได้บำเพ็ญถากถางทางที่รกและเต็มไปด้วยอุปสรรคตามกำลังและบารมีของท่าน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในโลกจะเห็นพ้องต้องกันว่าทางนั้นเป็นทางที่ถูก ในปัจจุบันมีการสอนธรรมะที่แตกต่างกันมากมายจนเรียกว่า ณ จุดที่ยืนอยู่คุณสามารถเดินได้ทุกทิศทุกทางที่มีผู้คนอ้างว่าเป็นทางที่ถูก ซึ่งในความจริงแล้วมันมีแค่ทางเดียว ทิศเดียว แนวปฏิบัติเดียวเท่านั้น
ซึ่งไม่ว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติตามทางที่ถูก ทางเหล่านั้นก็จะถูกลบเลือนด้วยกาลเวลา พระโพธิสัตว์ท่านก็จะบำเพ็ญของท่านไปเรื่อย ๆ นำพาคนที่ดำเนินรอยตามไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็จะห่างไกลจากคนที่ยังไม่เริ่มเดินตามหรือคนที่หลงทางไปเรื่อย ๆ เช่นกัน และกาลเวลาที่ผ่านไปก็จะสร้างหญ้ารก ต้นไม้ทึบ ป่าแน่นหนาขึ้นมาอีกครั้ง รอยทางของพระโพธิสัตว์ได้หายไปอีกครั้ง และหายไปจนกว่าจะมีองค์ใหม่เกิดขึ้นมาบำเพ็ญ ก็เส้นทางเดิมนั่นแหละ เส้นทางเดียวกับพระโพธิสัตว์องค์ก่อน เส้นทางเดียวกับพระโพธิสัตว์รุ่นปู่ รุ่นพ่อ รุ่นพี่ ฯลฯ
ทางที่ถูกถากถางด้วยความลำบากลำเค็ญ เพื่อที่จะนำพาคนที่แสวงหาทางพ้นทุกข์ได้เดินตามไป ทางนั้นมีอยู่ แต่ไม่ได้ถูกแสดงอยู่อย่างถาวร มันจะคงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น คนที่พากเพียรปฏิบัติไปตามท่านเหล่านั้นทัน ก็จะพบกับความผาสุก คนที่ปฏิบัติตามไม่ทัน ไม่พากเพียร ไม่เดินตาม สุดท้ายก็จะพลัดกลุ่ม หลงป่าในที่สุด ถ้าไม่หลงผิดเดินไปผิดทางก็บำเพ็ญเพียรตามภูมิปัญญาของตัวเองเพื่อรอพระโพธิสัตว์องค์ใหม่ ที่จะเกิดมาแล้วเดินตามท่านอีกที
ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นผู้ที่ทำให้ผู้คนเห็นภาพของพระโพธิสัตว์ได้ชัดเจน ซึ่งท่านได้ใช้เวลาทั้งชีวิตของท่านสร้างเส้นทางให้เราเดินตาม และแน่นอนว่าเส้นทางนั้นไม่ได้คงอยู่ตลอดไป ในขณะที่โลกจะหมุนไปสู่กลียุค ยุคที่มีความโลภ โกรธ หลงอย่างรุนแรง ความพอเพียงนั้นคือสิ่งที่ขัดต่อกิเลส ดังนั้นโลกจะไม่เจริญไปสู่ความพอเพียง แต่จะตกลงไปสู่ความเสื่อม นั่นหมายถึงทางแห่งความพอเพียงที่พ่อหลวงได้สร้างไว้ ในวันใดวันหนึ่งก็จะถูกกิเลสตัณหาฝังกลบ ทางแห่งความพอเพียงนั้นมีอยู่ แต่คนที่มองเห็นทางนั้นอาจจะไม่มีแล้ว กิเลสตัณหานั้นเหมือนหญ้า ต้นไม้ และป่าที่ปิดทับเส้นทาง
ในวันนี้ผู้คนต่างตั้งใจที่จะติดตามท่านไปไม่ว่าจะชาติไหน ๆ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะติดตามท่านไปได้ จะมีเฉพาะผู้ที่เดินตามท่านทันเท่านั้น หมายถึงผู้ที่ปฏิบัติจนถึงความพอเพียงได้อย่างที่ท่านสอนจริง ลดโลภ โกรธ หลงได้จริง แม้วันนี้จะผ่านมาไม่นานจากวันที่ท่านได้จากเราไป แต่ความผิดเพี้ยนก็มีให้พบเห็นมากขึ้นเป็นระยะ เช่นบอกว่าปฏิบัติตามท่าน พอเพียงตามท่าน แต่ยังเอามาก โลภมาก สะสมมาก นี่คือลักษณะของผู้ติดตามที่หลงทาง คือติดตามท่านไม่ทันเลยหลงป่าที่เต็มไปด้วยกิเลส แต่ยังเข้าใจว่าตามทันอยู่
โลกนี้ก็เหมือนป่าที่เต็มไปด้วยกิเลส ทางที่จะหลุดพ้นมีทางเดียวเท่านั้น พระโพธิสัตว์ท่านมาถากถางทางให้เห็น แล้วท่านก็จากไป ป่านั้นกว้างใหญ่ ใครเล่าจะรู้ว่าพระโพธิสัตว์เกิดที่ไหนบ้าง รอยทางไหนบ้างที่เป็นทางที่แท้จริง ในยุคนี้ยังมีทางที่ชัดเจนเหลืออยู่ ยังมีหลักฐานที่ตรวจสอบแล้วตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ยังพากเพียรปฏิบัติได้ทันอยู่ แต่วันใดวันหนึ่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้จากไปแล้ว ทางที่ถูกต้องเหล่านั้นก็จะเลือนหายไปตามกาลเวลาเช่นกัน
12.6.2017
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
ปลาข้างทาง

ปลาข้างทาง
เช้าเมื่อวานฝนตกลงมาอย่างหนัก และค่อย ๆ ซาไปในตอนสาย ระหว่างที่ผมกำลังเดินออกจากบ้านเพื่อที่จะไปขึ้นรถประจำทาง ก็พบกับปลาตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างทาง
ปลาตัวนี้ตัวไม่ใหญ่นัก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปลาจะมาอยู่บนถนนหลังฝนตก เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เจอได้บ่อย ๆ ปลาจะมาตามท่อที่น้ำล้นและติดอยู่บนถนนเมื่อน้ำลด
ผมยืนดูปลาตัวนี้สักพัก ก็คิดว่าจะเอาอย่างไรกับมันดี มันก็อยู่ข้างทาง รถก็วิ่งผ่านมาใกล้ ๆ เห็นท่าจะรอดยาก ไม่ตายเพราะรถก็ตายเพราะมด แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าพกถุงพลาสติกไว้ใส่ของกันฝน ก็เลยเอาปลาใส่ถุงแบบรวมน้ำ ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าจะเอาไปปล่อยที่บึงสาธารณะใกล้บ้าน แต่พอคิดไปคิดมาก็นึกขึ้นได้ว่า เหมือนบึงเขาจะไม่ให้ปล่อยสัตว์น้ำ สุดท้ายก็เลยปล่อยปลาลงท่อไป
จากเหตุการณ์นี้ก็นึกขึ้นได้ว่า หากจะปล่อยปลาให้ถูกธรรม ก็คงจะต้องปล่อยแบบนี้ คือมีปลามานอนพะงาบพะงาบต่อหน้าแล้วช่วยมัน ทำแบบนี้ไม่มีผลเสียกับใคร และไม่ผิดธรรมด้วย ส่วนที่ซื้อปลาไปปล่อยนั้น พวกเขาผิดตั้งแต่ซื้อขายชีวิตสัตว์แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า อย่าทำการค้าที่ผิด มันจะไม่พ้นทุกข์ หนึ่งในนั้นคือค้าขายชีวิตสัตว์ (มิจฉาวณิชชา ๕) ดังนั้นเมื่อเราไปข้องเกี่ยวกับกระบวนการขายชีวิตสัตว์ ไม่มีทางเลยที่เราจะได้มันมาอย่างถูกธรรม มันผิดแน่ ๆ และไม่ควรประเมินว่าผลสุดท้ายมันจะดีกว่า ในเมื่อกระดุมเม็ดแรกมันผิด เม็ดต่อ ๆ ไปมันก็ติดผิดไปเรื่อย จะดีกว่าไหมที่เราจะแก้ความเห็นผิดตั้งแต่แรก ให้มันไม่ต้องผิดซ้ำผิดซ้อนกันไปอีก
เพราะพุทธทุกวันนี้แทบจะไม่รู้ผิดรู้ถูกกันแล้ว เอาแต่ตามที่ใจเห็นว่าดี เอาแต่ตามที่ประเพณีเห็นว่าควร ส่วนจะถูกธรรม ถูกตามที่พระเถระ(เถรวาท) ได้รวบรวมไว้หรือไม่นั้นชาวพุทธส่วนมากไม่ได้สนใจแล้ว ซึ่งมันก็ไม่แปลกว่าทำไมบ้านเมืองมีแต่เรื่องน่าสลด นั่นเพราะกระดุมเม็ดแรกมันติดไว้ผิด เม็ดต่อมาจนถึงปัจจุบันก็ผิดหมดนั่นแหละ หากใครได้ศึกษาและตรวจสอบตามหลักฐานจนพบว่าสิ่งที่ตนเองมีความคิดเห็นหรือความเข้าใจที่ผิด ก็ให้รีบเร่งแก้ไขความเห็นผิดนั้น เพราะการแก้ตัวไม่ได้ช่วยให้ความเห็นผิดนั้นกลับเป็นถูกได้ แม้จะเถียงชนะโลก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะชนะมารและพ้นจากความเห็นผิดไปได้
6.5.2560
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
ทักทาย ๒๕๖๐ : 2017
ปี 2016 ก็ได้ผ่านไปแล้ว และตามที่ได้ตั้งใจไว้ คือจะพิมพ์บทความน้อยลง ทำให้ปีที่ผ่านมา มีบทความเพียง 40 กว่าบทความเท่านั้น แต่จะให้เวลากับตัวเองได้ไปศึกษาเรื่องอื่น ๆ
ในปี 2017 นี้ก็เช่นกัน ผมคิดว่าอาจจะห่างงานบทความมากขึ้นไปอีก ส่วนบทวิจารณ์อะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ตามกระแสสังคมหรือตามที่นึกขึ้นได้ ก็จะลงในไว้ facebook อีกบัญชีหนึ่ง ซึ่งเป็น user ไม่ใช่ page ใครสนใจก็เข้าไปชมกันได้ที่ user : ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
ปลูกข้าว (update)

ปลูกข้าว (update)
หลังจากได้ข้าว “พอเพียง” มาแล้ว ผมก็ปลูกเลยครับ ปลูกครั้งแรกก็เจ๊งเลยครับ . . .
เนื่องจากรีบเอาไปลงกระถางมากไปหน่อย เมล็ดยังไม่ทันงอก แถมรดน้ำจนน้ำท่วม (กระถางก้นตัน) ก็เลยเสียไปตามระเบียบ
หลังจากนั้นได้คุยกับเพื่อนเรื่องวิธีเพาะนี่แหละ ก็เลยได้เริ่มใหม่อีกที คราวนี้แบบประคบประหงมเลย เพาะในถ้วยใส่กระดาษทิชชู่ ซึ่งมันก็งอกน่ะนะ ก็รดน้ำเลี้ยงไปเรื่อย ๆ จนมันโตระดับหนึ่งก็ย้ายไปปลูกในกระถางก้นตันแล้วหล่อน้ำเลี้ยงเหมือนเดิม
วิธีที่ทำตอนแรกนี่ก็ถือว่ารีบเกินไป ใส่ใจน้อยเกินไป มันก็เลยไม่ได้โต มันก็ไม่ดี ส่วนวิธีที่สองนี่ก็ประคบประหงมเกินไป ใส่ใจมากไป มันก็โตช้า ไม่พอดี
ก็เหมือนกับการทำความดีนั่นแหละ เราก็ต้องหัดเรียนรู้ไป ขาดบ้าง เกินบ้าง ก็เรียนรู้จากความผิดพลาดที่ทำลงไป มันจะพอดีเลยไม่มีหรอก ถึงจะทำแบบสูตรสำเร็จได้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดี คือผลน่ะมันอาจจะดี แต่ถ้าไม่รู้ว่าเหตุต่าง ๆ เกิดเพราะอะไรมันก็ไม่ดี (สีลัพพตุปาทาน)
การทำความดีนั้นไม่มีสูตรสำเร็จว่าตรงไหนจะเป็นดีแท้ ดีของคนหนึ่งอาจจะไม่ใช่ดีที่สุดของอีกคนหนึ่งก็ได้ นั่นเพราะคนเราเกิดมามีฐานะ(บารมีที่สั่งสมมา) ต่างกัน การเรียนรู้จึงต้องต่างกันไปตามฐาน จะให้เด็กอนุบาลไปเรียนอย่างมหาลัยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถามว่าความรู้ระดับมหาลัยมันดีไหม มันก็ดี และละเอียดลึกซึ้งกว่าด้วย แต่มันไม่เหมาะกับเด็กอนุบาลไง…
ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ การเรียนหรือธรรมะมันก็คล้าย ๆ กัน คือลองผิดลองถูกไปตามลำดับโดยมีผู้ที่ทำสำเร็จเป็น role model (บุคคลต้นแบบ) เอาไว้ Benchmark (เปรียบเทียบวัดผล) และศึกษาเรียนรู้
คือจะไปทำตามเลยเนี่ยมันทำไม่ได้หรอก มันไม่มีทางลัด ไม่ใช่ว่าพูดได้เหมือนครูบาอาจารย์แล้วมันจะทำได้เหมือนกันนะ ดังที่มีคำเปรียบว่าแม้ลา จะเดินตามฝูงวัวแล้วร้อง มอมอ มันก็ไม่เป็นวัวขึ้นมาได้หรอก
คนที่ปลูกข้าวแบบสูตรสำเร็จได้ เขาก็ได้ข้าว แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้ว่า กว่าจะมาเป็นสูตรสำเร็จได้นั้น ต้องผิดพลาดอะไรมาบ้าง คล้าย ๆ กับคนปฏิบัติธรรมที่อ้างว่ามีผล แต่มรรคไม่มีปรากฏเลย หรือถึงจะมีมรรคก็มิจฉามรรค แบบนี้ก็มีเหมือนกัน …
เอานะ… ก็ออกนอกเรื่องกันมาเสียตั้งไกล เอาเป็นว่า ถ้าอยากเก็บเมล็ดข้าวไว้ให้ได้นานที่สุด ก็ขยันปลูกก็แล้วกัน นอกจากไม่เสียแล้วยังเพิ่มจำนวน ไปแบ่งคนอื่นได้อีก ก็ศึกษาเรียนรู้ก็ไป ได้แค่นี้ก็เรียนรู้แค่นี้ เดี๋ยวต่อไปก็คงจะเจอปัญหาอีกมาก ก็ดูดูกันต่อไป

