Tag: กรรมฐาน

ทำดีไม่ควรน้อยใจ

March 8, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 760 views 0

คนทำดีนี่ส่วนใหญ่เขาก็ทุ่มเททั้งหมดเท่าที่เขาเห็นว่าสิ่งนั้นมันดีนั่นแหละ แล้วที่นี้พอดีนั้นไม่เป็นดั่งใจหวัง เช่น คนอื่นเขาไม่เห็นว่าดีบ้าง ไม่เกิดผลดีบ้าง ไม่ดีจริงอย่างที่หวังบ้าง ก็อกหักอกพังน้อยเนื้อต่ำใจ

ขันติ คือตบะเผากิเลสอย่างยิ่ง ขันติคือความทน แกร่ง อึด ต่อความหวั่นไหว ความทนนี่แหละคือไฟที่จะเผาความท้อแท้หดหู่เศร้าหมอง วิธีทำดีอย่างไม่มีท้อ คือทนทำดี

ดร.ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว) มีประโยคทองที่ว่า “ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ” นี่คือประโยคที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความแกร่ง ทน อึด ต่อสภาพที่น่าผิดหวัง น่าหวั่นไหวทั้งหลาย แถมยังทิ้งการหวังผลไปไกลแบบข้ามภพข้ามชาติ การใจเย็นข้ามชาติไม่ได้หมายความว่าจะไปหวังผลชาติหน้า แต่หมายถึงใจเย็นไปเรื่อย ๆ ทำดีไปเรื่อย อย่างไม่มีกำหนดจะท้อ

เป็นกรรมฐานหนึ่งที่ผมถือไว้อาศัยฝึกใจเช่นกัน ผมได้ยินประโยคนี้ครั้งแรกระหว่างบำเพ็ญประโยชน์อยู่ที่ค่ายอบรม หลายปีก่อน ณ ขณะนั้นมันก็ยังมีความยึดดี ความหวังให้เกิดดีอยู่มาก ความสงสัยว่าทำไมดียังเกิดไม่ได้ ยังไม่ให้ผล ฟุ้งซ่าน หลอกหลอนอยู่ในใจ

พอได้ยินว่า “ทำดีเรื่อยไป ใจเย็นข้ามชาติ” เท่านั้นแหละ จบเลย อ้อนี่ เราไปตั้งภพ ไปตั้งเวลาไว้เองว่ามันจะต้องเกิดดีอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนั้นตอนนี้ ถ้าเราทำดีแบบไม่หวังผลตรงนี้ เราก็จะเบา เราไปแบกความคาดหวังไว้เอง ซึ่งจริง ๆ มันไม่ใช่หน้าที่เรา เรากำหนดผลกรรมไม่ได้ว่าจะออกมาแบบไหนเมื่อไหร่ เรากำหนดได้แค่ปัจจุบันเราจะทำดีหรือไม่ทำดีหรือทำชั่วเท่านั้นเอง

บางทีชีวิตมันก็ต้องการคำง่าย ๆ คำสั้น ๆ แค่นี้แหละ แต่จำเป็นต้องมีคุณภาพ เป็นสัจจะที่พาพ้นทุกข์ น่าเสียดายที่ยุคปัจจุบันไม่สามารถทำให้ดีเหล่านี้ยิ่งใหญ่กว่านี้ไปได้ ก็ดีได้เท่านี้ เผยแพร่ได้เท่านี้

ถ้าผมจะน้อยใจจริง ๆ นะ ผมน้อยใจไปนานแล้ว ก็ดูสิ เขาสอนธรรมะกันก็สอนกันไปทางโลภ โกรธ หลง สอนธรรมะกันยังสอนให้ยินดีในการมีคู่ มีเพื่อนมาร่วมศึกษา ก็โดนคนเห็นผิดชักจูงไปทางที่ผิด แถมยังเจอพวกผิดศีล เน่าใน ปะปนมาในสังคมคนดีอีก มันน่าท้อน่าหดหู่ขนาดไหน แค่เห็นยังท้อเลย

ถ้าผมไม่มีครูบาอาจารย์ที่ทนทำตัวอย่างให้ดูนี่ผมท้อและเลิกไปนานแล้ว ไม่มาพิมพ์หรอกบทความเนี่ย เงินก็ไม่ได้ (555) แถมบางทีโดนด่าอีก แต่ก็มีคนยินดีอยู่ ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่คิดว่าไม่มากเท่าไหร่ เดา ๆ ว่าได้ผลในขั้นทำให้คนตระหนักเฉย ๆ ไม่ได้มีผลลึกซึ้งมาก

แถมน้องที่เขามาศรัทธาเราก็ยังตายไปตั้งแต่ยังหนุ่มอีก เอาเข้าไป ชีวิตนักปฏิบัติธรรมมีแต่ความผิดหวัง สูญเสีย ไม่ประสบผลสำเร็จ แถมมีหนอนกินเนื้อในอีก มันน่าจะหมดหวังแล้วเอาตัวไปแปะในสังคมดี ๆ สักแห่งแล้วขัดส้วมล้างจานไปวัน ๆ ซะจริง ๆ

ที่ผมยังอึด ยังอดทนอยู่นี่เพราะมีที่พึ่งที่ดี มีพุทธะ ธรรมะ สังฆะ เป็นที่พึ่ง มีครูบาอาจารย์ที่อึดแสนอึด ทนแสนทนเป็นตัวอย่าง ให้ผมรู้ว่าผมยังแกร่งได้กว่านี้ ยังทำประโยชน์ได้มากกว่านี้ แค่เราอดทนทำไป อย่างผู้แพ้นี่แหละ ในทางโลกเนี่ยเรียกว่าแพ้ได้เลย เพราะอยู่ก็ไม่ใช่ประโยชน์ใหญ่นัก และถ้าตายไปก็หายหมด ไม่เหมือนครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างสังคมไว้แน่นแล้ว

แต่จริง ๆ ผมก็ชนะนะ เพราะเราเองก็มีภูมิแค่นี้แหละ แค่พิมพ์บทความได้ก็พอหากินได้แล้ว มันก็ดีได้เท่าที่มีความสามารถนี่แหละ คือเก่งสุดคือทำดีได้แค่ขั้นนี้แหละ ที่ว่าแพ้มันก็เพราะเราอยากให้เกิดดีมากเกินไปเท่านั้นเอง แต่ถ้าเรามองดี ๆ แค่เราอดทน อึด พากเพียรทำดีไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นการชนะโดยลำดับ คือชนะใจตัวเองไปเรื่อย ๆ แกร่งไปเรื่อย ๆ สิ่งนี้แหละที่สำคัญกว่า

โลกจะเป็นอย่างไรก็ต้องปล่อยให้เขาเป็นไป เราทำได้แค่ทำดี แล้วใจเย็นข้ามชาติเท่านั้นเอง อย่างน้อยดีที่ทำ ก็เป็นดีให้เราอาศัย ให้เราดำรงอยู่ ก็อยู่ไปล้างกิเลสไป ฟังธรรมปฏิบัติตามอาจารย์สอนไปเรื่อย ๆ ประโยชน์ข้างนอกไม่เกิดไม่เป็นไรหรอก ประโยชน์ในเราเกิด ก็พอแล้ว

ถ้าเราพอใจในผล ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเนี่ย มันจะจบเลยนะ ความท้อแท้น้อยใจจะไม่มี ถ้าเรายอมรับความจริงตามความเป็นจริง แม้กำไร 1 บาท ก็ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็เป็นดีที่ควรยินดีจะรับผลนั้น ๆ แม้เราจะลงทุนไปหลายล้านก็ตามที

กำไร 1 บาท ก็ไปเพิ่มทุนในครั้งต่อไปยังไงล่ะ มันก็ทบไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ ทีละนิดละหน่อย ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ไม่ควรเป็นผู้ประมาทแม้กุศลเพียงเล็กน้อย

ประมาทนั้น หมายถึง การมีจิตดูถูก ชิงชัง รังเกียจในกุศลแม้น้อยนั่นด้วย ดังนั้นเราจึงควรยอมรับดีที่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะสิ่งนั้นมันจริงที่สุดแล้ว ไม่ใช่ความฝัน

เมื่อถูกกล่าวหา

February 24, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 625 views 0

เวลาเราอยู่นิ่ง ๆ นี่มันก็เหมือนจะไม่มีทุกข์อะไรนะ แต่เวลามีคนมากล่าวหาใส่ความเราหรือคนที่เรารักนี่สิ ใจมันก็มักจะไม่อยู่เฉย ดิ้น เดือด จนอาจจะถึงขั้นด่ากลับไปได้

ผมก็เคยเจอกรณีที่คนเขามากล่าวหาด้วยความเข้าใจผิดสมัยทำโรงทาน เขาก็กล่าวหาจริงจัง เอาเรื่องเลยนะ หาว่าเราไปด่าเขา ๆ แล้วเขาก็ยืนด่าเราสารพัดต่อหน้าฝูงชนนั่นแหละ ว่าเราไม่มีศีลบ้าง หน้าตัวเมียบ้าง หากระโปรงมาใส่บ้าง สารพัดคำดูถูกปรุงมาอย่างเผ็ดร้อน สาดใส่เรานั่นแหละ

แต่ด้วยเราก็รู้ว่าเขาเข้าใจไปผิดไง เราก็ไม่ได้โกรธตามเขา เรารู้ตอนนั้นเลยว่าเอาแล้ว วิบากกรรมมาแล้ว ก็ไม่ได้คิดแค่รับนะ ตอนนั้นก็คิดว่า ทำยังไงดีหนอให้มันดีขึ้น

ก็ทำตามที่พระพุทธเจ้าตรัสนั่นแหละ คือ 1. ไม่โกรธ 2.พูดแต่ความจริง แต่ทำไปแล้วมันไม่คลี่คลายก็วางใจไป สุดท้ายเขาจะให้เราขอโทษ เราก็ตรวจใจไปว่าเรายอมได้ไหม ขอโทษทั้งที่เราไม่ได้ทำผิดอย่างเขาว่าได้ไหม

ก็นึกไปว่า จริง ๆ ส่วนผิดเราก็มีนะ คือไปยืนคุยหน้าโรงทานทำให้เขาเข้าใจผิด ได้ยินผิด จริง ๆ เราก็ไม่ได้พูดถึงเขาหรอก เราคุยกับเพื่อน แล้วอาจจะกวาดสายตาไปโดนเขา อันนี้เราก็ไม่ได้สำรวมจริง ๆ เจตนาก็ไม่มีหรอก แต่ก็ขออภัยเขาไป เขาก็เลยยอมไม่เอาเรื่อง(ที่เขาสร้างเรื่องขึ้นมาเอง)

ในชีวิตก็เคยเจอเรื่องแบบนี้เยอะ เรื่องที่เราไม่ได้ทำหรอก แต่เขาปั้น เขาปรุงขึ้นมากล่าวหาเรา สาดสี ใส่ไข่ เติมรสกันจัดจ้าน จนเรียกว่าได้ยินแล้วงง ว่าเราไปทำขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ บางเคสมีการมาเดาใจเราแล้วสรุปเพิ่มด้วย

ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบการมานั่งแก้ต่างเท่าไหร่ ไม่เคยพยายามพูดเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ตัวเอง รู้สึกว่ามันเสียเวลา มีคนถามค่อยบอกเขาไป ถ้าไม่มีคนถามก็ปล่อยไว้อย่างนั้น เพราะรู้สึกว่าการที่เขาเข้าใจเราผิด หรือใส่ความเรา มันไม่ใช่เรื่องของเรา เพราะยังไงเราก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดอยู่แล้ว ส่วนที่เขาว่ามันจะเป็นอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของเขา

ผมเชื่อว่าการที่เราไม่ต้องมานั่งพะวงกับการปกป้องตัวเองนี่แหละ คืออิสระ คือความผาสุก เราไม่หวงตัวหวงตน ใครจะคิดยังไงกับเราก็ได้ ใครจะเข้าใจเราไปยังไงก็ได้ ใครจะใส่ความเรายังไงก็ได้ มันคือความใจกว้าง ให้อิสระทุกคนคิด เขาจะคิดผิดคิดถูกก็เป็นบาปบุญของเขา ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเราตรงไหน

มันจะเกี่ยวก็แค่ตอนเขาเข้ามาถึงตัวเราเท่านั้นแหละ ที่มันจะอันตราย ก็ต้องคอยระวัง หลีกการกระทบกระทั่ง การทำร้ายก็เท่านั้น หลีกไม่ได้ก็รับไป มีพระโมคคัลลานะเป็นไอดอล เราต้องหัดทำตามท่าน ต้องรับให้ได้ทุกอย่าง ต้องทนได้แม้เขาจะมาทำร้ายเรา ฆ่าเรา เราก็ต้องไม่ไปทำร้ายเขากลับ อันนี้เป็นกรรมฐานเอาไว้ฝึกน่ะนะ แต่จะฝึกได้เท่าไหร่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็มีแนวทางที่ถูกให้พัฒนาตนเองนั่นแหละ

การถูกกล่าวหานี่คือบททดสอบของชีวิตนะ ว่าเราจะยึดตัวยึดตนมากเท่าไหร่ การไปติคนอื่นก็เรื่องหนึ่ง การถูกคนอื่นติหรือเข้าใจผิดนี่มันก็อีกเรื่องหนึ่ง มันจะวัดความแกร่งของใจเรา วัดความทน วัดปัญญา มันต้องทนได้ทั้งเขามาติเรา ติคนที่เรารัก ติความเห็นความเข้าใจของเรา เขาติได้สารพัดเรื่องนั่นแหละ เราก็มีหน้าที่ทำความเข้าใจให้ถูกตรงอย่างเดียว คือไม่ไปโกรธ อึดอัด ขุ่นเคืองใจเพราะเขามากระทบ

คำติหรือการโดนใส่ร้ายใส่ความนี่เป็นอาหารอย่างดีของความเจริญเลยนะ เป็นโจทย์จริง ๆ ให้ปฏิบัติ ไม่ใช่นั่งนึกเอาเดาเอา แต่ถ้าปรับใจไม่ทันก็เป็นนรกร้ายได้เหมือนกัน ก็มีอยู่แค่สองอย่างนั่นแหละ คือเราจะก้าวข้ามความโกรธ หรือจะร่วงลงไปในนรก มันก็อาจจะไม่ง่ายนักในโจทย์นี้ แต่ถ้าทิศทางเราชัด แม้เราร่วงไปบ้าง เราจะตั้งสติและปีนขึ้นมา

แต่ถ้าใครไม่ไหว ไม่มั่นใจ ไม่ค่อยแกร่ง ก็อย่าไปหาโจทย์ในชีวิตให้มากนัก อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน หมั่นทำความดี ขัดเกลาตัวเองไปในเรื่องที่ทำไหว กระทบโลกให้พอเหมาะกับความเจริญเท่าที่ตนเองจะทำไหว ก็จะไม่ทุกข์หนัก ไม่เสี่ยงต่อการล่วงหล่นมากนัก

การยอมพรากจากคู่ คือที่สุดของทุกข์ในการมีคู่

January 1, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 697 views 0

พิมพ์เรื่องคนโสดมาก็มาก ตอนนี้พิมพ์ในมุมคนคู่บ้าง เชื่อไหมว่าสุดท้ายเมื่อคนมีคู่เข้าใจธรรมะ เขาก็จะหันมาเป็นโสดกันทั้งนั้น

มีหลักฐานมากมายจากพระไตรปิฎก โดยเฉพาะพระเวสสันดรชาดก ซึ่งจะมีตอนหนึ่งที่มีการสละภรรยาเป็นทาน ในชาดกบทนี้ เป็นชาดกที่ผมรับรู้มาว่าคนข้องใจกันมาก ไม่เข้าใจว่าการสละลูก เมียเป็นทานคือการบำเพ็ญบารมีตรงไหน ซึ่งจริง ๆ มันก็เข้าใจยากจริง ๆ นั่นแหละ เป็นเรื่องเหนือโลก เหนือสามัญสำนึกของคนทั่วไปไปแล้ว

เชื่อไหมว่าถ้าเราบำเพ็ญไปเรื่อย ๆ คู่ครองของเราก็จะมีบารมีที่มากตามไปเรื่อย (เพื่อปราบเรานั่นแหละ) เขาจะมาแบบครบเลย หน้าตา ฐานะ การศึกษา นิสัย มารยาท ธรรมะ จะดีพร้อม งามพร้อม หรือถ้าไม่พร้อมก็จะมีจุดเด่นพิเศษที่เราพ่ายแพ้ ไม่ยอมปล่อยเพราะยึดสิ่งนั้นไว้

การปฏิบัติธรรมในเรื่องคู่ในบทจบก็คือ “เขาดีขนาดนี้ ยอมสละเขาได้ไหมล่ะ” มันจะยากก็ตรงนี้นี่แหละ คนก็งง จะสละทำไม ก็เขาเป็นคนดี เขาก็ดีกับเราขนาดนี้

เจอคู่ชั่ว ๆ นี่มันทิ้งกันไม่ยากหรอก ดีไม่ดีเขาก็ทิ้งเรา แต่เจอคู่ดีนี่มันทิ้งยาก ติดสวรรค์ ติดสุข ติดความเป็นเทวดา(มีอำนาจ มีคนบำเรอ) หรือไม่ก็ติดลาภ ยศ สรรเสริญ ฯลฯ

พอคนทำดี มันจะมีกุศลกรรมให้ได้รับ บางทีมันจะมาในรูปของคู่ครอง แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้สิ่งนั้นจะเป็นลาภ แต่ก็เป็นลาภเลว ที่คนหลงดีใจได้ปลื้มกับมัน อยู่กับมัน แล้วก็แช่อยู่ในภพคู่ครองนั้น ๆ นานนนนนนนน…

ให้คิดก็คิดกันไม่ออกเลยนะ เจอคู่ดีสมบูรณ์ครบพร้อมจะออกยังไง จะถอนใจออกมายังไง ก็มีแต่จะเอาเขาเป็นที่พึ่งเท่านั้นแหละ ชีวิตติดเมถุน มันจะติดเสพความเป็นเทวดา ความเป็นคนพิเศษ ความมีอำนาจ มีการให้เกียรติ ให้ความรัก ความเอาใจ ความสำคัญ เป็นเครื่องร้อยรัดคนไว้กับทุกข์ เรียกว่าเมถุนสังโยค

แต่เชื่อไหม แม้จะดีแค่ไหน มันจะมีจุดพร่อง มีจุดพลาดเสมอ ทีนี้คนที่หลงจะมองข้ามจุดพร่องตรงนี้ไป แล้วไม่เอามาพิจารณาทุกข์ พอไม่เป็นทุกข์ มันก็ไม่เห็นโทษภัยอื่น ๆ ที่ตามมา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ เพราะมันเป็นกิเลสฝั่งติดสุข มันจะแกะยาก ถอนยาก

ไม่ต้องไปคิดถึงระดับพระเวสสันดรหรอก อันนั้นมันไกลไป ไม่ใช่ฐานะที่คนทั่วไปจะทำได้ แต่ก็ใช้หมวดทานมาเป็นกรรมฐานได้

เช่น คนดีนี่ใคร ๆ ก็อยากได้ใช่ไหม แล้วเราเอามาเก็บไว้คนเดียว คนอื่นเขาก็ไม่ได้ใช้ ถ้าเราสละออกไป คนอื่นเขาก็ดีใจ เพราะเราปล่อยคนดีคนหนึ่งกลับไปให้โลก เขาก็ไม่ต้องมาแย่งเรา ไม่ต้องผิดศีล

ยิ่งถ้าเราปล่อยเขาไปแล้วเขาไม่มีคู่ใหม่ ยิ่งดีใหญ่เลย เขาก็จะได้ใช้ชีวิตเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่น ไม่ต้องบำเรอเรา ไม่ต้องบำเรอใครอีกให้เสียเวลาชีวิต

ที่สำคัญเราจะช่วยเขาได้ เราจะพาเขาเจริญได้ เพราะการผูกกันไว้นี่มันเจริญได้ยาก มันติดเพดาน มันมีอกุศลวิบากต่อกันมาก แต่ถ้าเราปล่อยได้ เขาจะเห็นเราเป็นตัวอย่าง อาจจะขัดข้องขุ่นใจบ้าง แต่เขาจะจำว่ามันมีสิ่งดีกว่าการอยู่เป็นคู่กันอยู่ในโลก นั่นก็คือการไม่อยู่เป็นคู่กันนั่นเอง

ยกตัวอย่างมาแล้วก็รู้สึกว่ายากโคตร ๆ แต่จะเป็นโสดอย่างผาสุกได้ต้องพิจารณาธรรมหมวดนี้เหมือนกัน มันจะเป็นกระบวนการหนึ่งในการก้าวเข้าสู่การเป็นโสดอย่างยั่งยืน มันต้องยินดีที่จะสละโควต้าของตัวเองที่จะมีคู่ไปให้คนอื่น

ไม่ต้องห่วงหรอก เราล่อลวงคนอื่นมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่วิบากกรรมเขาจะไม่มาเอาคืน ถึงจะตั้งจิตเป็นโสด แต่ก็จะมีผู้ท้าชิงอยู่นั่นแหละ

ดังนั้นอย่าไปกังวลเลยว่าจะไม่มีคู่ หรือจะสละไปแล้ว แล้วเขาจะหายไป เขาไม่หายไปไหนหรอก เขาก็วนเวียนมาอยู่นั่นแหละ ด้วยเหตุที่ทำบาปด้วยกันไว้มาก และถ้าเป็นคนดีจะมีอีกแรงหนึ่งคือเป็นที่รักของเขา เขาก็ยึดไว้

แท้จริงแล้วคู่ครองเป็นสภาพสมมุติที่คนยึดไว้ ความเป็นพ่อแม่ลูกยังดูจริงยิ่งกว่า แต่คนกลับไม่ค่อยยึดอาศัย ไม่ค่อยเห็นจะมีใครตั้งตนเป็นโสดเพื่อที่จะได้ใช้เวลาดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่าสักเท่าไหร่ จริง ๆ มันก็สมมุติเหมือนกันนั่นแหละ แต่ดันไปหลงสมมุติตัวที่มันตื้น มันเบียดเบียน มันเป็นบาป แล้วดันทิ้งสมมุติที่เป็นความเกื้อกูล เป็นกุศล

สรุปกันสั้น ๆ ว่า อาการทุกข์ที่เกิดเพราะไม่อยากพราก ไม่อยากสละจากคู่ นั่นแหละคือประตู ถ้ารู้แจ้งในทุกข์นี้ก็จบ จิตจะปล่อย จะยอมพราก สละได้ ทิ้งได้ ตามเหตุปัจจัย ไม่ยึดติดว่าคนคนนั้นเป็นคู่อีกต่อไป จะเข้าใจทั้งสัญญาแบบโลก ๆ กับการไม่ยึดสัญญาแบบโลก ๆ จะตัดสินใจตามกุศลเป็นหลัก

หัดพิมพ์มุมคนคู่ เอาไว้เท่านี้ก่อน ได้เหลี่ยมหนึ่งก็ยาวแล้ว ไว้วันหลังค่อยว่ากันใหม่

สวัสดีปีใหม่ ด้วยของขวัญจากปีเก่า

January 1, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 655 views 0

การจะมีปีใหม่ที่ดีนั้น การมีต้นทุนที่ดีจากปีเก่าก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญ เรียกว่า บุญเก่า, กุศลกรรมเก่า ตามที่ทำมา

ของขวัญจากปีเก่า เป็นสิ่งที่ผมได้มาจากค่ายพระไตรปิฏกครั้งที่ 27 หลังจากที่ผมขึ้นสอบสภาวธรรม อาจารย์ได้ให้สิ่งที่สำคัญมาก ๆ กับชีวิตผม

ผมพูดในประเด็นเกี่ยวกับความไม่ประสบความสำเร็จในการช่วยคน อจ. หมอเขียวได้สรุปให้ว่า…

ไม่ว่าเราจะเก่งแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเขาไม่ศรัทธา จะสอนกันไม่ได้ คนเรามีจริตที่ต่างกัน ถ้าไม่ใช่ธาตุเดียวกันจะไปด้วยกันไม่ได้ อาจารย์ยกตัวอย่างว่าแม้จะเป็นเอกทัคคะ ก็ใช่ว่าจะสอนลูกศิษย์อีกสายให้บรรลุธรรมได้ คนเขาจะเลือกคนที่เป็นครูบาอาจารย์ของเขาเอง จะข้ามสายกันไม่ได้

เช้าวันต่อมา อาจารย์ยังสังเคราะห์เรื่องศรัทธาให้เพิ่มว่า คนที่ศรัทธา จะไม่ถือสา คือ ไม่ว่าเราจะทำอะไรผิดไปบ้าง คนที่ศรัทธาเขาจะไม่ถือสาเรานั่นเอง ส่วนคนที่เขาไม่ศรัทธาน่ะหรอ? ทำถูกก็ว่าทำผิด ทำดีก็ว่าทำไม่ดี เก่งแค่ไหนก็ห่วยในสายตาของเขานั่นแหละ

ผมได้ธรรมหมวดนี้แล้วเข้าใจทันทีเลย ว่าที่เราเสียพลังงานไปมากมายในแต่ก่อนนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไร คนที่เขาไม่ศรัทธานี่ไม่ใช่งานของเรานะ เราไม่ต้องขยันทำ เราเอาภาระแค่คนที่ศรัทธาเราก็พอ มันมีเพดาน มันมีข้อจำกัดที่ไม่มีวันจะฝ่าไปได้อยู่

แล้วศรัทธาแบบไหนล่ะ? ผมก็เอาศรัทธาที่ตัวเองมีกับอาจารย์มาวัดนี่แหละ ตลอดเวลาเกือบ 7 ปีที่รู้จักอาจารย์มา ผมไม่เคยรู้สึกว่ามีอาการเพ่งโทษถือสาใด ๆ เลย มีแต่การน้อมใจเอาประโยชน์ การปรับใจให้ไปตามในทิศที่ท่านสอน งานเพ่งโทษไม่ใช่งานของผม ไม่ใช่งานของคนที่จะปฏิบัติสู่ความผาสุก สรุป ถ้าได้ประมาณนี้ค่อยเอาภาระก็ได้ ไม่สาย

แล้วผมก็ไม่ได้รีบนะ ไม่ได้มีจิตคิดจะสั่งสอนใคร แบบศิษย์อาจารย์ ใครมาถามก็ตอบไปเท่าที่รู้ ไม่ได้คิดจะสร้างอะไร

แต่ก่อนก็ยอมรับว่ารีบไปบ้าง คือประเมินศรัทธาเขาพลาด ให้เครดิตเขามากไป ส่วนใหญ่ผมจะประเมินเขาสูงเกินความจริงทั้งนั้น มันก็เลยพลาด แต่ปัจจุบันนี่ ไม่ต้องกังวลเลย ใช้เวลากับธรรมะเป็นตัววัด คนศรัทธาจะไม่หวั่นไหวในกาลเวลา คนศรัทธาจะไม่หวั่นไหวในธรรม ดูกันไปนาน ๆ ตามที่พระพุทธเจ้าว่า ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คน

ผมก็จะใช้ความรู้จากของขวัญที่ได้มาจากปีก่อน ดำเนินชีวิตไปในปีใหม่ ผมเชื่อว่าปีใหม่จะเป็นปีที่ดีกว่าเดิม เพราะเราพัฒนาขึ้น รู้มากขึ้น โง่น้อยลง โจทย์จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่ย่ำอยู่กับที่

สิ่งที่ได้รับมา เป็นกรรมฐานที่ทรงพลังมาก ๆ จนคิดว่าการดำเนินไปตามทางนี้แหละดี จะยิ่งได้ฝึกฝน ยิ่งได้บำเพ็ญ ที่สำคัญคือคนที่เข้ามาเกื้อกูลกัน จะเป็นคนจริงใจมากขึ้น และคนไม่จริงใจ จะกระเด็นออกไปเร็วยิ่งขึ้น นั่นก็ทำให้ปี 2563 นี้คงไม่ต้องมีเรื่องให้เมื่อยหัวมากนัก

สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ ขอให้เป็นวันเริ่มต้นปีที่ดี ตั้งจิตตั้งใจที่จะทำสิ่งดี เพื่อเป็นต้นทุนสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืน มั่นคง และถาวรกันครับ