Tag: ทุกข์

เราไม่ควรที่จะมีความรักระหว่างหญิงชายอย่างนั้นหรือ?

December 17, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 836 views 0

ถาม : เราไม่ควรที่จะมีความรักระหว่างหญิงชายอย่างนั้นหรือ?

ตอบ : มีความรักในสิ่งใด ก็จะต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น ไม่ว่าจะคู่รัก ครอบครัว ประเทศหรือแม้กระทั่งรักในความเชื่อถือของตน ถ้าตอบตามแนวทางของพุทธ สภาพของการหลงรักก็คือสภาพของโมหะ หรือความหลง ในมุมของเป้าหมายในการปฏิบัติถือว่าไม่ควร แต่ในการปฏิบัติจะต้องเป็นไปตามลำดับคือ ค่อย ๆ ละ ความยึดมั่นถือมั่นไปโดยลำดับ เพราะแต่ละคนมีอินทรีย์พละไม่เท่ากัน จึงทำให้เข้าถึงธรรมได้ไม่เสมอกัน คนจะเข้าถึงสภาพที่พ้นจากความหลงรักได้โดยลำดับ ตามที่เขาได้ตั้งใจปฏิบัติ ดังนั้นการละเว้นจากความรักชายหญิงจึงเป็นเป้าหมายที่ควรปฏิบัติ ส่วนใครจะเข้าถึงสภาพที่ละหน่ายคลายได้อย่างผาสุก เป็นอีกประเด็นหนึ่ง

รัก เพื่อ ทุกข์

February 14, 2017 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,971 views 1

รักเพื่อทุกข์

รัก เพื่อ ทุกข์

บางครั้ง การที่เราพยายามแสวงหาไขว่คว้าความรักและกอดมันไว้ นับเดือน นับปี จนถึงหลายสิบปีหรือกระทั่งหลายต่อหลายล้านชาติ ก็เพียงเพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่า รักมันทุกข์อย่างนี้นี่เอง…

ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ แต่หลายคนกลับยินดีที่จะหลงรักใครสักคนหนึ่ง หลงยึดมั่นถือมั่นคนที่เพิ่งพบเจอได้ไม่นานมาเป็นหลักชัย มาเป็นเป้าหมาย มาเป็นที่พึ่งพิงของชีวิต แม้ตัวเราเองอยู่กับตัวเองมาจนถึงป่านนี้ ก็ยังทำหลายสิ่งหลายอย่างให้ตัวเองต้องเป็นทุกข์ ต้องเสียหาย ไม่ว่าจะด้วยความโลภ โกรธ หลง ใด ๆ ก็ตาม เราก็ยังแก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้ แต่เรากลับเชื่อมั่นว่าใครสักคนหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตในบทบาทของคู่รักนั้น จะทำให้เราพ้นไปจากทุกข์ได้

มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่การมีคู่นั้นจะทำให้พ้นไปจากทุกข์ ในเมื่อความเป็นจริงแล้ว เราคนเดียวก็ทุกข์จากความโลภโกรธหลงของเราจะแย่อยู่แล้ว ยังเพิ่มอีกคนเข้ามาและยึดเขาเป็นของเรา แล้วมาเพิ่มความโลภโกรธหลง แบ่งปันกิเลสตัณหาให้มันเป็นทุกข์ทวีทับถมหนักขึ้นไปอีก

จริงอยู่ที่แรกรักนั้นว่าหวาน เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า  “ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น” รสหวานหรือความรู้สึกสุขของความรักนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงสิ่งที่คนปั้นแต่งขึ้นมาหลอกจิตว่าเมื่อได้เสพสิ่งนั้นแล้วจะเป็นสุข เป็นสิ่งที่คนหลงหลอกตัวเองและหลอกกันเองมาหลายภพหลายชาติ และจะหลอกกันไปอีกนานไม่จบไม่สิ้น สามารถพิสูจน์ความลวงของความหลงได้โดยการทดลองเปรียบเทียบ เช่น มีคนร้อยคน แม้เขาจะทำบางสิ่งบางอย่างที่เหมือน ๆ กันให้กับเรา เราจะไม่ได้รู้สึกกับเขาเหมือนกันทุกคน หรือ ให้เราไปทำดีกับคนร้อยคน ให้ทำแบบเดียวกันเลย เราจะไม่ได้รู้สึกกับเขาเหมือนกันทุกคน มันจะมีชอบมากชอบน้อยต่างกันไปตามความหลง ตามความลำเอียง ตามความยึดมั่นถือมั่น ความรู้สึกที่เกินหรือขาดตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือความหลงทั้งนั้น ความรักที่จะต้องมีคู่มาสนองนั้นจึงเป็นรูปแบบหนึ่งของความหลง

ความทุกข์จากความรัก เกิดขึ้นเมื่อไม่ได้สมใจอยาก การมีคู่คือการหาใครสักคนมาสนองตัณหา ให้ใครคนนั้นมาสร้างสุขให้ แรก ๆ มันก็อาจจะพอทนทำดีต่อกันไปได้ เพราะได้ผลประโยชน์บางอย่างร่วมกัน แต่วันหนึ่งสิ่งที่เขาเคยอยากได้ เคยหลงชื่นชอบ ยกย่องและให้คุณค่า มันเสื่อม มันเก่า มันแก่ มันเปลี่ยนแปลง ฯลฯ หรือไม่มันก็มีอะไรที่มันดีกว่า เขาก็อาจจะเลิกสนองตัณหาให้เราก็เป็นได้

เมื่อถึงวันใดวันหนึ่งที่เกิดความพร่อง เขาไม่ส่งส่วย ไม่บำเรอความรัก ไม่บำบัดความใคร่อยากของเราเหมือนดังเดิม วันนั้นแหละ คือวันที่จะทุกข์และทุกข์สะสมไปเรื่อย ๆ จากความไม่พอใจบ้าง จากความอยากเอาชนะบ้าง จากความหึงหวงบ้าง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือผลจากความโลภโกรธหลงที่สะสมมาตั้งแต่แรกรัก หรือที่เรียกว่ากิเลส หรือรู้จักกันสั้น ๆ ว่า “บาป

การหลงรักแล้วไม่ทุกข์นั้นไม่มีหรอก ถึงจะพยายามเลี่ยงบาลี หาคำวิเศษวิโสหรือนิยามอันสวยหรูขนาดไหนมาอ้าง การเข้าไปหลงรักมันก็ทุกข์อยู่ดี เพราะถ้าไม่มีความหลง มันก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะเข้าไปสัมพันธ์กับใคร ๆ ในเรื่องชู้สาวเลย “เหตุ” นั้นแหละคือความหลง คือกิเลส คือบาป คือทุกข์ คือความชั่วที่ทำร้ายตนเองและผู้อื่นได้อย่างแนบเนียน

ถ้ามีใครสักคนเอ่ยขึ้นมาว่า “การที่เราเข้าไปหลงรักสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเป็นเพราะความไม่รู้” อาจจะฟังดูเป็นประโยคสรุปปัญหาที่แสนจะสั้น แต่ในความเป็นจริงนั้นการเดินทางสู่การปลดเงื่อนแห่งความหลงนั้นเป็นเส้นทางที่แสนจะยาวไกลและยากลำบาก

เพราะการที่เราจะ “รู้” โทษภัยของความหลงอย่างแท้จริงนั้น ต้องไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือทุกข์จะพอใจ ทุกข์จนสาสมใจ ทุกข์จนสาแก่ใจให้มันเข็ดขยาดไม่เอาสิ่งนั้นด้วยปัญญารู้โทษชั่วของสิ่งนั้นอย่างแจ่มแจ้ง ว่าการหลงรักนั้นมีแต่ทุกข์ ทุกข์ และทุกข์ สุขไม่มีอยู่จริงเลย และสิ่งนั้นไม่จำเป็นกับชีวิตแม้แต่นิดเดียว มีแล้วจะเป็นภาระด้วยซ้ำ

ความทุกข์จากความรักนั้น เป็นสิ่งที่หลายคนได้รับ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจความจริง ไม่ใช่ทุกคนที่จะ “รู้” ถึงขนาดจะปลดปล่อยตัวเองจากความหลงได้ จะเห็นได้ว่ามีคนที่ทุกข์แต่ก็ยังทน ทนอยู่ทนเจ็บ นั่นเพราะเขาทนเพื่อจะเสพบางสิ่งบางอย่างในสิ่งที่เขาเรียกว่าความรักนั้น เพราะเขาหลงว่านั่นเป็นสุขมากกว่าทุกข์ ดังนั้นแม้เขาจะเป็นทุกข์ แต่เขาก็จะไม่ยินดีออกมาจากวังวนนั้น

บางคนทุกข์มากจนต้องหนีออกมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกมาได้อย่างถาวร เพราะไม่ได้มีความรู้จริงว่าการหลงรักนั้นสร้างทุกข์อย่างไร ก็จะทำได้เพียงแค่ออกจากความรักเก่า ไปแสวงหาความรักใหม่ วนเวียนทุกข์จริงและเสพสุขลวงไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน

หลักสำคัญไม่ใช่เราจะหลุดพ้นจากสภาพของคนคู่ได้หรือไม่ มันสำคัญตรงที่ว่า เราหลุดพ้นจากความหลงติดหลงยึด หลงสุขลวง ๆ ในการมีคู่ได้หรือไม่ต่างหาก รูปธรรมหรือสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ใช่ตัวยืนยันว่าจะพ้นจากทุกข์ แต่นามธรรมหรือสิ่งที่มองไม่เห็น คือความหลงกับเรื่องใดในจิตได้ถูกกำจัดไปหรือยังต่างหาก คือตัวยืนยันว่าจะพ้นจากทุกข์ในเรื่องนั้น ๆ

เมื่อคนได้เรียนรู้ความทุกข์จากความรักหรือถึงความเข้าใจที่สุดแห่งทุกข์ของการหลงรัก คือไม่มีวันที่จะทุกข์ได้มากกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีความโง่ที่จะหลงสร้างบาปเพื่อทำทุกข์ให้กับตนเองและผู้อื่นไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว เขาจะปล่อยวางความรักเหล่านั้นได้เอง เพราะรู้จริงแล้วว่า รักนั้นมีไว้เพื่อเป็นทุกข์เท่านั้นเอง

10.2.2560

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ทุกข์เพราะสำคัญตนผิด

September 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,229 views 0

ทุกข์เพราะสำคัญตนผิด

ทุกข์เพราะสำคัญตนผิด

สาเหตุหนึ่งของความทุกข์นั้นเกิดจากกิเลส เกิดจากความโลภ โกรธ หลง แล้วมันโลภอยากได้อะไร มันไปโกรธอะไร มันไปหลงในอะไร ในตอนนี้เราจะมาไขปัญหากันในมุมของ ” อัตตา คือความเห็นว่าเป็นฉัน ฉันเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ มีคุณค่าอย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ

เมื่อเรามีความหลงว่าเราเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ความหลงก็จะลวงให้เกิดความโลภ อยากได้ดีเกินความจริง เมื่อไม่ได้รับการสนองที่สมกับที่ตนเองหลง ก็จะเกิดความโกรธ ขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ และเรามาลองดูจากตัวอย่างเหล่านี้กัน

 

ทุกข์ของคู่รักที่เลิกรากันไป เพราะเขานั้นเข้าใจว่าตนเองเป็นสิ่งสำคัญ เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ควรถูกทิ้ง แต่พอถูกบอกเลิก ก็เหมือนถูกมองข้ามคุณค่าที่ตนเองเคยคิดไว้ เมื่อคุณค่าที่ตนเคยตั้งไว้สูงส่ง กลับถูกเมินเฉยและทิ้งไปโดยไม่ใยดีก็ย่อมจะเกิดความทุกข์

ทุกข์ของคนที่ไม่ได้สิ่งที่หวังจากคนรัก เพราะเขาใจว่าตนสมควรได้รับสิ่งนั้น มีคุณค่ามากพอที่จะได้รับสิ่งนั้น แต่เมื่อไม่ได้รับสิ่งที่หวัง ก็จะทุกข์เพราะรู้สึกว่าได้รับการตอบสนองน้อยกว่าที่หวังไว้

ทุกข์เพราะทำไม่ได้อย่างที่หวัง เพราะเข้าใจว่าตนเองทำได้ดีกว่านั้น มีความสามารถมากกว่านั้น เพราะหลงว่าตนเก่งมีความสามารถ พอมีเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถทำอะไรให้ประสบความสำเร็จดังใจหวัง ก็จะรู้สึกทุกข์เพราะลึกๆในใจนั้น เข้าใจว่าตนเองมีความสามารถมากกว่าผลงานที่ทำออกมา

ทุกข์เพราะไม่เกิดดีดังใจ เพราะเข้าใจว่าทำดีแล้วต้องได้ผลดี เป็นการคาดหวังว่าจะเกิดสิ่งดีขึ้น แต่พอไม่เกิดสิ่งที่ดีก็อกหักอกพัง เพราะสำคัญผิดว่าจะต้องเกิดดีเสมอหากเราทำสิ่งที่ดี ซึ่งในความจริงนั้นการทำดีจะเกิดผลดีหรือไม่ดีก็ได้ ผลที่เกิดนั้นเป็นเรื่องอจินไตย จึงไม่ควรคิดหวังว่าจะเกิดผลดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่การทำดีนั้นจะสร้างกุศลกรรมใหม่อย่างแน่นอน

ความทุกข์นั้นเกิดจากความรู้สึกว่าตนเองไร้คุณค่า ไม่ได้ดีดังใจหมาย ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่มีคนมองเห็นคุณค่า ยิ่งสำคัญตนผิดเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้นและตน หรืออัตตานี่เอง คือตัวการที่สร้างทุกข์ ซึ่งถ้าเทียบเป็นสมการเพื่อให้เข้าใจง่ายก็จะเป็น (ความจริงที่เกิด + อัตตา = ปริมาณทุกข์)

ถ้าเราไม่มีอัตตา ไม่มีความสำคัญตนว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีค่าเท่านั้นเท่านี้ เมื่อเวลาวิบากบาปมาถึง เราก็จะทุกข์เท่าที่กรรมเก่าของเราจะส่งผลเท่านั้น แต่ถ้าเรามีอัตตาไปร่วมด้วย เราจะทุกข์มากขึ้นตามปริมาณอัตตาที่เรามีนั่นเอง

*ลักษณะดังที่ยกตัวอย่างมานั้นเป็นความต้องการให้คนอื่นมาสนองอัตตาเรา พอเราไม่ได้สมใจก็เป็นทุกข์ เมื่อเราเป็นคนขาดพร่องที่ต้องคอยให้คนอื่นมาเติมเต็ม เราจะต้องเป็นทุกข์อยู่เรื่อยไป ดังนั้นการแก้ปัญหาในจุดแรกเราก็ควรจะทำตัวเองให้เป็นคนที่เต็มคนเสียก่อน ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก ให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ให้อัตตาเต็มอัตตาโดยไม่ต้องให้คนอื่นมาเติม หลังจากนั้นค่อยทำลายอัตตาทั้งก้อนอีกทีหนึ่ง

– – – – – – – – – – – – – – –

7.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ฉันยอมรับผิด การปลดปล่อยทุกข์จากความผิดหวังในความรัก

August 4, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,450 views 0

ฉันยอมรับผิด การปลดปล่อยทุกข์จากความผิดหวังในความรัก

ฉันยอมรับผิด การปลดปล่อยทุกข์จากความผิดหวังในความรัก

ความผิดหวังในความรักนั้นสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ที่หลงติดหลงยึดในความหวังว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นอย่างนั้นและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

คนที่ผิดหวังมักจะกอดเก็บทุกข์เอาไว้ พร้อมด้วยกิเลสที่คอยเผาใจ คือความโกรธ ผูกโกรธ อาฆาต พยาบาท ฯลฯ จองเวรจองกรรมอยู่กับผู้ที่ทำให้ต้องพบกับความผิดหวังในความรัก

แต่ถ้าหากเรากลับมาทบทวนดีๆแล้ว ไม่มีใครเลยที่เราสมควรจะโกรธ หรือไปโทษเขา ความผิดหวังที่เราได้รับทั้งหมดนั้นเกิดจากตัวเราเอง เกิดจากกรรมที่เราทำมาเอง มันถูกต้องแล้วที่เราจะต้องได้รับความผิดหวังนั้น มันเป็นผลของกรรมที่เราจะต้องรับ มันสมเหตุสมผลและยุติธรรมที่สุดในโลกแล้วกับสิ่งที่เราได้รับมา

การยอมรับผิด คือการปลดปล่อยตัวเองออกจากความโกรธเกลียดและความผิดหวังทั้งหลาย ผู้ที่เข้าใจเรื่องกรรมอย่างถ่องแท้จะไม่โทษใครเลย เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ตนเองทำมา เมื่อเข้าใจเช่นนั้นก็จะสามารถยอมรับสิ่งที่ตนเองทำมาได้ด้วยความเต็มใจ ยอมรับผลกรรมนั้นด้วยใจที่เป็นสุข ไม่คิดแค้น ไม่โกรธ ไม่โทษใครอีก

การที่เรายังทุกข์เพราะความผิดหวังในความรักนั่นก็เพราะเราไม่ยอมรับผิด เรามักจะโยนปัญหาออกไปนอกตัวเสมอ พยายามหาคนผิดที่ไม่ใช่เรา บอกกับตัวเองว่าฉันไม่ได้ทำมา คนที่มาทำฉันคนนั้นผิด หรือฉันทำมาแต่ฉันก็ไม่ได้ขนาดนั้น แม้จะคิดและเข้าใจเช่นนั้นแต่ก็ไม่สามารถสลัดทุกข์ออกจากใจได้ แม้จะโยนความผิดบาปให้กับคนอื่นแต่ก็ไม่ทำให้จิตใจสงบและเป็นสุขได้ เพราะความจริงแล้วเรากำลังโกหกตัวเองอยู่

การโกหกว่าเราไม่ใช่ต้นเหตุของความผิดหวังเหล่านั้นคือสิ่งที่ขวางกั้นไม่ให้จิตใจหลุดพ้นจากความทุกข์ ถึงแม้จะโยนความผิดบาปให้กับผู้อื่น แทนที่ปัญหาจะหมดไป แต่กิเลสข้างในกลับโตขึ้น สร้างความโกรธ รังเกียจ พยาบาท สร้างโทสะต่างๆขึ้นมาเผาใจตัวเองให้ทุกข์ซ้ำเข้าไปอีก

ดังนั้นการแก้ปัญหาความทุกข์จากความผิดหวัง ไม่ใช่การหาสาเหตุว่าใครผิด หาไปก็เท่านั้น แม้ว่าเหตุการณ์ในชีวิตจะดูเป็นบทละครที่สร้างให้มีตัวเอกและผู้ร้ายอย่างชัดเจน แต่ความจริงแล้วผู้ร้ายที่สุดก็คือตัวเราเอง เพราะเป็นกรรมของเราเอง ถ้าเราไม่เคยทำชั่วไว้ ก็ไม่มีทางที่ผลของกรรมชั่วนั้นจะกลับมาหาเราได้เลย

เหตุการณ์จะล่อหลอกให้คนที่ไม่เข้าใจกรรมและผลของกรรมอย่างแจ่มแจ้งให้หลงผิดไปโทษคนนั้นที คนนู้นที ที่ทำให้ตนผิดหวังช้ำรักต้องประสบทุกข์ มันเป็นเพียงฉากหน้าของละครที่กรรมได้ลิขิตไว้ หากเราพิจารณาเรื่องกรรมและผลของกรรมให้ถ่องแท้ ก็จะพบว่า เรานี่เองที่เป็นส่วนหนึ่งในการเขียนบทละครนั้น เป็นผลกรรมของเรา เกิดจากสิ่งที่เราเคยทำมา ไม่มากไม่น้อย ไม่ขาดไม่เกิน

ผู้ที่จะสามารถหลุดพ้นจากนรกแห่งทุกข์ได้ คือผู้ที่ยอมรับผิด ยอมรับว่าเป็นกรรมที่ตนเองนั้นทำมาจริงๆ แม้จะสืบสาวราวเรื่องในอดีตไม่ได้ แม้จะเป็นผลกรรมจากชาติปางก่อน แต่ด้วยปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรมจะทำให้ไม่สงสัยแม้แต่นิดเดียวว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราทำมาหรือไม่ เพราะมีเพียงคำตอบเดียวว่าสิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา เราไม่มีทางได้รับสิ่งที่เราไม่ได้ทำมา

ดังนั้นการยอมรับผิดด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง จึงทำให้หลุดพ้นจากทุกข์ หลุดพ้นจากกิเลสที่คอยเผาใจ หลุดพ้นจากการสร้างบาปและอกุศลกรรมจากความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความผิดของผู้อื่น หลุดพ้นจากบ่วงเวรบ่วงกรรมที่คอยผูกมัดไว้ หลุดพ้นจากความหลงผิดที่เคยเป็นมารกัดกร่อนจิตใจมานานแสนนาน

– – – – – – – – – – – – – – –

28.7.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)