Tag: ผิดศีล

การไปเกิดเป็นเดรัจฉาน

July 17, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,159 views 0

ก็มีคำถามในแชร์โพสที่เขาต้มหมูทั้งเป็นประมาณว่า “ผู้​ทุศีล​ก็ต้องตกไปเกิด​เป็น​เดรัจฉาน​ได้​ใช่ไหม

ก็ตอบว่า ใช่

ซึ่งอ้างอิงจากโลหิจจสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่า มีคติอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดเดรัจฉาน”

คนที่มักทุศีล คือผิดศีล เน่าใน หรือคนไม่มีศีล ก็คือไม่มีสัมมาทิฏฐิ นั่นหมายถึงเขาเหล่านั้นเป็นมิจฉาทิฏฐินั่นเอง เมื่อมีความเห็นผิด ทางไปก็มีแต่นรกหรือเกิดเป็นเดรัจฉานเท่านั้นเอง

ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ก็จะมีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเนื้อ เป็นแก่นในจิตวิญญาณ ซึ่งจะเป็นเจริญไปตามลำดับตามความพากเพียรในการปฏิบัติธรรม

ในเบื้องต้นก็ศีล ๕ ต่อไปก็ ๘ ๑๐ วินัยก็เป็นอีกส่วนของนักบวช แต่ตัวปฏฺิบัติ คือศีล

ศีลกับวินัยนั้นแตกต่างกัน ศีลคือข้อปฏิบัติเพื่อฝึกฝนให้เกิดความเจริญ วินัยคือกฏข้อบังคับ ซึ่งอาจจะมีบางข้อที่ทับซ้อนกันบ้าง แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นข้อควรปฏิบัติ

คนที่เขาเห็นผิด เขาก็จะไม่เอาศีล ไม่เอาศีลนำ ไม่เอาศีลตั้ง ไม่เอาศีลเป็นหลักชัย ไม่เอาศีลเป็นตัวปฏิบัติ เมื่อศีลคือหลักปฏิบัติ แล้วไม่ปฏิบัติตามศีล เขาก็ปฏฺิบัติตามหลักตัวเองนั่นแหละ ซึ่งพอไม่ปฏิบัติตามหลักพุทธ มันก็ไปนอกพุทธ ก็เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ ปฏิบัติไปก็ไม่พ้นทุกข์ เห็นผิด พาหลง ไปนรก เข้าถึงความเป็นเดรัจฉานเป็นผลในที่สุด

คนทุศีล เน่าใน น่าห่างไกลที่สุด

February 27, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,040 views 0

จากบทความที่ยก ชิคุจฉสูตร มาอธิบายก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่า คนทุศีล หรือคนที่ผิดศีล แล้วไม่เปิดเผย ปิดบัง โกหก หลอกลวงผู้อื่นว่าตนเองปฏิบัติดี นั้นร้ายยิ่งกว่า คนขี้โกรธ ขี้งอน ขี้น้อยใจ ฯลฯ (แต่ก็ควรจะห่างไว้เช่นกัน)

ถ้าเราวิเคราะห์ ในประโยคที่ว่า “ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่พรหมจารีบุคคล แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นพรหมจารีบุคคล เน่าในภายใน

เราจะรู้เลยว่าคนพาลเช่นนี้ ร้ายสุดร้าย เพราะเบื้องหน้าเราจะไม่รู้เลย คบกันแรก ๆ เราจะไม่รู้จักเขาเลย เพราะเขาเน่าใน มันจะมองไม่เห็นได้ง่าย ๆ แถมเขายังแสร้งให้ผู้อื่นเห็นว่าเขาปฏิบัติดีและเขาตั้งใจปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์

นี่คือเหตุที่ผมพยายามจะขยายเรื่องคนพาลให้ละเอียดขึ้นในช่วงนี้ เพราะถ้าเจอคนน่าเกลียดเช่นนี้ จะต้องเสียเวลามาก ตั้งแต่เวลาไปคบหาเขา เวลาเชื่อเขา ดีไม่ดีไปสนับสนุนเขาอีก

ทั้งหมดนั้นเพราะเรายังไม่มีปัญญา ภูมิธรรมไม่ถึง ดูเขาไม่ออก ยกตัวอย่างเช่น กรณีเณรคำ ไม่ธรรมดานะ หลอกคนได้ตั้งเท่าไหร่ คนเขาก็เชื่อนะ ใช่ว่าคนจะยอมมอบเงินมอบศรัทธากันให้ง่าย ๆ เขาก็แสวงหาคนดีมีศีลที่เขาจะสนับสนุนนั่นแหละ แต่สุดท้ายเขาก็โดนหลอกไง คือคนพาลเนี่ย เขาจะเนียนสุดเนียนเลย บางทีพูดธรรมะ 95% แทรกกิเลสที่ตนอยากเสพไปอีก 5 % เอากำไรนิดหน่อย ทำให้เพี้ยนไปทีละนิดละหน่อย แต่พูดทุกวัน มันก็ได้เยอะ

คนพาลเขาก็ใช้ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสนี่แหละมาหากิน สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก็มีการชำระนักบวชทุศีลที่เข้ามาปลอมปนมาเสพผลประโยชน์ในศาสนาพุทธออกไปเยอะ แต่ยุคนี้ไม่มีกิจกรรมนั้น ดังนั้นเราก็ต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้เพื่อที่จะรู้ให้ทันคนพาล

เพราะเวลาในชีวิตเราสำคัญมาก บางคนเทไปให้คนผิด 1 ปี 5 ปี 10 ปี เสียไปแน่ ๆ คือเวลา แรงกาย ทรัพย์สิน โอกาส และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่วิบากกรรมไม่ใช่จบแค่นั้น เราหลงสนับสนุนคนพาล คนชั่ว คนทุศีลไปเท่าไหร่ เราต้องรับผลแห่งความเห็นผิดเหล่านั้น เขากิเลสโตเพราะเราสนับสนุน เขาไปหลอกคนได้อีกมากมายเพราะเราสนับสนุน คนหลงและไม่พ้นทุกข์เพราะเราเป็นหนึ่งในแรงผลักดันคนพาล เราต้องรับวิบากนั้น มันหนีไม่ได้

ดีที่สุดคือห่างไกลคนพาล ไม่คบคนพาล ไม่สนับสนุนคนพาล แต่ปัญหาคือคนพาลดันแสร้งว่าเป็นบัณฑิตเสียอีก แล้วจะเอายังไงล่ะทีนี้ ปลอมซะเหมือนเลย รูปนอกตรวจไปก็ใช่ ธรรมะพูดมาค่ารวม ๆ ก็ใช่อีก มันจะไปทางไหน ก็มีแต่หลงกลเขาเท่านั้นแหละทีนี้

ถ้าไม่มีคนมาคอยชี้นี่จบเลย จริง ๆ ผมหูตาสว่างได้ก็เพราะศึกษาตามครูบาอาจารย์ ไม่งั้นต้องหลงไปนาน แล้วยังมีความหลงสนับสนุนคนพาลไปเป็นลำดับด้วยนะ มันจะหลุดเป็นลำดับจากการที่เรามีปัญญามากขึ้น

หลุดแล้วยังไงล่ะ พอมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นคนพาลก็เลิกคบนั่นแหละ เพียงแต่พอเห็นปริมาณกรรมที่เคยไปสนับสนุนเขาไว้ มันทำให้รู้สึกว่า เราควรจะเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปนะ คือสื่อสารโทษภัยของคนพาลนี่แหละ ไม่งั้นพลาดไปมันจะหนัก และนานมาก ก็น่าจะทำให้ผู้อ่านได้ตรึกตรองและทำตนให้พ้นภัยไปได้บ้าง

สนับสนุน คบหา เข้าใกล้คนพาลมีแต่เสียกับเสีย ประโยชน์ตนก็เสีย ประโยชน์ท่านก็ไม่มี เพราะคนพาลไม่ใช่เนื้อนาบุญ สนับสนุนไปก็กิเลสเพิ่มอีก มีแต่ความเดือดร้อนรออยู่

ดังนั้นจะคบใครอย่าเพิ่งรีบปักใจเชื่อ อย่าเพิ่งรีบลงแรงลงใจ ถ้าจะลงก็ดูศีลดูธรรมหน่อย ดูว่าเขาตั้งใจลดกิเลสไหม เขาลดโลภ โกรธ หลงได้แค่ไหน เขาพูดไปในทางลดหรือเสริม หรือไม่สนใจในการล้างกิเลส หรือดูกันไปนาน ๆ ผ่านไปปีหลายปี ดูพัฒนาการของเขาในการลดกิเลส ดูกลุ่มสังคม ดูเพื่อนของเขา ดูกิจกรรมของเขา ก็จะพอเห็นความจริงได้

แต่ถ้าดีที่สุด ก็ลองปฏิบัติตามแนวคิดของเขาดู ถ้าพ้นทุกข์ พ้นกังวลหวั่นไหวในเรื่องใด ๆ ขึ้นมาตามที่เขาสอน ก็ค่อยสนับสนุนเขาก็ยังไม่เสียหาย เพราะศาสนาพุทธเขาสอนกันฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว

ดังนั้นก็ไม่ควรรีบปักใจไว้ที่ใคร เพราะเหตุต่าง ๆ เช่น เขาว่ากันมาว่า… เขาพูดถูกตามหลักฐาน เขาพูดเหมือนที่เราคิด … ฯลฯ (ศึกษาต่อได้ที่ “กาลามสูตร”) ควรจะเอามรรคผลของตัวเองเป็นหลัก ถ้าปฏิบัติตามแล้วพ้นทุกข์ได้จริง ก็ค่อยหันไปสนับสนุนท่านเหล่านั้นอย่างเต็มกำลังก็ยังไม่สาย

คนพาลที่ฝังตัวอยู่ในหมู่คนดี

February 21, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 956 views 0

เรื่องนี้ก็เคยมีมาก่อน สมัยพุทธกาล คนพาลระดับตำนาน คือพระเทวทัตผู้มักใหญ่ใฝ่สูง แข่งกับพระพุทธเจ้ามาตลอด ปองร้ายพระพุทธเจ้ามาตลอด ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เข้ามาบวชในพุทธศาสนา

ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักความเป็นพาลของพระเทวทัต พระเทวทัตนั้นฉลาด รอบรู้ในการล่อลวง แสร้งทำ จนครั้งหนึ่งเคยล่อลวงพระที่บวชใหม่ให้เข้าไปศึกษาในสำนักตนเองได้ถึง 500 คน

พระเทวทัตก็ใช้องค์ประกอบของศาสนาที่มีอยู่นั่นแหละ ดัดนิด แปลงหน่อย ให้ดูน่าเชื่อถือ ให้ดูน่าเคารพ แล้วก็ล่อลวงคนให้หลงตาม

พระที่บวชใหม่ก็ยังไม่รู้วินัย ยังไม่รู้ทิศทาง ก็โดนโน้มน้าวได้ง่าย สุดท้ายก็หลงตามไป ทั้ง ๆ ที่บารมีของทั้ง 500 คนนั้น อยู่ในระดับฟังธรรมแล้ว เกิดดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี สภาวะเช่นนี้ก็คือบรรลุอรหันต์นั่นแหละ นี่ขนาดคนมีภูมิอรหันต์ยังโดนพระเทวทัตล่อลวงได้เลย ท่านมีวิบากที่เคยทำชั่วร่วมกันมา ท่านก็ต้องรับ

คนที่สอนและพากลับมาให้ถูกทางคือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ไปพากลับมาด้วยการสอนธรรมจนเข้าใจ เพราะพระเทวทัตนั้นประมาท หลงตนเองว่าอัครสาวกทั้งสองมาเพราะศรัทธาในตน จึงหลีกไปนอนพัก ปล่อยให้สมณะทั้งสองเทศสอนคนไป สุดท้ายตื่นมาพบว่าทั้ง 500 ที่ได้ล่อลวงมาถูกพากลับไปหมดแล้ว ถึงกลับกระอักเลือด

….

แม้สมัยก่อนก็ยังร้ายขนาดนี้ สมัยนี้ไม่ต้องพูดถึง แทรกซึมเข้ามาแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันเลย เกาะอยู่ ทนอยู่ เหมือนมะเร็งในร่างกายนั่นแหละ ฝังอยู่ เป็นเนื้ออยู่ แต่ก็เป็นพิษภัยต่อร่างกาย ทำให้ตายได้

ความจริงทุกวันนี้ภาพใหญ่ในสังคมมันก็เกิดเป็นสภาพของพระเทวทัตอยู่แล้ว สำนักมากมายสอนกันไปตามที่ตนชอบใจ ล่าทรัพย์ ล่าบริวาร ล่าอำนาจ ส่วนใหญ่ก็แตกเป็นแบบนี้ทั้งนั้น

มันจะมีแทรกปนอยู่ทุกระยะ ตั้งแต่ภาพใหญ่ จนมาถึงภาพย่อย คือเข้ากลุ่มมาเพื่อแสวงหาอำนาจ มักใหญ่ ใฝ่สูง อวดดี ฯลฯ

แต่คนพาลพวกนี้เขาจะฉลาด เขาจะไม่แสดงความพาลตรง ๆ เขาจะทำดีไปตามขั้นพื้นฐาน ดีที่คนโลก ๆ ทั่วไปเขาจะขยันทำได้ แต่ดีที่เหนือดีนี่เขาจะไม่เอา คือเขาจะทำดีแบบไม่ลดกิเลส หมายถึงทำดีไปเพื่อแลกอำนาจ ทำดีไปก็เสพความเอาแต่ใจ ได้ดั่งใจ กินอร่อย ๆ สร้างอำนาจ วาสนา บารมี อยู่ในนั้นนั่นแหละ แต่จะให้ลดกิเลส ลดกาม ลดอัตตา เขาจะไม่เอาด้วย

เขาก็รอเวลาที่จะมีโอกาสเติบโต ถ้ามีโอกาสเดี๋ยวเขาก็จะขยับ เช่นพระเทวทัตก็ไม่ได้ออกลายตั้งแต่แรก ก็ใช้เวลาสะสมประสบการณ์ ทำดีสอดใส้ชั่วมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งตายนั่นแหละ

ความมักใหญ่ใฝ่สูงจนล้นทะลักคือจุดเด่นอันหนึ่งของคนพาล ก็รู้กันว่าพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะคืออัครสาวก คือสาวกที่เลิศยอด แต่เมื่อพระเทวทัตเห็นท่านทั้งสองมาในสำนักตน ก็เกิดจิตลามก ว่าท่านทั้งสองศรัทธาตน พร้อมกับบอกคนอื่นว่า นี่ไงท่านเหล่านั้นมาเพราะศรัทธาในธรรมของเรา

นี่เห็นไหมว่าจิตลามกเป็นอย่างไร มันจะไม่รู้ฐานะแบบนี้แหละ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าใครใหญ่ใครเล็ก เพราะคิดแต่ล่าบริวาร ล่าโลกธรรม แค่เห็นเขาเดินเข้ามาใจมันก็ลำพอง จิตมันก็เลยประมาท พอไม่รู้ว่าใครเป็นใครก็เลยประมาทอย่างนี้ สำคัญตนผิด ดูถูกผู้อื่น ยกตนข่มผู้อื่น คือจุดเด่นของคนมักใหญ่ใฝ่สูง

คนพาลพวกนี้มีแทรกอยู่ในทุกกลุ่มทุกองค์กรนั่นแหละ เป็นเชื้อมะเร็งร้าย คอยกัดกินทำลายร่างกาย แล้วก็ใช่ว่าจะรู้กันได้ หรือตรวจกันได้ง่าย ๆ ยิ่งถ้าภูมิธรรมน้อย ๆ เข้ามาศึกษาใหม่ ๆ หรือคนที่ทำดีอย่างไม่เน้นธรรมะ หรือแม้แต่คนที่อยู่มานานแต่ไม่มีมรรคผล ก็จะดูไม่ออก

มันต้องใช้ตาทิพย์ คือตาของผู้ที่ล้างกิเลสได้โดยลำดับ พอล้างกิเลสเรื่องใดได้ มันจะได้ตาพิเศษในเรื่องนั้น อย่างอัครสาวกนี่ก็ล้างกิเลสได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว และยังละเอียดละออเป็นพิเศษด้วย ก็เลยเห็นความพาลชัดเจน จนเอาภาระ ไปพาพระบวชใหม่กลับมา

องค์กรใหนไม่มีคนที่เอาภาระอย่างพระสารีบุตรหรือพระโมคคัลลานะ ก็จะต้องเสียคนดีไปเรื่อย ๆ ก็ปล่อยคนพาลเสพสะสมพลังชั่วไปเรื่อย ๆ ทำลายจิตวิญญาณไปเรื่อย ๆ ถ้ามีอำนาจแล้วไม่แก้ไขนี่จะเป็นบาป อย่างพระโมคคัลลานะก็เคยดึงพระทุศีลออกจากองค์ประชุม อันนั้นท่านทำได้ถูกต้องตามฐานะ เป็นพระบวชใหม่ แม้จะมีภูมิสูง แม้จะรู้ ก็ไม่เหมาะที่จะทำ เพราะไม่เหมาะสมกับฐานะ ต้องให้รุ่นพี่ลุยก่อน ถ้าไม่มีคนทำจริง ๆ ถึงจะทำได้

อะไรที่มันชั่วช้า เบียดเบียน พาตกต่ำชัด ๆ เช่นถ้าผิดศีลชัด ๆ แล้วเนี่ย ก็คงต้องจัดการกัน จะปล่อยให้คนพาลอยู่สะสมอำนาจไปนาน ๆ มันจะปราบยาก พระพุทธเจ้าเปรียบคนทุศีลเหมือนหยากเยื่อ คือมันเหนียว แน่น หนึบ สกปรก รุงรัง เลอะเทอะไปหมด เอาออกไม่ได้ง่าย ๆ คนพาลที่มาฝังอยู่ก็เหมือนกัน ถ้าไปให้อาหารเขา ก็เหมือนคนเป็นมะเร็งแล้วไม่หยุดกินอาหารเสริมกำลังมะเร็ง มะเร็งมันก็จะโต เจ็บปวด เบียดเบียนไปเรื่อย ๆ แต่ถ้ารู้ว่าเป็นมะเร็งแล้วหยุดให้อาหารมะเร็ง ทำตรงกันข้าม ก็จะพอทุเลาไปได้บ้าง แต่ถ้ามะเร็งนั้นมันใหญ่จนเบียดเบียนร่างกาย ก็อาจจะจำเป็นต้องตัดทิ้งเสีย แม้จะเสียหายบ้าง แต่ก็เจ็บปวดน้อยที่สุด

เชื่อเรื่องดวง ไม่มีวันพ้นทุกข์

November 2, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 6,146 views 0

เชื่อเรื่องดวง ไม่มีวันพ้นทุกข์

เชื่อเรื่องดวง ไม่มีวันพ้นทุกข์

ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความรีบเร่งและสับสน ในสังคมที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแต่กลับเต็มไปด้วยความทุกข์ทางจิตใจที่ยากจะเยียวยา แม้ว่าจะหันหน้าเข้ามาหาศาสนาเท่าไรแต่ก็ไม่รู้สึกว่าทุกข์จะหายไป ทำบุญทำทานเท่าไหร่ก็ไม่พ้นทุกข์ สุดท้ายจึงต้องหาสิ่งยึดมั่นจิตใจ ที่เรียกว่า “การดูดวง

การดูดวง ดูหมอ การทำทายทายทัก ทรงเจ้า เข้าทรง ดูฤกษ์ ดูฮวงจุ้ย การทำนายและการพยากรณ์ต่างๆกลับกลายเป็นที่ยึดถือทางจิตใจของใครหลายคน เป็นสิ่งที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตและสังคมถึงขนาดที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของใครหลายคนได้เลยทีเดียวเช่นบางคนเชื่อในเรื่องอาถรรพ์เจ็ดปีของคนที่คบหาดูใจกัน หรือเบญจเพส พอเชื่ออย่างนั้นจิตก็ปักมั่นว่าจะเกิดสิ่งร้าย จิตจึงตกสู่ความหดหู่ กังวล และความรู้สึกที่เป็นลบเหล่านั้นเองก็ดูดดึงให้เกิดสิ่งร้ายจนได้ยกตัวอย่างเช่นเรื่องอาถรรพ์เจ็ดปี ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเชื่อ เวลามีเหตุการณ์ผิดใจกันเกิดขึ้นก็จะมีความไม่ชอบใจ บวกกับความเชื่อเสริมแรงให้ทุกข์เข้าไปอีก หรือกระทั่งความเชื่อนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ทุกข์ ทั้งๆที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ทุกข์ขนาดนั้นเลย

หรือการดูดวงทำนายทายทัก เช่น ไปดูหมอ แล้วเขาทักว่าจะได้แฟนเป็นข้าราชการ เมื่อได้ฟังดังนั้นก็ตั้งความหวัง จิตจะเริ่มคัดครองคนที่เข้ามาในชีวิตโดยอัตโนมัติ ถ้าไปเจอข้าราชการ ที่มีรูปลักษณ์ตรงกับใจ จึงคิดว่าคนนั้นต้องใช่แน่นอน เป็นความหลงในรูป บวกกับความงมงายเสริมแรงกันไป เมื่อได้เจอคนที่หวังก็จะยิ่งปักมั่น เชื่ออย่างเต็มใจ สุดท้ายก็เทหมดหน้าตัก ทุ่มให้ทุกอย่าง คาดหวังทุกอย่าง และมักจะจบลงด้วยความผิดหวัง

การดูดวงเหล่านั้น ตามหลักศาสนาพุทธท่านว่าเป็น “เดรัจฉานวิชา” เดรัจฉานนั้นคือความโง่ เดรัจฉานวิชาก็คือวิชาที่จะนำมาซึ่งความโง่ สร้างโดยคนโง่ เชื่อโดยคนโง่ เป็นวิชาที่ไม่ได้เป็นไปตามหลักกฎแห่งกรรม แต่เป็นไปตามสถิติและตรรกะวิธี ซึ่งเป็นวิสัยของโลกียะ เมื่อเป็นไปตามโลกจึงได้แค่วนอยู่ในโลก สุข ทุกข์แบบโลกๆ

การทำนายทายทักเหล่านี้ยังผิดต่อมหาศีล คือศีลที่เป็นหลักใหญ่ของพระพุทธศาสนา ที่คุมความเชื่อและความเป็นไปโดยรวมของพุทธศาสนิกชน เพราะการดูดวงหรือแม้แต่การทำนายทายทักที่เข้าใจว่ารู้จริงเห็นจริงนั้น พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญการทำนาย การเดาใจ หรือการใช้อาเทสนาปาฏิหาริย์ แม้ว่าจะสามารถใช้ได้จริงก็ตาม

เหตุนั้นเพราะการเดาใจ ทายใจ ไม่ทำให้ใครพ้นทุกข์ ไม่ได้ทำให้กิเลสใครลดลง และไม่ทำให้คนพึ่งตนเอง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการพึ่งตน พึ่งพากรรมของตนเอง ไม่ใช่พึ่งสิ่งอื่น เมื่อเราเชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม เราจะไม่สนใจการดูดวง

เพราะเราจะรู้แน่ชัดแล้วว่าการทำดี ทำให้เกิดสิ่งที่ดีในชีวิตเรา ดังเช่นสิ่งดีที่เกิดขึ้นในชีวิตเราทุกวันนี้ก็เกิดมาจากกรรรมดีที่เราเคยทำมา ซึ่งเมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็ไม่ต้องรอให้ใครมาพยากรณ์ มาทำนายดวงให้ เพราะถ้าตนเองอยากพบกับสิ่งที่ดี ได้เจอคนดี ได้งานดี ได้มีชีวิตที่ดี ก็เพียงแค่กระทำกรรมดี แล้วในวันใดวันหนึ่ง ชาติในชาติหนึ่งก็จะได้รับผลของกรรมดีนั้นอย่างแน่นอน

ในส่วนของกรรมชั่วก็เช่นกัน เมื่อเราได้รับสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ ทำให้ทุกข์ใจ คนที่เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม จะไม่โทษดวงชะตาฟ้าลิขิตใดๆ เพราะรู้แน่ชัดว่าชั่วที่ได้รับอยู่นี้ เป็นสิ่งที่เราเคยทำมาก่อนอย่างแน่นอน อาจจะในชาตินี้ หรือในชาติก่อน

ในเมื่อเราเองก็มักได้รับผลดีหรือกรรมดี ที่เราไม่เคยได้ทำมาในชาตินี้ เช่น เกิดมาก็มีพ่อแม่เลี้ยงดู ซื้อของเล่นให้ ทั้งๆที่เราไม่เคยทำกรรมดีอะไรให้กับพ่อแม่เลย ดังนั้นกรรมดีที่ได้รับนั้นคือกรรมเก่าที่สะสมมา ซึ่งเมื่อเรายินดีรับสิ่งที่ดี เราก็ควรจะต้องยินดีรับสิ่งชั่วที่เราเคยทำมาเช่นกัน

การรับกรรมดีนั้น ส่วนใหญ่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก ไม่มีใครทุกข์ใจ ไม่มีใครลำบากใจ แต่พอได้รับสิ่งชั่วก็กลับทุกข์ใจ ลำบากใจ ขุ่นมัว หาคนผิด โทษดินโทษฟ้า ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันต้องมารับกรรมนี้ ซึ่งนั้นเป็นลักษณะของมิจฉาทิฏฐิ หรือความเห็นผิด เพราะเราไม่มีทางได้รับสิ่งที่เราไม่ได้ทำมา สิ่งที่เราได้รับเราทำมาแล้วทั้งนั้น กรรมชั่วนั้นก็เช่นกัน มันเป็นของเราอย่างแน่นอน

เมื่อเรายินดีรับกรรมชั่วที่ได้ทำไว้อย่างยินดีเต็มใจ เพราะรู้แน่ชัดแล้วว่า นี้คือสิ่งชั่วที่เคยทำมา และเป็นสิ่งที่ทำให้เราสังวรระวังที่จะไม่ทำชั่วอีก

ในอีกกรณีหนึ่งคือ เมื่อเราได้รับกรรมชั่วแล้วไม่ยอมรับว่าตัวเองทำมา จะเกิดสภาพที่เรียกว่าโกหกซ้ำซ้อนเข้าไปอีก ผิดศีลข้อ ๔ ว่าด้วยการพูดปด คิดโกหกเข้าไปอีก เพราะเราไม่ยอมรับผลกรรมชั่วทั้งๆที่เราทำมา แถมยังโกหกว่าคนอื่นเป็นคนทำอีก เมื่อคิดแบบนี้ก็ต้องทุกข์ตั้งแต่ไม่ยอมรับกรรมชั่ว และทุกข์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ทำกรรมชั่วใหม่อีก นั่นคือการผิดศีล เรียกได้ว่าถ้าเข้าใจเรื่องกรรมไม่กระจ่างแจ้ง ก็จะมีโอกาสได้รับทุกข์ถึงสองต่อ หรืออาจจะมากกว่านั้นตามความหลงผิด

สรุปรวมได้ว่าการเชื่อในเรื่องดวงหรือการทำนายทายทัก ทำให้คนไม่เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม เมื่อไม่เชื่อในเรื่องกรรมซึ่งเป็นหนึ่งในสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นที่ถูกตรงสู่ความพ้นทุกข์ ) ก็ไม่มีทางที่จะพ้นจากความทุกข์นั้นได้เลย

– – – – – – – – – – – – – – –

2.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์