Tag: ล่าโลกธรรม

คนพาลที่ฝังตัวอยู่ในหมู่คนดี

February 21, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 550 views 0

เรื่องนี้ก็เคยมีมาก่อน สมัยพุทธกาล คนพาลระดับตำนาน คือพระเทวทัตผู้มักใหญ่ใฝ่สูง แข่งกับพระพุทธเจ้ามาตลอด ปองร้ายพระพุทธเจ้ามาตลอด ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เข้ามาบวชในพุทธศาสนา

ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักความเป็นพาลของพระเทวทัต พระเทวทัตนั้นฉลาด รอบรู้ในการล่อลวง แสร้งทำ จนครั้งหนึ่งเคยล่อลวงพระที่บวชใหม่ให้เข้าไปศึกษาในสำนักตนเองได้ถึง 500 คน

พระเทวทัตก็ใช้องค์ประกอบของศาสนาที่มีอยู่นั่นแหละ ดัดนิด แปลงหน่อย ให้ดูน่าเชื่อถือ ให้ดูน่าเคารพ แล้วก็ล่อลวงคนให้หลงตาม

พระที่บวชใหม่ก็ยังไม่รู้วินัย ยังไม่รู้ทิศทาง ก็โดนโน้มน้าวได้ง่าย สุดท้ายก็หลงตามไป ทั้ง ๆ ที่บารมีของทั้ง 500 คนนั้น อยู่ในระดับฟังธรรมแล้ว เกิดดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี สภาวะเช่นนี้ก็คือบรรลุอรหันต์นั่นแหละ นี่ขนาดคนมีภูมิอรหันต์ยังโดนพระเทวทัตล่อลวงได้เลย ท่านมีวิบากที่เคยทำชั่วร่วมกันมา ท่านก็ต้องรับ

คนที่สอนและพากลับมาให้ถูกทางคือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ไปพากลับมาด้วยการสอนธรรมจนเข้าใจ เพราะพระเทวทัตนั้นประมาท หลงตนเองว่าอัครสาวกทั้งสองมาเพราะศรัทธาในตน จึงหลีกไปนอนพัก ปล่อยให้สมณะทั้งสองเทศสอนคนไป สุดท้ายตื่นมาพบว่าทั้ง 500 ที่ได้ล่อลวงมาถูกพากลับไปหมดแล้ว ถึงกลับกระอักเลือด

….

แม้สมัยก่อนก็ยังร้ายขนาดนี้ สมัยนี้ไม่ต้องพูดถึง แทรกซึมเข้ามาแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันเลย เกาะอยู่ ทนอยู่ เหมือนมะเร็งในร่างกายนั่นแหละ ฝังอยู่ เป็นเนื้ออยู่ แต่ก็เป็นพิษภัยต่อร่างกาย ทำให้ตายได้

ความจริงทุกวันนี้ภาพใหญ่ในสังคมมันก็เกิดเป็นสภาพของพระเทวทัตอยู่แล้ว สำนักมากมายสอนกันไปตามที่ตนชอบใจ ล่าทรัพย์ ล่าบริวาร ล่าอำนาจ ส่วนใหญ่ก็แตกเป็นแบบนี้ทั้งนั้น

มันจะมีแทรกปนอยู่ทุกระยะ ตั้งแต่ภาพใหญ่ จนมาถึงภาพย่อย คือเข้ากลุ่มมาเพื่อแสวงหาอำนาจ มักใหญ่ ใฝ่สูง อวดดี ฯลฯ

แต่คนพาลพวกนี้เขาจะฉลาด เขาจะไม่แสดงความพาลตรง ๆ เขาจะทำดีไปตามขั้นพื้นฐาน ดีที่คนโลก ๆ ทั่วไปเขาจะขยันทำได้ แต่ดีที่เหนือดีนี่เขาจะไม่เอา คือเขาจะทำดีแบบไม่ลดกิเลส หมายถึงทำดีไปเพื่อแลกอำนาจ ทำดีไปก็เสพความเอาแต่ใจ ได้ดั่งใจ กินอร่อย ๆ สร้างอำนาจ วาสนา บารมี อยู่ในนั้นนั่นแหละ แต่จะให้ลดกิเลส ลดกาม ลดอัตตา เขาจะไม่เอาด้วย

เขาก็รอเวลาที่จะมีโอกาสเติบโต ถ้ามีโอกาสเดี๋ยวเขาก็จะขยับ เช่นพระเทวทัตก็ไม่ได้ออกลายตั้งแต่แรก ก็ใช้เวลาสะสมประสบการณ์ ทำดีสอดใส้ชั่วมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งตายนั่นแหละ

ความมักใหญ่ใฝ่สูงจนล้นทะลักคือจุดเด่นอันหนึ่งของคนพาล ก็รู้กันว่าพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะคืออัครสาวก คือสาวกที่เลิศยอด แต่เมื่อพระเทวทัตเห็นท่านทั้งสองมาในสำนักตน ก็เกิดจิตลามก ว่าท่านทั้งสองศรัทธาตน พร้อมกับบอกคนอื่นว่า นี่ไงท่านเหล่านั้นมาเพราะศรัทธาในธรรมของเรา

นี่เห็นไหมว่าจิตลามกเป็นอย่างไร มันจะไม่รู้ฐานะแบบนี้แหละ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าใครใหญ่ใครเล็ก เพราะคิดแต่ล่าบริวาร ล่าโลกธรรม แค่เห็นเขาเดินเข้ามาใจมันก็ลำพอง จิตมันก็เลยประมาท พอไม่รู้ว่าใครเป็นใครก็เลยประมาทอย่างนี้ สำคัญตนผิด ดูถูกผู้อื่น ยกตนข่มผู้อื่น คือจุดเด่นของคนมักใหญ่ใฝ่สูง

คนพาลพวกนี้มีแทรกอยู่ในทุกกลุ่มทุกองค์กรนั่นแหละ เป็นเชื้อมะเร็งร้าย คอยกัดกินทำลายร่างกาย แล้วก็ใช่ว่าจะรู้กันได้ หรือตรวจกันได้ง่าย ๆ ยิ่งถ้าภูมิธรรมน้อย ๆ เข้ามาศึกษาใหม่ ๆ หรือคนที่ทำดีอย่างไม่เน้นธรรมะ หรือแม้แต่คนที่อยู่มานานแต่ไม่มีมรรคผล ก็จะดูไม่ออก

มันต้องใช้ตาทิพย์ คือตาของผู้ที่ล้างกิเลสได้โดยลำดับ พอล้างกิเลสเรื่องใดได้ มันจะได้ตาพิเศษในเรื่องนั้น อย่างอัครสาวกนี่ก็ล้างกิเลสได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว และยังละเอียดละออเป็นพิเศษด้วย ก็เลยเห็นความพาลชัดเจน จนเอาภาระ ไปพาพระบวชใหม่กลับมา

องค์กรใหนไม่มีคนที่เอาภาระอย่างพระสารีบุตรหรือพระโมคคัลลานะ ก็จะต้องเสียคนดีไปเรื่อย ๆ ก็ปล่อยคนพาลเสพสะสมพลังชั่วไปเรื่อย ๆ ทำลายจิตวิญญาณไปเรื่อย ๆ ถ้ามีอำนาจแล้วไม่แก้ไขนี่จะเป็นบาป อย่างพระโมคคัลลานะก็เคยดึงพระทุศีลออกจากองค์ประชุม อันนั้นท่านทำได้ถูกต้องตามฐานะ เป็นพระบวชใหม่ แม้จะมีภูมิสูง แม้จะรู้ ก็ไม่เหมาะที่จะทำ เพราะไม่เหมาะสมกับฐานะ ต้องให้รุ่นพี่ลุยก่อน ถ้าไม่มีคนทำจริง ๆ ถึงจะทำได้

อะไรที่มันชั่วช้า เบียดเบียน พาตกต่ำชัด ๆ เช่นถ้าผิดศีลชัด ๆ แล้วเนี่ย ก็คงต้องจัดการกัน จะปล่อยให้คนพาลอยู่สะสมอำนาจไปนาน ๆ มันจะปราบยาก พระพุทธเจ้าเปรียบคนทุศีลเหมือนหยากเยื่อ คือมันเหนียว แน่น หนึบ สกปรก รุงรัง เลอะเทอะไปหมด เอาออกไม่ได้ง่าย ๆ คนพาลที่มาฝังอยู่ก็เหมือนกัน ถ้าไปให้อาหารเขา ก็เหมือนคนเป็นมะเร็งแล้วไม่หยุดกินอาหารเสริมกำลังมะเร็ง มะเร็งมันก็จะโต เจ็บปวด เบียดเบียนไปเรื่อย ๆ แต่ถ้ารู้ว่าเป็นมะเร็งแล้วหยุดให้อาหารมะเร็ง ทำตรงกันข้าม ก็จะพอทุเลาไปได้บ้าง แต่ถ้ามะเร็งนั้นมันใหญ่จนเบียดเบียนร่างกาย ก็อาจจะจำเป็นต้องตัดทิ้งเสีย แม้จะเสียหายบ้าง แต่ก็เจ็บปวดน้อยที่สุด

คนพาลมีอำนาจ (กรณีศึกษา ลูกนกกาเหว่า)

February 19, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 666 views 0

เมื่อเช้าได้ดูคลิปลูกนกกาเหว่า ที่เรียกว่าร้ายตั้งแต่เกิด ก็เหมือนกับคนพาลที่มีความมุ่งร้ายในสันดาน

ในสารคดีเขาเล่าว่า… แม่นกกาเหว่าจะไข่ไว้ในรังของนกชนิดอื่น แต่ไข่ของนกกาเหว่าจะฟักไวกว่า และมักจะตัวใหญ่กว่า ทำให้มันได้กินอาหารก่อน โตก่อน พอโตกว่าแล้วก็ดันไข่ใบที่ยังไม่ฟักตกจากรัง แล้วก็ดันลูกนกตัวอื่นให้ตกจากรัง ทั้ง ๆ ที่ตามันยังไม่ลืมเลยนะนั่น ให้เหลือไว้แต่ตัวเอง เพื่อที่จะได้ความรักและอาหารแต่ผู้เดียว

ลูกนกกาเหว่าก็เหมือนคนพาล ครูบาอาจารย์ได้เคยเตือนให้ระวังคนพาล คนฐานศีลต่ำ จะเข้ามามีอำนาจในหมู่กลุ่ม ทำให้ไม่เจริญ ชะงัก เพราะคนพาลเขาจะสกัดดาวรุ่ง ไม่ให้ใครเด่นหรือใหญ่ไปกว่าเขา

การที่ลูกนกกาเหว่าฟักออกมาก่อน ก็เหมือนกับคนพาลที่เข้ามาในกลุ่มก่อน แล้วชิงพื้นที่ ล่าโลกธรรม ล่าบริวาร ล่าอำนาจ ตัวอ้วนใหญ่ เบ่งกร่างสร้างบารมีไปเรื่อย ๆ

ทีนี้พอตัวเองใหญ่แล้ว น้องที่เป็นลูกแท้ ๆ ของแม่นก จะมาเกิด ก็เกิดไม่ได้ เพราะคนพาลชิงทำลายไปก่อน จะโตก็โตไม่ได้ เพราะคนพาลจะฆ่าเสียให้ตาย

ทั้ง ๆ ที่ลูกนกกาเหว่าก็ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ไม่ใช่เชื้อสายของนกในรังนั้น เป็นเพียงแขกที่มาอาศัย แต่กลับไม่ทำตัวเหมือนแขก ไม่ปฏิบัติตามวัฒนธรรม ทำตัวกร่าง ใหญ่ บ้าอำนาจ ใช้ความเก่งของตัวเองไปเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น เพื่อให้ตนได้เสพสุขแต่เพียงผู้เดียว

ผลเสียของการมีคนพาลเข้ามาในกลุ่มคือ กลุ่มจะไม่เจริญ จะติด จะชะงัก ศีลธรรมจะเสื่อมถอย อธรรมจะเข้าแทรก กามและอัตตาจะจัด พัฒนาได้ยาก ครูบาอาจารย์จะเมื่อยหัว เพราะบางทีตอนเขาทำชั่วเขาก็ไม่ได้บอก เหมือนกับลูกนกกาเหว่าที่แอบผลักลูกนกตัวอื่นให้หล่นจากรังตอนแม่นกไม่อยู่

กลุ่มไหนที่ปล่อยให้คนพาล คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีอำนาจ หมู่กลุ่มนั้นก็จะพินาศเหมือนลูกนกตัวอื่น ๆ ในรังที่มีลูกนกกาเหว่า

แต่ถ้าเป็นหมู่พุทธะจะต่างออกไป คนพาลจะแทรกซึมอยู่ไม่ได้ เหมือนกับที่พระโมคคัลลานะได้จับพระทุศีลลากออกไปจากองค์ประชุมหมู่สงฆ์ นี่คืออำนาจของผู้ที่ไม่หวาดหวั่นต่อการมีอยู่ของคนพาล

พระพุทธเจ้าตรัสลักษณะของศาสนาพุทธไว้ว่า ทะเลไม่เก็บซากศพฉันใด พุทธย่อมไม่เก็บคนพาลไว้ฉันนั้น พุทธจะซัดเอาคนพาล คนชั่ว คนผิดศีลออกจากกลุ่ม เป็นธรรมดา