ธรรมะพารวย ซวยทั้งนั้น

November 14, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,296 views 0

การแสดงธรรม ให้ความเห็น บอกความรู้ไปในทิศทางที่เอื้อต่อการมักมากอยากใหญ่อยากโตจนกระทั่งอยากรวย คือการชี้ทางไปในทิศที่ห่างไกลจากการพ้นทุกข์

ทำบุญสวยชาติหน้า? กิเลสหนาสวยชาตินี้

November 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,482 views 9

ทำบุญสวยชาติหน้า? กิเลสหนาสวยชาตินี้

ทำบุญสวยชาติหน้า? กิเลสหนาสวยชาตินี้

เราอยู่ในยุคสมัยที่อุดมไปด้วยความรู้ที่ช่วยให้สนองกิเลสได้ง่ายเพียงแค่ควักเงินจ่าย อยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อ ไม่ว่าจะความสุข ความสวยความงาม หรือแม้แต่ความดีก็ตาม

การปรับแต่งรูปร่างหน้าตาในยุคปัจจุบันกลายเป็นเรื่องปกติที่สังคมยอมรับ เราสามารถผ่าตัดปรับเปลี่ยนหน้าได้ตามต้องการเท่าที่กำลังเงินจะอำนวย จึงมีคำกล่าวที่ว่า “ทำบุญสวยชาติหน้า ทำหน้าสวยชาตินี้” ข้อความนี้จะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร ลองมาอ่านบทวิเคราะห์กันดู

ในพระพุทธศาสนานั้นมีความรู้ที่จะช่วยให้บุคคลผู้ต้องการความงามนั้นสร้างความงามอยู่เช่นกัน นั่นคือการเจริญพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) จะทำให้มีโภคทรัพย์มาก โดยทั่วไปหมายถึงทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบต่างๆในชีวิต ไม่ว่าจะฐานะ มิตรสหาย หรือกระทั่งองค์ประกอบทางด้านร่างกายก็ตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลพลอยได้เพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับทรัพย์ทางโลกุตระ

และการเจริญพรหมวิหารนั้นไม่ได้หมายความว่า ทำชีวิตนี้แล้วไปให้ผลในชีวิตหน้า แต่หมายถึงทำเท่าไหร่ก็ให้ผลเท่านั้นทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า และชาติอื่นๆต่อไป นั่นหมายความว่า ถ้าเราเจริญพรหมวิหารเราก็จะมีโภคทรัพย์ที่จะเจริญไปโดยลำดับ เราอาจจะเคยสังเกตเห็นคนที่เขาไม่สวยไม่งาม แต่กลับมีเสน่ห์ น่าเข้าใกล้ น่าพูดคุย น่าคบหา เหมือนมีธรรมรังสีเปล่งประกายออกมา จนบางครั้งหลงชอบใจทั้ง ๆ ที่องค์ประกอบทางร่ายกายของเขาไม่ใช่สิ่งที่เราเคยชอบใจเลยสักนิด

จึงสรุปไว้ก่อนเลยว่า “ทำบุญชาตินี้ ก็งามในชาตินี้แหละ

แต่หลายคนรู้สึกไม่พอใจที่จะต้องทำดีเพื่อรอรับผล ไม่ยินดีรอเวลา ใจร้อน หรือเรียกว่า “โลภ” อยากให้ดีเกิดมากกว่าเหตุปัจจัยที่ควรจะเป็น ที่มันไม่สวยไม่งามมันก็ฟ้องอยู่ในตัวแล้วว่า “เป็นผู้ที่มักโกรธ ผูกโกรธ พยาบาท” ไม่มีพรหมวิหาร ก็ควรจะเร่งสร้างความเจริญขึ้นในจิตใจ

แต่คนส่วนมากไม่ทำเช่นนั้น เขามองข้ามความเจริญทางจิตวิญญาณ แล้วไปสนใจเพียงแค่ร่างกาย บางคนเกิดมามีวิบากกรรมที่ต้องทุกข์ทรมานเพราะร่างกายไม่สมประกอบ การจะผ่าตัดตกแต่งให้ดำรงชีวิตได้อย่างปกตินั้นก็สามารถเอื้อกันได้โดยไม่ผิดอะไร แต่คนที่มีรูปร่างหน้าตาสมบูรณ์ตามปกติดีอยู่แล้ว จะไปเสริมเติมแต่งให้มันมากขึ้น ให้มันสวยขึ้น ให้มันสมใจยิ่งขึ้น อันนี้มันก็เป็นการสนองกิเลส

ซึ่งการสนองกิเลสในระดับที่ไปผ่าให้มันสวยขึ้น ไปเติมให้มันใหญ่ขึ้น ฯลฯ เป็นกิเลสในระดับที่หยาบมาก รองลงมาคือพวกที่แต่งเนื้อแต่งตัว รองลงมาก็พวกที่แต่งหน้าแต่งตา ถ้าให้ดีก็ไม่ต้องไปแต่งหน้าแต่งตาให้มันเสียเงินเสียเวลาก็จะดีที่สุด

เพราะคนนั้นไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี แล้วหลงว่าร่างกาย เนื้อหนังนั้นเป็นสิ่งเลิศ จึงเกิดการแส่หา ไขว่คว้าสิ่งที่ตนอยากได้อยากเสพมาเป็นของตน ในขั้นเริ่มต้นก็มักจะแต่งหน้า โพสท่า แล้วแต่งรูปให้ดูดี แต่ถ้าสะสมกิเลสไปมาก ๆ ก็จะเริ่มไม่พอใจ จะแต่งหน้าแต่งตาไปทำไม? ผ่าตัดให้มันสวยทีเดียวไปเลยดีกว่าจะได้เสพสมใจ

แท้จริงแล้วมันมีความซ้อนในการเสพความสวยงามอยู่ เพราะถึงจะผ่าตัดมาให้สวยปานใด น้อยคนนักที่จะใช้เวลาทั้งวันในการมองหน้าตาและรูปร่างของตัวเอง โดยส่วนมากก็จะแต่งไปให้คนอื่นเขามองมากกว่า ซึ่งมันมีความหลงโลกธรรมซ้อนเข้าไปว่า สนใจฉันสิ มองฉันสิ ชมฉันสิ จนกระทั่งฝังลึกกลายเป็นอัตตาว่า ฉันสวย ฉันน่าสนใจ ฉันมีคุณค่า แล้วก็หลงมัวเมากับความสุขลวงในคุณค่าของเนื้อหนังเช่นนั้นต่อไป

หลอกตัวเองยังไม่พอ ยังเอากาม (ความสวยงาม) เหล่านั้นไปหลอกคนอื่นต่ออีก ให้เขารัก ให้เขาทุ่มเท ให้เขาหลงงมงายอยู่กับเนื้อหนังที่ถูกตัดต่อปรุงแต่งขึ้นมา อีกฝ่ายก็หลอกซ้อนเข้าไปอีกว่าเนื้อหนังนั้นคือคุณค่า เนื้อหนังนั้นน่าสนใจ ก็บำเรอกิเลสกันไป มันก็เลยหลงวนเวียนกันทั้งสองฝ่าย แก้กันไม่ได้ง่าย ๆ

การทำรูปร่างหน้าตาให้สวยขึ้นเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาตามกิเลส จริงอยู่ที่ว่า “ทำหน้าสวยชาตินี้” มันก็ดูสวยขึ้นได้จริงตามสมมุติโลก แต่มันก็มีวิบากบาปซ้อนเข้าไปอีก เพราะถูกเติมแต่งด้วยกิเลส ทีนี้พอเริ่มต้นด้วยกิเลส แล้วเอาไปสนองกิเลส สุดท้ายก็เมากิเลส มันจะมีที่ไปที่ไหน มันก็มีแต่นรก(ความเดือดเนื้อร้อนใจ) เท่านั้น

พอไม่ได้ศึกษาธรรมะก็มักจะมองว่าคุ้ม ฉันขอสวยไว้ก่อน เพราะถ้าฉันสวยฉันก็จะได้เสพอะไรอีกหลายอย่าง เช่น หาคู่ได้, มีคนชม, มั่นใจ ฯลฯ นั่นกิเลสทั้งนั้น เป็นการลงทุนที่สุดท้ายยังไงก็ต้องขาดทุน มีแต่เสียกับเสีย มีแต่สุขลวงกับทุกข์แท้ๆ แต่ก็ยังอยากได้อยากมีกัน นี่แหละที่เขาเรียกว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

คุณค่าของคนมันไม่ได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตา แต่อยู่ที่คุณงามความดีที่ทำ เป็นคนเบียดเบียนโลกหรือทำประโยชน์ให้โลก บ้านเมืองไม่ได้ต้องการคนสวย แต่ต้องการคนดี ถ้าคนดีไปมัวแต่ห่วงสวยแล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาทำดี ก็มีแต่คนดีที่ยังโง่อยู่เท่านั้นแหละ จึงยอมเสียเวลาอันมีค่าไปกับการมัวเมาในเนื้อหนังที่เสื่อมไปตามธรรมชาติทุกวันๆ

– – – – – – – – – – – – – – –

7.11.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

วิบากกรรมสร้างฉาก กิเลสสร้างกรรม

November 6, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,162 views 0

วิบากกรรมสร้างฉาก กิเลสสร้างกรรม

วิบากกรรมสร้างฉาก กิเลสสร้างกรรม

วิบาก(ผล) กรรม(การกระทำ) หรือผลของการกระทำในอดีตของเรานั้น จะเป็นสิ่งที่จะจัดฉากให้เราต้องได้รับสิ่งดีหรือสิ่งร้าย หรือสิ่งไม่ดีไม่ร้ายใด ๆ ก็ตามที่เราเคยทำมา

แต่การจะตัดสินใจใด ๆ ต่อเหตุการณ์นั้นคือสิทธิ์ของเรา แม้ว่าฉากเหล่านั้นจะถูกจัดมาอย่างเลวร้ายหรือแสนดีแค่ไหน เราก็ไม่จำเป็นต้องเล่นไปตามบทบาทที่ถูกเขียนมา เพราะเรามีอิสระที่จะเลือกตัดสินใจทำกรรมใดก็ตามที่จะเป็นกุศล(ความดี), อกุศล(ความชั่ว), ทั้งดีและชั่ว หรือไม่ดีไม่ชั่วก็ได้

แต่อิสระเหล่านั้นกลับเป็นสิ่งที่ถูกผูกมัดไว้ด้วยกิเลส ความโลภ โกรธ หลงจะเป็นสิ่งที่บงการเรา อยู่เหนืออิสระของเรา ให้เราทำกรรมชั่วนั้น กิเลสจึงเป็นตัวบงการให้สร้างกรรมต่างๆ เช่น เมื่อเจอขนมที่ชอบ ถ้าเราไม่หลงในขนมนั้น ก็คงจะมีอิสระเหนือขนมนั้นอย่างแน่นอน แต่ด้วยความที่เราตกเป็นทาสของกิเลส อิสระของเราเลยกลายเป็นอิสระเฉโก กลายเป็นอิสระในการกิน แต่ไม่เป็นอิสระต่อความอยากกิน เพราะพลังของกิเลสนั่นเอง

การอ้างว่าฉันตัดสินใจทำเช่นนั้นเช่นนี้เพราะกรรมเก่า เป็นการโยนความผิดให้ตัวเองในอดีต โยนบาปให้พ้นตัว ทั้งที่ความจริงแล้ว การตัดสินใจทำกรรมใด ๆ ล้วนเกิดจากเหตุสองทาง หนึ่งคือเกิดจากกิเลส สองคือเกิดจากการไม่มีกิเลส ไม่ได้เกิดกรรมเก่าแต่อย่างใด ( พระไตรปิฎก เล่ม ๒๐ ข้อ ๔๗๓ นิทานสูตร )

การเดินทางสู่ความพ้นทุกข์ นั้นต้องรู้จักรู้จริงในความเป็นปัจจุบัน เข้าใจในพลังของอดีต และความเป็นไปได้ในอนาคต ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองว่าการตัดสินใจใดๆที่ได้ทำลงไปนั้น เกิดจากสาเหตุใด เกิดจากกิเลสก็ยอมรับว่ากิเลส ไม่ใช่เฉโก ฉลาดหลบเลี่ยงบ่ายเบี่ยงว่าไม่ใช่กิเลส แล้วหลงว่าตนไม่มีกิเลสเข้าไปอีก และก็ต้องแยกให้ออกว่ากิเลสตัวไหน แบบใด หาเหตุของมันจึงจะสามารถเข้าไปทำความผิดให้เป็นความถูกได้โดยลำดับ

– – – – – – – – – – – – – – –

6.11.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

มิจฉาอาชีวะ (ข้อ ๔/๕ การมอบตนในทางที่ผิด)

October 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,361 views 0

ช่วงนี้ข่าวเกี่ยวกับมิจฉาอาชีวะให้เห็นกันบ่อยๆ เกี่ยวกับการมอบตนในทางที่ผิด เอาตนเองไปทำสิ่งที่ผิดแลกลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์สุข และรับใช้คน/องค์กรที่ผิด

เช่นการไปยอมรับใช้คนชั่ว ไปทำประโยชน์ให้คนผิด ปกป้องคนเลว ฯลฯ ซึ่งอาชีพที่เสี่ยงที่เห็นได้ชัดก็คือ ทนาย นักการฑูต คนกลาง ผู้ไกล่เกลี่ย ดารา หรือคนที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย

ไปรับงานทั้งงานที่เป็นอกุศล (อันนี้ผิดตรงๆ) ไปรับงานใดๆก็ตามจากคนชั่ว ( อันนี้จางลงมา แต่ก็พอเห็นได้) หรือทำงานอยู่ในองค์กรณ์ที่เอาเปรียบผู้อื่น (อันนี้เห็นยากเข้าใจยาก)

มิจฉาอาชีวะแต่ละข้อนั้นมีความลึกซึ้งละเอียดลออ ไว้มีโอกาสจะเรียบเรียงเป็นบทความมาแบ่งปันกัน