Tag: ทุกข์

การเข้าถึงนรก

July 17, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,787 views 0

วันก่อนแชร์เรื่องที่เขาเอาหมูไปต้มแบบเป็น ๆ แล้วมีเนื้อหาเกี่ยวกับ “นรก..” ก็มีคนถามว่า ” นรก คือการที่จิตตกลงไปเกิดใหม่ในสภาพนี้หรือเปล่า”

ก็ตอบว่า ใช่

นรกคือ จิตที่เกิดสภาพเป็นทุกข์ เดือดร้อนกายใจ ไม่ว่าจะสวมเนื้อหนังแบบใด แต่ถ้าจิตเข้าถึงความทุกข์ร้อนกระวนกระวาย ก็คือจิตไปเกิดในนรก

การเข้าถึงนรก ก็ไม่ใช่แค่ว่าต้องตายจากโลกนี้ไปแล้วไปนรก สภาพของนรกนั้นเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน ก็ตามแต่วิบากกรรมของแต่ละคน บางคนก็นรกน้อย บางคนก็นรกมาก ลึกตื้นหนาบางไปตามกรรมกิริยาที่ทำมาและกำลังทำอยู่

นรกคือความเดือดเนื้อร้อนใจ การเดือดเนื้อ หรือเนื้อเดือดอย่างหมูที่ถูกต้มทั้งเป็น ก็เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ แต่อาการร้อนใจนั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ กำจัดให้หมดไปได้

ดังนั้นศาสนาพุทธจึงมุ่งดับความร้อนใจ อันเป็นนรกเผาใจให้ทุกข์ร้อน และฝึกฝนปฏิบัติเพื่อปรับใจให้ยินดีเต็มใจรับความเดือดเนื้อ ลำบากกาย ด้วยเหตุแห่งวิบากกรรมด้วยความเต็มใจ

เพราะกรรม ทำแล้วจะไม่ส่งผลเป็นไม่มี กรรมทำแล้วต้องรับผลกรรม หนีไม่ได้ แถมมันไม่ต่อรองกับเราอีกต่างหาก ถึงเวลาวิบากกรรมชั่วส่งผล ก็จะมีแต่ทุกข์ร้อนเหมือนตกนรก นั่งห้องแอร์เย็นฉ่ำแต่ร้อนใจอยู่ไม่เป็นสุขก็มี

สรุปก็คือ นรกคือสิ่งที่สร้างขึ้นมาเอง ถ้าไม่อยากตกนรก ก็เลิกสร้างเหตุแห่งนรก คือความเบียดเบียนทั้งหลาย ทางกาย วาจา ใจ ต่อตนเองและผู้อื่น

คู่ดี ให้ฟรี แถมเงิน บ้าน รถ ยังไม่เอาเลย

June 19, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 641 views 0

พอปัญญามันเต็มรอบในเรื่องใด ๆ เนี่ย เราจะเห็นโทษของมันชัดเจน ขนาดที่ว่าเอาสินบนมาล่อขนาดไหนก็จะไม่ยอมทำตามกิเลส

เรื่องคู่ก็เช่นกัน คนเขาก็อยากได้คู่ดีนะ ยอมเสียเงินเสียเวลา ทุ่มเทให้กับเรื่องคู่

แต่ถ้าคนที่มุ่งประพฤติตนเป็นโสดจนได้มรรคผลตามลำดับ จะเริ่มเข้าใจได้ว่า การที่จะไปแสวงหาคู่ที่ดีหรือไม่ดีนั้นมันเป็นทุกข์ เพราะแค่ป้องกันผู้ท้าชิงที่เข้ามาก็เมื่อยหัวมากพออยู่แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาจีบหรือเกี้ยวพาราสีใครหรอก ป้องกันให้อยู่ก็พอ

คนทั่วไปเขายอมสารพัดเสียเพื่อให้ได้คู่มา แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรมได้ดีมันจะกลับหัวเลย คือต่อให้เขายัดเยียดให้เราได้สารพัดได้ แถมคู่ดีให้ด้วย เราก็ยังไม่เอาอยู่ดี

พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีรัก 100 ทุกข์ 100 มีรัก 1 ทุกข์ 1 ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย และคนไม่มีรักนี่แหละสุขที่สุด

คนที่ไม่ล้างกิเลสจะไม่เข้าใจระยะห่างระหว่างทุกข์ 1 กับไม่มีทุกข์ ซึ่งความจริง มันทุกข์มาก มากขนาดที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยแนะนำให้ใครไปมีคู่เลย มีแต่แนะนำให้เห็นทุกข์จากคู่ เพราะแม้ว่าจะเป็นทุกข์ 1 มันก็เป็นทุกข์ที่มากอยู่ดี

คนที่ไม่รู้เขาก็ประมาทตรงนี้แหละ เขาเข้าใจว่า ก็แค่รัก 1 หน่วย คงไม่ทุกข์อะไรมาก แต่สาวกจะเข้าใจอีกอย่างคือ ทุกข์ตั้ง 1 ทำไมต้องไปแบกมาใส่หัวให้โง่ด้วย

ดังนั้นทิศทางของพุทธสาวก คือการสลัดออกไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่การเอาเข้ามา แม้จะทำไม่ได้ในทีเดียวก็จะค่อย ๆ เฉือนความเห็นผิด เอาความหลงผิดออกไปเรื่อย ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ตั้งใจปฏฺิบัติจนหมดทุกข์ ไม่ใช่เหลือทุกข์ไว้ให้หนักหัว

ทุกข์จากความรัก คืออาหารของปัญญา

March 11, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 780 views 0

เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม คือข้อธรรมที่เผยแพร่เป็นที่รู้กันโดยมาก เนื้อหาสั้น ๆ เหมือนจะเข้าใจง่าย แต่จริง ๆ เข้าใจได้ยากมาก

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะกิเลสมันจะบังไว้ไม่ให้เห็นธรรม จะมีก็แค่ได้เป็นทุกข์เท่านั้นเอง ถ้าไม่ชีวิตไม่เจอสัตบุรุษ ไม่มีทางเห็นธรรมแล้วพ้นทุกข์ได้เลย

คนทั่วไป เมื่อมีทุกข์จากความรัก เขาจะไม่สามารถย่อยทุกข์นั้นไปเพิ่มเป็นปัญญาได้ เขาทำได้แค่เปลี่ยนทุกข์นั้นเป็นตัณหา

เช่นเขาอกหัก ช้ำรัก เขาก็เอาความทุกข์นั้นแหละ เป็นพลังในการเปลี่ยนตัวเองให้น่าเสพมากขึ้น คือเอาไปเพิ่มกามเพิ่มอัตตา เพื่อที่จะได้เพิ่มกำลังในการล่อลวงหลอกใจคนให้หลงในตัวตนของเขามากขึ้น หรือไม่ก็ไปเพิ่มข้อเรียกร้องในการเลือกคู่ให้มากขึ้น กลัวมากขึ้น กังวลมากขึ้น หวังจะเสพสุขที่มากขึ้นจากความผิดหวังในความรัก

ถ้าไม่ไปเพิ่มฝั่งกาม คือฝั่งหาคู่ยิ่ง ๆ ขึ้น ก็เพิ่มฝั่งอัตตา คือยึดดี ยึดมั่นถือมั่น เกลียดความรัก ชังความรัก เหม็นความรัก เป็นการทรมานตนเองด้วยอัตตา คือจริง ๆ ตัวเองต้องการเสพความรัก แต่มันเจ็บ แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยกดไว้ด้วยความเกลียดชัง ยึดดีถือดี

คนโลกีย์เขาก็ทำได้แค่เท่านี้ ไปได้สองฝั่ง ไม่กามก็อัตตา นรกทั้งสองฝั่ง

ที่ว่าทุกข์จากความรัก คืออาหารของปัญญา นั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีสัมมาทิฏฐิแล้ว เพื่อที่จะใช้ทุกข์นั้นเป็นตัวพิจารณาในการละหน่ายคลายจากความหลงรัก ใช้ทุกข์นั้นเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง เข้าใจธรรมะ เข้าใจตามที่ครูบาอาจารย์ เข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ไม่มีรักเลย ไม่ทุกข์เลย คือสภาพจิตเช่นใด

มันจะเป็นปัญญาก็ตรงนี้ ตรงที่ใช้ประโยชน์ให้ถูก คือใช้ทุกข์มาเป็นเครื่องมือในการล้างโลภ โกรธ หลง ถ้าเอาทุกข์ไปใช้เพิ่ม โลภ โกรธ หลง อันนั้นจะกลายเป็นว่าทุกข์คืออาหารของตัณหา

แม้ทุกข์แบบเดียวกัน เกิดเหมือนกัน แต่จิตคนต่างกัน มีความเห็นความเข้าใจต่างกัน ก็จะปฏิบัติต่างกันไป

ดังนั้นเวลาศึกษาธรรมก็ระวังให้ดี ไปเจอคนมิจฉาทิฏฐิเรื่องความรักสอนธรรมนี่จะไปคนละทิศเลย คือไปทิศเพิ่มตัณหา เพิ่มปัญหา เพิ่มทุกข์ เพิ่มความเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

ความวนเวียนในความรัก

March 5, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 838 views 0

ความวนเวียนในความรัก

กิเลสคือสิ่งที่จะทำให้เรายินดีในการหลงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร ความรักก็เช่นกัน ความรักนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่จะรัดและมัดคนไว้กับโลกนี้ ผูกไว้กับความทุกข์ ตรึงไว้ด้วยความเศร้าหมอง

ไม่ว่าอยู่ในขั้นตอนใดในความรัก ล้วนมีทุกข์แทรกอยู่เสมอ แต่ก็อยู่ที่ว่าใครจะมองทุกข์นั้นเห็น และอยู่ที่ว่าใครจะทำให้เหตุการณ์นั้น ๆ เป็นที่สุดแห่งทุกข์ คือ พอเสียทีกับทุกข์นี้ ไม่ทนทุกข์อีกต่อไปแล้ว

ความรักนั้น มีความหลงเป็นจุดเริ่ม แล้วก็จะแสวงหาคือพยายามหาสิ่งที่จะเข้าไปรัก เมื่อได้แล้วก็อยากได้ขึ้น โลภมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ได้สมใจก็จะโกรธ อึดอัด ขุ่นเคือง หงุดหงิดในใจ เป็นฝุ่นในใจให้คอยรำคาญอยู่เสมอ สุดท้ายก็หลงวนเวียนไปหาสิ่งใหม่เพื่อที่จะได้ตอบสนองความต้องการของตนเองอย่างไม่รู้จุดจบ

ความรักนั้นคือสิ่งที่พาวนในอารมณ์ต่าง ๆ ที่พาให้เศร้าหมอง ตั้งแต่ความหลง เมื่อหลงก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์หรือเพื่อความทุกข์ เมื่อได้ยินได้ฟังเขาว่ามา ว่ารักนั้นเป็นสุข เป็นสิ่งที่ควรครอบครอง เมื่อไม่มีปัญญารู้โทษภัยผลเสียที่แท้จริงของมัน ก็จะรู้สึกว่ารักนั้นไม่มีโทษไม่มีภัย หรือเห็นว่ามีโทษน้อยกว่าคุณ หรือเห็นว่าแม้จะมีทุกข์อยู่แต่ก็ยังมีคุณค่าพอที่จะรัก ความหลงนี้เองคือสิ่งที่ทำให้คนเกิดแรงผลักดันไปแสวงหารัก

รัก… เมื่อหลง ก็จะแสวงหาความรัก การดิ้นรนไปเพื่อหามาเสพ หรือการปั้นตัวตนขึ้นมาให้น่าเสพ ไม่ว่าจะวิ่งหา หรือทำตัวเองให้น่าสนใจ ล้วนเป็นกิจกรรมที่ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น เสียพลังงาน เสียเวลา เสียทุนทรัพย์ แต่คนหลงจะไม่หยุดถ้าไม่ได้มาซึ่งสิ่งเสพที่ตนหมายปอง นี้คือทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ ทุกข์เพราะอยาก ดิ้นรน แสวงหา ไขว่คว้า ฝันใฝ่ ฯลฯ

โลภ… ความโลภนั้นเกิดตั้งแต่หลง คืออยากได้ในสิ่งที่เขาไม่ได้ให้ แต่ด้วยความโลภ จึงพยายามทำให้เขายินดีให้ คอยจีบ คอยเอาใจ คอยให้ท่า ฯลฯ สารพัดลีลาที่ดิ้นรนเพื่อให้ได้เสพ เพราะจิตหลงว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งดี และโลภอยากได้มาเสพ แบบใช้การล่อลวงต่าง ๆ แม้จะเป็นการได้มาโดยอธรรมก็ยินดี

เมื่อได้มาก็โลภไปเรื่อย ๆ อยากให้เขาเป็นอย่างนั้น อยากให้เขาทำอย่างนี้ ตามใจเรา อยากให้เขาบำเรอเราไปเรื่อย ๆ อยากได้ อยากได้ อยากได้… ความรักนั้นมีแต่ความอยากได้อยู่ในนั้น ดูเผิน ๆ เหมือนจะสวยงาม เหมือนจะเกื้อกูล เหมือนจะดูแลกัน แต่ความจริงเน่าในเหมือนผีเปรตขอส่วนบุญ อยากได้ อยากให้เป็น อยากให้มี ฯลฯ ถ้าใครเห็นความจริงในความรัก ก็จะเห็นผีที่สิงในใจคน ผีโลภ โกรธ หลง ที่อาศัย “รัก” เป็นตัวเสพ เป็นสิ่งที่ไม่เจริญใจอย่างยิ่ง

โกรธ… เมื่อมีความโลภ ความโกรธก็จะต่อคิวเข้ามา เมื่อเกิดความโลภแล้วไม่ได้เสพสมกับความโลภนั้น อยากแล้วไม่ได้สมอยาก ก็จะเกิดอาการโกรธ ไปดูเถอะ คู่รัก คนรักที่ไหน ขัดใจกันแล้วไม่โกรธ อึดอัด ขุ่นเคืองใจกัน แค่นึกก็ยังนึกไม่ออกเลย ธรรมดาความรักนี่แหละเป็นตัวพาโกรธ พาจองเวรจองกรรมกันก็เพราะเหตุนี้ เพราะอยากได้แล้วไม่ได้สมอยากก็โกรธ หลังจากนั้นก็สารพัดกิเลส สารพัดลีลามารยาของฝ่ายมารที่งัดออกมาปะทะ ประชดประชันหมายจะเอาชนะกัน การสงบศึกไม่มีอยู่ในผู้ที่ยังมีความรัก ยังจะต้องรบอยู่เรื่อยไป ไม่จบไม่สิ้น เดี๋ยวเราก็โกรธเขา เดี๋ยวเขาก็โกรธเรา ง้องอนกันไปกันมา คนก็หลงว่าเป็นสุข เพราะมันมีรสของการปะทะ รสของการกระทบในสิ่งที่อยากกระทบ แม้โกรธก็เสพสุขได้กับคนที่หลง จริง ๆ โกรธมันไม่น่าเสพหรอก แต่คนเขาหลงว่าเป็นสุขว่าเป็นคุณค่า เขาก็เลยชอบโกรธกันทะเลาะกัน

จริง ๆ คนขี้โกรธ ขี้งอนนี่มันไม่น่าจะมีคุณค่าให้ง้อหรือไปเสียเวลาเลยนะ แต่เพราะมีอีกฝ่ายคอยให้คุณค่า คนก็หลงอัตตา หลงว่าแม้ตนจะโกรธ จะงอน เขาก็จะมาง้อ หรือเขายิ่งจะต้องให้คุณค่า ทั้งที่จริงความโกรธหรืองอนนี่มันคือการทำลายคุณค่าของตน แต่เขาหลงกลับหัวกลับหางเลย ก็ใช้การโกรธการงอนนี่แหละในการเสพคุณค่าในตน คนง้อก็หลงตามเขาไป วนเวียนไปกันแบบนั้น

หลง… สุดท้ายไม่ว่าจะคบหรือจะจบ กิเลสก็จะพาคนหลงวนแสวงหาเสพเหมือนเคย มีคนรักก็แสวงหาสุขอยู่กับคนรัก ไม่มีคนรักก็ดิ้นรนแสวงหาคนมาเสพสุข เป็นความวนหลงอยู่ในโลกีย์ แม้รักนั้นจะดีแสนดี เป็นคนดีแค่ไหน แต่ก็เป็นเพียงตัวพาวนเท่านั้นเอง จะวนแบบดี วนแบบร้าย มันก็คือการวนเวียน แล้วดีก็ไม่ได้ดีได้ตลอด สุดท้ายมันก็จะร้ายอยู่ดี เพราะความหลงคือบาป ยิ่งต่อเวลาเนิ่นนานไปเท่าไหร่ยิ่งก่อบาป ก่อชั่ว ก่ออกุศลกรรม มากเท่านั้น

กิจกรรมที่อยู่ภายใต้ความหลง แม้จะพยายามทำดี แม้ดีที่สุดในชีวิต แต่ยังไม่พ้นจากความหลงในรสรัก ก็ยังเป็นดีที่ยังไม่เหนือความรัก ยังไม่เป็นดีเหนือดี ยังเป็นดีที่ติดเพดานบาป เป็นดีที่ถูกบาปครอบอยู่ ดังนั้นกุศลผลบุญอะไรนั่นมันก็จะไม่เกิดผลเต็มร้อย  ไม่แผ่ออกไปเพราะมีบาปครอบอยู่ ดีไม่ดีติดลบด้วย เพราะบางทียิ่งพากันทำดี ยิ่งจะหลงในภาพความดีของคู่ครอง เลยไปกันใหญ่ กอดคอกันวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารด้วยความยินดี เต็มใจ พอใจ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวที่สวยงามเต็มที่

…. สุดท้าย ความรักก็คือสิ่งหนึ่งที่ขังคนไว้ในโลก ให้ยินดีในโลกที่ทุกข์ระทม ไม่ให้เจริญไปในจุดที่ดีกว่านั้น ผูกไว้ไม่ให้สูงไปสู่ความผาสุกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ตรึงคนไว้ให้ยินดีกับสุขลวงทุกข์จริง ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนเหล่านั้นเขาจะ “พอ” กับสุขลวงทุกข์จริงเช่นนั้นเมื่อไหร่ เขาจึงจะพยายามเดินออกจากวงเวียนแห่งรักอันไม่รู้จักจบนี้ด้วยตนเอง

5.3.2563

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์