Tag: การเบียดเบียน
บาปกับธุรกิจฆ่าสัตว์
มีคำถามมาว่า ” ที่บ้านค้าขายเกี่ยวกับหมู แต่เราไม่อยากทำแต่ก็ช่วยพ่อแม่แบบนี้จะบาปมั้ยครับมีวิธีคิดยังไงครับ”
ตอบ ถ้าไม่มีจิตยินดีในการฆ่าและกิจกรรมที่ส่งเสริมเหล่านั้นก็ไม่บาปครับ
แต่มันจะมีวิบากกรรมในส่วนของ มิจฉาอาชีวะในข้อ ยอมมอบตนในทางที่ผิด คือยอมเอาชีวิตตัวเองไปรับใช้ในกลุ่มหรือธุรกิจที่เป็นการเบียดเบียนหรือผิดศีลต่าง ๆ
ทีนี้ตัววัดมันจะอยู่ตรงที่ว่า ใจเรายินดีหรือเราโดนบังคับ จำใจ หาทางออกไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างหลังก็ไม่บาป มันเป็นสภาพโดนบังคับ เป็นช่วงที่อกุศลวิบากกำลังส่งผล ตามที่เราเคยไปส่งเสริมกิจกรรมที่ไม่ดีมามากในชาติก่อน ๆ แล้วมันสะสมผล พอถึงเวลาที่เราจะออก มันจะออกไม่ง่ายเหมือนใจคิด มันจะตัน มันจะคิดไม่ออก มันจะมองไม่เห็นทาง ได้แต่ก้มหน้าทำรับใช้กรรมไป
วิธีคิดที่แนะนำอย่างแรกคือ ยอมรับกรรม ยอมรับว่าเราก็เคยส่งเสริมมา และเราก็ยังมีส่วนเอื้อให้เกิดกิจกรรมนั้นอยู่ เวลาวิบากกรรมมันส่งผล เราจะหนีหรือจะปลีกตัวออกไม่ได้ ไม่ว่าทั้งดีทั้งร้าย เราก็ต้องรับ ดังนั้นในเมื่อยังไงก็ต้องรับ ก็รับด้วยความเบิกบาน รับด้วยความเข้าใจว่าเราทำชั่วสะสมมามาก การรับกรรมก็เหมือนใช้หนี้ ใช้แล้วก็หมดไป ได้ใช้หนี้ไปแต่ละวันหนี้ก็หมดไปเรื่อย ๆ ก็ทนทำไปด้วย ศึกษาเรื่องกรรมไปด้วย จะเข้าใจมากขึ้น ทำให้เบาใจขึ้นโดยลำดับ
ส่วนที่สองคือการเร่งชำระหนี้ ถ้าเราไม่ได้ทำดีมาก ไม่ได้มีศีลมาก เราก็เหมือนลูกจ้างค่าแรงต่ำ เขาใช้เงินไม่กี่ร้อยก็จ้างได้แล้ว หากว่าเราเป็นหนี้สักร้อยล้าน เขาก็จ้างเราได้ทั้งชีวิต
แต่ถ้าเรามุ่งทำดีมาก ๆ มีศีลมาก ทำใจให้ผ่องใสได้โดยลำดับ ไม่เบียดเบียนคนอื่นสัตว์อื่น มีน้ำใจช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กตัญญูผู้มีพระคุณ ค่าตัวต่อหนึ่งช่วงเวลาของเราจะเพิ่ม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าทำดีมาก ๆ อาจจะเป็นค่าตัววันละล้าน แค่ร้อยล้าน 3 เดือนก็จ่ายหมด
ที่ยกตัวอย่างมานี้คือการเปรียบเทียบให้เข้าใจเรื่องบารมี คือถ้าเราเป็นคนทั่ว ๆ ไป ค่าตัวก็ถูกเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราเป็นคนมีชื่อเสียง ค่าตัวก็แพง ในทางธรรมก็เหมือนกัน แต่ความแพงนั้นไม่ใช่เงิน สิ่งที่ต้องจ่ายคือการบำเพ็ญความดีหรือกุศลวิบาก
เช่น ผู้ที่ถวายอาหารมื้อแรกและมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ที่มีอานิสงส์มาก ก็ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้มาถวาย มันต้องเป็นนางสุชาดาในมื้อแรก และนายจุนทะในมื้อสุดท้ายเท่านั้น ทั้งสองท่านต้องทำกุศล สร้างบารมีสะสมมามาก ถึงจะได้สิทธิ์นั้น
หรือกรณีพระเทวทัต ก็เกิดจากบาปที่พระพุทธเจ้าเคยไปฆ่าน้องชายต่างแม่มาเมื่ออดีตชาติอันไกลโพ้น แต่ผลวิบากนั้นก็ยังไม่หมด แต่ถึงที่สุดพระเทวทัตก็จะทำร้ายพระพุทธเจ้าได้สูงสุดตามที่พระพุทธเจ้าต้องรับส่วนของวิบากกรรมในชาตินี้ จะทำร้ายไม่ได้มากเท่าที่ใจคิด เช่น คิดจะกลิ้งหินลงมาทับให้ตาย ผลสุดท้ายทำได้เพียงแค่ให้ท่านห้อเลือด
การจะเข้าถึงคนที่ดีมาก ๆ จำเป็นจะต้องทำความดีมามากด้วย เช่นเดียวกันกับการที่เราจะหนีจากสิ่งไม่ดี เราก็ต้องทำดีมาก ๆ เพื่อที่จะให้คนที่จะมาเกี่ยวข้องกับเรานั้น มีอัตราส่วนเป็นคนดีมีศีลเป็นส่วนมาก หรือเจอสิ่งดีมากกว่าสิ่งร้าย หรือเจอสิ่งร้ายไม่นานก็กลับมาดี
บวชก่อนถูกเบียด
วันก่อนก็มีคนทักมาประมาณว่า ไม่ค่อยมีผู้ชายมาโพสตอบสักเท่าไหร่ ผมก็เห็นตามนั้นแหละ ไม่ค่อยมีหรอก
ผู้ชายนี่ปกติก็มีน้อยอยู่แล้ว ยิ่งมาปฏิบัติธรรมยิ่งมีน้อยมาก ดีไม่ดีปฏิบัติธรรมไปแล้วพลาดเจอนารีพิฆาตไปอีก การที่จะมีผู้ชายอยู่รอดปลอดภัยในความโสด ยินดีในธรรมแห่งความสันโดษ พอใจในความโสด มีน้อยจริง ๆ
ปกติในสังคมก็ไม่ค่อยมีการแสดงธรรมหมวดที่พาให้ยินดีเป็นโสด หรือชี้ให้เห็นโทษของคนคู่อยู่แล้ว มีแต่พาหลงในรสรัก ปรุงแต่งรักให้ดูงดงาม แต่ก็ยังมีประเพณี คือให้บวชก่อนเบียด เป็นกำแพงชั้นสุดท้ายที่จะปกป้องผู้ชายไว้
การบวชคือการละ ละชื่อละโคตร คือทิ้งอดีตทั้งหมดแล้วตั้งใจปฏิบัติชีวิตใหม่ คือชีวิตนักบวช แม้บวชก่อนเบียดจะเป็นความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนในเชิงศาสนา แต่ก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะ “รั้ง” ไว้ ประวิงเวลาไว้ ถ่วงเวลาไว้ ไม่ให้ไปเบียดกันเร็วนัก
เบียดกันคืออะไร บ้างก็ว่าแต่งงาน อยู่ร่วมกัน แต่โดยสภาพจริง ๆ คือไปเบียดเบียนกันนั่นแหละ คือเอาตัวไปเบียดกันให้มันลำบาก หรือเรียกว่าสมสู่กัน เอาใจไปเบียดเบียนกัน ไปเป็นอัตตาของกันและกัน พยายามจะกลืนกันด้วยความหลง สรุปคือเบียดเบียนทั้งกายและใจ
เดาว่า คนรุ่นเก่าเขาก็คงจะคิดว่าถ้าไปบวชก่อนก็อาจจะซึ้งในรสพระธรรมแล้วออกบวชตลอดชีวิตก็ได้ ซึ่งจริง ๆ การบวชมันก็ต้องเป็นแบบนั้น คือบวชเอาธรรม ไม่ใช่บวชรอเบียด
ถ้าบวชรอเบียดนี่มันจะทุกข์มากเลยนะ เพราะตอนบวช แฟนสาวก็คอยรับส่ง ถือหมอน ใส่บาตร เรียกว่าหลอกหลอนกันถึงที่นอน คือฝังสัญญาไว้ที่หมอนแล้ว จะนอนก็หลอนในใจ บิณฑบาตร ก็ยังเจอกันบ่อย ๆ การบวชถ้าไม่มีใครสอนให้ลดกิเลส ให้ลดกาม ลดอัตตา ก็มีแต่จะกำหนัดมากขึ้นทุกวันนั่นแหละ คือรสกามมันจะแรงกว่ารสธรรม
สุดท้ายธรรมก็รั้งไว้ไม่อยู่ สึกไปเบียดในที่สุด สิ้นสุดความสามารถของธรรมที่จะรั้งเอาไว้ เวียนกลับไปเป็นผู้ครองเรือน เสื่อมจากธรรมของนักบวชในที่สุด
ผู้หญิงนี่เป็นภัยที่ร้ายมากสำหรับผู้ชาย แทนที่จะได้อยู่เป็นนักบวชตลอดชีวิต ก็ไปผูกสัญญาใจไว้เป็นบ่วงในใจ ให้ต้องสึก ออกจากความเป็นนักบวชไปหลายต่อหลายราย
บางคนไม่ได้ตั้งใจบวชก่อนเบียดหรอก แต่บวชไปบวชมาเจอสีกาขาว ๆ อวบ ๆ วับ ๆ แวม ๆ มันก็ชักอยากจะเบียด ก็สึกออกมา เพราะอะไร? เพราะเป็นนักบวชนี่มันได้โลกธรรมมาก ได้ลาภ สักการะ บริวารมาก แต่ปฏิบัติธรรมไม่ถูกตรง ไม่คบสัตบุรุษ ไม่มีมิตรสหายดี พอเจอนารีพิฆาตก็เสร็จเลย จบเลย เอาความดีทั้งหมดที่ทำมาเทให้หมากินหมดเลย คือสรุปได้เลยว่าปฏิบัติธรรมมาเพื่อหาเมีย เพราะบทมันจบที่ไปมีเมีย อันนี้มีหลายเคสแล้วทั้งคนดังคนไม่ดัง เป็นเรื่องธรรมดาของกลุ่มที่ปฏิบัติไม่ถูกตรง … แม้กลุ่มที่ปฏิบัติถูกตรงยังป้องกันได้ยากเลย กิเลสเรื่องคู่นี่มันแอบเสพ เขาไม่ค่อยเปิดเผยกันหรอก
จริง ๆ ผู้หญิงก็มีเต็มไปหมดนั่นแหละ อย่างประโยคที่เขาว่า “นารีมีมากเหมือนฝูงลิง” คือเกิดเป็นผู้ชาย ถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์เนี่ย ไม่รอดผู้หญิงหรอก มีดักรอทุกสี่แยก
เกิดมามีวิบากกรรม มีบทละคร มีนางเอกมาดักรอให้หลงเป็นพระเอก เป็นระยะ ๆ ขึ้นอยู่กับจะพลาดตอนไหน ส่วนใหญ่ก็ยินดีพลาดด้วย ยอมมอบตัวมอบใจให้หญิงที่ตนหลง มันก็เสียของไป
ชีวิตผู้ชายนี่ความจริงแล้วสามารถเดินในเส้นทางธรรม พาให้ตนเองเจริญได้สะดวกกว่าผู้หญิงมาก คือถ้าจะประพฤติตนเป็นโสดเนี่ย มันจะง่ายกว่า ลำบากน้อยกว่า ปลอดภัยกว่า จะเป็นฆราวาสก็ได้ เป็นนักบวชก็ได้ ทางก็โล่ง ง่าย แต่ผู้หญิงนี่เขาจะไปทางธรรมยาก ครองเรือนอยู่คนเดียวก็อันตราย จะบวชก็ไม่มีที่ให้บวชแล้ว ก็ได้แต่นุ่งห่มเครื่องแบบกันไป
พอชีวิตผู้หญิงมันไปทางเจริญลำบาก ก็ใช้วิธีหาผู้ชายนี่แหละมาเติมเต็ม ยิ่งพวกลามก ก็ไปสอยพวกพระ จับพวกนักบวชมาเป็นสามี เพราะนอกจากจะได้คนดี(ตามที่โลกเข้าใจ) ยังได้เสพอัตตาในความสำเร็จของการข่มผู้ชายที่คนกราบไหว้ด้วย
นักบวชที่สึกมาเบียดผู้หญิง นี่เรียกว่าทิ้งศักดิ์ศรีของนักปฏิบัติธรรมลงไปกอง กราบแทบเท้าผู้หญิงเลยนะ ทีนี้ก็สมอัตตาผู้หญิงเขาล่ะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าหญิงย่อมต้องการความเป็นใหญ่ในบ้าน นี่แหละ คือสุดท้ายคุณจะดีจะเก่งเท่าไหร่ คุณก็ต้องมายอมสยบแทบเท้าฉันอยู่ดี
นารีพิฆาตก็ถูกสร้างมาเพื่อปราบผู้ชาย เป็นรูปแบบหนึ่งของกิเลสที่จะคอยฉุดคนลงต่ำ ต่ำแค่ไหน ก็ต่ำกว่าสะดือนั่นแหละ ลองคิดดู พระที่คนยอมก้มหัวกราบไหว้มาหลายสิบปี สุดท้ายไปก้มทั้งตัวทั้งใจให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง การกระทำของเขาจะฉุดศาสนาลงต่ำขนาดไหน คนจะเสื่อมศรัทธาในศาสนาขนาดไหน
จริง ๆ คนที่ได้บวช ก็ควรจะใช้โอกาสนั้นทิ้งไปให้หมดเลย เพราะในคำขอบวช มันก็ต้องทิ้งทุกอย่างก่อนบวชอยู่แล้ว ก็ทำให้คำนั้นมันเป็นจริงเสียเลย ไม่ใช่แค่บวชเล่น แล้วก็ไปไกล ๆ ให้เจริญ ๆ พ้น ๆ จากจุดเดิมเลย ไม่ควรกลับมาลำบากอีก
ไม่ต้องสนใจหรอก ผู้หญิงที่รอเราสึกน่ะ พอบวชแล้ว สัญญาก่อนหน้านั้นมันก็เป็นโมฆะหมดแล้ว ให้เข้าใจว่า เขาก็รอเรากลับไปให้เขาเชือดนั่นแหละ รอให้เรากลับไปให้เขาลูบหัวโล้นเรา รอให้เรากลับไปตายรังที่เขา ให้เขาได้กระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่า แม้ธรรมะก็ไม่อาจจะมีอำนาจมากไปกว่าฉันไปได้หรอก และสุดท้ายแม้เธอจะพยายามดิ้นรนแค่ไหน ก็ไม่สามารถออกจากกำมือของฉันได้หรอก
ใช่ว่าบัณฑิตจะจีบไม่เป็นนะ จริง ๆ เก่งกว่าคนเจ้าชู้เสียอีก
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่เขาประพฤติตนเป็นโสด คนเขาก็รู้กันว่านั่นคือบัณฑิต … ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจีบไม่เป็นเลยไปเอาดีทางธรรมนะ แต่มันตรงกันข้าม เพราะจริง ๆ เขาเข้าถึงที่สุดของการจีบและพบว่ามันไม่มีประโยชน์ต่างหาก
คนที่ปฏิบัติตนจนเข้าถึงผล ในเรื่องการปฏิบัติตนเป็นโสด จะมีความรู้ที่เกี่ยวกับการจีบ การล่อลวงให้คนรักคนหลงที่มากเป็นพิเศษ เรียกว่าเกินสามัญ เพราะสามัญเขารู้แค่จะทำอย่างไรให้จีบติด แต่ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจะรู้ไปถึงอะไรเป็นประโยชน์แท้ อะไรเป็นบาป เป็นทุกข์ โทษ ชั่วอีกด้วย
ถ้าจะให้นึกปรุงจิตมันก็ปรุงได้หมดนั่นแหละ จะล่อลวงเขายังไง จะทำให้เขามารักยังไง จะหลอกให้คนมาหลงรักหัวปักหัวปำยังไง มันง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย แต่ปัญหาคือมันทำแล้วไม่พาพ้นทุกข์ ตัวเองก็ต้องลำบาก เพราะทำอกุศล ส่วนคนอื่นก็หลงมัวเมา ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นเลย
ดังนั้นเมื่อรู้โทษชั่วดังนั้น ก็เลยไม่ทำชั่ว ไม่ไปจีบใคร เหมือนกับพระเจ้าอโศกมหาราช เก่งขนาดปราบทั้งแผ่นดิน แต่สุดท้ายก็เลิกการฆ่า สนับสนุนการไม่กินเนื้อสัตว์ ถามว่าท่านฆ่าเป็นไหม? ตอบว่าสุดยอดนักรบเลยก็ว่าได้ จะฟันตรงไหน จะแทงตรงไหนให้ชนะ ท่านรู้หมดนั่นแหละ แต่ท่านก็เลิกทำ เพราะมันเบียดเบียนและไม่เป็นประโยชน์กับใคร
ท่านรู้แล้วว่าการเบียดเบียนมันเป็นโทษแล้วก็เลิก กลับตัวกลับใจ เอาอำนาจที่ตนมีมาทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่พระพุทธศาสนา
ดังนั้น จะเรียนรู้ก็รู้ให้สุด เก่งก็เก่งให้สุด รู้ให้แจ่มแจ้งถึงหมดทุกข์หมดสุข แล้วที่เหลือก็เลือกเอาว่าจะทำอะไร
ผมท้าเลย คนเจ้าชู้ที่จีบเก่ง ๆ เนี่ย เขาไม่มีปัญญาพาคนออกจากวังวนของความรักได้หรอก พาเข้าได้ แต่พาออกไม่เป็นไง อย่างเก่งก็มอมเมาเขาไปเรื่อย ๆ แต่จะให้พ้นทุกข์ พ้นชั่ว พ้นหลงนี่เขาทำไม่ได้หรอก
ถูกเพื่อนร่วมงานที่มีครอบครัวอยู่แล้วมาตามจีบ คุกคาม ฯลฯ ต้องทำอย่างไร?
การจีบกันนั้นเป็นการเบียดเบียนอย่างหนึ่ง ไม่ทำให้หลง ก็ทำให้โกรธ น้อยคนที่จะรู้สึกเฉย ๆ ไม่ยินดียินร้าย คนจีบเขาก็หวังจะให้หลงรักเขานั่นแหละ ทีนี้ก็ใช่ว่าทุกคนจะชอบการจีบหรือการเข้าหาในลักษณะต่าง ๆ มันก็เลยกลายเป็นความอึดอัด สุดท้ายก็สะสมกลายเป็นความโกรธเกลียด เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น สรุป การจีบไม่สร้างประโยชน์ใด ๆ กับใครเลย จะสร้างแต่ผลอันเป็นความมัวเมา หดหู่ เศร้าหมองในท้ายที่สุด
ถ้าคนทั่วไป ไม่ค่อยเจอกัน มันก็ไม่เท่าไหร่ ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานมาจีบนี่มันก็อาจจะทำตัวลำบาก เพราะเกรงใจบ้าง กลัวบ้าง ฯลฯ ยิ่งถ้าเป็นหัวหน้ามีตำแหน่งสูงกว่ายิ่งไปกันใหญ่ คนที่เขามีความกำหนัด ใคร่อยาก เขาก็แสดงท่าทีลีลาต่าง ๆ เพื่อยั่วเย้า หรือเกี้ยวพาราสีเป็นธรรมดา แน่นอนว่าเขาต้องมุ่งหวังผลคือได้เสพสมใจ เขาก็ใช้ทุกวิถีทางที่เขามีนั่นแหละ เข้ามาเป็นกรอบมาบีบให้เราอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดต่าง ๆ
ในการเสพสมใจของเขานั้นเป็นไปได้หลายระยะ ตั้งแต่เราออกอาการเมื่อเขาแซว จนถึงขั้นเรายอมตกเป็นของเขา แม้เขาจะมีครอบครัวแล้วก็ตาม การสาสมใจนั้นเกิดขึ้นเพราะมีการตอบสนองเป็นอาหาร กิเลสจะมีกิเลสเป็นอาหาร ดังนั้นถ้าเราควบคุมอาการไม่ได้ ก็หมายถึงเรายังไปให้อาหารกิเลสเขาอยู่ คนที่ยังยั่วขึ้นอยู่ ก็ยังเป็นเหยื่ออยู่ดีนั่นเอง
การปฏิบัติก็เริ่มจากเบาไปก่อน คือถ้าลองพูดคุยกันได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้น มันเป็นโทษ มันเบียดเบียนอย่างไร ถ้าประเมินแล้วว่าพูดแล้วไม่อันตราย ก็พูด บอกเตือนสิ่งดีมันก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าไม่มั่นใจในการควบคุมสติของตัวเองก็ให้หาเพื่อนหรือผู้ใหญ่ที่มีศีลธรรม ไว้ใจได้ มาช่วยอยู่เป็นเพื่อนหรือมาช่วยแก้ปัญหา แต่ถ้ายิ่งทำยิ่งแย่ ยิ่งเละก็ลองอ่านต่อไป
สิ่งที่ต้องทำคือพิจารณาประโยชน์ของตนเองให้มาก ว่าเราจะสามารถทำงานอยู่อย่างผาสุกต่อไปได้จริงไหม หากเรายังอยู่กับคนที่เขามีความอยากมีคู่ขนาดที่ยอมผิดศีลนั้น บางงานนั้นมีคุณประโยชน์ก็จริง มีผลตอบแทนมากก็จริง แต่สิ่งที่แลกไปบางทีมันก็ไม่คุ้ม คือได้ประโยชน์นิดหน่อย ได้เงินจำนวนหนึ่ง ได้กุศลเล็กน้อย แต่เขาก็จะเอาสิ่งเหล่านั้นนั่นแหละมาล่อเรา ให้เราหลงไปตามสิ่งที่เขาล่อลวง ถ้าเราเมากับโลกธรรมที่เขาล่อลวงไว้ เราก็หลงต่อไป ยังเป็นมิจฉาชีพ เพราะมอบตนในทางที่ผิด รับใช้คนผิดศีล แต่ถ้าเราไม่ได้ยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น เราจะมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงมากขึ้น
พระพุทธเจ้าให้ห่างไกลคนพาล คบบัณฑิต ชีวิตจึงจะอยู่ผาสุก คนที่เขามีคู่อยู่แล้ว แล้วยังมาตามจีบ หรือทำท่าทีหมาหยอกไก่กับคนอื่น อันนี้เขาก็ผิดศีลของเขาอยู่แล้ว เขานอกใจไปแล้ว เขาต่ำกว่าศีล ๕ นะ คนไม่มีศีล คบไว้ไม่เจริญหรอก คนไม่มีศีลก็คือคนพาลนั่นแหละ เพราะเดี๋ยวก็ทำบาป เดี๋ยวก็ทำชั่ว เดี๋ยวก็พาให้เราเดือดร้อน
เข้าหาบัณฑิต คือเข้าหาหมู่มิตรที่ปฏิบัติดี มิตรดีจะช่วยเพิ่มกำลังใจและกำลังปัญญา จะมีพลังในการต้านความชั่ว ต้านคนผิดศีล จะเป็นอยู่ผาสุกต้องเลือกกลุ่มในการร่วมใช้ชีวิต ให้เป็นกลุ่มมีศีลธรรม เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อพัฒนาตนสู่ความพ้นทุกข์ กุญแจที่จะไขรหัสสู่ความสำเร็จของคำถามนี้คือการเข้าหาบัณฑิตนี่แหละ ก็เข้าหา ปรึกษา เป็นลำดับ มันจะมีปัญหาขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็แก้ไปเรื่อย ๆ โดยพึ่งพาปัญญาของมิตรดี ปัญหาก็จะคลายไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าคลุกอยู่กับหมู่คนพาลมันก็มีแต่เรื่องแบบนี้แหละ เรื่องชู้สาว เรื่องผิดศีล ดีไม่ดีเขาลวงเราไปข่มขืนอีก ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ คนพาลนี่เขาอัตตาจัดมาก เขามีความอยากเอาชนะจัดมาก ๆ ยิ่งเราทำแข็งข้อ เขาก็ยิ่งสู้ ยิ่งทำตัวเป็นดีแสนดีดั่งนักบวช เขายิ่งอยากปราบเรา อยากพิชิตเรา แล้วก็ใช่ว่าเราจะไปสอนเขาได้นะ บางทีเขาไม่ได้เราด้วยการยอมของเรา เขาก็ใช้กำลังอำนาจของเขาบีบเราให้เราต้องจำนนได้เลย ดีไม่ดีเขาฆ่าเราปิดปากด้วย คบคนพาลมีแต่เสีย เสียเวลา เสียแรงงาน เสียทรัพย์ เสียชีวิต
แต่หมู่มิตรดีนี่ก็ต้องเลือกนะ ไปเข้าสำนักผิดหนีเสือปะจระเข้อีก กลายเป็นว่าหลงไปในหมู่นักปฏิบัติธรรมเมากาม ปฏิบัติธรรมหาคู่ มันจะไม่พ้นเรื่องบาปที่น่าปวดหัวเหล่านี้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าพรากประโยชน์ตนเพื่อผู้อื่นแม้มาก หมายถึง ต้องยึดประโยชน์ตัวเองไว้เป็นหลักก่อน ต้องเอาตัวเราพ้นทุกข์ให้ได้ก่อนแล้วถึงจะไปช่วยคนอื่น แม้คุณประโยชน์ในการช่วยคนอื่นนั้นจะดูเหมือนมีคุณมากก็ตามที เหมือนกับเรือร่ม เราก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้ก่อน ถึงจะไปช่วยคนอื่น เราว่ายน้ำไม่เป็น ไม่มีอุปกรณ์ ไปช่วยคนอื่นมันก็จะพากันตายเปล่า ๆ มันไม่เหมือนการเสียสละนะ การเสียสละ คือเรามี แต่เราสละสิ่งนั้นให้ อันนี้ประโยชน์ตนเรายังไม่มี เรายังพาชีวิตเราเองไปพ้นทุกข์ยังไม่ได้เลย แล้วเราจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร
ในความเห็นของผม ถ้าต้องคลุกอยู่กับกลุ่มคนผิดศีลเป็นประจำ ผมไม่อยู่หรอก เขาจะพาเราฉิบหาย แต่ถ้ามันมีภาระมาก มันออกไม่ได้ ก็ลองปรึกษาขอความช่วยเหลือกับผู้ใหญ่ในที่ทำงานที่มีศีลธรรม ถ้าเขาช่วยจัดการจนคลี่คลายก็พอทนอยู่ไปได้ แต่ถ้าอยู่แล้วโดดเดี่ยวไม่มีหวัง ไม่มีมิตรดี ไม่สามารถทำให้เจริญขึ้นได้ ก็ลองพิจารณางานอื่น ๆ ดู อย่างน้อยเราก็เจริญขึ้นเพราะพ้นจากมิจฉาอาชีวะอีกหนึ่งเรื่อง
3.2.2563
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์