สำรวจและเรียนรู้สิ่งใหม่

ครูบาอาจารย์ และสหายธรรม ตามกรรมที่ทำมา

May 2, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,960 views 0

ครูบาอาจารย์ และสหายธรรม ตามกรรมที่ทำมา

ครูบาอาจารย์ และสหายธรรม ตามกรรมที่ทำมา

การปฏิบัติธรรมนั้น หากคิดจะก้าวหน้าได้ไวเพื่อให้เรียนรู้สู่การพ้นทุกข์ด้วยหนทางที่สั้นและง่ายที่สุดนั้น จำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์ที่รู้ทางเป็นผู้ชี้ทาง มีเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมเป็นผู้ร่วมเรียนรู้ แบ่งปัน เสนอแนะ และตักเตือนกัน จึงจะสามารถเจริญไปได้เร็วที่สุด

การเริ่มต้นปฏิบัติธรรมนั้นจึงควรเริ่มจากการเสาะแสวงหามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เพราะถ้าพยายามปฏิบัติไปทั้งที่ไม่รู้ทางก็คงหลงทางเสียเวลาไปเปล่าๆ

การแสวงหาครูบาอาจารย์นั้นต้องเริ่มด้วยการมีเหตุปัจจัยสองอย่างคือการเปิดใจรับฟังผู้อื่นและการนำมาขบคิดพิจารณา ผู้ที่ปฏิบัติธรรมมักจะเกิดสภาพยึดมั่นถือมั่นเมื่อเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกใจ เมื่อปฏิบัติไปนานเข้าก็จะปิดใจ ไม่รับฟังแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างจากตน และนั่นอาจจะหมายถึงการปิดประตูสู่การพ้นทุกข์เลยก็ว่าได้

เพราะไม่มีใครรู้ได้เองหรอกว่า อาจารย์ที่ตนเจอนั้นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ เพราะถ้าตัดสินด้วยทิฏฐิของคนที่ยังหลงทางแล้ว มันก็ดูเหมือนจะสัมมาทั้งหมดนั่นแหละ คือเราชอบอะไร ถูกใจอะไร เราก็เหมาว่าสัมมาหมด เพราะคิดตรงกับเรา เป็นอย่างที่ใจเราหมาย และเมื่อคิดว่าถูกจึงปักมั่นลงไป

การพิสูจน์ว่าของจริงหรือไม่นั้นเกิดจากการนำธรรมของท่านเหล่านั้นมาปฏิบัติตาม ซึ่งความเจริญนั้นจะสามารถวัดได้จากความโลภ โกรธ หลง ที่ลดน้อยลง สรุปง่ายๆว่าถ้าถูกทางกิเลสต้องลด ถ้าปฏิบัติตามแล้วกิเลสไม่ลดก็ควรจะทบทวนทิศทางและศึกษาแนวทางอื่นๆประกอบ

ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่จะสามารถเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกตรงได้ไว คือผู้ที่เปิดใจรับฟังการปฏิบัติที่หลากหลาย และนำหลักการเหล่านั้นมาปฏิบัติตามโดยใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นถึงสาระประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมนั้นได้

แต่ถึงอย่างนั้นการจะได้พบครูบาอาจารย์หรือสหายธรรมนั้นก็มีข้อจำกัดในเรื่องของกรรม นั่นคือเราไม่สามารถได้มากกว่ากรรมที่เราทำมา เราไม่สามารถพบอาจารย์ที่ถูกตรงได้เลย หากเราไม่มีกรรมที่ปฏิบัติอย่างถูกตรงหรือกรรมดีที่จะพาให้พบกับคนที่ถูกตรงได้ สรุปได้ว่า เราไม่สามารถพบกับสิ่งดีได้เกินกว่ากรรมดีที่เราทำมา

ดังนั้นเราจะเห็นได้ในสังคมที่ว่า คนบางพวกไปศรัทธากับผู้บวชมาหากินกับศาสนาบ้าง ศรัทธาครูบาอาจารย์ที่ใช้เดรัจฉานวิชาบ้าง ศรัทธาอลัชชีบ้าง นั่นเพราะพวกเขามีกรรมที่ต้องไปศรัทธาคนเหล่านั้น มันหนีไม่พ้น จะพยายามอย่างไรก็จะต้องไปจมกับสิ่งเดิม เพราะมีกรรมที่เคยผูกกันมาหลายภพหลายชาติเป็นพลังดูดดึงที่มองไม่เห็น

ในทางเดียวกัน คนที่ทำดีมากๆก็เช่นกัน เขาก็จะมีพลังดูดดึงกันระหว่างคนดี ได้พบกับคนที่ดี ได้พบกับผู้ที่ปฏิบัติอย่างถูกตรงจริง ได้เจอมิตรดี สหายดี เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของกรรมเก่าที่ทำมาเช่นกัน เพราะเคยเกื้อกูลคนดีมาหลายต่อหลายชาติ แล้วชาตินี้มันจะหนีไปไหนพ้น มันก็เจอแต่คนดี หลงไปในหมู่คนดีอยู่นั่นเอง

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของกรรมเก่าที่จะลิขิตเส้นทางให้ได้เจอกับคนดี ส่วนกรรมใหม่นั่นคือจะคว้าโอกาสนั้นไว้หรือไม่ จะสนใจหรือไม่ หากได้เจอครูบาอาจารย์ที่คิดว่าสามารถชี้ทางให้พ้นทุกข์ได้ แล้วเราจะสามารถปฏิบัติตามท่านเหล่านั้นได้หรือไม่ หรือเรายังมีกรรมกิเลสที่ต้องเป็นทาสกิเลส ไปคอยเสพสิ่งต่างๆให้เสียเวลาปฏิบัติธรรมไปอีกหรือไม่

การมีกรรมเก่าผลักดันให้เจอคนดี ไม่ได้หมายความว่าจะเจอได้ทุกชาติ กรรมดีมันก็มีหมดเหมือนกัน กรรมใดที่ส่งผลไปแล้วมันก็หมดพลังของมันเอง ทีนี้พอกรรมดีส่งผลให้เจอกับคนดี แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ ให้เวลาไปกับการสนองกิเลส กรรมดีที่ทำมานั้นก็เสียเปล่า ส่วนกรรมชั่วที่สร้างขึ้นมาใหม่ก็รอส่งผล ซึ่งมันก็ทำให้เสื่อมลงไปได้เรื่อยๆเช่นกันหากไม่ได้ทำกรรมดีเพิ่ม

ดังนั้นถ้าอยากเจอคนดี เจอครูบาอาจารย์ที่ถูกตรงไม่พาหลงทางจริงๆ ก็ให้ทำดีให้มากๆ เพียรทำดีโดยไม่ประมาท ขยันศึกษารับฟังสิ่งที่แตกต่างจากที่ตนยึดมั่นถือมั่น และนำมาพิจารณาหาประโยชน์ที่แท้ แม้ว่ากรรมเก่าจะมีพลังดีไม่มากนัก แต่กรรมใหม่ที่ทำนั้นทรงพลังมากกว่า ฟ้าไม่มีทางกั้นให้คนดีไม่พบกับทางพ้นทุกข์ได้นาน แม้จะหลงทางไปบ้างแต่ถ้าขยันทำดีไปเรื่อยๆ วิบากกรรมดีก็จะดลให้ได้พบกับครูบาอาจารย์ที่ถูกตรงในวันใดวันหนึ่งเอง

พอเจอผู้ชี้ทางแล้วได้ฟังธรรม นำมาศึกษาและปฏิบัติจนเกิดผล กิเลสลด ความโลภ โกรธ หลง เบาบาง ปฏิบัติศีลที่ยากได้ดีขึ้น เช่นสามารถมีศีล ๕ ได้โดยปกติทั้งกาย วาจา ใจ นิสัยดีขึ้น มีความสุขขึ้น มักน้อยกล้าจนมากขึ้น กล้าที่จะเสียสละแบ่งปันให้กับผู้อื่นมากขึ้น สามารถที่จะรับรู้ถึงความเจริญเหล่านี้ได้เอง จนเข้าใจได้ว่าธรรมของท่านเหล่านั้นเป็นของจริง ทำให้ลดกิเลสได้จริง ทำให้เกิดความผาสุกได้จริง ทำลายสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่นได้จริง

เช่นจากที่เคยชอบกินขนมชนิดหนึ่งมาก ก็ประหารความอยากนั้นได้จริงๆ ,เคยกินเนื้อสัตว์ ก็หันมากินมังสวิรัติได้แบบปกติสุข , เคยกินหลายมื้อ ก็หันมากินมื้อเดียวได้อย่างมีปัญญา , เคยอยากมีคู่ แต่ก็ทำลายความอยากนั้นจนสิ้นซากได้ต่อหน้าต่อตา พอมันทำได้จริงเช่นนี้ เอาวิธีปฏิบัติมาทำให้เกิดผลเจริญได้แบบนี้ มันก็หมดสงสัยอีก ไม่ต้องถามกันอีกว่าถูกหรือผิด เพราะถ้าผิดมันทำลายกิเลสไม่ได้อยู่แล้ว มีแต่ทางที่ถูกเท่านั้นที่จะสามารถต่อกรกับกิเลสได้

นั่นหมายความว่ามีแต่สงฆ์สาวกแท้ๆของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถสอนวิธีทำลายกิเลสจนสิ้นซากได้ นอกเหนือจากนี้ไม่มี วิธีอื่นใดในโลกไม่มี วิธีจัดการกับกิเลสจนสิ้นเกลี้ยงมีในธรรมวินัยนี้เท่านั้น ลัทธิอื่นนอกจากนี้ไม่มี

พอรู้ได้ด้วยตนเองเช่นนี้ก็ถือว่าจบภารกิจในการตามหาครูบาอาจารย์และมิตรสหาย เพราะรู้ว่าถ้าทำดีไปตามแนวทางนี้ก็จะได้พบกับคนที่ดียิ่งขึ้น คนที่เก่งกว่านี้ และที่แน่นอนคือเราสามารถทำตนเองนี่แหละให้ดียิ่งๆขึ้น จนเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้เช่นกัน

ทั้งหมดนี้เป็นขีดความสามารถของกรรมใหม่ที่สามารถทำได้ แม้ว่ากรรมเก่าจะขีดเขียนมาเช่นไรก็ตาม แต่หากเราใช้ทุกวันของชีวิตเพียรสร้างกรรมดีใหม่ๆขึ้นมา โอกาสที่จะได้เรียนอริยสัจ หรือความจริงอันประเสริฐสุดของชีวิตก็จะถูกเปิดเผยให้ได้ไขว่คว้ามา

ยกเว้นเสียแต่ชีวิตนี้ได้ทำอนันตริยกรรมลงไปแล้ว ประตูโอกาสทุกบานก็จะถูกปิดลง แม้จะมีทางแต่ก็ไม่เห็น แม้จะมีพระอรหันต์อยู่ตรงหน้าแต่ก็ไม่รู้ แม้จะมีธรรมที่พาพ้นทุกข์ประกาศอยู่แต่ก็จะไม่เข้าใจ แม้ครูบาอาจารย์จะเก่งแค่ไหนแต่ก็ไม่มีวันจะเรียนรู้ได้ เรียกได้ว่าหมดโอกาสบรรลุธรรมในชาตินี้ คงทำได้อย่างมากแค่ทำดีเท่าที่กำลังปัญญาจะพอมี และรอวันตายไปฟรีๆอีกหนึ่งชาติ

– – – – – – – – – – – – – – –

1.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

รักไม่มีเงื่อนไข

May 1, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 8,374 views 0

รักไม่มีเงื่อนไข

รักไม่มีเงื่อนไข

นิยามของความรักนั้นมีมากมายตามแต่ใจของใครจะปั้นแต่งขึ้นมา และนิยามที่ว่า รักแท้นั้นไม่ควรมีเงื่อนไขใดๆ ก็เป็นนิยามหนึ่งที่มีความหมายลึกซึ้งมาก

ในมุมมองของคู่รัก คำว่า “รักไม่มีเงื่อนไข” นั้นดูเหมือนการเฝ้าดูแลเอาใจใส่ ยอมอดทนเสียสละ หวังดีให้กับคู่รักของตนโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ซึ่งก็ถือว่าดีแล้วในเบื้องต้น

แต่คำว่า “รักไม่มีเงื่อนไข” แท้จริงแล้วยังมีนัยที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นซ่อนอยู่ นั่นคือการรักโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ เลย ไม่จำเป็นว่าคนนั้นต้องเป็นคู่รัก ไม่จำเป็นว่าคนนั้นต้องเป็นคนรู้จัก ไม่จำเป็นว่าคนนั้นต้องเป็นมิตรหรือศัตรู ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนเสียด้วยซ้ำ จะเป็นวัตถุสิ่งของ หรือต้นไม้ แม่น้ำ อากาศ ก็สามารถรักได้หมด โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆมากั้นขอบเขตของความเมตตาได้

ดังนั้นรักที่ไม่มีเงื่อนไขจึงมีทั้งความลึกและกว้าง ความลึกนั้นคือลึกซึ้งในเนื้อหาสาระ ส่วนความกว้างคือขอบเขตของรักที่กระจายออกไปโดยไม่มีกำแพงของความเห็นแก่ตัวใดๆมากั้นไว้

ถ้าเราสามารถรักได้แบบไม่มีเงื่อนไขได้จริง เราจะไม่ผูกใครไว้กับเรา เราจะไม่เจาะจงว่าจะรักใคร เราจะไม่สร้างเหตุให้เราได้เสพสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะไม่ไปยึดมั่นสิ่งใดๆทั้งปวงในโลกเลย

การที่รักนั้นยังมีอยู่แค่ในคู่รัก จึงเป็นความรักที่คับแคบ เห็นแก่ตัว สร้างเงื่อนไขว่าจะรักแค่สิ่งที่ตนชอบใจเท่านั้น จะรักแต่คนที่สนองกิเลสให้ตนได้เท่านั้น จะรักแต่คนที่มีประโยชน์สร้างความสุขให้ชีวิตตนเท่านั้น

เมื่อรักนั้นถูกกำหนดกรอบด้วยตัวบุคคล วัตถุ สิ่งของ ความเชื่อ สังคม เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ รักนั้นจึงได้ชื่อว่ายังมีเงื่อนไขอยู่นั่นเอง

– – – – – – – – – – – – – – –

27.4.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

วิธีเรียนรู้ชีวิต

April 28, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,196 views 0

วิธีเรียนรู้ชีวิตมีสองวิธีกว้างๆ

  1. คือเรียนรู้จากผู้รู้และประสบการณ์ของผู้อื่น
  2. คือเรียนรู้ด้วยตัวเอง

คือว่าเรียนรู้นั้นหมายถึงการเอาสิ่งนั้นมาพิจารณาในใจอย่างแยบคายให้ถึง เหตุปัจจัยที่เกิดผล หรือโยนิโสมนสิการ ดังนั้นไม่ว่าจะวิธีไหน หากไม่เกิดโยนิโสมนสิการ ก็ไม่เกิดการเรียนรู้

1.เรียนรู้จากผู้อื่น

เป็นวิธีเรียนรู้ที่ได้ผลไวที่สุด และเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่าเป็นทางที่ตรงที่สุดที่พาพ้นทุกข์ คือต้องเรียนรู้จากผู้รู้สัจธรรมจึงจะพาชีวิตไปสู่ความเจริญ

เมื่อเราเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่นแล้วนำมาไตร่ตรองหรือปฏิบัติตาม ย่อมจะได้ผลที่ใกล้เคียง ดังเช่นการปฏิบัติตามสัมมาอริยมรรค ก็ย่อมให้ผลไปในทิศทางที่เจริญ ไม่หลงทาง

2.เรียนรู้ด้วยตนเอง

เป็นวิธีเรียนรู้อีกทางที่ได้ผลช้า ถึงช้ามาก ด้วยความไม่รู้และความหลงผิดซึ่งเป็นพื้นฐานของเราแต่ละคน ทำให้ชีวิตเรียนรู้ไปในทางที่ผิดอยู่เสมอ ซึ่งผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นการเรียนรู้ด้วยตนเองนี้ส่วนมากเกิดจากอัตตา คือยึดว่าฉันทำได้ ฉันรู้เองได้ ฉันไม่ต้องพึ่งใคร ฉันไม่ต้องมีครู ฉันไม่ต้องมีศาสนา

จึงต้องไปลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ก็เป็นอีกทางหนึ่งในการเรียนรู้ที่ทำได้ แต่ไม่ดี เพราะสุขน้อย ทุกข์มาก

ทานที่เป็นบุญ

April 26, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,257 views 0

เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เรียนรู้เรื่อง “บุญ” ด้วยเหตุหายนะในเนปาล เราสามารถเรียนรู้การทำทานที่เป็นบุญได้

ซึ่งการทำทานนี้ไม่ใช่เพียงการใช้ส่วนที่เหลือกินเหลือใช้ในการแจกจ่าย แต่จะใช้ส่วนที่ยังหลงกินหลงใช้เกินความจำเป็นในการแจกจ่ายออกไป

ทานที่มีผลเจริญคือทานที่สามารถลดกิเลสได้ อธิบายแบบอ้อมๆคือเราสละโอกาสในการเสพสุขลวงของเราเช่น ค่ากาแฟ ค่าขนม ค่าสิ่งบันเทิง หรือสิ่งไร้สาระของเราให้ผู้อื่นโดยตัดการเสพสิ่งเหล่านั้นออกไป และจะไม่โยกทรัพย์กองอื่นมาทดแทน

อธิบายกันตรงๆก็คือการยอมสละการได้เสพตลอดจนความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อเป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นนั่นเอง

และทานที่มีผลไปลดกิเลสได้นี้เอง คือทานที่เป็นสัมมาทิฏฐิ พาให้เป็นสุข พาให้เจริญ

ในส่วนของกุศลหรือความดีนั้นจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจิตใจของผู้ให้นั้นจะเป็นอย่างไร คือให้แล้วเกิดผลดีก็จะกลายเป็นกุศลกรรม