ความเห็นความเข้าใจ

เรียนรักให้ถูกสัมมาทิฏฐิ

May 19, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 489 views 0

กิเลสคืออำนาจที่เลวร้ายที่สุด ครอบงำ บิดเบือน สร้างความเข้าใจกลับหัวกลับหาง อยากผาสุกแต่กลับทำทุกข์ พาให้ฉลาดในทางโลก คือหาทางเสพให้ดูดีดูน่ายกย่อง คือทำคนให้เป็นคนโง่ที่ดูฉลาดได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ความรักก็เช่นกัน ในยุคปัจจุบันนี่ก็เรียกว่าเละเทะแล้ว มีธรรมประยุกต์มากมาย แต่ก็ไม่ได้อ้างอิง ไม่ได้เข้ากันกับหลักฐานในพระไตรปิฎก ไม่ได้ไปในแนวทางเดียวกัน เรียกว่ากล่าวกันแล้วเหมือนธรรมที่ดูเท่ ดูปล่อยวาง ดูฉลาด แต่กลับหัวกลับหางกับพุทธะโดยสิ้นเชิง

เป้าหมายของพุทธไม่ใช่ความหยุดอยู่ ความตั้งอยู่ ความดำรงอยู่ แต่เป็นการชำระโดยสิ้นเชิง นั่นหมายความว่า จะไม่มีคำสอนใด ๆ ที่ให้หยุดชีวิตไว้ที่ความรัก หรือให้หยุดพักที่การมีคู่

คำตรัสที่ว่ามีรักร้อยก็ทุกข์ร้อย ไม่มีรักเลยไม่ทุกข์เลย คำความเหล่านี้คือตัวบอกจุดหมายของการปฏฺิบัติธรรมในศาสนาพุทธ คือให้เข้าถึงความพ้นทุกข์สูงสุด มีธรรมสูงสุดเป็นเป้าหมาย

คือให้ปฏิบัติสู่ความไม่มีทุกข์เลย ไม่ใช่หยุดอยู่ในสภาพเทวดา สภาพทาสที่คอยเสพสมใจตามกิเลสที่ได้มุ่งหมาย หรือสภาพที่ไร้อำนาจต่อต้านเพศตรงข้ามต้องยอมสยบไว้ใต้เท้าเขา

ดังนั้นเป้าหมายของสาวกที่จะเจริญ คือควรจะประพฤติตนเป็นโสดให้ได้สำเร็จ สมบูรณ์ทั้งรูปและนาม ส่วนจะทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่อง คือพยายามแล้วมันไปไม่ถึงก็ยังดีกว่าไม่พยายาม

ไม่ใช่ว่าให้ความสำคัญกับการมีคู่ การมีคู่จะพาเจริญ หรือการมีคู่ดีจะขัดเกลากัน อันนี้ไม่ใช่ มันคือเฉโก ความลามกของกิเลสคือพาให้คนหลงเสพโดยมีความคิดเท่ ๆ มาแปะป้ายไว้ให้ดูดี ดูฉลาดปราดเปรื่อง แต่จริง ๆ กลิ่นกามนี่เหม็นคลุ้งเลย

การมีคู่มันจะมีอะไรดี มันก็มีแต่เรื่องเบียดเบียนกันเท่านั้นแหละ คนมีปัญญาเขาจะเข้าใจได้ง่าย ๆ เลยนะ ดังเช่นว่ามีคู่แล้วก็ต้องไปนอนเตียงเดียวกันให้มันนอนลำบากทำไม? ให้มันเบียดกัน ให้มันหลับยาก อันนี้คือความโง่ของกิเลสที่พาให้คนหลงยึด ผูกกันไว้ เข้าใจว่านอนเตียงเดียวกันคือความสุข จริง ๆ นอนเตียงใครเตียงมัน ห้องใครห้องมันนี่จะหลับสบายกว่า จริง ๆ ไม่มีอะไรหรอกนอกจากเรื่องการสมสู่ การมีคู่ก็มีเหมือนซื้อบริการทางเพศแบบเหมานั่นแหละ เอาไว้ใกล้ ๆ ตัว จะได้เสพง่าย ๆอยากเมื่อไหร่ก็เสพได้เลย ก็เป็นการขายตัวอย่างถูกจารีตแบบหนึ่ง แต่ไม่ถูกธรรม คือไม่พาพ้นทุกข์

เรื่องพวกนี้คนเขาก็ไม่พูดกันหรอก เขาก็พูดกันแต่มุมพาเจริญ ส่วนมุมสกปรก ที่มันเน่า ๆ เละ ๆ เขาก็เก็บมันไว้ ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร เป็นเรื่องธรรมดา

มันก็ใช่ถ้าจะบอกว่า ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์หรอก ไม่ได้ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่ได้มุ่งหวังมรรคผลใด ๆ ก็อยากแค่ใช้ชีวิตบำเรอกามตนอย่างเต็มที่ ใครจะว่าอย่างนั้นก็คงจะไม่ขัดศรัทธากัน

แต่ถ้าจะมาบอกว่าการมีคู่คือเรื่องดี พาเจริญอะไรนี่ ก็บอกตรง ๆ ว่าต้องวิจารณ์ไว้ เพราะเห็นใจคนอื่นที่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วมาเจอธรรมลามกพวกพาหลงในรสรัก เขาจะเสียเวลามาก อุตส่าห์เกิดมาเป็นคน ได้มีพระพุทธศาสนาประกาศอยู่ ยังจะมาเจอพวกมิจฉาดักตีหัว เหมือนไปเที่ยวต่างประเทศแล้วโดนทัวร์โจรดักตีหัวพาเที่ยวนรกยังไงอย่างนั้น

ทุกวันนี้มิจฉาธรรม มันก็เยอะมากพออยู่แล้ว ใครรู้ตัวก็อย่าพยายามเพิ่มอีกเลย แค่เจอสารพัดนักเขียนชื่อดังประกาศธรรมที่ยินดีในคู่ก็พาคนฉิบหายมากอยู่แล้ว ไม่ต้องเพิ่มหรอก เพราะมันไม่พาเจริญ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้มิจฉาทิฏฐิ ปิดบังไว้จะเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ ดังนั้นถ้ายิ่งพยายามเผยแพร่มิจฉาทิฏฐิในเรื่องคู่มากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ความเสื่อมเกิดมากเท่านั้น ทั้งตนเองและผู้อื่นนั่นแหละ

มาจับที่มีหลักฐานกันชัด ๆ ไปขยายดีกว่า เอาอันนี้ “ไม่มีรัก ไม่มีทุกข์” ไปขยายกัน ไปทำความเข้าใจกันดี ๆ อย่าไปเอาเป้าหมายที่มันนอกกรอบ นอกขอบเขตพุทธ ถ้าไปเอาที่มันนอกรีตมันจะไม่พ้นทุกข์ เอาที่มันอยู่ในกรอบ ในจารีต ในวิถีพุทธมันจะเจริญ

พระอริยะชั้นสูง ๆ ท่านไม่เอาเรื่องคู่ทั้งนั้นแหละ เธอไปทาง ฉันไปอีกทาง พระมหากัสสปะเถระเป็นอีกท่านที่บำเพ็ญบารมีตามพระพุทธเจ้า เรื่องราวที่ท่านปฏิบัติในเรื่องคู่นี่ลอกพระพุทธเจ้ามาชัด ๆ เลย บทเดียวกันแต่เปลี่ยนคนแสดง พอท่านรู้ตัวว่ามีสิ่งเจริญกว่าท่านก็ให้เมียไปทาง ท่านก็ไปอีกทาง ไม่มีหรอกจะมามัวปะปนกันอยู่ อย่างคนโลก ๆ อันนั้นบางทีเขาก็มั่วนิ่ม จริง ๆ ก็ยึดมาก แต่ฉลาดในการพูด มันก็ดูเหมือนจะดี แต่ถ้าจะเทียบสภาวะจริง ๆ ก็มีพระพุทธเจ้ากับพระมหากัสสปะอยู่แล้ว ก็เทียบจากตัวอย่างที่ดีไป อย่าไปทำตามตัวอย่างที่ไม่ดี

ไปแต่ผู้เดียว เด็ดเดี่ยวเหมือนนอแรด

December 1, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,225 views 0

ระหว่างค้นหาพระไตรปิฎกในหมวดคนคู่ ก็มาเจอ “ขัคควิสาณสูตร ที่ ๓” (25,296) ในภาพรวม ท่านกล่าวเปรียบถึงถ้าเจอกับสภาพที่ไม่ดี อยู่คนเดียวจะดีกว่า ซึ่งแน่นอนว่า ถ้ามันแย่ เราก็ต้องห่าง แต่อะไรล่ะที่มันไม่ดี แล้วอะไรที่มันดี ที่ควรใกล้ ในบทนี้มีทั้งไปแต่ผู้เดียว และเก็บเกี่ยวคนดีมาเป็นเพื่อน จะยกเป็นช่วง ๆ มาลองวิเคราะห์กันครับ

“พ.ความเยื่อใยย่อมมีแก่บุคคลผู้เกี่ยวข้องกัน ทุกข์นี้ย่อมเกิดขึ้นตามความเยื่อใย บุคคลเล็งเห็นโทษอันเกิดแต่ความเยื่อใย พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรดฉะนั้น”

… ส่วนนี้จะทำให้เห็นภาพรวมของสภาพไม่ดี เป็นทุกข์ เป็นบาป เป็นอกุศล คนที่มีปัญญาเห็นโทษดังนั้น ให้ละออกเสีย มีของไม่ดี อย่ามีเลยดีกว่า

“พ.บุคคลข้องอยู่แล้ว ด้วยความเยื่อใยในบุตรและภริยา เหมือนไม้ไผ่กอใหญ่เกี่ยวก่ายกัน ฉะนั้นบุคคลไม่ข้องอยู่เหมือนหน่อไม้ พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น”

… ถ้ามองไผ่กอใหญ่ก็จะเห็นถึงความวุ่นวาย ลมพัดมาก็เสียดสีกันบ้าง ชนกันบ้าง เสียงดัง เหมือนกับเรื่องคู่มันวุ่นวาย ถ้าใครยังไม่มี ยังไม่ถึงวัย ยังเป็นหน่อไม้อยู่ ก็ไม่ต้องไปมี ไม่ต้องไปยุ่ง ไปคนเดียว ฉายเดี่ยวเหมือนนอแรด

“พ.ถ้าว่าบุคคลพึงได้สหายผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตน ผู้เที่ยวไปร่วมกันได้ มีปรกติอยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ไซร้ พึงครอบงำอันตรายทั้งปวง เป็นผู้มีใจชื่นชม มีสติ เที่ยวไปกับสหายนั้น หากว่าบุคคลไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตน ผู้เที่ยวไปร่วมกันได้ มีปรกติอยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ไซร้พึงเที่ยวไปแต่ผู้เดียว”

… แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ส่งเสริมให้ไปคนเดียวตลอด ไม่ได้ให้หลีกหนีผู้คน ถ้าเจอคนดี มีปัญญา พาทำกรรมดี ก็ให้อยู่ร่วมกัน พึ่งพากัน แต่ถ้าหาคนมีปัญญาไม่ได้ ไปคนเดียวเถอะ โดดเดี่ยวดั่งนอแรด

“พ.เราย่อมสรรเสริญสหายผู้ถึงพร้อมด้วยศีลขันธ์เป็นต้น พึงคบสหายผู้ประเสริฐสุด ผู้เสมอกัน กุลบุตรไม่ได้สหายผู้ประเสริฐสุดและผู้เสมอกันเหล่านี้แล้ว พึงเป็นผู้บริโภคโภชนะไม่มีโทษเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรดฉะนั้น”

… พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้คบคนมีศีล คนที่เก่งกว่า มีศีลมากกว่า มีปัญญามากกว่า หรือผู้ที่เสมอกัน แต่ถ้าชีวิตนี้มันอับจนหนทาง ไม่มีบารมี ไม่เจอคนที่สูงกว่า ไม่เจอคนเสมอกัน ก็อยู่กินใช้สิ่งที่ไม่เป็นโทษ คือใช้ชีวิตไม่หลงระเริงไปตามกิเลส แล้วก็เด็ดเดี่ยวดั่งนอแรดกันไป

จะเห็นได้ว่า ในศาสนาพุทธไม่ได้มีคำสอนมิติเดียว ใช่ว่าจะให้หนีผู้คนออกป่าหาความสงบไปเสียหมด อันนั้นมันคือกรณีที่หมดปัญญา หมดบารมีหาคนเก่งกว่าไม่ได้แล้วเท่านั้น ถึงจะปลีกตัวออกไปคนเดียว ถ้าหาคนเก่งกว่าหรือเสมอกันได้ ท่านก็ให้อยู่เกื้อกูลกัน พึ่งพากัน อันนี้เป็นปัญญาของพุทธที่ต่างจากฤๅษี ถ้าสายฤๅษีนี่เข้าถ้ำไปคนเดียวเลย สายพุทธนี่จะหาคนมีปัญญาแล้วร่วมกันทำกุศล

จริง ๆ ยุคนี้ก็มีครูบาอาจารย์อยู่มาก แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นผิด หลงป่ากันไปเยอะ ถ้าเอามาเทียบพระไตรปิฎกหลาย ๆ บทจะเห็นว่ามีความขัดแย้งสูง แต่ถ้าเอาบางบทมา มันก็ดูเหมือนจะใช่ ในความจริงแล้วยังมีครูบาอาจารย์ที่มีความสามารถมากอยู่ แต่การจะไปอยู่ผู้เดียวทั้ง ๆ ที่มีคนเก่งอยู่ นั่นก็สื่อให้เห็นว่าเขาไม่มีปัญญารู้ว่าใครเก่งกว่าเขา ไม่เห็นใครเก่งเสมอเขา เขาก็ฉายเดี่ยวไปเหมือนนอแรดตาบอดกันเลยล่ะนั่น คือปฏิบัติถูกบางบท แต่ภาพรวมไม่ครบทุกบท

แต่ก็ห้ามกันไม่ได้หรอก วิบากกรรมเขาเป็นแบบนั้น การได้เห็นพระพุทธเจ้าหรือสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกที่มนุษย์จะพึงเห็นได้เลยนะเอ้อ (อนุตตริยสูตร) ดังนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา

 

ปลูกข้าว (update)

January 8, 2017 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,549 views 0

ปลูกข้าว (update)

ปลูกข้าว (update)

หลังจากได้ข้าว “พอเพียง” มาแล้ว ผมก็ปลูกเลยครับ ปลูกครั้งแรกก็เจ๊งเลยครับ . . .

เนื่องจากรีบเอาไปลงกระถางมากไปหน่อย เมล็ดยังไม่ทันงอก แถมรดน้ำจนน้ำท่วม (กระถางก้นตัน) ก็เลยเสียไปตามระเบียบ

หลังจากนั้นได้คุยกับเพื่อนเรื่องวิธีเพาะนี่แหละ ก็เลยได้เริ่มใหม่อีกที คราวนี้แบบประคบประหงมเลย เพาะในถ้วยใส่กระดาษทิชชู่ ซึ่งมันก็งอกน่ะนะ ก็รดน้ำเลี้ยงไปเรื่อย ๆ จนมันโตระดับหนึ่งก็ย้ายไปปลูกในกระถางก้นตันแล้วหล่อน้ำเลี้ยงเหมือนเดิม

วิธีที่ทำตอนแรกนี่ก็ถือว่ารีบเกินไป ใส่ใจน้อยเกินไป มันก็เลยไม่ได้โต มันก็ไม่ดี ส่วนวิธีที่สองนี่ก็ประคบประหงมเกินไป ใส่ใจมากไป มันก็โตช้า ไม่พอดี

ก็เหมือนกับการทำความดีนั่นแหละ เราก็ต้องหัดเรียนรู้ไป ขาดบ้าง เกินบ้าง ก็เรียนรู้จากความผิดพลาดที่ทำลงไป มันจะพอดีเลยไม่มีหรอก ถึงจะทำแบบสูตรสำเร็จได้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดี คือผลน่ะมันอาจจะดี แต่ถ้าไม่รู้ว่าเหตุต่าง ๆ เกิดเพราะอะไรมันก็ไม่ดี (สีลัพพตุปาทาน)

การทำความดีนั้นไม่มีสูตรสำเร็จว่าตรงไหนจะเป็นดีแท้ ดีของคนหนึ่งอาจจะไม่ใช่ดีที่สุดของอีกคนหนึ่งก็ได้ นั่นเพราะคนเราเกิดมามีฐานะ(บารมีที่สั่งสมมา) ต่างกัน การเรียนรู้จึงต้องต่างกันไปตามฐาน จะให้เด็กอนุบาลไปเรียนอย่างมหาลัยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถามว่าความรู้ระดับมหาลัยมันดีไหม มันก็ดี และละเอียดลึกซึ้งกว่าด้วย แต่มันไม่เหมาะกับเด็กอนุบาลไง…

ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ การเรียนหรือธรรมะมันก็คล้าย ๆ กัน คือลองผิดลองถูกไปตามลำดับโดยมีผู้ที่ทำสำเร็จเป็น role model (บุคคลต้นแบบ) เอาไว้ Benchmark (เปรียบเทียบวัดผล) และศึกษาเรียนรู้

คือจะไปทำตามเลยเนี่ยมันทำไม่ได้หรอก มันไม่มีทางลัด ไม่ใช่ว่าพูดได้เหมือนครูบาอาจารย์แล้วมันจะทำได้เหมือนกันนะ ดังที่มีคำเปรียบว่าแม้ลา จะเดินตามฝูงวัวแล้วร้อง มอมอ มันก็ไม่เป็นวัวขึ้นมาได้หรอก

คนที่ปลูกข้าวแบบสูตรสำเร็จได้ เขาก็ได้ข้าว แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้ว่า กว่าจะมาเป็นสูตรสำเร็จได้นั้น ต้องผิดพลาดอะไรมาบ้าง คล้าย ๆ กับคนปฏิบัติธรรมที่อ้างว่ามีผล แต่มรรคไม่มีปรากฏเลย หรือถึงจะมีมรรคก็มิจฉามรรค แบบนี้ก็มีเหมือนกัน …

เอานะ… ก็ออกนอกเรื่องกันมาเสียตั้งไกล เอาเป็นว่า ถ้าอยากเก็บเมล็ดข้าวไว้ให้ได้นานที่สุด ก็ขยันปลูกก็แล้วกัน นอกจากไม่เสียแล้วยังเพิ่มจำนวน ไปแบ่งคนอื่นได้อีก ก็ศึกษาเรียนรู้ก็ไป ได้แค่นี้ก็เรียนรู้แค่นี้ เดี๋ยวต่อไปก็คงจะเจอปัญหาอีกมาก ก็ดูดูกันต่อไป

โอกาสและอิสระ ในการทำความดี

November 17, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,345 views 0

โอกาสและอิสระ ในการทำความดี

โอกาสและอิสระ ในการทำความดี

ในแต่ละช่วงชีวิตของเรา โอกาสพิเศษนั้นไม่ได้มีบ่อย ๆ เหมือนกับเรือใบที่ต้องอาศัยคลื่นลมในการเคลื่อนที่ ความดีก็เช่นกัน แม้ปกติเราจะทำความดีตามแบบของเราเองได้ แต่ถ้ามีเหตุการณ์ที่สร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่นั้น ก็จะทำให้เราสร้างสิ่งดีได้มากยิ่งขึ้น

การจะมีอิสระนั้นไม่ง่าย ยิ่งการจะมีอิสระในการทำความดีนั้นยากยิ่งกว่า ซึ่งจะต้องสั่งสมเหตุปัจจัยที่เอื้อให้ทำความดีได้โดยไม่มีสิ่งผูกมัด ไม่มีคนผูกมัด ไม่มีงานผูกมัด และถึงที่สุดคือไม่มีกิเลส หรือไม่มีความโลภโกรธหลงใด ๆ ที่เป็นเหตุขวางกั้นไม่ยอมให้เราลุกออกไปทำดี มาผูกมัดเราไว้

…..

วันก่อนผมได้ไปหัดพับกระทงกระดาษ เป็นโอกาสในการทำความดีที่หาไม่ได้ง่าย ๆ ใครเลยจะคิดว่าการพับกระทงไว้ใส่อาหารจะมีประโยชน์กับสังคมขนาดนี้ ทั้งช่วยลดขยะที่ย่อยสลายยากและสร้างวัฒนธรรมแห่งความพอเพียง คือใช้วัสดุสิ่งของที่หาได้ง่าย เช่น ใบตอง ใบไม้ต่าง ๆ หรือถ้าหาไม่ได้ก็ใช้กระดาษที่เขาผลิตไว้เผื่อห่ออาหาร

เป็นความดีเล็ก ๆ ที่หลายคนนำมารวมกันในโอกาสหนึ่งตามความสามารถของแต่ละคน บางคนมีทุนมีเงินก็เอาอาหาร เอาสิ่งของมาแจก มีรถก็เอามาช่วยขนส่ง มีความรู้ก็เอามาช่วยกันสร้างสรรค์ มีเวลามีแรงก็เอามาช่วยกันไปตามความถนัดของแต่ละคน

ถ้าเราไม่มีโอกาสและอิสระ เราก็คงจะไม่ได้ออกมาทำความดีกันมากมายขนาดนี้ นั่นเพราะเรามีทั้งเหตุการณ์ที่เป็นโอกาส และความพยายามหลุดพ้นจาก “สิ่งผูกมัดเราไว้ไม่ยอมให้เราออกมาทำดี” ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเรามีแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ มีความดีที่ยิ่งใหญ่ เหมือนกับมีคลื่นลมที่ผลักดันเราออกไปจากจุดที่เราเคยอยู่ ผลักดันเราไปสู่จุดที่ดีกว่า

เพียงแค่เราพิจารณาให้เห็นความสำคัญในความสำคัญของโอกาสนี้ ว่านี่แหละคือโอกาสทำความดีที่ยิ่งใหญ่ ตอบสนองต่อคลื่นลมที่ได้เกิดขึ้น คือเราใช้โอกาสนี้ทำความดีพัฒนาตัวเองไปข้างหน้า ให้เป็นคนดีมากยิ่งขึ้น ให้เจริญมากยิ่งขึ้น ไม่ทำตัวเป็นเหมือนก้อนหินในทะเลที่ไม่หวั่นไหวต่อคลื่นลมใด ๆ การไม่หวั่นไหวนั้นควรใช้กับสิ่งชั่ว ส่วนสิ่งดีนั้นเราควรโอนอ่อนน้อมตามความดีนั้นไป หากมีคลื่นลมและกระแสแห่งความดีงาม เราก็ควรเกาะกระแสนั้นไป

เพราะโอกาสในการทำความดีนั้นหาได้ไม่ง่าย และความดีนั้นทำได้ยาก ความชั่วทำได้ง่ายกว่า ถ้าไม่ใช้โอกาสนี้แล้วปล่อยผ่านไป ก็เหมือนเรือใบที่ไม่กางใบรับลมในตอนที่ลมมา พอลมสงบก็ลอยคว้างอยู่กลางมหาสมุทรที่ไม่มีลมพัด จะพายไปให้ถึงฝั่งก็เหนื่อยหนักหนาสาหัส พาลจะท้อและล้มเลิกที่จะทำสิ่งดีนั้น

การที่คนมากมายออกมาทำดีร่วมกันในโอกาสนี้ ผมเชื่อว่าพวกเขารู้ได้ด้วยตนเองว่า “การทำดี คือสิ่งที่ดี” ไม่มีอะไรดีกว่าการทำดี นั่นเพราะเขาได้เห็นตัวอย่างของการพากเพียรทำความดี และเห็นผลของการทำดี ที่ดีแท้และยั่งยืนยาวนานมากว่า ๗๐ ปี

และคุณค่าสูงสุดของการทำดี ก็คือ  “การทำดี และอยู่เหนือดีนั้น” หรือ “การทำดี โดยไม่ติดยึดความดี” คือทำดีแล้วไม่เสพผลแห่งความดี คือทำแล้วไม่หลงตนว่าฉันเป็นคนดี ไม่หลงยึดว่าสิ่งที่ฉันทำนั้นดีที่สุด หรือ ฉันทำดีให้เธอนะ, ฉันทำดีมากกว่าเธอนะ, ฉันทำดีขนาดนี้เชียวนะ ฯลฯ คือ ไม่แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุขใด ๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นคือมลทินที่จะลดทอนคุณค่าของความดี จนกระทั่งทำลายคุณความดีที่เคยทำทิ้งทั้งหมดไปเลยก็ได้

เมื่อความดีที่ทำนั้น ไม่มีเงื่อนไข ไม่อยู่ภายใต้การบงการของใคร และไม่มีกิเลสใดซุกซ่อนอยู่ภายใน ความดีนั้นก็จะเป็นความดีที่บริสุทธิ์ และเกิดผลดีสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตามเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นในโลกนี้

16.11.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)