Dinh (Author's Website)
VIP โลกีย์ ราคีโลกุตระ
ถ้าตามสมมุติโลก คนที่เขามีชื่อเสียงมาก สนับสนุนมาก คนเขาก็นับว่าเป็น VIP (Very Important Person) จึงให้การต้อนรับ ดูแล ใส่ใจเป็นพิเศษ อันนั้นก็ตามโลกเขาไป
แต่ในความเป็นโลกุตระ หรือคนที่มุ่งปฏิบัติธรรม ลดละกิเลสนั้น จะไม่ได้เอาสมมุติเหล่านั้นมาเป็นตัวยึดถือ ด้วยความเป็นบุญนิยม คือนิยมในการทำบุญ หรือการชำระล้างกิเลส ให้คุณค่ากับการชำระล้างกิเลส เว้นขาดจากสิ่งที่เบียดเบียนเป็นโทษภัยโดยลำดับ จึงไม่ได้นิยมตามแบบทุนนิยม
แบบทุนนิยมก็ตามที่เรารู้กัน ใครมีเงินมาก มีชื่อเสียงมาก มีทุนมาก คนเขาก็ให้การยอมรับ ดูแล ใส่ใจ ให้โอกาส เป็น VIP ดังนั้น บุญนิยมกับทุนนิยมจึงแตกต่างกันคนละขั้ว
สังคมธรรมมีราคี เมื่อมีทุนยิยมเข้ามาปนในบุญนิยม คือคนที่เขาเอาระบบทุนนิยมเข้ามาปน เข้ามาใช้ในสังคมปฏิบัติธรรม มันจะทำให้เกิดความเสื่อมจากธรรม เพราะไปเอาอธรรมมาเป็นตัวนำ
ผมเคยเห็นคนที่เขาป่าวประกาศว่าจะเข็นกงล้อธรรมจักร ปากเขาก็พูดไป 1 ปี 5 ปี 7 ปี เขาก็พูดอยู่อย่างนั้น แต่การกระทำเขาไม่เหมือนที่ปากพูด เขาก็เอาทุนนิยมนี่แหละมาปฏิบัติ พอมีคนมาสนับสนุนเขา ด้วยเงินก็ตาม ด้วยการยอมรับเขาก็ตาม เขาก็ให้ความเป็น VIP กับคนนั้น ยิ่งถ้าเอาเงินก้อนโตไปให้เขาด้วยแล้ว จะยิ่งเห็นลีลาการเลียอันน่าขยะแขยงสุดจะพิศดารยิ่งนัก ด้วยความที่ปกติดูจะเป็นคนที่แสดงออกไปในเชิงกล้าและกร่าง แต่พอเจอเงิน เจอคนมีอำนาจก็ถึงกับอ่อนยวบยาบ กลายเป็นอวยเขา เลียเขา ส่งเสริมเขา (เพราะเขามาส่งเสริมตน) ซึ่งในกระบวนการทั้งหลายนี้ ไม่ได้มีวิถีบุญนิยมเข้ามาเกี่ยวข้องเลย มีแต่วิถีโลกีย์หรือทุนนิยมล้วน ๆ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็เป็นรอยด่างของกลุ่มนักปฏิบัติธรรมที่จะต้องจัดการคนเหล่านี้ ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ ตามหลักที่ในหลวง ร๙ ได้ตรัสไว้ว่า …
“….ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้…”
(พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 6 ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี วันที่ 11 ธันวาคม 2512)
ในสังคมปฏฺิบัติธรรมก็เช่นกัน ไม่มีทางที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีพร้อมกัน เสมอกันหมดได้ ความเป็นสังคมคือความปะปนกันในฐานะที่แตกต่างกัน แต่ถ้าหากเราจะส่งเสริมให้สังคมเกิดความเจริญในธรรม เราก็ต้องจัดการควบคุมคนที่มีลักษณะเมาในทุนนิยมหรือเป็นทุนนิยมโดยพฤติกรรม และส่งเสริมคนที่ดำเนินชีวิตตามหลักบุญนิยม ให้ได้มีอำนาจ ปกครองคนไม่ดี ก็จะเจริญได้ตามลำดับ
ถ้าปล่อยให้ทุนนิยมเข้ามามีบทบาทมากหรือมีอำนาจมาก ก็จะชักนำให้เกิดความเสื่อม เป็นราคีในหมู่โลกุตระ เป็นวิบากร้าย เป็นความล้าช้า ความลำบากในการปฏิบัติธรรม เป็นตัวถ่วงกลุ่ม เป็นยางเหนียวที่เป็นอุปสรรคต่อการเข็นกงล้อธรรมจักร
กรณีศึกษา ไลฟ์โค้ชที่ไม่มีศีล
ช่วงก่อนนี้มีเรื่องราวในสังคมเกี่ยวกับไลฟ์โค้ชที่ทำงานไม่โปร่งใส ไม่ทำงานไปตามที่ตนได้ประกาศไว้ มีอาการหมกเม็ด ไม่ชัดเจน สังคมจึงพากันจับตาในประเด็นนี้ เนื่องจากเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในโลกโซเชียล เป็นอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย
เรื่องราวเงียบหายไปพร้อมข้อกังขาราว ๆ 1 สัปดาห์ ไลฟ์โค้ชผู้ถูกกล่าวหาจึงได้มาแจ้งหลักฐาน ซึ่งในหลักฐานนี้เอง ก็ได้เป็นตัวมัดตัวเองอีกทีว่า เขาพูดไม่จริง
ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ เขายังประกาศอยู่เลยว่าได้รับเงินบริจาคราว ๆ 8 แสน ซึ่ง ตัวเลขในบันทึกของบัญชีกลับไม่เป็นไปแบบนั้น ตัวเลขรวมที่แจ้งในบัญชีประมาณ 1.3 ล้าน แต่ก็ยังมีประเด็นอื่นที่หนักกว่า
คือในใบบันทึกรายการ ต้นเดือนเมษายน มีบันทึกว่าถอนเงินมาประมาณ 200,000 บาท ในการถอน 4 ครั้ง ใน 2 วัน และ 3 วันต่อมามีการโอนเงินรวม 1 ล้าน เข้าบัญชีของไลฟ์โค้ช ผู้นั้น ทั้งหมดนี้คือกิจกรรมในเดือนเมษายน
ซึ่งดูจากการเบิกถอนก็ 1.2 ล้านเข้าไปแล้ว แม้เงินตั้งต้นในบัญชีเดิมจะมีเกือบแสน แต่ 8 แสน กับ 1.1 ล้าน ก็ยังมีส่วนต่างที่มากอยู่
ปัญหาก็คือเรื่องศีลธรรม การที่เมืองไทยมีคนที่ไม่มีศีลธรรม แต่มีอิทธิพลในโลกโซเชียลอยู่นั้น จะเป็นพลังที่ชักนำคนไปสู่ทางเสื่อม ยิ่งคนไม่มีศีลธรรมเด่นดังเท่าไหร่ยิ่งเสื่อมไวเท่านั้น
ซึ่งจากหลักฐานนั้น เขาก็รู้อยู่แล้วว่าเงินมันเกินล้าน เพราะมันมีการทำกิจกรรมโอนเงิน แล้วใครจะเข้าไปจัดการบัญชีเขาได้ ก็มีแต่เขานั่นแหละ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูด พูดไม่หมด พูดไม่จริง อันนี้เขาก็ฟ้องตัวเองอยู่แล้วว่าเขาไม่มีศีล
คนจะแสวงหาความเจริญก็ควรจะเลือกคบคนมีศีล ให้คนมีศีลได้เป็นผู้นำ และหมั่นตรวจสอบความจริงกันด้วยใจปรารถนาดี ว่าเขาหรือเธอเหล่านั้นยังมั่นคงในศีลธรรมอยู่ไหม
แรก ๆ อาจจะไม่รู้ ไม่รู้ก็คือไม่รู้ ก็คบกันไป ศึกษากันไป ตรวจสอบกันไป แต่พอได้ผลชัด ได้หลักฐานชัด ว่าคิดไม่ซื่อ จิตไม่ตรง ประพฤติชั่ว ก็เลิกคบกันไป เป็นการสร้างมงคลในชีวิตคือห่างไกลคนพาล
คนพาลซื่อ ๆ แสดงออกกันชัด ๆ ยังพอรู้ได้ง่าย แต่คนพาลหมกเม็ดเน่าในอันนี้รู้ยาก พาหลง ร้ายลึกยิ่งกว่านักเลงหัวไม้
ก็หยิบกรณีนี้มาวิจารณ์กันไว้ ใครจะเข้าไปคบหากับคนไม่มีศีลก็เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล แต่ในมุมมองของผม ผมก็ไม่เอาด้วยหรอก แล้วใครไปเชื่อมต่อกับคนชั่ว ผมก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน เหมือนคนดีมาหาเรา แต่คนนั้นยังคบกับคนชั่ว อันนี้แปลก ๆ แสดงว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากล เขาดีจริงหรือเปล่า? หรือเขาแกล้งดี? ถ้าคบคนพาลอยู่ คนอื่นเขาจะไม่ไว้วางใจ ก็ต้องยอมรับกรรมไป
การใช้จ่ายกุศลอย่างสุรุ่ยสุร่าย
กรรมคือสิ่งที่ทำลงไปแล้ว จะให้ผลแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง ผลของกรรมจะดลให้ได้รับสิ่งดี สิ่งร้าย ตามที่ได้ทำมา ซึ่งคนเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกทำกรรม แต่ผลที่จะได้รับนั้น ก็จะได้ตามกุศลกรรม(ทำดี)หรืออกุศลกรรม(ทำชั่ว)ที่ทำมา
อธิบายให้เห็นภาพแบบหยาบ ๆ คือ กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากแสนยาก ต้องทำความดีสะสมมามาก แต่การจะใช้ความเป็นมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่าย
คนส่วนมาก ถูกกิเลสครอบงำ ก็เอาชีวิตและจิตวิญญาณ ไปทุ่มเทให้กับกิเลส อบายมุข เหล้า บุหรี่ การพนัน เที่ยวเล่น สิ่งเสพที่เสพไปแล้วติดใจทั้งหลาย เอาไปเทให้กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เอาไปบำเรออัตตา อันนี้เรียกว่าความฟุ้งเฟ้อ พอถึงจุดหนึ่ง มันจะหมด ดีที่ทำมามันมีวันหมด อย่างที่เขาเรียกว่า “หมดบุญ” แต่จริง ๆ คือกุศลกรรมที่ทำมามันหมด มันไม่เหลือ เพราะเอาไปเผากับกิเลสหมด
ถ้าแบบกลาง ๆ ก็พวกที่หันมาทำดีบ้าง แต่ไม่ลดกิเลส ยังเสพ ยังติด ยังหลงมาก ก็เหมือนพวกหาเช้ากินค่ำ ทำดีสร้างกุศลประคองชีวิตกินใช้ไปวัน ๆ แม้จะทำดีมาก แต่ก็ยังมีรูรั่วที่ใหญ่ ทำดีเท่าไหร่ ก็ไหลไปกับกิเลส
ส่วนแบบละเอียดคือหันมาปฏิบัติธรรม มุ่งมาลดกิเลสแล้ว แต่ก็ยังใช้กุศล ใช้โอกาสที่ตัวเองมีไปกับเรื่องข้างนอก ไปกับสิ่งไร้สาระ เช่น ใช้โอกาส ใช้อำนาจ ใช้บารมีตัวเองไปเพื่อให้ตัวเองได้เสพสมใจในผลต่าง ๆ โดยประมาท คือไม่รู้ว่าทุกอย่างนั้นมีต้นทุน
เช่นการเข้าหาครูบาอาจารย์ ยิ่งเป็นท่านที่ถูกตรงด้วยแล้ว เป็นสาวกจริงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าการได้พบ ได้เข้าถึง ได้ศึกษาตามสาวกที่ถูกตรงเป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดที่สุด (อนุตตริยสูตร)
แล้วที่นี้สิ่งที่เยี่ยมยอดนี่มันจะมีราคาแพงไหม? มันก็แพงมากกว่าสิ่งที่มีขายอยู่ในโลกนั่นแหละ แพงจนประเมินค่าไม่ได้ ต่อให้รวยที่สุดในโลกก็ใช่ว่าจะเข้าถึงได้ แต่จะสามารถพบเจอเข้าถึงได้จากความดีที่สะสมมา นั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายในการพบสาวกพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เงิน แต่เป็นกุศลวิบาก (ผลของการทำดี)
ทีนี้บางคนพบแล้วก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่ คือจ่ายน่ะจ่ายไปแล้ว แต่ไม่ได้ใช้สิทธิ์เหล่านั้นเพื่อการพ้นทุกข์ ก็เอาสิทธิ์เหล่านั้น ไปพูดเล่นบ้าง คุยเล่นบ้าง ถามเรื่องชาวบ้านบ้าง พูดแต่เรื่องตัวเองบ้าง หรือไม่ก็ที่เลวร้ายคือ เข้าหาท่านเพื่อแสวงหาโลกธรรม อยากเด่นอยากดัง อยากเป็นที่สนใจ อยากมีอำนาจ อยากมีบริวาร อยากเป็นคนสำคัญ เป็นแม่ทัพ เป็นนั่นเป็นนี่ ลักษณะพวกนี้ ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบว่า “ทำดีมาแล้วเอาไปเทให้หมามันกิน”
คือทำดีมาจนมีโอกาสแล้ว กลับไม่ทำประโยชน์ใส่ตัว ไม่สร้างองค์ประกอบในการลดกิเลส ไม่ถามเพื่อลดกิเลส ฯลฯ สุดท้ายตนเองก็ไม่ได้สร้างสิ่งดีแท้ให้ตนจากโอกาสนั้น ๆ พอวันหนึ่งที่กุศลวิบากหมด ก็จะหมดรอบ จะเกิดเหตุให้ต้องพรากจากครูบาอาจารย์ ในลีลาต่าง ๆ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงได้เหมือนเดิม
ก็ต้องวนกลับไปจน คือจนโอกาส จนความดี จนมิตรดี เพราะเวลามีโอกาสกลับไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ เอาไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ถึงเวลาหมด มันก็หมด แล้วก็ต้องเสียเวลามาทำสะสมใหม่ อีกหลายต่อหลายชาติ
นั่นก็เพราะ พระพุทธเจ้าและสาวกของพระพุทธเจ้า ค่าตัวแพงสุด ๆ เลยเชียวล่ะ (ค่าตัวของความดีงาม)
ความบริสุทธิ์ใจคือตัวแปรความสำเร็จของไลฟ์โค้ช
ไลฟ์โค้ช ถ้าว่ากันตามความเข้าใจทั่วไปก็คือคนให้คำปรึกษาเกี่ยวกับชีวิตนั่นแหละ ส่วนจะจำแนกแจกแจง กำหนดสัญญายังไงก็แล้วแต่ภาษา แต่การปฏิบัติก็คือให้คำปรึกษาเกี่ยวกับชีวิต
แม้ว่าไลฟ์โค้ช จะเป็นคำใหม่ที่มีมาในสังคมไทยไม่นานนัก แต่ผู้ที่ทำงานในฟังชั่นของไลฟ์โค้ชนั้นมีมานานแล้ว เพียงแต่คำว่าไลฟ์โค้ช อาจจะถูกมองเป็นวิชาชีพก็ได้ ก็แล้วแต่ใครจะนิยามศัพท์
ไลฟ์โค้ชหรือผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับชีวิต ก็จะเอาความรู้ความสามารถที่ตัวเองมีนี่แหละ มาใช้ในการแนะนำผู้อื่น ซึ่งจะเป็นได้จริง ทำได้จริง และทำได้ยาวนานแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ใจ
บางครั้งคำแนะนำก็เหมือนลูกกวาด อมไปก็หวาน สุดท้ายฟันผุ น้ำตาลเกิน หรือไม่บางคำก็พาเคลิ้ม พาเมา พาหลง ก็หลงยินดีตามคำลวง สุขได้ชั่วคราว สุดท้ายก็ต้องกลับมาทุกข์หนัก
ดังนั้นการจะแนะนำใคร ผู้ที่แนะนำนั้นจะต้องทำได้จริงเสียก่อน พ้นทุกข์เรื่องนั้น ๆ ให้จริง มั่นคง ยั่งยืน ยาวนานเสียก่อน เพื่อเป็นหลักชัยที่ปักมั่นเป็นตัวอย่างที่ไม่ผิดและให้คำแนะนำที่ไม่ผิด
ต่อมาคือการช่วยเหลืออย่างจริงใจ มีเมตตา และปล่อยวางได้ ว่ากันตรง ๆ ว่าการช่วยเหลือคนอย่างจริงใจที่สุดคือพ้นจากมิจฉาอาชีวะ คือไม่เป็นมิจฉาชีพ
ในมิจฉาอาชีวะ ๕ ในข้อสุดท้ายคือการยังพัวพันกับการมีลาภแลกลาภ ในลาภแลกลาภนั้นก็ยังมิติที่หยาบไปจนถึงละเอียด ในแบบหยาบก็เช่นเล่นการพนันแลกลาภ กลางก็เช่นยังทำงานหาเงิน และละเอียดเช่น การทำดีแลกดี
จริง ๆ การพ้นจากมิจฉาอาชีวะ ในฆราวาสนั้นทำได้ยาก แต่สามารถพ้นได้ง่ายหากเป็นนักบวช ดังนั้นไลฟ์โค้ช ที่ประสบความสำเร็จสูงจึงอยู่ในรูปของนักบวช เพราะพ้นจากการรับลาภก็จะมีพลังในการช่วยคนได้มากขึ้น
แต่ก็มีฆราวาสที่เป็นผู้แสดงธรรมอยู่เหมือนกัน ในสมัยพุทธกาลก็มี “จิตตคหบดี” เป็นเอตทัคคะด้านธรรมกถึก ฝ่ายฆราวาส แต่แม้จะเป็นฆราวาสก็พ้นจากการมีลาภแลกลาภได้โดยใช้สังคมสาธารณะโภคี
เกริ่นมาตั้งนาน อาจจะมีคนสงสัยว่ารับปรึกษาชีวิตแล้วมันยังไง? ก็คนเขาต้องหาเงิน ต้องกินต้องใช้ มันแปลกอะไร?
การช่วยคนอื่นแล้วได้ลาภมาแลก ไม่ว่าจะเงิน การสนับสนุนต่าง ๆ ชื่อเสียง คำขอบคุณ ฯลฯ จะทำให้การประมวลผลในการช่วยเหลือ บิดเบี้ยว ไม่ตรง อคติ ลำเอียง อันเนื่องด้วยเหตุแห่งลาภสักการะเหล่านั้น
แม้จะหวังลาภนิดเดียวมันก็จะเบี้ยวได้ ข้อคิดหรือธรรมที่แสดงจะไม่ผ่องแผ้ว ไม่บริสุทธิ์ เจือด้วยกิเลส ปนด้วยความอยาก แทรกด้วยความยึด มันก็จะเป็นการให้คำปรึกษาเชิงหวังผล หวังลาภ ถึงแม้ว่าทฤษฎีจะถูกต้อง พูดได้ตรงตามหลักฐานอ้างอิง แต่พลังมันจะไม่เต็ม เพราะใจไม่บริสุทธิ์ ยังหวังได้ลาภจากคนอื่นอยู่
ผมเองไม่ได้ต่อต้านการมีอยู่ของไลฟ์โค้ช แต่อยากจะส่งเสริมให้ทำอย่างบริสุทธิ์ใจ ให้พ้นจากลาภแลกลาภ ช่วยคนไม่ต้องหวังอะไร ไม่ต้องขอบริจาคตามศรัทธา ไม่ต้องเอาอะไรทั้งนั้น แม้ทางตรง และทางอ้อม
จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการให้คำปรึกษาคนเท่าที่จะเป็นไปได้จริงตามปัญญาบารมีของแต่ละท่าน
แต่ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ ก็อย่าพยายามฝืนกับภารกิจนี้เลย เพราะทำไปกิเลสก็โตไป ทำแลกลาภ แลกชื่อเสียง แลกบริวารต่อไป มันจะยิ่งเสื่อมไปเรื่อย ยิ่งพากันหลงไปเรื่อย จะวนเวียนทั้งคนให้คำปรึกษาและรับคำปรึกษา กอดคอกันเศร้าหมอง เป็นทุกข์ในที่สุด

