ธรรมะประยุกต์

ประยุกต์ธรรม ทำตามมรรค

June 26, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,112 views 0

บทความ “อยากโสด แต่กิเลสไม่ยอมให้โสด” ก่อนหน้านี้สามารถประยุกต์ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น…

อยากผอม..แต่กิเลสไม่ยอมให้ผอม
อยากเลิกกินเหล้า..แต่กิเลสไม่ยอมให้เลิก
อยากเลิกกินเนื้อสัตว์..แต่กิเลสไม่ยอมให้เลิก
อยากกินมื้อเดียว..แต่กิเลสไม่ยอมให้กินมื้อเดียว
อยากทำ(สิ่งที่ดี)…แต่กิเลสไม่ยอมให้ทำ(สิ่งที่ดี)…ฯลฯ

ใครที่อ่านแล้วก็ลองเอามาปรับใช้กับสิ่งที่เป็นภัยต่อชีวิตตนเองที่กำลังคิดจะละเว้นกันอยู่
…..

ผมเคยเห็นคนที่มีศรัทธามาก ศึกษามาก ตั้งใจมาก อยากพ้นทุกข์มาก แต่เขาก็ยังไม่สามารถลดสิ่งที่เป็นภัยต่อชีวิตได้ ไม่สามารถต้านพลังของกิเลสได้ ไม่สามารถทำให้ตนหลุดพ้นจากสิ่งที่หลงติดหลงยึดได้

ผมสังเกตุว่า “มรรค” หรือวิถีปฏิบัติของพวกเขานั้นไปผิดทาง ไม่ได้มีทิศทางไปในทางลดกิเลส ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เป็นเป้าหมายเดียวของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา (จูฬสีหนาทสูตร)

เมื่อมรรคผิดก็คงไม่ต้องถามถึงผล เพราะผิดแน่นอน ส่วนจะได้ผลอย่างไรนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะทางแห่งมิจฉานั้นมีผลมากมายหลากหลาย แม้ว่าจะได้ผล แต่ก็เป็นผลที่ผิด ทำให้ติดให้ตัน ให้หลงผิด

เรียกว่ากิเลสก็ไม่ลด แถมยังอาจจะเพี้ยนเป็นบ้าไปได้อีก ทุกข์ก็ไม่ลด แถมความห่างไกลทางพ้นทุกข์ก็มากขึ้น ซวยสุดซวย

อยากโสด แต่กิเลสไม่ยอมให้โสด

June 26, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,794 views 0

อยากโสด แต่กิเลสไม่ยอมให้โสด

อยากโสด แต่กิเลสไม่ยอมให้โสด

สมัยที่ยังไม่เคยศึกษาธรรมะก็มักจะมองว่าความโสดไม่ดีมีแต่เหงา มีคู่สิดีมีอะไรมากมาย แม้จะเจ็บจากความรักเท่าใดก็ยังไม่ทิ้งความหวังที่จะมีความรักอีกครั้ง

จนกระทั่งได้มาศึกษาธรรมะ ได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์และผู้รู้ที่นำมาขยายและอธิบายว่าการมีคู่ทำให้เกิดทุกข์อย่างไร เป็นโทษอย่างไร ความโสดมีคุณประโยชน์อย่างไร ทำให้ชีวิตเจริญอย่างไร

ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์ความเจ็บช้ำมามากเท่าไหร่ เห็นรักของใครต่อใครพังมามากแค่ไหน ได้เรียนรู้ว่าโสดนั้นดีกว่ามีคู่อย่างไร แต่ก็ยังไม่สามารถทำใจให้โสดสนิทได้ ทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมโสด มันยังอยากมีคู่ เห็นคนอื่นควงกันมาแล้วก็ยังอิจฉา ดูละครเห็นพระเอกนางเอกจีบกันก็ยังสุขตาม บางทีก็ยังเฝ้าฝันถึงวันที่ได้มีคู่ ทำไมมันยังไม่ยอมโสดเสียทีทั้งที่มีความรู้ขนาดนี้แล้ว?

เรียนรู้ใช่ว่าจะรู้จริง

เราอาจจะเคยเจอกับสภาวะที่เรียกว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด หรือ เข้าใจแต่ทำไม่ได้ การเรียนรู้โดยทั่วไปนั้นเป็นการนำความรู้นั้นเข้ามาใส่ความจำเท่านั้น ซึ่งในความจำนั้นก็ยังมีอีกมากมายหลายล้านเรื่องที่จำไว้ เช่นจำว่าเคยมีความสุขตอนมีคู่ จำได้ว่าตอนเสพมันเป็นสุข ซึ่งแม้จะจำได้ว่ามีคู่เป็นทุกข์ แต่เมื่อประสบกับสิ่งที่ถูกใจเข้าจริงๆก็มักจะแกล้งลืมความจำบางอย่างไปเสียหมด

สิ่งที่ทำให้เราเลือกจำแต่เรื่องที่ไร้สาระและเลือกเสพในสิ่งที่ไม่ใช่ความสุขแท้นั้นก็คือ “กิเลส” พลังของกิเลสจะทำหน้าที่บดบังความจริงตามความเป็นจริง สร้างความสุขลวงขึ้นมา ปั้นความลวงให้เป็นความจริง ถึงแม้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นกงจักรก็ยังเข้าใจไปว่าเป็นดอกบัว นี่คือพลังของกิเลสที่ทำให้เห็นผิดเป็นถูก ทำให้ความจริงนั้นผิดเพี้ยนไป ดังนั้นเมื่อเราได้เรียนรู้อะไรมาก็ตาม หากเรายังมีกิเลสปนเปื้อนอยู่ ความรู้เหล่านั้นจะถูกบิดเบือนไปจนกระทั่งบันทึกสิ่งที่ผิดๆลงในความทรงจำ

ดังนั้นการเรียนมากก็ใช่ว่าพ้นทุกข์ได้ เพราะหากขยันเรียนแต่ยังมีกิเลสมากหรือความรู้ที่เรียนนั้นไม่ได้พาให้ลดกิเลส ความรู้นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ได้เลย ยิ่งรู้มากยิ่งหลงผิดมาก เรียกว่ายิ่งเรียนยิ่งโง่ก็ว่าได้

โสดที่ยังมีกิเลส

เมื่อเราได้เรียนรู้ชีวิตและศึกษาธรรมะ เข้าใจเหตุแห่งความอยากในการมีคู่แล้วเห็นดีในความโสด ไม่ใช่การโสดเพราะอยากจะหนีหรือเพราะเจ็บปวดจากความรัก แต่เพราะเกิดปัญญาเห็นโทษภัยของการมีคู่และข้อดีของการโสด

แต่ถึงจะเห็นไปในทางที่ถูกเช่นนั้นก็ใช่ว่าจะสามารถโสดโดยไม่มีสะดุด เพราะยังมีกิเลสคอยเป็นมารที่ขวางกั้นความสงบในชีวิต การเห็นว่าโสดนั้นดี คือความเห็นความเข้าใจที่ถูกปรับเข้ามาในทิศทางที่ถูกแล้ว เหมือนเรือที่หันหางเสือไปยังทิศทางพ้นทุกข์ แต่ก็ยังไม่ออกเรือ เป็นเพียงการระบุทิศทางเท่านั้น

ซึ่งประเด็นนี้มักจะเป็นที่สงสัยของหลายคนว่า ได้ศึกษาธรรมจากพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ เข้าใจและเห็นด้วย แต่ทำไมเวลาไปเจอของจริงมันแพ้กิเลสทุกที นั่นเพราะเพียงแค่ความเข้าใจที่ถูกตรงแต่ยังมีกิเลสนั้นยังไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้

ความเข้าใจที่ถูกเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีเป็นอันดับแรก เพราะถ้าเข้าใจผิดเห็นว่ามีคู่ดีกว่า หรือถ้าเจอคู่ดีก็ควรมี หรือเหตุผลอะไรก็ตามแต่ที่จะทำให้ไปมีคู่ ก็เรียกได้ว่ายังเป็นความเข้าใจที่ผิด เป็นเรือที่อยากจะเดินทางไปสู่การพ้นทุกข์ แต่ตั้งหางเสือให้ไปในทิศทางของทุกข์อยากมีความสุขแต่กลับแสวงหาทุกข์ เพราะมีกิเลสมาบดบังปัญญาจึงทำให้หลงผิด

เมื่อมีความเข้าใจที่ถูก ก็จะต้องทำให้เกิดความคิดที่ถูกต้องตามมา ในตอนแรกจะไม่สามารถมีความคิดไปตามหลักของพระพุทธเจ้าได้ กิเลสมันจะค้านแย้งตลอด แม้จะได้เรียนธรรมมามาก มีข้อธรรมเยอะ จำได้มาก แต่ก็มักจะต้องแพ้ให้กับกิเลสเสมอ เพราะพลังของอธรรมนั้นมีมากกว่าธรรม ตั้งใจพิจารณากิเลสแทบตาย ฟังธรรมปฏิบัติธรรมกันอยู่เป็นสัปดาห์ ออกไปใช้ชีวิตแล้วเจอคนที่ถูกใจพูดด้วยไม่กี่คำก็เพ้อฝันไปไกล

การจะคิดได้อย่างถูกตรงนั้นไม่ง่าย จึงต้องใช้พลังของการปฏิบัติอื่นๆร่วมด้วย คือการพูดสิ่งที่ถูกตรง คือพูดไปในทางไม่เสริมกิเลส ขัดกิเลส ทำกิจกรรมการงาน เลี้ยงชีพอย่างถูกตรง โดยเฉพาะความเพียรที่ถูกตรง

ความเพียรที่ถูกคืออะไร? ในกรณีของการจะไปสู่ความโสดอย่างเป็นสุขได้นั้นจะต้องเพียรชำระล้างกิเลส ไม่ใช่ขยันทำการงาน แต่เป็นขยันชำระกิเลสในใจตน ขยันพิจารณาประโยชน์ของความโสดและโทษของการมีคู่ เพื่อให้อาหารกับธรรมะและงดให้อาหารอธรรม เพื่อไม่ให้ความชั่วโตขึ้นและเสริมสร้างความดีให้แข็งแรง

จนกระทั่งมาถึงสติที่ถูกตรง เป็นสติที่สามารถจับและวิเคราะห์กิเลสได้ รู้ได้ชัดว่ากิเลสใดเกิดขึ้น เป็นกิเลสชนิดไหน โลภ โกรธ หลงในสิ่งใด เราอยากเสพอะไร เราหลงติดหลงยึดในอะไร แล้วจะใช้ธรรมะเข้าใดเข้ามาขัดเกลากิเลสนี้

เมื่อวิถีปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์ทั้งหมดถูกปฏิบัติอย่างตั้งมั่น จึงเกิดเป็นสมาธิที่ถูกตรง เป็นลักษณะเฉพาะของผลการปฏิบัติในวิถีพุทธ นั่นคือเกิดสมาธิขึ้นเพราะความสงบจากกิเลส เป็นสมาธิที่ไม่ต้องนั่ง ไม่ต้องเดิน ไม่ต้องเข้า ไม่ต้องออก เป็นสภาพสามัญของ “สัมมาสมาธิ” ของผู้ที่ปฏิบัติ “สัมมาอริยมรรค” ๗ ข้ออย่างถูกตรงด้วยความตั้งมั่น ต่างจากวิธีปฏิบัติของลัทธิอื่นๆที่ต้องนั่งสมาธิหรือใช้อุบายให้จิตสงบเสียก่อนจึงเกิดจิตที่เป็นสมาธิได้ ซึ่งนั่นเป็นเพียงมิจฉาสมาธิเท่านั้น

โสดไม่มีกิเลส

เมื่อปฏิบัติอย่างถูกตรงด้วยความเพียรอย่างสุดกำลัง จนกระทั่งเกิดปัญญารู้แจ้งในกิเลสนั้นๆ เป็นความรู้เดียวกับที่พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์สอน ไม่ว่าใครที่รู้แจ้งในกิเลสก็จะได้สัมผัสรสเดียวกัน รับรู้เช่นเดียวกัน อารมณ์เดียวกัน คือมีสภาพปล่อยวางจากกิเลส ปล่อยให้กิเลสเดินออกจากจิตวิญญาณของเรา กิเลสไม่ใช่เราและเราไม่ใช่กิเลส ไม่จำเป็นต้องมีกันและกันอีกต่อไป

เมื่อเข้าใจดังนั้น ก็จะไม่ต้องพยายามโสด ไม่ต้องระวังว่าใครจะมาพรากความโสดได้ ต่อให้ยกบ้านยกเมืองให้ ให้เป็นเศรษฐีระดับโลก มีกินมีใช้ตลอดชีวิต มีคนที่พร้อมจะมาเป็นคู่ มีนิสัยดีแสนดี มีพร้อมทั้งความงามและปัญญามาแลกกับการสละความโสดก็ไม่เอา ดีแค่ไหนก็ไม่เอา ไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจ ไม่มีความอยากใดๆเกิดขึ้นแม้น้อย เพราะมีคำตอบเดียวคือ “โสด” ปิดประตูนรกของการมีคู่ไปได้เลย

ไม่มีความลังเลสงสัยใดๆในคำสอนของพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์อีก เพราะรู้แน่ชัดในตนเองแล้วว่าสิ่งนี้แหละเยี่ยมยอดที่สุดในโลก เป็นสภาวะที่ไม่สามารถจะหาสิ่งใดมาเปรียบ ไม่มีอะไรที่จะเอามาแลกได้ ไม่มีอะไรหักล้างได้ ยั่งยืน ถาวร ไม่เวียนกลับ คงอยู่ตลอดกาล ไม่แปรปรวนอีกต่อไป เกิดเป็นความรู้ในตน เป็นปัญญาของตน เป็นสมบัติของตนเอง ไม่ใช่ของที่หยิบยืมมาอ้างจากผู้อื่นอีกต่อไป กลายเป็นอริยทรัพย์เรื่องหนึ่งที่จะให้ผลต่อเนื่องไปตราบปรินิพพาน

– – – – – – – – – – – – – – –

26.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ดับภพ ดับกิเลส มีลักษณะอย่างไร? กรณีศึกษา : ไตรสิกขากับการลดเนื้อกินผัก

June 23, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,683 views 0

ดับภพ ดับกิเลส มีลักษณะอย่างไร? กรณีศึกษา : ไตรสิกขากับการลดเนื้อกินผัก

เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมคือการทำลายกิเลสให้สิ้นเกลี้ยงไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก ไม่เหลือแม้ฝุ่นผงในจิตใจให้ต้องเกิดอาการระคายเคือง ขุ่นใจใดๆอีกต่อไป

แต่การปฏิบัติธรรมนั้นต้องเป็นไปโดยลำดับ เป็นขั้นเป็นตอน เป็นส่วนๆ มีขอบเขตในการปฏิบัติที่ชัดเจน ซึ่งเราจะใช้ศีลเป็นเครื่องมือในการกำหนดกรอบที่จะปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่นการลดเนื้อกินผัก เรามุ่งเป้าที่จะลดเนื้อเท่ากับศูนย์และผักเป็นหลัก

ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าสามารถจะเข้าถึงผลได้ทันที แม้ว่าเราจะสามารถควบคุมร่างกายไม่ให้ไปเสพได้ แต่ถ้าจิตใจยังไม่สามารถชำระความหลงติดหลงยึดได้ ก็เรียกว่ายังมีกิเลสที่ต้องชำระหลงเหลืออยู่

การทำลายกิเลสนั้นเป็นการทำลายไปทีละภพของกิเลสโดยลำดับ เริ่มจากกามภพ รูปภพ และอรูปภพ เมื่อทำลายอรูปภพได้นั่นหมายถึงเราได้ทำลายความยึดมั่นถือมั่นในภพทั้งหมด ทำลายความอยากที่มี จนเกิดสภาพของกิเลสดับ ซึ่งเกิดจากปัญญารู้แจ้งในกิเลส(วิชชา) ที่จะมาแทนที่ความไม่รู้(อวิชชา) ทั้งนี้ก็เป็นเพียงการหลุดพ้นเป็นเรื่องๆตามที่ขอบเขตของศีลได้กำหนดไว้

เราจะมาศึกษาเกี่ยวกับภพของกิเลสกันในกรณีศึกษา ไตรสิกขากับการลดเนื้อกินผักกัน

เมื่อเราได้เริ่มศึกษาศีลเกี่ยวกับการไม่ฆ่าและไม่เบียดเบียน ด้วยเหตุจากปัญญาที่ว่าการลดเนื้อกินผักนี้ก็เป็นหนึ่งในหนทางปฏิบัติที่เราจะไม่มีส่วนเบียดเบียน โดยมีสติเป็นเครื่องประกอบในการทนรับแรงยั่วของสิ่งที่เราเคยชอบเคยหลงใหลทั้งหลาย

1).กามภพ

ในตัวอย่างนี้จะมีให้เห็นตัวเลือกของอาหารมื้อหนึ่งของผู้ศึกษาศีลนี้ มีตั้งแต่ข้อ ก ถึง ฉ ในส่วนของข้อที่ยังมีกรอบสี่เหลี่ยมไว้ให้เลือก นั้นหมายถึงสภาพของกามภพในชนิดของอาหารนั้นๆ คือยังไม่สามารถดับความอยากในระดับที่จะเข้าไปเสพได้

นั่นหมายถึงถ้ายังเป็นตัวเลือกที่เลือกได้อยู่ ก็ยังมีโอกาสที่จะกลับไปกินเสมอ แต่ในกรณีนี้ ได้เลือก ก.ผัดผัก ทั้งที่ ค.ส้มตำปลาร้า ,ฉ. ลูกชิ้นปิ้ง ก็ยังเป็นตัวเลือกอยู่ มีเหตุปัจจัยมากมายที่ทำให้เลือกผัดผัก ซึ่งเราจะเหมาเอาว่าการเลือกผัดผักเพราะลดกิเลสได้นั้นไม่แน่เสมอไป เพราะการที่ไม่กินลูกชิ้นอาจจะมีหลายเหตุผล เช่น หาลูกชิ้นกินไม่ได้ ลูกชิ้นที่ขายราคาแพง ร้านค้าดูไม่สะอาด หรืออายคนที่ไปด้วยกัน ซึ่งความอายนี้ก็อาจจะเกิดจากเหตุผลทางโลกเช่นกลัวโดนนินทาก็ได้ แต่ก็อาจจะเกิดจากความเจริญทางธรรมได้เช่นกัน คือเกิดจากหิริโอตตัปปะที่เจริญขึ้นในจิตใจ ดังนั้นการไม่เลือกเสพสิ่งใดๆ เราจึงควรวิเคราะห์เป็นกรณีไป ไม่สามารถเหมารวมว่าเป็นการลดกิเลสได้ทั้งหมด

ลักษณะของกามภพคือมีโอกาสกลับไปเสพได้เสมอ ยังเปิดตัวเลือกไว้อยู่เสมอ ยังไม่สามารถดับตัวเลือกนี้ได้สนิท ยังมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปเสพได้อย่างเต็มที่ ถ้าจะให้เห็นภาพมากขึ้นก็เช่น คนที่บอกว่าตนเองจะเป็นโสดก็ได้มีคู่ก็ได้ แม้จะดูเผินๆจะเป็นสภาพไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ความจริงแล้วคือสภาพของกามภพที่ยังไม่สามารถปิดประตูนรกหรือหยุดพฤติกรรมที่จะพาให้ไปเสพกามนั้นได้สนิท

ดังนั้นการยังอยู่ในกามภพคือ โอกาสที่จะกลับไปทำชั่วได้เสมอเพราะไม่ได้มีปัญญาเจริญขึ้นถึงระดับรู้ว่าการไปเสพนั้นสามารถสร้างโทษชั่วให้กับชีวิตจิตใจของเราได้อย่างไร

2).รูปภพ

รูปภพคือสภาพของการยึดมั่นถือมั่นที่น้อยลงจนไม่ไปเสพ เกิดจากปัญญาที่เจริญขึ้นมา ไม่ใช่การกดข่มไม่ไปเสพ ถ้าเกิดจากการกดข่มไม่ไปเสพนั้น จะเรียกว่าอยู่ในกามภพ แต่สามารถใช้กำลังของจิตที่ตัวเองมีกดข่มไว้ได้ ซึ่งมีโอกาสตบะแตกได้เหมือนกัน

แต่รูปภพคือสภาพที่เจริญขึ้นมาในอีกระดับ คือจะไม่ไปเสพไม่ว่าจะเหตุผลใด แต่ก็ยังมีความอยากให้เห็นเป็นรูปอยู่ ในกรณีตัวอย่างก็คือ ง.ปลาทอด ในตัวอย่างนี้ไม่มีช่องสี่เหลี่ยมให้เลือกแล้ว นั่นหมายความว่าเราจะไม่เลือกอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเลือกไม่ได้นะ “แต่ไม่เลือก” คนที่ปฏิบัติธรรมลดกิเลสได้กับคนที่ปฏิบัติแบบกดข่มจะต่างกันตรงนี้ คือคนที่ลดกิเลสจะไม่เลือกด้วยจิตใจปกติเพราะมีปัญญารู้ว่าถ้าเลือกแล้วจะเกิดผลร้ายอย่างไร ส่วนคนที่กดข่มจะเลือกไม่ได้ หรือไม่ยอมเลือกเพราะไม่อยากให้ตนเองไปแตะต้องสิ่งที่ไม่ดีไม่งามโดยการใช้ความพยายามของจิตมาข่มความอยาก

ถึงกระนั้นรูปภพก็ยังมีอยู่ในรายการของอาหารที่อยากกิน นั่นหมายความว่าความอยากยังไม่หมด จนกระทั่งต้องเขียนออกมาเป็นรายการหนึ่ง เปรียบเทียบให้เห็นว่าแม้จะไม่เลือกแล้ว แต่ภายในจิตใจก็ยังมีความอยากเสพในสิ่งนั้นๆอยู่ ยังคิดและปรุงแต่งไปตามกิเลสว่าสิ่งนั้นยังเป็นสิ่งที่น่าใคร่น่าเสพอยู่ แต่ก็ไม่ได้ตกต่ำจนต้องไปเสพ

ลักษณะของการปรุงแต่งก็เช่น เห็นปลาทอด ฉันไม่กินหรอก แต่ก็คิดในใจอยู่ว่า ปลาทอดก็อร่อยดีนะ ความกรอบของปลา ความนุ่มของปลาก็น่าลิ้มลอง แต่ไม่กินหรอก ไม่เอาหรอก คือมีความอยากที่เห็นได้ จับรูปของกิเลสได้ว่ายังมีอยู่นั่นเอง

3).อรูปภพ

เป็นสภาพของจิตใจที่หลุดพ้นจากกิเลสมามากแล้ว ไม่มีรูปรอยของกิเลสให้เห็นเป็นตัวเป็นตนอีกต่อไป ไม่มีคำปรุงแต่งใดๆว่าอยากกิน ไม่มีความคิดว่าจะต้องไปกินหรือคิดว่าสิ่งนั้นน่าเสพอีก แต่ก็ยังไม่หลุดจากอำนาจของกิเลสอย่างสิ้นเกลี้ยง

อรูปภพคือภพที่อันตรายมาก เพราะคนจะประมาทต่อพลังของกิเลสที่สงบลงมาจนถึงภพนี้ มีลักษณะบางจนจับอาการแทบไม่ได้ ยิ่งถ้าปฏิบัติมาอย่างกดข่ม ไม่ได้ใช้ปัญญาในการพิจารณาล้างกิเลส จะไม่มีญาณปัญญารู้กิเลสในอรูปภพได้เลย เพราะระบบของการกดข่มกับการล้างกิเลสด้วยปัญญานั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ผู้ที่กดข่มเก่งๆจะมีสภาพเหมือนหลุดพ้นจากกิเลสแม้จะไม่เคยรู้จักแจ่มแจ้งในสามภพนี้ แม้จะเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมมาอย่างถูกทางก็จะเหมือนมีสภาพหลุดพ้นจากกิเลสในอรูปภพเช่นกัน ซึ่งหลักฐานเดียวที่แสดงให้เห็นว่ายังไม่พ้นคืออาการขุ่นใจ ไม่พอใจ ไม่สบายใจ ไม่โปร่ง ไม่โล่ง ไม่เบิกบานทั้งหลายเมื่อไม่ได้เสพ ซึ่งแม้ว่าจะปฏิบัติมาอย่างถูกตรง แม่นยำในสติปัฏฐาน ๔ ก็ใช่ว่าจะจับตัวตนของกิเลสที่เหลืออยู่กันได้ง่ายๆ

ยิ่งถ้าคนที่ปฏิบัติแบบกดข่มก็คงไม่ต้องพูดถึง เพราะการกดข่มมีกระบวนการเดียวคือกดความอยากลงไปด้วยสติหรือข้อธรรมต่างๆ ที่เป็นอุบายทำให้จิตสงบต่อความอยาก การกดข่มผลของความอยากที่เกิดขึ้นไม่ใช่การเข้าไปรู้ตัวตนของกิเลส ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ นั่นหมายถึงไม่ได้ปฏิบัติตามหลักอริยสัจ ๔ อย่างถูกตรง ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่กระบวนการกดข่มจะสามารถดับกิเลสในระดับอรูปภพได้ เพียงแค่รู้ตัวตนของกิเลสยังทำไม่ได้เลย แล้วถ้าเป็นระดับอรูปภพนี่ถึงจะไม่กดข่มมันก็ดับไปเอง มันจะโผล่มาแวบๆวับๆ แล้วก็หายไป รวดเร็ว เบาบาง จนไม่จำเป็นต้องกดข่มใดๆ นั่นหมายถึงถ้าปฏิบัติอย่างกดข่ม อรูปภพจะกลายเป็นเหมือนสภาพที่ไม่มีอยู่จริง

จึงเป็นเหตุผลที่ว่าสายที่ปฏิบัติธรรมอย่างฤๅษีทั้งหลายที่ใช้การกดข่มความอยาก ใช้สมถะอย่างเดียว จึงไม่สามารถบรรลุธรรมใดๆได้ ถึงแม้จะมีรูปสวย นั่งสมาธิได้เป็นวันเป็นเดือน กิริยาอาการน่าเคารพ พูดจาน่าเลื่อมใส มีชื่อเสียงขจรไกล แต่ถ้าไม่ฉลาดในเรื่องกิเลส ก็ยังเป็นบุคคลที่ยังมีภัยต่อตนเอง นั่นคือต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดตามเหตุคือกิเลสกันต่อไป

ในตัวอย่างนี้ อรูปภพ จะถูกเปรียบเทียบด้วยข้อ จ. คือหมูปิ้ง หมูปิ้งไม่ใช่ตัวเลือกที่เห็นได้ชัด แต่กระนั้นก็ยังมีอยู่ มันเลือนรางจางหายไปจากเดิมมาก ถ้ามองผ่านๆก็อาจจะไม่เห็น แต่มันยังมีอยู่ มันไม่ได้หายไปไหน มันรอเวลาที่เราจะประมาทและกลับกำเริบได้

ทั้งนี้แม้จะปฏิบัติอย่างถูกตรงจนเจริญมาถึงอรูปภพ แต่ถ้าไม่กำจัดกิเลสให้สิ้นเกลี้ยงก็มีโอกาสที่จะเสื่อมถอยลงได้ เพราะกิเลสเป็นพลังงานที่เติบโตได้ สะสมได้ เรียกว่าบาป หากเราประมาทและไม่สามารถรู้ถึงตัวตนของกิเลสที่ยังเหลืออยู่ในอรูปภพได้ สักวันหนึ่งมันก็อาจจะโตและกลับมาเป็นกามภพได้ พอถึงตอนนั้นก็เมาหมัดกิเลสแล้ว หลงนึกว่าตนเองได้เปรียบอยู่ดีๆ เจอกิเลสลุกขึ้นมาสวนหมัดชนะน็อกไปเฉยๆก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไรนัก เพราะสภาพของอรูปภพนั้นรู้ได้ยาก ดูภายนอกก็ดูแทบไม่ออก ใครก็มองไม่เห็นนอกจากตัวเราเอง

4).ข้ามสามภพ

มาถึงข้อสุดท้าย เป็นเป้าหมายของนักปฏิบัติธรรมหรือผู้แสวงหาทางพ้นทุกข์ทุกคน คือสภาพดับไม่เหลือของกิเลส ในตัวอย่างนี้จะเห็นว่ามี ก. ถึง ฉ. แต่ไม่มีข้อ ข.

แท้จริงแล้ว ข. นั้นมีอยู่ แต่มันไม่มีในจิตใจของผู้ที่ขัดเกลาตนเองจนถึงผล เพราะ ข. นั้นมี จึงไม่สามารถเลื่อน ค. เข้ามาเป็น ข. ได้ แม้มันจะดูเหมือนไม่มี แต่มันก็มีอยู่จริง แต่กลับไม่มีผลกระทบอะไรกับจิตใจของผู้ข้ามสามภพอีกต่อไป ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขใดๆในสิ่งนั้น

จากตัวอย่างทั้งหมดนี้จึงแสดงให้เห็นว่ากิเลสนั้นจะถูกชำระเป็นชนิดๆไปตามลำดับ ตามศีลที่ตั้งไว้เพื่อศึกษา แม้ในศีลหนึ่งๆที่ศึกษานั้นก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่เข้าไปศึกษากิเลสในอาหารแต่ละชนิด เพราะเราไม่สามารถตั้งศีลแล้วชำระกิเลสได้ทั้งหมดเสมอไป เราจึงจำเป็นต้องศึกษากระบวนการของไตรสิกขา ที่จะสอนให้ค่อยๆทำ ค่อยๆล้าง ไม่โลภบรรลุธรรม ไม่รีบจนหลงผิด และไม่หลงผิดจนต้องเสียเวลาและสร้างบาป เวร ภัย สะสมแก่ตนเองโดยไม่รู้ตัว

มาถึงตรงนี้ก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับ ข. แล้ว ก็ใช้เวลาศึกษากิเลสในอาหารตัวอื่นไปเช่น เรายังเสพสุขอะไรในส้มตำปลาร้า เราสุขเพราะปลาร้าหรือส้มตำก็แยกให้ออก เราติดอะไรในลูกชิ้น มันมีเนื้อสัตว์ผสมแม้จะไม่เป็นรูปชิ้นเนื้อแล้ว แต่มันก็ยังมีอยู่ เรายังอยากเสพอะไรในนั้น ในเมื่อเราจะไม่กินเนื้อสัตว์แล้วเราละเว้นดีไหม? ฯลฯ ซึ่งในแต่ละชนิดก็ต้องไล่ กามภพ รูปภพ อรูปภพไปเช่นกัน

ที่ยกตัวอย่างมานี้คือการย่อยลงในรายละเอียดของการปฏิบัติ แต่ถ้าใครอินทรีย์พละแกร่งกล้าพอ จะตัดเนื้อสัตว์ทั้งยวงไปเลยก็สามารถทำได้ สามารถถึงผลได้เช่นกันหากปฏิบัติอย่างถูกตรง โดยไม่หลงไปใช้การกดข่มแล้วเข้าใจว่าสามารถดับกิเลสได้

เพราะการที่เราไม่กินเนื้อสัตว์นั้น เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ จะเหมาเอาว่าเป็นการลดกิเลสทั้งหมดไม่ได้ ในบางกรณีอาจจะเพราะกิเลสเพิ่มด้วยซ้ำไป เช่นไปเพิ่มความยึดมั่นถือมั่นว่าฉันเป็นคนดี ว่าแล้วก็กดข่มความอยากในการกินเนื้อสัตว์ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคืออัตตาเพิ่ม แต่กามไม่ได้ล้าง คือความหลงติดหลงยึดสุขในการเสพนั้นอาจจะยังไม่ได้หมดไป เพราะใช้ความดีเข้ามากดข่มนั่นเอง

– – – – – – – – – – – – – – –

23.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ขุดกระถิน ขุดกิเลส

June 14, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,684 views 1

ขุดกระถิน ขุดกิเลส

ขุดกระถิน ขุดกิเลส

เมื่อปีก่อน พื้นที่หนึ่งเคยเป็นแค่ที่ไร่เก่าที่ถูกปล่อยร้าง อย่างมากก็มีแค่วัชพืช บนพื้นที่เป็นร่องของรอยไถ เมล็ดของกระถินได้ตกลงมาและเติบโตโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าวันนี้มันจะเป็นปัญหาที่แก้ไขได้อย่างยากลำบาก

ผมได้ดำเนินการขุดพื้นที่ให้เป็นสภาพของเกาะ ซึ่งไม่สามารถนำรถไถเข้ามาปรับพื้นที่ได้อีก กระถินต้นน้อยที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านเดือนมาเป็นปี แน่นอนว่าในตอนแรกมันยังเป็นแค่ต้นเล็กๆ แต่พอมันโตขึ้น ก็มีชาวบ้านเข้ามาตัดมันจนกุดไปเป็นระยะ จนผ่านไปปีกว่า พื้นที่เกาะกว่าร้อยตารางวาก็กลายเป็นดงกระถิน

มาถึงวันนี้ ผมใช้แรงและเวลาอย่างมากในการะขุดกระถินออก การนำกระถินออกใช้การตัดไม่ได้ เพราะการตัดก็ยังเหลือตอ เมื่อเหลือตอก็โตต่อได้ และถ้าโดนตัดบ่อยๆ ตอจะยิ่งใหญ่ขึ้น ทำให้ขุดยากขึ้นด้วย เพราะรากจะแทงออกไปตามปริมาณของกิ่งที่แตกแขนงออกไปเช่นกัน นั่นหมายถึงยิ่งตัดก็ยิ่งจะเอาออกยากในภายหลัง

ขุดกระถิน…

การขุดกระถินนั้นจะต้องขุดลงไปลึกถึงระดับหนึ่งให้ลึกถึงส่วนราก ซึ่งจะทำให้กระถินไม่แตกกิ่งใหม่ขึ้นมาอีก แต่การขุดนั้นไม่ง่าย ในเมื่อเราใช้รถไถกระถินออกไม่ได้ เราก็ต้องใช้เครื่องมือ ไม่ว่าจะลองใช้จอบ เสียม ก็กลับพบว่าไม่มีอะไรขุดกระถินออกได้ดีเท่าอีเตอร์ถ้านึกภาพไม่ออกก็น่าจะนึกถึงอุปกรณ์ขุดเหมือง ประมาณนั้นละนะ

ทีนี้อีเตอร์ธรรมดานี่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ จึงต้องเอาปลายด้านหนึ่งมาลับให้คม เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการเฉาะลงไปในเนื้อส่วนรากของกระถินเข้าไปอีก แต่ยิ่งคมก็ยิ่งอันตราย ทั้งหนัก ทั้งคม ต้องใช้แรงมาก ต้องระวังมาก ถ้าพลาดมาโดนตัวเองก็อาจจะบาดเจ็บหนักได้เช่นกัน

และการขุดแต่ละครั้งก็ใช่ว่าจะสำเร็จ ต้องเพียรอย่างมาก บางครั้งขุดพลาดบ้าง แฉลบไปข้างๆ ก็เสียแรงฟรีๆ บางครั้งเจอตอใหญ่ ขุดไปอีเตอร์กระเด้งกลับ ถ้ายึดอีเตอร์ไว้มั่นก็จะเจ็บทั้งมือทั้งแขน ต้องทำอย่างยึดแต่ไม่มั่น เพราะถ้าไม่ยึดให้ดีก็หลุดมือ หรือไม่มีแรง แต่ถ้ายึดมั่นมากเกินไปก็จะเจ็บตัว

ทั้งนี้ถ้าเราเอากระถินออกตั้งแต่ตอนแรก ก็คงจะไม่ลำบากเสียแรงกันให้วุ่นวายกันแบบนี้ เมื่อเรากั้นเขตไม่ให้รถไถเข้ามาช่วยเราก็เลยต้องออกแรงเองทั้งหมด

ขุดกิเลส…

หากจะมองในเชิงเปรียบเทียบ การขุดกระถินก็คงจะให้ภาพคล้ายๆกับการขุดกิเลส ถ้าใครอยากรู้ว่าการขุดกิเลส การล้างกิเลสเป็นอย่างไรให้ลองไปขุดกระถินสักร้อยสองร้อยต้น แล้วระลึกไว้เสมอว่าการทำลายกิเลสยากกว่านั้นจนเทียบไม่ได้

กระถินนั้นต้องใช้การขุดออก จะตัดออกไปไม่ได้ ถึงจะตัดควบคุมไม่ให้ต้นมันโต แต่ตอที่เหลือไว้มันก็จะยิ่งโตใหญ่อยู่ดี นั่นหมายถึงถ้าไม่ขุดกระถินออกก็ไม่มีทางจบปัญหา กิเลสก็เช่นกัน แม้ว่าเราจะสามารถใช้สติ ดับความฟุ้งซ่านได้เป็นคราวๆ แต่สติที่มีขอบเขตเพียงแค่การระลึกรู้ตัวนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะชำระกิเลสได้ เป็นเพียงแค่ตัวรู้เท่านั้น หากรู้แล้วปล่อยให้เกิดดับไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วกิเลสกำลังแอบกำเริบเติบโตอยู่ นั่นแหละคือภาระอันยิ่งใหญ่ที่เราต้องมาสะสางกันยกใหญ่ทีหลัง

กระถินนั้นเรายังพอจะเห็นว่ามันเริ่มเติมโตตั้งแต่ต้นเล็กไปจนต้นใหญ่ เห็นต้นเห็นรากของมัน แต่กิเลสเราไม่รู้เลยว่ามันเริ่มจากตรงไหน จับต้นชนปลายกันไม่ถูก หาเหตุกันไม่เจอ ได้แต่งงกับผลกรรมร้ายๆทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิต ซ้ำร้ายกิเลสยังแผ่ขยายรากและเติบโตได้อย่างไม่มีวันจบสิ้น ตัดตรงนี้ ไปเกิดอีกตรงนั้น แถมตรงนี้ยังโตขึ้นไปได้อีก

ถ้ากระถินเป็นต้นไม้ที่ขยายพันธุ์ด้วยรากและแตกหน่อจากใบได้ด้วย ก็คงจะเป็นพืชที่ครองโลกไปแล้ว แต่แค่ที่มันเป็นอยู่ก็กำจัดมันได้ยากแล้ว ส่วนกิเลสนั้นเป็นพลังงานที่สามารถขยายและแตกตัวได้อย่างไม่จำกัด เป็นเหมือนคลื่นที่มองไม่เห็นแต่มีพลังงานมหาศาลให้คนทำชั่ว คนมีกิเลสหนึ่งคนสามารถขยายกิเลสของตนให้คนอื่น ขยายและแพร่พันธุ์กิเลสได้อย่างไม่จำกัด

ทีนี้เมื่อกิเลสนั้นเป็นพลังงาน มองไม่เห็นได้ง่ายเหมือนกระถิน แล้วจะเอามันออกได้อย่างไร ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับตัวตนของกิเลสได้ จะแน่ชัดได้อย่างไรว่ากิเลสเป็นเชื้อชั่วที่ควรขุดรากถอนโคนทิ้ง และถึงแม้จะมั่นใจว่าต้องขุดทิ้งก็ใช่ว่าจะสามารถจะขุดกิเลสกันได้ง่ายๆ ต้องเพียรกันสุดยากลำบาก

ที่ว่าทำได้ง่ายๆนั้นไม่มีหรอก มีแต่ขุดผิดเท่านั้นแหละ เขาให้ขุดกิเลสในสันดานทิ้ง ไปขุดอะไรทิ้งก็ไม่รู้ เช่นไปขุดความยึดมั่นถือมั่นว่ากิเลสเป็นของไม่ดีทิ้ง คล้ายๆกับมีกระถินอยู่เต็มพื้นที่ที่จะต้องนำไปใช้ประโยชน์ ด้วยความเห็นผิดก็เลยปล่อยให้กระถินเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ให้มันโตตามธรรมชาติอยู่แบบนั้น แล้วเข้าใจว่าทุกอย่างก็เป็นเช่นนั้นเอง ก็เหมือนกับคนที่คิดว่าตัวเองปฏิบัติธรรมแต่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกิเลส เสพกามเมาอัตตาอยู่นั่นเอง

…การขุดกิเลสนั้นเป็นเรื่องนามธรรมที่ยากสุดยาก เป็นสิ่งที่ต้องเพียรกันถึงขั้นทุ่มชีวิตเอาใจใส่ก็ใช่ว่าจะสำเร็จกันได้ง่ายๆ เพราะถึงจะขยันแต่ขุดผิดที่ ก็หมายความว่าเหนื่อยเปล่า ยิ่งทำยิ่งหลงทาง ยิ่งขยันยิ่งพาตัวเองไปสร้างทุกข์

คนขยันแต่ไม่มีปัญญานี่ต้องหยุดก่อน อย่าเพิ่งทำอะไร ลองศึกษาก่อน พิจารณาดูก่อนว่าควรจะทำอะไร ควรจะขุดตรงไหน สิ่งไหนที่เรียกว่ากิเลส อันไหนกาม อันไหนอัตตา ควรจะทำลายตัวไหนก่อน ลำดับขั้นตอนเป็นอย่างไร มีผลเป็นอย่างไร นั่นหมายถึงว่า ถ้ายังไม่เจอผู้รู้ที่มีวิชาทำลายกิเลสได้จริง ก็อย่าเพิ่งปักมั่นว่าการทำลายกิเลสไม่มี แม้จะได้ชื่อว่าวิชาล้างกิเลสนั้นมีอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกลวงให้หลงด้วยชื่อและคำเล่าอ้างให้หลงไปในผู้ที่ตั้งตนเป็นครูบาอาจารย์ลวงให้ผู้คนหลงมัวเมาและศรัทธาในตนเพราะหวังลาภ ยศ สรรเสริญ กาม อัตตา

– – – – – – – – – – – – – – –

14.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)