Tag: กรรม

ครูบาอาจารย์ และสหายธรรม ตามกรรมที่ทำมา

May 2, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,850 views 0

ครูบาอาจารย์ และสหายธรรม ตามกรรมที่ทำมา

ครูบาอาจารย์ และสหายธรรม ตามกรรมที่ทำมา

การปฏิบัติธรรมนั้น หากคิดจะก้าวหน้าได้ไวเพื่อให้เรียนรู้สู่การพ้นทุกข์ด้วยหนทางที่สั้นและง่ายที่สุดนั้น จำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์ที่รู้ทางเป็นผู้ชี้ทาง มีเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมเป็นผู้ร่วมเรียนรู้ แบ่งปัน เสนอแนะ และตักเตือนกัน จึงจะสามารถเจริญไปได้เร็วที่สุด

การเริ่มต้นปฏิบัติธรรมนั้นจึงควรเริ่มจากการเสาะแสวงหามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เพราะถ้าพยายามปฏิบัติไปทั้งที่ไม่รู้ทางก็คงหลงทางเสียเวลาไปเปล่าๆ

การแสวงหาครูบาอาจารย์นั้นต้องเริ่มด้วยการมีเหตุปัจจัยสองอย่างคือการเปิดใจรับฟังผู้อื่นและการนำมาขบคิดพิจารณา ผู้ที่ปฏิบัติธรรมมักจะเกิดสภาพยึดมั่นถือมั่นเมื่อเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกใจ เมื่อปฏิบัติไปนานเข้าก็จะปิดใจ ไม่รับฟังแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างจากตน และนั่นอาจจะหมายถึงการปิดประตูสู่การพ้นทุกข์เลยก็ว่าได้

เพราะไม่มีใครรู้ได้เองหรอกว่า อาจารย์ที่ตนเจอนั้นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ เพราะถ้าตัดสินด้วยทิฏฐิของคนที่ยังหลงทางแล้ว มันก็ดูเหมือนจะสัมมาทั้งหมดนั่นแหละ คือเราชอบอะไร ถูกใจอะไร เราก็เหมาว่าสัมมาหมด เพราะคิดตรงกับเรา เป็นอย่างที่ใจเราหมาย และเมื่อคิดว่าถูกจึงปักมั่นลงไป

การพิสูจน์ว่าของจริงหรือไม่นั้นเกิดจากการนำธรรมของท่านเหล่านั้นมาปฏิบัติตาม ซึ่งความเจริญนั้นจะสามารถวัดได้จากความโลภ โกรธ หลง ที่ลดน้อยลง สรุปง่ายๆว่าถ้าถูกทางกิเลสต้องลด ถ้าปฏิบัติตามแล้วกิเลสไม่ลดก็ควรจะทบทวนทิศทางและศึกษาแนวทางอื่นๆประกอบ

ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่จะสามารถเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกตรงได้ไว คือผู้ที่เปิดใจรับฟังการปฏิบัติที่หลากหลาย และนำหลักการเหล่านั้นมาปฏิบัติตามโดยใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นถึงสาระประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมนั้นได้

แต่ถึงอย่างนั้นการจะได้พบครูบาอาจารย์หรือสหายธรรมนั้นก็มีข้อจำกัดในเรื่องของกรรม นั่นคือเราไม่สามารถได้มากกว่ากรรมที่เราทำมา เราไม่สามารถพบอาจารย์ที่ถูกตรงได้เลย หากเราไม่มีกรรมที่ปฏิบัติอย่างถูกตรงหรือกรรมดีที่จะพาให้พบกับคนที่ถูกตรงได้ สรุปได้ว่า เราไม่สามารถพบกับสิ่งดีได้เกินกว่ากรรมดีที่เราทำมา

ดังนั้นเราจะเห็นได้ในสังคมที่ว่า คนบางพวกไปศรัทธากับผู้บวชมาหากินกับศาสนาบ้าง ศรัทธาครูบาอาจารย์ที่ใช้เดรัจฉานวิชาบ้าง ศรัทธาอลัชชีบ้าง นั่นเพราะพวกเขามีกรรมที่ต้องไปศรัทธาคนเหล่านั้น มันหนีไม่พ้น จะพยายามอย่างไรก็จะต้องไปจมกับสิ่งเดิม เพราะมีกรรมที่เคยผูกกันมาหลายภพหลายชาติเป็นพลังดูดดึงที่มองไม่เห็น

ในทางเดียวกัน คนที่ทำดีมากๆก็เช่นกัน เขาก็จะมีพลังดูดดึงกันระหว่างคนดี ได้พบกับคนที่ดี ได้พบกับผู้ที่ปฏิบัติอย่างถูกตรงจริง ได้เจอมิตรดี สหายดี เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของกรรมเก่าที่ทำมาเช่นกัน เพราะเคยเกื้อกูลคนดีมาหลายต่อหลายชาติ แล้วชาตินี้มันจะหนีไปไหนพ้น มันก็เจอแต่คนดี หลงไปในหมู่คนดีอยู่นั่นเอง

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของกรรมเก่าที่จะลิขิตเส้นทางให้ได้เจอกับคนดี ส่วนกรรมใหม่นั่นคือจะคว้าโอกาสนั้นไว้หรือไม่ จะสนใจหรือไม่ หากได้เจอครูบาอาจารย์ที่คิดว่าสามารถชี้ทางให้พ้นทุกข์ได้ แล้วเราจะสามารถปฏิบัติตามท่านเหล่านั้นได้หรือไม่ หรือเรายังมีกรรมกิเลสที่ต้องเป็นทาสกิเลส ไปคอยเสพสิ่งต่างๆให้เสียเวลาปฏิบัติธรรมไปอีกหรือไม่

การมีกรรมเก่าผลักดันให้เจอคนดี ไม่ได้หมายความว่าจะเจอได้ทุกชาติ กรรมดีมันก็มีหมดเหมือนกัน กรรมใดที่ส่งผลไปแล้วมันก็หมดพลังของมันเอง ทีนี้พอกรรมดีส่งผลให้เจอกับคนดี แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ ให้เวลาไปกับการสนองกิเลส กรรมดีที่ทำมานั้นก็เสียเปล่า ส่วนกรรมชั่วที่สร้างขึ้นมาใหม่ก็รอส่งผล ซึ่งมันก็ทำให้เสื่อมลงไปได้เรื่อยๆเช่นกันหากไม่ได้ทำกรรมดีเพิ่ม

ดังนั้นถ้าอยากเจอคนดี เจอครูบาอาจารย์ที่ถูกตรงไม่พาหลงทางจริงๆ ก็ให้ทำดีให้มากๆ เพียรทำดีโดยไม่ประมาท ขยันศึกษารับฟังสิ่งที่แตกต่างจากที่ตนยึดมั่นถือมั่น และนำมาพิจารณาหาประโยชน์ที่แท้ แม้ว่ากรรมเก่าจะมีพลังดีไม่มากนัก แต่กรรมใหม่ที่ทำนั้นทรงพลังมากกว่า ฟ้าไม่มีทางกั้นให้คนดีไม่พบกับทางพ้นทุกข์ได้นาน แม้จะหลงทางไปบ้างแต่ถ้าขยันทำดีไปเรื่อยๆ วิบากกรรมดีก็จะดลให้ได้พบกับครูบาอาจารย์ที่ถูกตรงในวันใดวันหนึ่งเอง

พอเจอผู้ชี้ทางแล้วได้ฟังธรรม นำมาศึกษาและปฏิบัติจนเกิดผล กิเลสลด ความโลภ โกรธ หลง เบาบาง ปฏิบัติศีลที่ยากได้ดีขึ้น เช่นสามารถมีศีล ๕ ได้โดยปกติทั้งกาย วาจา ใจ นิสัยดีขึ้น มีความสุขขึ้น มักน้อยกล้าจนมากขึ้น กล้าที่จะเสียสละแบ่งปันให้กับผู้อื่นมากขึ้น สามารถที่จะรับรู้ถึงความเจริญเหล่านี้ได้เอง จนเข้าใจได้ว่าธรรมของท่านเหล่านั้นเป็นของจริง ทำให้ลดกิเลสได้จริง ทำให้เกิดความผาสุกได้จริง ทำลายสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่นได้จริง

เช่นจากที่เคยชอบกินขนมชนิดหนึ่งมาก ก็ประหารความอยากนั้นได้จริงๆ ,เคยกินเนื้อสัตว์ ก็หันมากินมังสวิรัติได้แบบปกติสุข , เคยกินหลายมื้อ ก็หันมากินมื้อเดียวได้อย่างมีปัญญา , เคยอยากมีคู่ แต่ก็ทำลายความอยากนั้นจนสิ้นซากได้ต่อหน้าต่อตา พอมันทำได้จริงเช่นนี้ เอาวิธีปฏิบัติมาทำให้เกิดผลเจริญได้แบบนี้ มันก็หมดสงสัยอีก ไม่ต้องถามกันอีกว่าถูกหรือผิด เพราะถ้าผิดมันทำลายกิเลสไม่ได้อยู่แล้ว มีแต่ทางที่ถูกเท่านั้นที่จะสามารถต่อกรกับกิเลสได้

นั่นหมายความว่ามีแต่สงฆ์สาวกแท้ๆของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถสอนวิธีทำลายกิเลสจนสิ้นซากได้ นอกเหนือจากนี้ไม่มี วิธีอื่นใดในโลกไม่มี วิธีจัดการกับกิเลสจนสิ้นเกลี้ยงมีในธรรมวินัยนี้เท่านั้น ลัทธิอื่นนอกจากนี้ไม่มี

พอรู้ได้ด้วยตนเองเช่นนี้ก็ถือว่าจบภารกิจในการตามหาครูบาอาจารย์และมิตรสหาย เพราะรู้ว่าถ้าทำดีไปตามแนวทางนี้ก็จะได้พบกับคนที่ดียิ่งขึ้น คนที่เก่งกว่านี้ และที่แน่นอนคือเราสามารถทำตนเองนี่แหละให้ดียิ่งๆขึ้น จนเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้เช่นกัน

ทั้งหมดนี้เป็นขีดความสามารถของกรรมใหม่ที่สามารถทำได้ แม้ว่ากรรมเก่าจะขีดเขียนมาเช่นไรก็ตาม แต่หากเราใช้ทุกวันของชีวิตเพียรสร้างกรรมดีใหม่ๆขึ้นมา โอกาสที่จะได้เรียนอริยสัจ หรือความจริงอันประเสริฐสุดของชีวิตก็จะถูกเปิดเผยให้ได้ไขว่คว้ามา

ยกเว้นเสียแต่ชีวิตนี้ได้ทำอนันตริยกรรมลงไปแล้ว ประตูโอกาสทุกบานก็จะถูกปิดลง แม้จะมีทางแต่ก็ไม่เห็น แม้จะมีพระอรหันต์อยู่ตรงหน้าแต่ก็ไม่รู้ แม้จะมีธรรมที่พาพ้นทุกข์ประกาศอยู่แต่ก็จะไม่เข้าใจ แม้ครูบาอาจารย์จะเก่งแค่ไหนแต่ก็ไม่มีวันจะเรียนรู้ได้ เรียกได้ว่าหมดโอกาสบรรลุธรรมในชาตินี้ คงทำได้อย่างมากแค่ทำดีเท่าที่กำลังปัญญาจะพอมี และรอวันตายไปฟรีๆอีกหนึ่งชาติ

– – – – – – – – – – – – – – –

1.5.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ทำไมไม่ลงเอย

March 30, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,057 views 0

ทำไมไม่ลงเอย

ถาม : มีความรักแล้วจบลงด้วยการเลิกราทุกครั้ง คนที่รักไปแต่งงานกับคนอื่น มีวิบากกรรมอะไร ทำไมถึงไม่ได้ลงเอย

ตอบ : เพราะไม่ได้มีกรรมร่วมกัน ก็เลยไม่ได้ลงเอย คนที่ไม่ได้ร่วมเวรร่วมกรรมกันมาจนมีพลังงานที่พอเหมาะ คือไม่มีนามธรรมที่สมเหตุสมผล จึงไม่เกิดรูปธรรม คือไม่เกิดเหตุการณ์นั้นๆขึ้น

ถ้าตอบตามแบบทั่วไปก็จะตอบได้ว่าสะสมบุญบารมีร่วมกันมาไม่มากพอ แต่จริงๆแล้วการคู่กันจนกระทั่งได้แต่งงานนั้นคือ “บาปและอกุศล” ดังนั้นถ้ามองตามความจริง คนที่ได้คบหาดูใจกัน จนกระทั่งแต่งงานมีลูกด้วยกันนี่แหละคือคนที่มีเวรมีกรรมต่อกันจะต้องมาใช้หนี้กันและกัน แต่ในระหว่างใช้หนี้เก่าก็สร้างหนี้ใหม่เพิ่ม ดังนั้นจึงต้องมีครอบครัวผูกมัดไว้เพื่อใช้หนี้กรรมอย่างไม่จบไม่สิ้น

จะขอตอบขยายเพิ่มเติมเพื่อไขข้อข้องใจอื่นๆดังนี้

1). กรรม

ผลของกรรมเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะออกมาแบบไหน ส่วนเราไปทำกรรมอะไรไว้ ในชาตินี้ก็คงพอจะนึกย้อนได้ แต่ของเก่าก็อย่าไปเดาให้เสียเวลา ให้รู้ชัดๆแค่ว่าสิ่งนี้แหละ ฉันทำมาเอง ฉันเป็นคนทำแบบนี้มา ก็แค่รับสิ่งที่ตัวเองทำมาก็เท่านั้นเอง

กรรมที่เห็นนั้นมีความซ้อนของกรรมดีและกรรมชั่วปนกันอยู่ หลายคนอาจจะมองว่าการไม่ได้แต่งงานเกิดจากกรรมชั่ว ซึ่งนั่นก็ไม่แน่เสมอไป แต่ที่แน่นอนคือกรรมชั่วทำให้เกิดความทุกข์ ส่วนการไม่ได้แต่งงานนั่นแหละคือกรรมดี เพราะทำให้เราแคล้วคลาดจากการผูกมัดด้วยบ่วงกรรมถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตามที

ในความไม่ดีมันก็มีสิ่งดีซ่อนอยู่ ดังนั้นหากจะเหมาว่าเป็นกรรมชั่วทั้งหมดก็คงจะไม่ใช่

2). ทุกข์จากการเสียของรัก

เมื่อสูญเสียสภาพของคู่รัก หรือคนที่หมั้นหมายว่าจะแต่งงานไป ก็คือการเสียของรัก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลกที่เราทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักและหวงแหน

ถึงจะได้คบหาหรือแต่งงานไป สุดท้ายก็อาจจะต้องเสียไปในวันใดวันหนึ่งอยู่ดี ไม่ตายจากไป ความรักนั้นก็อาจจะตายจากไปแทนก็ได้ ซึ่งการยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดๆก็ตาม แม้ว่าจะรักและดูแลดีแค่ไหน แต่สุดท้ายเราก็จะต้องเสียมันไป

ความทุกข์ที่เกิดขึ้น นั้นเกิดจากสภาพที่ไม่ได้เสพของรักอย่างเคย ซึ่งเกิดจากการเสพติดหรือการยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้นมาเป็นของตนแล้วหมายว่าจะได้เสพสิ่งนั้นตลอดไป พอโดนกรรมของตัวเองแย่งของรักไปก็ทุกข์ใจ โวยวาย ร้องห่มร้องไห้กันไปไม่ต่างอะไรจากเด็กโดนแย่งของเล่น

3). คุณค่าในตน

ความทุกข์จากการสูญเสียแท้จริงแล้วมาจากความพร่อง เราจึงใช้สิ่งอื่น หรือคนอื่นเข้ามาเติมเต็มความพร่องในชีวิตจิตใจของเราเอง อย่างเช่นว่าเราเหงา เราก็เลยอยากหาใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน หรือว่าเราอยากสบายเราก็เลยอยากหาใครสักคนที่จะฝากชีวิตไว้ฯลฯ

ซึ่งความพร่องเหล่านี้เองทำให้เราพยายามหาสิ่งอื่นมาเติมเต็มตัวเอง แต่ความจริงแล้วไม่มีวันที่จะหาใครที่พอเหมาะพอดีกับอัตตาของตัวเองได้ เว้นแต่ตนเองเท่านั้น ไม่มีใครสามารถทำให้เรามีความสุขได้ตลอดไป แม้จะหาคนที่หมายมั่นได้ดั่งใจ แต่สุดท้ายวันหนึ่งเสียไปก็ต้องเสียใจอยู่ดี

ดังนั้นการแก้ปัญญาจึงควรเพิ่มคุณค่าในตนเอง สรุปง่ายๆเลยว่าใช้การเพิ่มอัตตาเข้ามาบดบังพื้นที่ ที่เคยว่างเว้นให้คนอื่นเข้ามาเติมเต็มชีวิต คือทำให้ชีวิตตนเองนั้นเต็มไปด้วยคุณค่าและความเป็นตัวของตัวเองเสียก่อน ดังคำว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” อย่าไปหาคนอื่นมาเป็นที่พึ่งของเรา อย่าเอาเขามาสนองกิเลสของเรา ใช้อัตตาของเรานี่แหละทำเราให้เป็นคนที่เต็มคน

และต่อมาเมื่ออัตตาเต็มก็จะกลายเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง แข็งแกร่ง อดทน แล้วตอนนั้นก็ค่อยจัดการกับอัตตาในตัวเองต่อ จนกระทั่งกำจัดอัตตาหมดก็ถือว่าจบภารกิจในเรื่องคู่

4). อย่าหลงตามสังคม

ที่มาของคุณค่าลวงๆก็มาจากคำลวงในสังคมนี่แหละ ที่หลอกกันต่อๆมาว่าคนมีครอบครัวถึงจะมั่นคง คนมีคู่ถึงจะมีคุณค่า เรามักจะได้ยินคำว่า “ไม่มีใครเอา” หรือเข้าใจโดยสามัญว่าคนที่มีอายุสัก 30 ปีขึ้นไป แต่ยังไม่ได้แต่งงานคือคนที่กำลังจะขึ้นคานเพราะไม่มีใครเอา

ความเห็นความเข้าใจแบบโลกๆนี้เป็นความเข้าใจที่มาจากกิเลส มาจากความไม่รู้ มาจากความหลงผิด มาจากความโง่ ในความจริงแล้วเราควรจะสรรเสริญความโสด แต่คนผู้หนาไปด้วยกิเลสจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะความโสดจะทำให้ไม่ได้เสพ ไม่ได้สมสู่ ซึ่งเขาเหล่านั้นก็จะบอกว่าการแต่งงานมีคู่นี่แหละดี เพราะตนเองจะได้เสพอย่างไม่ต้องรู้สึกผิดเพราะใครๆก็ทำกัน

สังคมอุดมกิเลสแบบนี้ก็จะมีความคิดไปในทางสะสมกิเลส สนองกิเลส สร้างวิบากบาป พาลงนรก ถ้าเรายังตามสังคมไปโดยไม่มีปัญญาก็จะเสื่อมไปตามเขาเป็นแน่ แต่ถ้ายึดพระรัตนตรัยเป็นหลักไม่ปล่อยให้ชีวิตตกร่วงไปตามสังคมก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ

5). ความเบื่อแบบโลกๆ

ความรู้สึกเบื่อกับปัญหา หรือเบื่อความรักจนไม่ยอมหาความรัก อย่าคิดว่านั่นคือกิเลสตาย เพราะความเบื่อนั้นก็แค่ความเบื่อแบบโลกๆ ที่มีเหตุผลอื่นเป็นตัวกดข่มความอยากหรือยังไม่ถึงเวลาที่ควรของกิเลสนั้นๆ

ตัณหา(ความอยาก)เมื่อไม่ได้แสดงอาการจะสั่งสมลงไปเป็นอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) เก็บเป็นพลังบาปไว้อย่างนั้น เมื่อเจอคนที่ถูกใจจากคนที่เคยเบื่อๆก็อาจจะอยากมีความรักก็เป็นได้

ซึ่งในสภาพของการทำลายกิเลสนั้น จะต้องทำลายตอนที่มีความอยาก ไม่ใช่ปล่อยให้ความอยากสงบจนเป็นอุปาทานแล้วบอกว่าเบื่อหรือบอกว่ากิเลสตาย สภาพนี้เองที่ทำให้คนที่เจ็บจากความรัก คนป่วย คนแก่ ฯลฯ ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจความรักทั้งๆที่ทั้งหมดนั้นเป็นความเบื่อแบบโลกๆเท่านั้นเอง

คนที่แต่งงานแล้วเบื่อครอบครัวก็เช่นกัน เพราะมันได้เสพจนเบื่อแล้วมันก็เลยเกิดอาการเบื่อแบบโลกๆ บางครั้งอาจจะทำให้เราหลงไปว่าเราไม่ได้ยึดติดกับความรักแล้ว เลยทำให้ไม่ศึกษาเรื่องกิเลสให้ถ่องแท้ เกิดมาชาติหน้าก็มีคู่อีกแล้วก็เบื่ออีกเป็นแบบนี้วนไปมาเรื่อยๆ

6). ขอบคุณความโสด

ความโสดดำรงสภาพได้จนทุกวันนี้ ต้องขอบคุณทุกคนที่ผ่านมานะ คนที่เข้ามาคบหา คนที่เข้ามาบอกว่าจะแต่งงานกัน แม้ว่าสุดท้ายเลิกราหรือหนีไปแต่งงานกับคนอื่นก็ตาม

นั่นคือโอกาสที่เราจะไม่ต้องไปรับเวรรับกรรม ไม่ต้องไปทำบาป ไปสะสมบาป คอยสนองกิเลส ไม่ต้องเอาใครมาผูกเวรผูกกรรมกันอีกไม่ต้องมีสิ่งไม่ดีร่วมกันอีกเลย

แต่ที่เราไม่ขอบคุณความโสดเพราะเรามีกิเลสมาก กิเลสจะบังคุณค่าของความโสดจนมิด เรียกว่าโสดไร้ค่าไปเลยทีเดียว ถ้าได้ลองล้างกิเลสของความอยากมีคู่จนหมดจะรู้ได้เองว่า ความโสดนี่แหละคือคุณค่าแท้ๆที่เหลืออยู่ ส่วนความรู้สึกสุขของคนมีคู่นี่มันของเก๊ มันคือสุขลวงๆ ที่เอามาหลอกคนโง่ให้ทุกข์ชั่วกัปชั่วกัลป์

– – – – – – – – – – – – – – –

30.3.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

Run for your lives (Karma) ชีวิตบนทางที่ขีดไว้ด้วยกรรมและผลของกรรม

March 30, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,941 views 0

Run for yourlives (Karma)  ชีวิตบนทางที่ขีดไว้ด้วยกรรมและผลของกรรม

Run for your lives (Karma) ชีวิตบนทางที่ขีดไว้ด้วยกรรมและผลของกรรม

การกระทำใดๆ ไม่ว่าจะดีและร้าย ล้วนสั่งสมลงเป็นกรรม เป็นพลังงานที่ถูกสะสมเอาไว้ เพื่อรอวันที่จะส่งผลให้สิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นกลับไปสู่ความว่างเปล่า

คนเราทุกคนเกิดพร้อมกับกรรมที่สะสมมาต่างกัน ทำให้คนเราไม่เหมือนกัน กรรมในอดีตจะสร้างผลกรรมให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน และกรรมในปัจจุบันจะสังเคราะห์กับกรรมในอดีตกลายเป็นผลของกรรมในอนาคตต่อไป

การไล่ล่าของกรรมนั้นไม่ต่างอะไรจากหมาไล่เนื้อ มันจะวิ่งไล่เหยื่อของมันจนกว่าจะไล่งับทัน เมื่อไหร่ที่ผลของกรรมได้เกิดขึ้น ถ้าเป็นกรรมดีก็จะเกิดเรื่องที่ดีมักจะทำให้เป็นสุข ส่วนกรรมชั่วก็จะทำให้เกิดเรื่องร้ายที่จะทำให้เกิดทุกข์

ในส่วนของกรรมดีที่ทำให้เกิดความสุขความสบายนั้นคงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องลำบากใจกับมันนัก เพราะปัญหาที่ใหญ่กว่านั่นคือกรรมชั่ว ที่จะพาสิ่งเลวร้ายเข้ามาในชีวิต จะมาในรูปแบบเหตุการณ์ทั้งทางตรงหรือทางอ้อมก็คงจะเดากันได้ยาก ซึ่งผลของกรรมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรคิดให้เสียเวลา เพราะเราไม่รู้หรอกว่ามันจะออกมาแบบไหน

เรารู้เพียงแค่ว่า ทำไปแล้วต้องได้รับแน่ๆ มันมาแน่ๆ มันจะต้องโดนแน่ๆ ทุกวันนี้กรรมชั่วที่เราทำไว้มันกำลังไล่ล่าเราอยู่ มันกำลังเข้าใกล้เราทีละน้อย คนที่ประมาทก็จะใช้ชีวิตอย่างมัวเมา หลงไปกับความสุขจากการเสพ สะสมกิเลส สะสมกรรมชั่วไปเรื่อยๆ

เมื่อกรรมเก่ารวมกับกรรมใหม่ก็จะเพิ่มพลังในการส่งผลได้มากขึ้น ยิ่งเวลาผ่านไป หากทำชั่วแล้วผลกรรมนั้นยังไม่ส่งผลก็ให้รู้เลยว่ามีกรรมดีเก่าที่เข้ามาชะลอไว้ แต่เมื่อไหร่ที่ไม่มีกำแพงกุศลมากั้นกรรมชั่วไว้ วันนั้นแหละคือวันที่จะได้ใช้หนี้กรรม

บางคนถูกพรากศักยภาพในการทำกุศลไป เช่นกลายเป็นคนป่วย คนพิการ กลายเป็นอัมพาต จากที่เคยทำกุศล ทำความดีได้ ก็ทำไม่ได้เต็มที่เหมือนเดิมเพราะมีข้อจำกัดมากขึ้น ร่างกายที่สมบูรณ์ครบพร้อมและสุขภาพที่ดีนั้นเอื้อต่อการทำกุศลได้สูงที่สุด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเสียไปทั้งหมด เพราะชีวิตยังอยู่ จึงพอจะศึกษาและเรียนรู้เรื่องกรรมต่อไปได้

แต่บางคนถูกกรรมพรากชีวิตไป หลายคนจากไปก่อนวัยอันควร เกิดมาก็ยังไม่ทันทำดี ไม่สร้างกุศลให้มากกว่าที่ใช้ไป ไม่ศึกษาธรรม ได้แต่ใช้ชีวิตไปตามกิเลส ตามใครต่อใครตั้งแต่เกิดจนตาย กลายเป็นคนที่เกิดมาแล้วตายไปฟรีๆ เกิดมาใช้กรรมไปหนึ่งชาติ แต่กรรมที่สร้างใหม่ในชาติที่เกิดก็มีอยู่ ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นความชั่ว

แท้จริงแล้วการใช้หนี้กรรมชั่วจะต้องถูกทำให้เกิดสภาพของความทุกข์ ซึ่งเหตุการณ์จะออกมาในแนวทางไหนก็ได้ เขาคนนั้นอาจจะไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่อาจจะต้องสูญเสียของรัก คนรัก หรือสิ่งที่สำคัญไปก็เป็นได้

คนที่ทำแต่ความดี แม้ว่าจะละเว้นการทำชั่ว แต่ถ้าไม่เคยศึกษาเรื่องกรรม เรื่องกิเลสเอาไว้ เวลาต้องปะทะกับกรรมที่ส่งผลจะทำให้เกิดสภาพของทุกข์ที่ซ้ำซ้อนและจมอยู่อย่างนั้นจนกว่ากรรมนั้นๆจะส่งผลหมดจึงจะคลายทุกข์ได้ซึ่งอาจจะนานเป็นเดือนเป็นปีหรือจนกระทั่งตายแล้วกรรมก็ยังส่งผลไม่หมด ต้องเกิดมารับกรรมชั่วต่อไปอีกเหมือนกับคนที่หกล้มโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้ตั้งท่าเตรียมล้ม ต้องทนกับความเจ็บจนหายปวดแล้วจึงจะลุกได้

แต่คนที่ศึกษาเรื่องกิเลสและกรรมจนเข้าใจแล้วจะต่างกันออกไป เหมือนกับคนที่หกล้มแล้วรู้ว่าทำไมจึงล้ม รู้วิธีล้มให้บาดเจ็บน้อยที่สุด และรู้วิธีว่าจะลุกอย่างไรให้ก้าวต่อไปได้ไวที่สุด เพราะรู้ดีว่าผลของกรรมครั้งต่อไปก็กำลังจะไล่ล่าตามมาติดๆเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่รอที่จะให้กรรมเหล่านั้นมาไล่ล่า แต่จะเลือกที่จะวิ่งหนีกรรม ทำความดีให้ห่างกรรมชั่วออกไป ทำดีให้มากเพื่อให้ความชั่วนั้นตามไม่ทัน ถึงจะทันก็ทำอะไรไม่ได้มาก

เป็นการทำดีหนีการไล่ล่าของกรรมชั่วเพื่อประโยชน์ของชีวิตนี้ เพื่อที่จะได้ใช้เวลาศึกษาเรื่องกรรมและกิเลสให้ถ่องแท้ไปโดยลำดับโดยไม่ต้องมีเหตุการณ์ที่จะมาพรากชีวิตไปก่อนวันอันสมควร เพราะกว่าจะได้มาเกิดแต่ละครั้งก็ยากแสนยาก เกิดมาก็ใช่ว่าจะได้เจอพระพุทธศาสนา ถึงแม้จะเจอก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจ ดังนั้นการเกิดมาแต่ละครั้งจึงต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ไม่ใช่เพียงแค่เกิดมาใช้ชีวิตไปตามกิเลสแล้วก็รอวันตายไปตามกรรมเท่านั้น

แต่เป็นชีวิตที่ดิ้นรนต่อสู้ ฝืนกรรม ทำลายกิเลส ไม่ยอมจำนนต่อกิเลสที่มี พยายามจะวิ่งทวนกระแส ซึ่งจะเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถหนีกรรมชั่วที่เคยทำไว้ได้สักพักหนึ่ง และสร้างกรรมดีขึ้นมาเพื่อใช้เป็นประโยชน์ตนเองและผู้อื่นต่อไปในอนาคต

– – – – – – – – – – – – – – –

29.3.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ

January 24, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 18,013 views 2

กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ

กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ

เป็นประโยคที่สั้นและกระชับที่สุดที่ใช้ในการพิจารณาธรรม หากเราเข้าใจและยอมรับในความจริงของประโยคนี้ได้ เราก็จะไม่ต้องทุกข์ใจจากเหตุการณ์ใดๆที่เกิดขึ้นเลย

การที่เรายังมีอาการทุกข์ใจเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สมดังใจ สิ่งที่หวังไว้ก็ไม่เกิด สิ่งที่เกิดก็ไม่ได้หวัง ยกตัวอย่างเช่น มีคนมาต่อว่า, หกล้ม, รถชน, ยืนจนเมื่อยก็ไม่มีใครลุกให้นั่ง, โบกแท็กซี่แล้วเขาไม่ไป, ซื้อของแล้วโดนโกง, ให้เงินเขายืมแล้วเขาไม่คืน, เจอแต่คนที่ไม่ชอบ, ขโมยเข้าบ้าน,, ทำเงินหาย, โดนขโมยผลงาน, เงินเดือนไม่ขึ้น, โบนัสไม่มี, โดนใส่ร้าย, ถูกนินทา, โดนไล่ออก, กลายเป็นคนพิการ, คนใกล้ชิดเจ็บป่วยจนเดือดร้อน, คนที่รักจากไป ฯลฯซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นผลจากกรรมของเราทั้งนั้น

ในส่วนของทุกข์ที่เกิดขึ้นเมื่อเรากระทบกับเหตุการณ์เหล่านั้น ทุกข์นั้นเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจในเรื่องของกรรม ถึงแม้คำว่า “กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ” จะเป็นประโยคสั้นๆที่ใครก็ท่องได้ จำได้ พูดได้ แต่กลับเป็นประโยคที่เข้าใจและเข้าถึงได้ยากที่สุดในโลก

คนที่เข้าใจเรื่องกรรมอย่างถ่องแท้จะไม่มีเรื่องอะไรให้ทุกข์ใจเลย เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ได้รับคือสิ่งที่เราทำมา เราไม่มีทางได้รับในสิ่งที่เราไม่ได้ทำ การที่เราได้รับสิ่งที่ทำมานั้นมันก็ยุติธรรมดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือร้ายที่เข้ามาในชีวิต มันก็มาจากผลของการกระทำของเราทั้งสิ้น แล้วเรายังจะโทษใครอีก ยังจะเรียกร้องจากใครอีก ยังจะกล้าคิดอีกหรือว่าเรากำลังถูกโชคชะตาเล่นตลก

เหล่าคนผู้มีความเห็นผิดมักจะสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุผล เช่น เพราะโชคดี เพราะดวงตก เพราะปีชง เพราะคนนั้นเขาไม่ดี เพราะเจ้านายลำเอียง เพราะเศรษฐกิจไม่อำนวย อะไรต่อมิอะไรที่จะอ้างขึ้นมาได้ให้ตัวเองได้สบายใจ โดยป้ายความผิดหรือโยนความรับผิดชอบของเหตุการณ์เหล่านั้นให้พ้นตัว

เขาเหล่านั้นมักจะมีแนวโน้มที่จะไม่เชื่อเรื่องกรรม มักจะคิดว่าฉันไม่ควรได้รับสิ่งร้ายเหล่านั้น แต่เวลาได้รับสิ่งดีที่ไม่ได้ทำมาในชาตินี้กลับไม่เคยตระหนักหรือทักท้วงอะไร อะไรที่ดีก็ยินดีรับทั้งหมดโดยไม่เคยหาเหตุผล ไม่เคยคิดว่าได้มาอย่างไร แต่เวลาเจอสิ่งร้ายก็จะหาคนผิดทันที มองไปที่คนอื่นทันที คนนั้นไม่ดีอย่างนั้น คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ ไอ้นั่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่ดี ขัดหูขัดตาไปหมด

คนมันเห็นผิดแบบนี้ มันไม่เชื่อกฎแห่งกรรมแบบนี้ ถ้าเราเชื่อจริงๆเราจะไม่สงสัยเลยว่าเราได้รับสิ่งร้ายนั้นเพราะอะไร แม้จะไม่รู้สาเหตุแน่ชัด แต่จะชัดเจนในใจว่าฉันทำมาเอง แล้วก็จะสงบใจ ไม่ทุกข์ สงบเสงี่ยมเจียมตัวรับกรรมที่ตัวเองทำไว้ด้วยความยินดี

การที่เราสามารถมีจิตยินดีแม้ว่าจะได้รับสิ่งร้ายอยู่นั้น ก็เพราะรู้ว่ารับกรรมนั้นแล้วก็หมดไป สิ่งร้ายก็หมดไป สิ่งดีที่ทำไว้ก็มีโอกาสส่งผลได้เร็วขึ้น กรรมไม่มีวันหมดไปได้เองอยู่แล้ว ต้องสนองจนเกิดผลเท่านั้นถึงจะหมด ดังนั้นเมื่อเรารู้ชัดแล้วว่าสุดท้ายยังไงก็ต้องโดน เราก็ควรจะรับผลกรรมด้วยจิตใจที่เป็นสุข ดีกว่าที่จะต้องมาคอยรับกรรมอย่างทนทุกข์

เมื่อไหร่ก็ตามที่เรากำลังรู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นไม่น่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ ไม่สมใจเราหวัง ให้รู้ไว้เถิดว่า เรากำลังเริ่มที่จะไม่ยุติธรรมแล้ว เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนั้นคือความยุติธรรมที่สุดแล้ว และนั่นก็คือกฎแห่งกรรม

– – – – – – – – – – – – – – –

10.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)