ถ้าฉันอยู่ไปจนถึง ๑๐๐ ปี

August 29, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,438 views 0

ถ้าฉันอยู่ไปจนถึง ๑๐๐ ปี

ถ้าฉันอยู่ไปจนถึง ๑๐๐ ปี

ฉันคงได้เผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง การพลัดพรากจากลา

ได้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของหลายสิ่ง

ได้เห็นความไม่เที่ยง ความทุกข์ และความลวงของสิ่งต่างๆ

ได้เห็นเด็กน้อยในวันนี้เติบโตจนกระทั่งกลายเป็นคนแก่

ได้เห็นคนวัยเดียวกัน และคนที่สูงวัยในวันนี้ จากไปทีละคน

ไม่ว่าจะคนดีหรือคนชั่วล้วนถูกกรรมกลืนกินไปตามกาลเวลา

ฉันคงได้แต่มองดูการเปลี่ยนแปลงของโลกไปอย่างเงียบๆ

เมื่อฉันนึกถึงวันนั้น ในวันที่ฉันจะมีอายุ ๑๐๐ ปี ในอนาคต

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ราวกับว่าเป็นเรื่องตลก

คนที่เคยรัก ค่อยๆแก่ เจ็บป่วย และตายจากฉันไป

คนที่เคยชัง ก็ค่อยๆ ตายจากโลกนี้ไปเช่นเดียวกัน

คนที่เคยสวย เคยหล่อ ค่อยๆเหี่ยวย่น แก่ชรา และตาย

คนที่รวยล้นฟ้า มีหน้าที่การงานดี มีชื่อเสียง ก็ตายไปเช่นกัน

มันดูเป็นเรื่องตลกที่ฉันยังหลงมัวเมาอยู่กับหลายสิ่งในวันนี้

ในอนาคตข้างหน้า ในวันที่ฉันมีอายุถึง ๑๐๐ ปี

คนที่เคยอยู่ข้างฉัน เป็นเพื่อนฉัน เป็นกำลังใจให้ฉันในวันนี้

ก็คงจะทยอยหายจากชีวิตของฉันไปจนเกือบหมด

คงไม่เหลือใครที่จำอดีตในวันนี้ของฉันได้ แม้แต่ตัวฉันเอง

ตัวตนของฉันย่อมจะถูกกลืนหายไปตามกาลเวลาเช่นกัน

ฉันในวันนี้ กับฉันในอนาคตก็คงจะไม่ใช่คนเดียวกัน

ในเมื่อฉันได้เห็นว่าความเป็นฉันมันไม่แน่นอนอย่างนี้

ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องเป็นฉันในแบบทุกวันนี้ไปทำไม

แม้แต่คนรอบตัวฉันก็ไม่แน่นอน ฉันก็ไม่รู้จะยึดไว้ทำไม

ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องถูกกรรมและกาลพรากไป

ฉันก็ไม่รู้จะต่อต้านมันไปเพื่ออะไร …

ในเมื่อความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอน

แล้วฉันจะไปหวังให้สิ่งที่ฉันรัก อยู่กับฉันตลอดไปได้อย่างไร

สิ่งที่ฉันจะทำได้ก่อนที่ฉันจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี ไม่ใช่การไขว่คว้า

แต่เป็นการพยายามปล่อยวางในสิ่งที่ฉันยังยึดมั่นถือมั่น

ปล่อยวางให้ได้ก่อนกรรมและกาลเวลาจะมาพรากมันไป

ถึงฉันจะไม่ยอมปล่อยให้สิ่งที่รักนั้นจากไป

แต่วันหนึ่งมันก็ต้องจากฉันไปอยู่ดี

ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจที่จะลงมือก่อน

ฉันจะไม่รอกรรม ฉันจะไม่รอกาลเวลามาพรากมันไป

ฉันจะทำลายความยึดมั่นถือมั่นเหล่านั้นด้วยตัวฉันเอง

ทั้งคนที่ฉันรัก คนที่ฉันชัง และไม่ว่าสิ่งใดที่รัก สิ่งใดที่ชัง

ฉันจะปล่อยให้สิ่งเหล่านั้น เป็นไปตามธรรมชาติของมัน

ฉันจะอยู่กับสิ่งเหล่านั้น อย่างกลมกลืนไปตามธรรมชาติของมัน

แต่ฉันจะไม่เอาสิ่งนั้นเข้ามาเป็นของฉัน เป็นตัวฉัน เป็นชีวิตของฉัน

ฉันอยากให้เป็นการก้าวไปสู่ ๑๐๐ ปีที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตของฉัน

แม้ว่าฉันอาจจะอยู่ได้ไม่ถึง ๑๐๐ ปีก็ตาม…

– – – – – – – – – – – – – – –

28.8.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ยามศึกเรารบ …กับกิเลส ยามสงบเราล้าง …กิเลส

August 28, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,568 views 0

ยามศึกเรารบ ...กับกิเลส ยามสงบเราล้าง ...กิเลส

ยามศึกเรารบ …กับกิเลส ยามสงบเราล้าง …กิเลส

= = = = = = = = = = =

วันเวลาในชีวิตของเราผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลายสิ่งที่เคยวาดฝันไว้ว่าจะทำตั้งแต่ยังเด็กแต่กลับไม่ได้ทำจนถึงทุกวันนี้เหมือนกันกับการแสวงหาสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิต เราทำเหมือนกับว่าสิ่งเหล่านั้นยังไม่ควรแก่เวลา เอาไว้ทำทีหลังก็ได้ ไว้ทำตอนแก่ชราก็ได้

ทุกวันนี้คนมุ่งเข้าหาโลก พยายามพาตัวเองให้หมุนวนไปตามโลก แสวงหา ไขว่คว้า ครอบครองโลกียะทรัพย์ทั้งหลายและหมายมั่นว่าสิ่งนั้นคือที่สุดในชีวิต จนกระทั่งหลงลืมว่างานทางธรรมนั้นยังมีอยู่ สิ่งที่เป็นความสุขแท้นั้นยังมีอยู่ แต่เรากลับเพิกเฉย มองข้าม และปล่อยให้มันผ่านไป

แก่นแท้ของศาสนาพุทธจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากการหลุดพ้นจากกิเลส แม้ทุกวันนี้ความหมายเหล่านี้จะเลือนหายและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่คนผู้มั่นคงในเส้นทางแห่งการพ้นทุกข์นี้ก็ไม่ได้ลดละความเพียรเลย แม้จะต้องเจอเหตุการณ์มากมายที่ประดังเข้ามาในชีวิตประจำวันก็สามารถสู้รบทำศึกกับกิเลส ไม่ยอมให้กิเลสเอาชัยชนะแต่ฝ่ายเดียว และแม้ในยามสงบก็ยังหยิบยกเรื่องกิเลสมาพิจารณา เพื่อทำลายเชื้อชั่วที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจให้จางคลายได้โดยลำดับ

คนที่เห็นภัยของวัฏสงสาร จะไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่มัวเมาหลงระเริงกับเรื่องโลก จะใช้ชีวิตไปพร้อมๆกับการพัฒนาจิตใจให้เจริญได้ โดยที่โลกกับธรรมนั้นหมุนวนไปพร้อมกัน เรื่องโลกก็ต้องดำเนินต่อไปตามเหตุปัจจัยที่พอจะเอื้อให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ เรื่องทางธรรมก็ต้องเพียรให้ถึงที่สุด ไม่เลิกล้มจนกว่าจะสามารถหลุดพ้นจากกิเลสได้

ดั้งนั้นผู้ที่จะเจริญได้ไวที่สุดคือผู้ที่เพียรพยายามต่อกรกับกิเลสในทุกๆลีลา มันจะเข้ามาเราก็ต่อสู้ ไม่ยอมง่ายๆ ถึงแม้เราจะแพ้แต่เราก็ไม่ย่อท้อ ฝึกฝนจิตใจ เพิ่มกำลังปัญญาเพื่อที่จะกลับไปสู้มันอีกครั้ง เป็นนักรบที่ไม่ก้มหัวให้กิเลส ไม่ยอมให้กิเลสเข้ามาครอบครองจิตใจได้ง่ายๆ ไม่หนีสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เพราะรู้ดีว่า หนีไปก็มีแต่จะแพ้ ยิ่งหนี ยิ่งเพิกเฉย กิเลสก็ยิ่งแกร่งกล้า มันยิ่งสะสมพลังแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าสู้ก็ยังพอมีเสมอได้บ้าง แม้จะสู้แพ้ก็ยังได้เรียนรู้ว่าแพ้อย่างไร เพราะอะไร จะแก้ทางครั้งหน้าแบบไหน แต่ถ้าชนะได้เลยก็ยิ่งดี จบเรื่องนั้นๆได้เลย ไปลุยกิเลสเรื่องอื่นๆต่อ

– – – – – – – – – – – – – – –

16.8.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ตรวจใจ ในเรื่องคู่ : ความรักบนทางสายกลาง

August 27, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,790 views 0

ตรวจใจ ในเรื่องคู่ : ความรักบนทางสายกลาง

ตรวจใจ ในเรื่องคู่ : ความรักบนทางสายกลาง

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรากำลังมีความรักที่อยู่บนความเป็นกลาง ไม่โต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง หากปราศจากหลักธรรมที่จะเข้ามาใช้ตรวจและชี้วัดสภาพของจิตใจในขณะนั้นก็คงยากที่จะรู้

การใช้หลักทางสายกลางเข้ามาประยุกต์จะเป็นเครื่องมือที่ชี้วัดได้ง่าย ว่าสภาวะที่เราเป็นอยู่นั้นกำลังไปในทิศทางของกุศลหรืออกุศล เป็นบุญหรือเป็นบาป เพิ่มกิเลสหรือลดกิเลส โดยการทำความเข้าใจกับทางโต่งทั้งสองด้าน

1). โต่งไปด้านกาม

กามคือสภาพดูดดึง ด้วยความหลงสุข เข้าไปรัก เข้าไปเสพ เข้าไปหลงใหล เข้าไปผูกพัน …

แม้จะยังเป็นคนโสด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเหล่านั้นจะอยู่บนทางสายกลาง หากเขาอยู่ลุ่มหลงอยู่ในกาม ยังอยากมีความรัก ชอบคนนี้ อยากได้คนนั้น แอบปลื้มคนโน้น และยังเห็นว่าการครองคู่เป็นสุข ยังเห็นว่าชีวิตจำเป็นต้องมีคู่ เห็นการมีคู่เป็นสิ่งที่น่าหลงใหล อยากได้อยากมีคู่ครองด้วยความหลงสุขใดๆก็ตาม ก็ถือว่ายังเป็นโสดที่หลงอยู่กับกาม

ในส่วนของคนคู่ คือสภาพของการหลงในคู่ของตน หลงเสพ หลงสุข หลงติด หลงยึด สิ่งใดๆก็ตามในคู่ครองของตน ในความเป็นคู่ของตน ไม่ยอมห่าง ไม่ยอมวาง ไม่ยอมคลายความสัมพันธ์ เกาะเกี่ยวแนบแน่นเป็นของกันและกันอยู่แบบนั้น คู่ที่จะพ้นจากกามได้ จะมีความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปสู่ความเป็นเพื่อนไปโดยลำดับ ละเว้นการแตะเนื้อต้องตัว การสมสู่ และอยู่กันแบบเพื่อน จนกลายเป็นเพื่อนกันจริงๆ ปฏิบัติต่อกันเหมือนเพื่อนทั่วๆไป ไม่เหลือสัญลักษณ์ใดๆของความเป็นคู่อีกเลย

2). โต่งไปด้านอัตตา

อัตตาคือสภาพของการผลัก ด้วยความยึดดี เกลียดรัก เกลียดคนชั่ว เกลียดคนเจ้าชู้ เกลียดการมีคู่…

คนโสดที่โต่งไปทางด้านอัตตาจะมีความชิงชังในการมีความรัก การมีคู่รัก ซึ่งอาจจะเกิดได้จากสองประเด็น กรณีแรกคือเห็นโทษชั่วของกาม ปฏิบัติเพื่อออกจากกามได้จริง จึงมาติดอัตตา มายึดดีถือดี ไม่ยอมมีคู่เพราะเห็นว่าเป็นทางชั่ว ในกรณีนี้เป็นความเจริญเพราะออกจากกามได้ ซึ่งจะต้องล้างความยึดดีในลำดับต่อไป

ในอีกกรณีที่สองเกิดจากความผิดหวังช้ำรัก จนเกลียดคู่ เกลียดการมีคู่ เป็นการผลักเพราะไม่ได้เสพสมใจ ในกรณีนี้จะทำให้คนหลงไปว่าตนนั้นหลุดพ้นจากความรัก ทั้งที่จริงๆแล้วยังอยากมีความรักดีๆอยู่ เพียงแค่ไม่อยากทุกข์เพราะความรัก มักจะมีความเห็นในกรณีที่ว่า ถ้ารักไม่ดีไม่มีดีกว่า ถ้าไม่สุขกว่าอยู่คนเดียวจะไม่มี ลักษณะนี้จะมีทั้งกามและอัตตาปนอยู่ จึงตั้งกำแพงอัตตาไว้เพื่อให้ได้เสพกามที่มากกว่าเป็นทางเสื่อม

อัตตาในมุมของคู่รักคือสภาพที่อยู่กันไปทั้งรักทั้งชัง หรืออยู่อย่างไม่มีความสุขเพราะยึดดีเกลียดชั่ว ในกรณีแรกคือคนที่ทั้งรักทั้งชัง คือกามก็มี อัตตาก็จัด คือยังอยากเสพสุขจากคู่ แต่ก็พบกับความไม่ถูกใจหลายอย่างในการมีคู่ ในอีกกรณีคือคนที่ยึดดีเกลียดชั่ว อาจจะเกิดจากการได้ฟังข้อปฏิบัติใดๆมาแล้วเกิดอาการรังเกียจการมีคู่ รังเกียจความเป็นคู่ รังเกียจกิจกรรมใดๆของคนคู่ จึงทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ มองทุกอย่างไม่ดีไปหมด เพราะเขานั้นเกลียดชั่ว ยึดดี ไม่ยอมให้เกิดสิ่งชั่ว จะเสพแต่ดี จึงทำให้เกิดสภาพของการโต่งไปในด้านอัตตา

. . . จากที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นการตรวจใจโดยภาพกว้าง ซึ่งการที่เราจะมีความรักบนทางสายกลางได้นั้น เราต้องเว้นขาดจากทางโต่งทั้งสองทาง คือไม่โต่งไปในด้านหลงสุขในกาม และไม่โต่งจนทรมานตนเองและผู้อื่นด้วยความยึดดี

– – – – – – – – – – – – – – –

27.8.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

รัก กับ sex

August 26, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,486 views 0

ความรักจริงๆมันไม่มีเรื่อง sex ปนหรอกนะ ไอ้ที่มันปนนั่นมันกิเลสทั้งนั้น เขาเรียกว่าความใคร่ ฯลฯ

อย่าเอามาปนกันเพราะมันจะมั่ว จนแยกดีแยกชั่วไม่ออก รักกันมันก็ดี แต่สมสู่กันนี่มันชั่ว

……

เดี๋ยว จะหาว่าพูดเอาเอง หรือจะมาดักกันด้วยเหตุผลเช่น เธอก็เกิดมาจากการสมสู่เหมือนกันละน่า!! จะว่าอย่างนั้นมันก็ใช่ คือเกิดมาจากสิ่งนั้นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องทำสิ่งนั้นไปตลอดสักหน่อย ลดบ้าง ละบ้าง เลิกบ้างก็ได้

…แต่ทุกวันนี้เขาก็ไม่ได้ทำเพื่อผลิตทายาทกันนะ เขาทำสนองกามกัน ดังนั้นอย่าอ้างเลยดีกว่า ยอมเถอะ อายเขา

….อ้างอิงกันหน่อยนะ

อาศัยเกิดแล้วละเสีย

ดูกรน้องหญิง กายนี้เกิดขึ้นด้วยเมถุน ควรละเมถุนเสีย
การละเมถุนพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เสตุฆาต(การฆ่ากิเลสด้วยอริยมรรค)

เล่ม ๒๑ ข้อ ๑๕๙