Tag: ความเห็น

ถามไถ่เกี่ยวกับบทความเกี่ยวกับความรักก่อนวันวาเลนไทน์

February 13, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,562 views 0

เป็นอย่างไรกันบ้าง กับสองบทความล่าสุด “แน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งนี้คือความรัก” กับ “รักจริงที่หลอกลวง

สองบทความนี้เรียบเรียงขึ้นมาเพื่อให้ “รู้เรา” , “รู้เขา” ถ้ารู้จริงแล้วล่ะก็ จะรบกับกิเลสอีกกี่ครั้งยังไงก็ชนะ แต่ถ้ารู้ไม่จริงนี่แพ้ท่าเดียว แถมแพ้แล้วยังไม่รู้ตัวว่าแพ้อีกด้วย

จริงๆแค่รู้เราอย่างเดียวก็พอแล้ว รู้ให้ชัดจริงๆเถอะ ส่วนรู้เขานี่ให้เรียนรู้ไว้บ้าง เป็นการรู้โลกมีประโยชน์เหมือนกัน

มีความเห็นส่งเข้ามาบ้าง ทำให้ผมพอจะเห็นภาพของผู้รับสารมากขึ้น ก็ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นครับ

ในปีนี้ผมตั้งใจลงดาบ ฟันกันลงไปตรงๆ ชัดๆ ชำแหละ “ความรัก” ให้เห็นกันไปเลยว่านี่กิเลสนะ มันปนอยู่ อย่าไปเลี้ยงมันไว้

อ่านทวนเองแล้วก็รู้สึกว่ามันโหดเหลือเกิน คนที่เขาอยากมีคู่มากๆ มันจะอ่านไม่ไหวนะ มันจะบีบใจมาก ยิ่งคนมี”หิริ”นี่จะรู้สึกละอายมาก

คนที่มีความเห็นไปในทิศทางที่ถูก จะยอมรับในกิเลสตน ยอมรับว่ายังมีความอยากได้อยากเสพ จะรู้สึกละอาย แม้จะยังละความอยากนั้นไม่ได้ก็ตามที

แต่คนที่เห็นผิดจะไม่ละอาย สามารถกลับผิดให้เป็นถูกได้ มองการมีกิเลสเป็นเรื่องปกติ ที่ทำได้โดยไม่ผิดบาปอะไร

สองบทความนี้คงจะเป็นการชำแหละความรักมากที่สุดแล้ว ส่วนบทความต่อไปจะเป็นการขยายสภาพที่สุดแห่งความรัก และสภาพของการคลายจากความยึดมั่นถือมั่น
ใครมีความเห็นอะไร จะสรุปความเข้าใจหรือสงสัยในสิ่งที่ผมสื่อสารก็ถามเพิ่มเติมได้ครับ

ปัญญาก็มีตามศีลที่มีนั่นแหละ !

October 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,690 views 0

ปัญญาก็มีตามศีลที่มีนั่นแหละ !

ยุคสมัยนี้ปฏิบัติ ศึกษาธรรมะกันแต่ไม่ค่อยสนใจศีล ลืมศีล ไม่เข้าใจศีล ถ้าไม่ยึดศีลแบบงมงาย ก็ตีทิ้งศีลไปเลย พอไม่มีศีลมันก็เลยไม่มีปัญญา แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมารู้แจ้งเห็นจริงในธรรม

ศีลกับปัญญานั้นเป็นคู่กัน ถ้าปฏิบัติศีลอย่างสัมมาทิฏฐิกันจริงๆ ยังไงก็หนีไม่พ้นการมีปัญญา

แต่เดี๋ยวนี้ถือศีลกันแล้วหมายเอาแค่ศีลมาคลุมแค่ร่างกาย กับคำพูดคำจา แต่ความจริงแล้ว ศีลก็ปฏิบัติทั้งกาย วาจา ใจ นั่นแหละ ซึ่งก็อยู่ที่ความเห็นของผู้ที่ศึกษา ถ้าเข้าใจก็เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ จะติดอยู่แค่ร่ายกาย กับคำพูดเท่านั้น จะไปต่อถึงใจไม่เป็น

สรุปลงไปเลยว่า ศีลนี่แหละคือข้อปฏิบัติที่จะชำระกิเลสในใจ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า “ศีลที่เป็นกุศล ยังอรหัตตผลโดยลำดับ” นั่นหมายถึงแค่มีศีลนี่แหละ พอแล้วจบกิจแน่ๆ แต่ต้องสัมมาทิฏฐินะ~

ความเห็นในการละสิ่งที่เป็นภัย (ลฑุกิโกปมสูตร)

June 28, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,375 views 0

อ่านพระไตรปิฎกเจอบทที่น่าสนใจ สรุปมาอ่านกัน

เมื่อพระพุทธเจ้าได้กล่าวว่า “จงละสิ่งนี้” ก็จะมีผู้ที่เห็นต่างกันออกไป โมฆบุรุษบางคน ก็มักจะเห็นว่า จะมาขัดเกลาอะไรกันนักกันหนา กับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ต้องทำด้วยหรือ เมื่อไม่เห็นควรตามนั้นจึงไม่ยอมละ ทั้งยังไม่พอใจ

บางพวกสนใจศึกษาแต่อินทรีย์พละอ่อนก็มองว่าสิ่งที่ท่านให้ละนั้นเป็นสิ่งที่ยาก แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็ยังยากที่จะละสิ่งนั้น

บางพวกสนใจศึกษาแต่มีิอินทรีย์พละมากก็มองว่าสิ่งที่ท่านให้ละนั้นสามารถทำ ได้โดยง่าย จึงทำได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก แม้เรื่องยากกว่านี้ก็ทำได้

(ความตอนหนึ่งของ ลฑุกิโกปมสูตร)

…………………………………….

จะเห็นได้ว่าการละสิ่งใดได้ยากหรือง่ายนั้นเกิดจากอินทรีย์พละที่สะสมมา ซึ่งแต่ละคนมีต้นทุนที่ปฏิบัติมาต่างกัน คนทำมามากก็มีมาก คนทำมาน้อยก็มีน้อย บางคนมีน้อยถึงขั้นหลงผิดไม่พอใจพระพุทธเจ้าก็ยังมี

คนที่มีมากเขาก็ละสิ่งที่เป็นภัยได้ง่าย เช่น ศึกษากันไม่นานก็สามารถถือศีลยากๆได้ ส่วนคนที่มีน้อยแค่เจอศีลง่ายๆเขาก็หงายแล้ว

เรื่องแข่งบุญแข่งวาสนามันแข่งกันไม่ได้ ดังนั้นปฏิบัติธรรมอย่าเปรียบเทียบกับใคร อย่าคิดว่าคนนั้นคนนี้ทำได้แล้วเราจะทำได้ โดยเฉพาะการศึกษาพระไตรปิฎกจะเห็นว่าบรรลุธรรมกันง่ายๆ แค่ฟังไม่กี่ประโยคก็บรรลุแล้ว

ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำได้ ถึงแม้เราจะอ่านพระไตรปิฎกทั้งหมดก็ใช่ว่าจะเข้าใจหรือบรรลุธรรมใดๆได้ ดังนั้นปฏิบัติธรรมอย่าไปเปรียบเทียบกับใคร อย่าไปลอกใคร ให้เอากระบวนการปฏิบัติเป็นหลักส่วนได้มรรคผลอย่างไรเป็นเรื่องของแต่ละคน

ไม่เช่นนั้นก็จะท้อมากเมื่อเห็นเพื่อนกัลยาณมิตรก้าวหน้าไปไกลแต่เรากลับยัง อยู่ที่เดิม นั่นเพราะมีเหตุปัจจัยต่างกัน มีอินทรีย์พละต่างกัน และอาจจะมีทิฏฐิที่ต่างกัน ซึ่งตรงนี้ต้องศึกษาและตรวจสอบให้ดี