Dinh (Author's Website)
โดนทิ้ง ควรจะดีใจไหม?
มีคำถามมาว่าโดนทิ้งข้ามปี ควรจะดีใจไหม?
จะโดนทิ้งข้ามปี อกหักข้ามปี หรือจะโดนเทข้ามปี จริง ๆ โดนทิ้งมันก็ไม่ข้ามปีหรอก โดนทิ้งตอนไหนก็ตอนนั้น เพราะโดนทิ้งเป็นลักษณะเชิง active คือเกิดขึ้นเป็นครั้ง ๆ ไม่ใช่สถานะที่แช่อยู่อย่างถาวร
ส่วนควรจะดีใจไหม? ถ้ามีคู่แล้วมันทุกข์มาก การจะดีใจที่หลุดพ้นมาได้ก็เป็นเรื่องที่ไม่เสียหายนัก แต่ก็อย่าไปเสียพลังงานกับมันมากเกินเพราะ เพราะการเจอกัน(เกิดขึ้น) คบกัน(ตั้งอยู่) เลิกกัน(ดับไป) มันก็เป็นเรื่องธรรมดา
สิ่งที่เราควรจะทำคือทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่า มันหมดกรรมหมดวาระต่อกัน เขาก็ต้องจากไปตามกรรมของเขา เราทำดีทำชั่วมาเท่านี้ ก็ได้รับผลเท่านี้ มันก็จบไป
การที่เขาทิ้งเรานี่มันดีอย่างหนึ่งตรงนี้เราไม่ได้มีเจตนาจะทิ้งใคร ก็ควบคุมแค่ตนเองไม่ให้ไปเศร้าโศกเสียใจก็พอ แล้วทิ้งปีเก่านี่มันดีกว่าข้ามมาทิ้งปีใหม่นะ เพราะคนส่วนใหญ่เขาก็สำคัญว่าปีเก่าผ่านไป ปีใหม่เข้ามา อะไรอย่างนี้ ถ้ามันข้ามปีมาแล้วค่อยทิ้งต้นปีมันจะเจ็บปวดมากขึ้น เพราะมันจะหาเหตุให้ลืมทุกข์ได้ยากขึ้น ถ้าทิ้งก่อนปีใหม่ นี่มันยังมีเหตุผลมากลบ ๆ ได้อยู่บ้าง
เราควรจะยินดีที่เขาทิ้งเรา ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าความรักมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันยึดอะไรไว้ไม่ได้เลย เราก็ทำความเห็นให้ถูกว่า รักไหน ๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ เป็นเหมือนกันทั้งหมด คือ เจอกัน คบกัน เลิกกัน มีแค่นี้จริง ๆ ไม่บอกเลิกก็ต้องตายจากกันอยู่ดี ดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องเป็นทุกข์เพราะเสียเขาไป แล้วเราจะไปหยิบเขามายึดไว้ทำไมในเมื่อสุดท้าย เขาหรือเธอเหล่านั้นก็เป็นเหตุให้เราต้องเป็นทุกข์
อย่าไปพยายามหาเหตุผลเอาคู่มาอยู่ในการดำรงชีวิตให้มันมาก มันจะวุ่นวาย คนที่เขาอยู่เป็นโสดแล้วได้ดิบได้ดีก็มีเยอะ แม้แต่มีลูกแล้ว แยกออกมาเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม่เลี้ยงเดี่ยวก็มีให้เห็นกันแล้วว่าหลายคนก็เป็นคนดี ประสบความสำเร็จในชีวิต ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้
ดังนั้นสถานะ ถูกทิ้ง หย่าร้าง หม้าย พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว อะไรพวกนี้มันไม่ใช่ทุกข์ แต่ที่ทุกข์เพราะไปยึดเขาไว้ ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญกับเขาเราก็จะไม่ทุกข์ ถ้าเราหัดพึ่งตน ไม่พึ่งเขาเราก็จะไม่ทุกข์เมื่อขาดเขาไป
จะพ้นทุกข์ มันต้องเลิกยึดไปตามลำดับ เอาคนนอกกายก่อน คนที่มีเป็นคู่นี่ไม่ใช่เลือดเนื้อเดียวกัน ไม่ใช่ญาติเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้มีความเกื้อกูลอะไรเลย นอกจากการพากันไปหลงงมงายอยู่กับเรื่องกิเลส มันก็ต้องเลิกยึดเขามาเป็นของเราก่อนให้ได้ กลับมายึดตัวเอง มาพึ่งตัวเองเป็นลำดับ แล้วค่อยหัดสลายตัวตนของเราอีกทีหนึ่ง ถ้าเป็นลำดับแบบนี้จะพ้นทุกข์ได้
แต่ถ้าไม่หัดพึ่งตนเลย จะพึ่งแต่คู่ครอง เกาะเขาไว้เป็นที่พึ่ง พึ่งเงินเขา พึ่งบารมีเขา พึ่งความสบาย อันนี้มันก็ไม่ใช่ทางที่ถูก เพราะมันไม่พึ่งตน แถมยังจะไปเอาจากเขามาเสพอีก ส่วนมากความรักก็แอบเสพกันแบบนี้ แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง เปรียบเหมือนเอาป้ายมาแปะบังไว้ให้สวย ๆ เฉย ๆ แท้จริงก็มีแต่เรื่องกิเลส เรื่องกาม เรื่องอัตตา ก็ยึดกันไว้ด้วยสารพัดเหตุผล พอเขาทิ้งมันก็ทุกข์สิ มันจะเหลืออะไร
คนยึดคู่ไว้ ต่อให้บอกว่าควรดีใจก็ดีใจไม่ออกหรอก มันจะซึมเศร้าเพราะเสียของรักวันยังค่ำนั่นแหละ นี่ถ้าไม่รักก็ไม่ทุกข์แล้ว ก็หลงไปรักเอง รักเอง ยึดเอง ช้ำเอง เราอวดเก่งจะโทษใคร … พระพุทธเจ้าก็สอนอยู่ มีรัก 100 ทุกข์ 100 มีรัก 1 ทุกข์ 1 ไม่รักเลย ไม่ทุกข์เลย แล้วจะไปพยายามหารักมาใส่หัวให้มันทุกข์ทำไม อย่าไปเก่งเกินพระพุทธเจ้าเลย อย่าไปหลงตามใครเขาว่ารักแบบนั้นแบบนี้มันจะไม่ทุกข์ ระวังให้ดีเถอะ นั่นพญามารปลอมตัวมาหลอก ให้คนหลง เมา ๆ กันไป แท้จริงตัวเองนั่นแหละ อยากเสพ เลยสร้างวาทกรรมที่พาให้คนหลงว่ามีรักแต่ไม่มีทุกข์ก็ได้ อะไรประมาณนั้น ระวังไว้ อันนั้นมันตรงข้ามกับที่พระพุทธเจ้าท่านสอน
สุดท้ายก็จะสรุปไว้ว่า ถ้าเราไม่มีความยึดในคู่ ถ้าเขาเลิกไป มันจะมีแต่ความยินดีในจิต เพราะมันหมดภาระที่มีต่อกัน หมดเหตุผลที่จะต้องแบกกัน มันก็เบาขึ้น สบายขึ้น มันจะมีแต่ความโล่ง เบาสบาย ไม่หดหู่ ไม่เศร้าหมอง ยินดี พอใจ ถูกทิ้งด้วยใจผาสุก
ช่วยคนที่ช่วยไหว
หลักการประมาณน้ำหนักในการสื่อสารในเฟสบุคของผมคือ ช่วยคนที่ช่วยไหว
คือประมาณฐานสูงเป็นหลัก เพราะฐานคนที่เขามีอินทรีย์พละสูง จะลงน้ำหนักได้มาก ไม่ต้องอนุโลมมาก เปรียบเหมือนคุยกับคนมีประสบการณ์ ย่อมทำความเข้าใจเนื้อหาได้ไว
ผมก็ตรวจสอบเป็นระยะนะ ว่าถ้าเราพิมพ์ประมาณนี้เขาก็รับกันได้ เขาก็ยังยินดีกันอยู่ แสดงว่ามันพอไหว แต่จะให้อนุโลม ผ่อนลงไป มันก็ทั่ว ๆ ไปล่ะนะ ธรรมะแนวโลกสวยเขาก็มีคนทำกันเยอะอยู่แล้ว ตลาดนั้นเราไม่เอาหรอก ทำไปก็ไม่พ้นทุกข์ เราเอาแบบของเราดีกว่า แบบเบา ๆ เราก็เคยศึกษามา มันไม่ถึงใจ ไม่เข้าเนื้อ ไม่โดนอัตตา ศึกษาธรรมะไม่โดนอัตตามันจะล้างอัตตาได้ไหมล่ะ มันก็ต้องกระทบก่อนถึงจะจับได้ จับได้แล้วค่อยล้างกันต่อไป
พระพุทธเจ้าท่านก็ทำเป็นตัวอย่าง คือแสดงธรรมอย่างหนัก ด่าเป็นด่า จริง ๆ ก็คือเตือนละนะ ถ้าถ้าผมเอาประโยคเหล่านั้นไปเตือนใคร เขาก็คงคิดว่าด่าแน่ ๆ
ยกมาบทหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านให้ลูกศิษย์เลือกระหว่างไปกอดกองไฟที่กำลังลุกโชนกับไปกอดหญิงสาว ลูกสาวคนใหญ่คนโต ที่น่ารักน่าใคร่ คิดว่าอย่างไหนจะดีกว่า จะประเสริญกว่ากัน
ว่าแล้วลูกศิษย์ ก็ตอบว่า ไปกอดสาวสิประเสริฐกว่า … เท่านั้นแหละ โดนเป็นชุดใหญ่ ประมาณว่า เราจะเตือนเธอไว้ คนที่ผิดศีล มีธรรมลามก ประพฤติน่ารังเกียจ ปกปิดความชั่ว ไม่ใช่สมณะแต่บอกคนอื่นว่าเป็นสมณะ ไม่ประพฤติพรหมจรรย์แต่บอกคนอื่นว่าประพฤติ เน่าใน มีความหื่นกระหาย การเข้าไปกอดหญิงสาวจะประเสริญยังไง …(อัคคิขันธูปมสูตร เล่ม 23 ข้อ 69)
ว่าแล้วท่านก็ไขความว่าอะไรดีกว่าเพราะอะไร แล้วก็ถามอย่างเดิมโดยยกตัวอย่างประเด็นอื่นมาตามลำดับ อีกหลายเรื่อง
ผลสรุปว่า 60 คนบรรลุธรรม 60 คนกระอักเลือด 60 คนลาสิกขา (ตายจากธรรม) สรุปคือ ตายไป 2 ใน 3 สำเร็จแค่ 1/3 ส่วน ซึ่งอันนี้คือความจริงที่ประเสริฐที่สุดแล้ว เก่งแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้ทุกคน ขนาดพระพุทธเจ้ายังช่วยคนโง่ไม่ได้เลย แล้วท่านรู้ไหม? ท่านรู้โลกอย่างแจ่มแจ้งนะ กับผลแค่นี้ท่านรู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาแบบนี้
กลับไปที่ตอนตรัสรู้ใหม่ ๆ ท่านจะไม่สร้างศาสนา ไม่สอนคนเลยนะ เพราะมันเหนื่อย ยาก ลำบาก พอมีพรหมมาเชิญให้ท่านสอน ด้วยเหตุที่ว่า “คนที่มีฝุ่นในดวงตาน้อยยังมีอยู่” นั่นแหละ หมายถึงคนที่มีความโง่น้อยยังมีอยู่ ท่านก็สอนแต่คนเหล่านั้นนั่นเอง ท่านไม่ได้สอนทุกคนนะ
ถ้าคนโง่มากนี่ไม่ไหว พวกอินทรีย์พละอ่อนนี่ไม่ไหว ท่านก็ตรัสไว้ในอีกสูตรว่า พวกอินทรีย์พละอ่อนนี่ให้ทำอะไรก็บ่น ไม่อยากทำ สอนอะไรก็ไม่เอา อาการจะเป็นแบบนี้
…ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังประมาณเลย ผมจะไม่ประมาณได้อย่างไร แต่จะประมาณยังไง ก็ตามความรู้ที่มี ถ้าเป็นไปได้ผมก็จะเอาฐานสูงไว้ก่อน เอาอินทรีย์พละแกร่ง ๆ ไว้ก่อน เพราะไม่ต้องเสียเวลาปรุงแต่งคำให้มันสละสลวยนัก มันจะเสียเวลาและเสียประโยชน์มาก ถ้าเราเอาใจฐานต่ำ ๆ เป็นหลัก
เพราะถ้าเราประมาณต่ำ คนที่เขาสูง ๆ เขาก็จะเบื่อ เขาก็จะเสียประโยชน์ ทั้ง ๆ ที่เขามีองค์ประกอบที่จะเข้าใจเรื่องนั้น ๆ ได้ แต่เราก็มัวแต่โอ๋เด็ก คนฐานต่ำนี่ผมไม่หวังอะไรมากหรอก ไม่เอาจริงเอาจัง ไม่ตั้งใจ เป็นคนประมาท คนฐานนี้ก็ให้คนอื่นเขารับไป มีเยอะแยะเลย
แต่เราไม่เอาหรอก ไม่ไหว มันเมื่อยหัว ไม่มียังจะดีกว่า บอกกันตรง ๆ ถ้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่จริงใจ ไม่ได้ทุกข์ขนาดที่ว่าจะหาทางออกจริง ๆ ไม่ได้คิดแสวงหาทางปฏิบัติจริง ๆ มาแบบเล่น ๆ หาเพื่อนคุย นี่ผมไม่เอาด้วยหรอก มันเสียเวลา
พระพุทธเจ้าท่านยังบอกเลยว่าให้คบคนที่สูงกว่าหรือเสมอกัน ส่วนฐานต่ำกว่าก็ละไว้ในฐานที่น่าจะพอเข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ไปอ่านเจอในพระสูตรนึง ก็ยังมีอนุโลมอยู่บ้าง ในกรณีที่เขามาให้ช่วย ตรงนี้ก็ช่วยเขาได้ เขาศรัทธาเรา เราก็ช่วยเขา มันก็เป็นความเกื้อกูลกันไป แต่ถ้าไม่ได้ศรัทธากัน มันจะช่วยกันไม่ได้ คุยไป ๆ มันจะเพ่งโทษถือสา มันจะเสียมากกว่าได้ ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยคุยเล่นสักเท่าไหร่ ยกเว้นบางท่านที่เคยรู้จักสนทนากันมาก่อน อันนั้นก็เป็นอีกบริบทหนึ่ง
ดังนั้นสรุปเลยว่า ผมจะเอื้อเฉพาะที่ผมเอื้อไหว ถ้าจะระดับเอื้อทุกฐานนี่ต้องครูบาอาจารย์ของผมแล้วล่ะ อันนั้นท่านมีบารมีมาก มีกำลังมาก เหมือนพระโพธิสัตว์พันมืออะไรแบบนั้น ท่านก็มีมือเยอะ มีปัญญาเยอะ ช่วยคนได้หลายฐานะ อันนี้เราก็เท่านี้ ก็เท่าที่พิมพ์กันทุก ๆ วันนี่แหละ ก็เก่งอยู่ไม่กี่เรื่อง ก็ช่วยได้เท่าที่รู้นั่นแหละ
แต่ที่ช่วยไม่ได้เลยนี่คือคนเก่งกว่าผม จะเก่งจริง หรือเก่งหลอกไม่รู้แหละ เก่งจริงก็ไม่ต้องไปช่วยแนะนำอะไรท่านอยู่แล้ว ช่วยเรื่องงานก็พอ ส่วนเก่งหลอกนี่มันก็หลอกทั้งตัวเองทั้งคนอื่น มันก็ติดเพดาน เหมือนชาเต็มถ้วย มันก็ช่วยกันไม่ไหว ก็ต้องปล่อยให้ศึกษากันไปเองตามที่สนใจ
สละสิ่งของกับสละคู่ มันก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ
ทาน หรือการให้ การสละออก นี่มันมีลำดับของมันนะ มันต้องเริ่มจากของที่สละง่ายก่อน ของที่ยึดน้อย ๆ ไปเป็นลำดับ ต้องหัดพราก หัดสละจากของที่รักน้อย ๆ ก่อน เช่นทรัพย์สินเงินทองต่าง ๆ
อันนี้ถ้าเกิดและโตในเมืองไทย ถือว่าต้นทุนดี เพราะเมืองไทยยังมีการ “ทาน” ให้เห็นอยู่เป็นประจำ แม้แก่นศาสนาจะแทบไม่เหลือแล้ว แต่รูปรอยของการทำดียังคงอยู่ให้เห็นเป็นตัวอย่างที่ดีในปัจจุบัน
เราก็ต้องเริ่มจากการสละไปทีละเรื่อง แต่ละเรื่องจากมีความยากง่ายไม่เท่ากัน แต่ละคนก็ต่างกันไปอีก อยู่ที่ใครจะยึดอะไรไว้
เบื้องต้นก็เป็นสิ่งของนอกกาย ที่เรามีสิทธิ์ครอบครอง เราก็สละให้คนอื่นได้ใช้ประโยชน์ ไม่หวงไม่ยึดไว้ สุดท้ายแม้แต่คนที่เรารัก ก็ยังเป็นสิ่งที่อยู่นอกกาย ก็สามารถสละเป็นทานได้เช่นกัน
ทานบารมีที่สูงที่สุดในโลก พระพุทธเจ้าได้ทำไว้ในชาติของพระเวสสันดร คือให้ลูกเป็นทาน ให้ภรรยาเป็นทาน คนที่จะเข้าใจในทานระดับนี้ต้องเรียนรู้ทานในระดับต้น ๆ ก่อน ถึงจะพอเห็นภาพว่ามันยาก มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ของจิตมนุษย์ที่สามารถสละได้แม้สิ่งที่ตนรักที่สุด
แต่ตอนนี้เราจะทำง่ายกว่า เพราะเรามีคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นแกนแล้ว เรียกว่ามีแผนที่ มีบทสรุป มี how to ให้สละสิ่งเหล่านี้กันได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องบำเพ็ญเท่าท่าน เพราะท่านทำมาหมดแล้ว แล้วสรุปมาสอนให้เราได้เรียนรู้
สิ่งของกับคู่ครอง มันจะต่างกันตรงน้ำหนักที่ยึดไว้ แต่รูปแบบการปฏฺิบัติคือ “ทาน” เหมือนกัน บางคนให้เขาสละเวลา สละเงินหาของใส่บาตรทุกเช้า เขาก็ทำได้ แต่ให้เขาสละคู่ครอง สละสิทธิ์ในการมีคู่อย่างเต็มใจ อันนี้น้อยคนที่น่าจะทำได้
ทานยิ่งสละมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีบารมีและเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นมากเท่านั้น ลดตัวตนได้มากเท่านั้น โดยเนื้อแก่นของทานแล้ว ไม่ใช่มูลค่าของวัตถุสิ่งเขา แต่เป็นจิตที่ยึดผูกพันคน สัตว์ สิ่งของเหล่านั้นไว้ เราก็ใช้องค์ประกอบของทานหรือการสละออกนี่แหละ เป็นอุบายในการพรากจากของที่เรารัก
ถ้ามันยึด มันจะยื้อ มันจะไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมให้เขา เรื่องคู่นี่มันสละกันยาก มันก็ต้องเริ่มจากทานสิ่งที่พอจะสละได้กันก่อน หัดแบบง่าย ๆ กันก่อน แล้วสั่งสมบารมีมาเรื่อย ๆ มันจะมีกำลังพอที่จะสละสิ่งที่รักมาก ๆ ไหว
มันต้องเป็นไปตามลำดับของมัน ง่าย กลาง ยาก ต้องฝึกฝนไปตามลำดับ ไม่ลัดขั้นตอน ถ้าลัดมาก กิเลสมันจะบีบคอให้กลับไปเสพ ต้องล้างความยึดไปตามลำดับ
…ส่วนสละโสดนั้นไม่เรียกว่าสละ ไม่เรียกว่าทาน เพราะเป็นการเอามาเพิ่ม ปัญหาไม่ลด ปัญญาไม่เพิ่ม เป็นภาษาเฉย ๆ พิมพ์ไว้กันคนแซว
วิธีรับมือคนมาจีบแบบบัณฑิต
พระพุทธเจ้าตรัสว่า บัณฑิตคือผู้ที่ประพฤติตนเป็นโสด แล้วจะทำอย่างไร? เมื่อเราตั้งใจอยู่เป็นโสด แล้วมีคนมาจีบ
คนที่เขามาจีบเราในตอนที่เราปฏิบัติธรรมอยู่ ก็ไม่ต้องไปชังเขานะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องไปชอบเขากลับ เราก็ทำหน้าที่ของเราคือตั้งตนอยู่ในคุณอันสมควร คือตั้งใจเป็นโสดแม้เขาจะมาจีบ มาชอบ หรือกระทั่งมาอ่อยเหยื่อก็ตาม
ก็ให้ตั้งจิตเราให้ถูก ให้ตั้งใจไว้ว่าหน้าที่ของเราคือความเกื้อกูล ไม่ทำให้เขาเป็นทุกข์ ไม่พาให้เขาหลง เท่าที่ปัญญาของเราพอจะทำได้
ที่เขามาชอบเรา มันมีหลายเหตุ อันนี้ไม่ต้องไปเดาให้เมื่อยหัว เสียเวลาเปล่า ๆ เอาเป็นว่าที่เขามาชอบเนี่ย มันจะทำให้เขาเป็นทุกข์แน่ ๆ เพราะเขาจะไม่มีวันสมหวัง
เพราะเราจะไม่ทำอย่างคนอื่นเขา เราจะไม่ล่อลวง ไม่เกี้ยวพาราสี ไม่ทำทีเล่นทีจริง ทิศของเราชัดเจนคือเราจะพากันไปพ้นความหลง พ้นจากความทุกข์ เรารู้ดีอยู่ว่าการไปมีคู่คือทางไปทุกข์ ดังนั้นการไม่รับรักเขา นั่นคือความเกื้อกูลที่เราพึงกระทำได้
เวลาคนเขาตอบรับรักกัน ส่วนใหญ่เขาก็ดีใจกันมากมายนั่นแหละ เพราะเขาเห็นของไม่ดีเป็นของดี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เขาก็เลยหลงดีใจกับสิ่งที่จะพาให้เป็นทุกข์
พอคบกันไปแล้วทุกข์มันจะเริ่มเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จากความคาดหวัง ความเอาแต่ใจ ความพร่องของเหตุการณ์ต่าง ๆ การอยู่เป็นคู่นั้นมีแต่ทุกข์ ทุกจังหวะชีวิต ไปไล่ตรวจสอบดูเถอะ ถ้าเหตุปัจจัยมันเปลี่ยนหรืออะไร ๆ ไม่ได้ดั่งใจ ความทุกข์จะเกิดขึ้นไหม แค่จินตนาการก็เห็นแต่ทุกข์ทั้งนั้น ของจริงก็ไม่เหลือหรอก เพราะทุกข์จริงและออกยากด้วย
ทีนี้เราเห็นทุกข์ขนาดนี้ เราก็จะไม่พาเขาไปทางนั้น เขาอาจจะผิดหวังที่เราไม่รับรัก แต่เขาจะไม่ทุกข์ไปมากกว่านั้น แล้ววันหนึ่งที่เขาสั่งสมประสบการณ์ของทุกข์จากความรักมากพอ เขาจะรู้ว่า การที่เราไม่ไปคบกับเขานั่นแหละ คือการเกื้อกูลกัน คือน้ำใจที่มีให้กัน คือการหวังให้เกิดแต่ประโยชน์ในชีวิตของกันและกัน
ก็อาจจะมีที่คนเขาคิดไปว่า ถ้าคบหากับคนดีที่ปฏิบัติธรรมก็คงจะดีสิ ไม่ทำร้ายเรา แต่ในความจริงมันจะทุกข์ไปอีกแบบ การคบหากันในโลกส่วนใหญ่จะอยู่ในมิติของกาม แต่ถ้ามาคบหาคนที่ปฏิบัติธรรม จะต้องเผชิญกับมิติของอัตตา
ไม่ใช่แค่อัตตาของคู่หรอกนะ แต่เป็นอัตตาของเราด้วย เพราะบางทีฐานมันไม่เสมอกัน เช่น คู่เขาฐานศีล ๘ ขึ้นไปแล้ว เขาไม่สัมผัส ไม่มองตา ไม่คุยด้วย ไม่สมสู่ ไม่เหลืออะไรให้เสพแล้ว ทีนี้ถ้าเราฐานไม่ถึงมันจะทรมานจากความอยาก มันอยากได้ความรักแบบโลกีย์ แต่เขาไม่มีให้ มันจะทุกข์เพราะความอยากมันบีบคั้น มันก็จะทุกข์ไปอีกแบบหนึ่ง
ทีนี้การจะช่วยเขาจากการหลงรักเรานี่เป็นความยากอีกระดับ เพราะมันจะมีองค์ประกอบที่มากั้นเยอะ 1.เขาหลงเรา 2.มีวิบากกรรมที่เคยทำชั่วมา 3.ปัญญาของเรา
1.ถ้าเขาหลงเรานี่มันจะพูดกันเข้าใจยาก เหมือนตัวเราอยู่ตรงนี้ แล้วเขาไปมองตรงอื่น ก็จะสื่อสารกันยาก เพราะสาระของเราคือธรรมะ ไม่ใช่ตัวตนของเรา ดังนั้นมันจะพาไปสู่ทิศทางที่ถูกได้ยาก
2.วิบากกรรม เป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจและทำใจยอมรับ บางทีมันเกิดจากเราทำชั่วมามาก พอเวลาจะพูดดีทำดี มันจะไปไม่ออก ไม่เข้าท่าขึ้นมาเฉย ๆ หรือถ้าฝั่งเขา เขาก็อาจจะทำไม่ดีมามาก วิบากบาปมันเลยกั้นไว้
3.ปัญญาของเรา อันนี้เป็นสิ่งที่พอจะพัฒนาได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่สะสมข้ามภพข้ามชาติ สุดท้ายก็ต้องใช้ตัวนี้แหละช่วยเขา เราต้องเก่งขึ้นเพื่อช่วยเขา แต่ก็ให้วางใจว่าขนาดพระพุทธเจ้าที่มีปัญญาสูงสุดในโลก ก็ยังไม่สามารถทำให้นางพิมพาบรรลุธรรมได้ทันที จะต้องหน่วงไปอีกสักพัก แม้นางพิมพาจะมีภูมิเก่าถึงขั้นอรหันต์ แต่มันจะฝ่าวิบากกรรมตามข้อ 2 ไม่ได้ง่าย ๆ ดังนั้นปัญญาตัวจบคือปัญญาปล่อยวาง คือช่วยเต็มที่แล้วปล่อยวางให้ได้ ให้รู้ว่าจังหวะไหนควรใช้ จังหวะไหนควรวาง
สรุป… การที่เราไปหลงตามเขาคืองานหลักของเรา ส่วนงานช่วยเขาเป็นงานรอง ถ้ามีกำลังถึงจะทำไปพร้อม ๆ กันก็ได้ แต่ถ้ากำลังจิตไม่ถึง มันหวั่นไหว ก็ให้เน้นไปที่งานตัวเองก่อนเป็นหลัก เพราะถ้าเราพ้นทุกข์ได้ เราจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเรายังเป็นทุกข์ ยังหวั่นไหวกับเขาอยู่ เราจะช่วยเขาไม่ได้เลย ดีไม่ดีจะลากเขาลงนรกไปกับเราด้วยอีกต่างหาก