Tag: ความเมตตา

เมตตาที่เกินความต้องการ พาลเลยเถิด

February 25, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 776 views 0

เวลาที่เราหลงรักหรือหลงห่วงใครมาก ๆ นี่มันมักจะมีอาการเกิน ๆ ขึ้นมาเสมอ ประโยคที่ว่า พาลจะเลยเถิด เป็นประโยคที่คนไทยน่าจะคุ้นหูกันดี ซึ่งถ้านำเอามาแยกเป็นคำ ๆ ก็จะมีคำว่า พาล + เลยเถิด (เกินความพอดี เกินสมควร) ก็สามารถเอามาสังวรใจตนได้ว่า ถ้าเราเริ่มพาล เราจะเริ่มเลยเถิดนะ

คือเวลาเราเมตตาไม่ประมาณเนี่ย มันจะออกอาการล้น ๆ เกิน ๆ เฟ้อ ๆ ฟุ่มเฟือย เสียเวลา ไม่เป็นประโยชน์ น่าเบื่อ น่าชัง ไม่น่ารับฟัง คนฟังเอือมระอา ฯลฯ

ความล้นมันจะออกมาตอนเราหวังดีเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั่นแหละ มันขึ้นต้นด้วยเมตตา แต่แรงผลักมันคืออัตตา มันก็เลยเหมือนรถไฟที่ไม่ติดเบรก พอถึงทางตันก็ชนยับเลย มีกี่ตู้ก็อัดเละไปตามนั้น

ก็เหมือนเมตตาที่ล้นเพราะอัตตานี่แหละ เห็นด้านหน้ามันจะเป็นเมตตาคือหวังดี แต่แฝงด้วยอัตตากองพะเนิน มันก็จะล้น แรง หนัก ฯลฯ

ความเมตตาที่เขาไม่ยินดีรับ ไม่ยินดีฟัง ก็เป็นความเพ้อเจ้อ ผิดศีลอยู่ดี เพราะเราอยากให้เกิดดี มากกว่าที่ดีมันควรจะเกิด มันติดกำแพงแล้ว เราก็ยังจะดัน จะชนเข้าไปอีก หมายจะทะลายกำแพงใจ เปิดใจอีกฝ่าย

โดยหารู้ไม่ว่า ถ้าเขาไม่เปิด ดันยังไงเขาก็ไม่เปิด ดันให้ตาย ดันให้พังเขาก็ไม่เปิดใจ การที่เขาจะศรัทธาหรือยอมให้เราช่วย มันเป็นเรื่องของเขา เป็นงานของเขา เป็นโอกาสที่เขาจะสร้างขึ้นมาเอง

เราจะเมตตาเขาได้สูงสุดก็แค่เท่าที่เขายินดีให้เราทำเท่านั้น บางทีแค่ยิ้มให้ยังผิดเลย เราก็ต้องรู้จักประมาณตนเอง ประมาณผู้อื่น อย่าพยายามล้นหรือเยอะเกิน เพราะมันไม่เป็นประโยชน์ นอกจากจะไม่พากันพ้นทุกข์แล้ว ยังพาให้เสื่อมศรัทธาแก่กันอีก

ถ้าเขาไม่ต้องการแล้วเราไปยัดเยียด แอบสอด แอบแทรก แอบสอน นั่นแหละมันเริ่มพาลแล้ว แล้วมันจะเลยเถิดไปเรื่อย ๆ ตามกำลังของตัณหา ความอวดดี อวดเก่ง ว่าจะช่วยเขาได้ เอาอีกนิดนะ เติมอีกหน่อยนะ ก็หวังกันไป ทำกันไป เขาไม่ได้ขอ ทำเกินหน้าที่ มันก็ล้น เยอะ เกิน ทำไปก็เสพผลที่ตัวเองทำอีก เน่ากันไปใหญ่เลยทีนี้

ดังนั้นจะเมตตาใครก็ตั้งจิตให้เหมาะ ๆ กับที่เขาให้โอกาสเราหน่อย อย่าไปทำเกินหน้าที่ มันจะบาดเจ็บในใจกันเปล่า ๆ อย่างน้อยที่สุดก็เจ็บใจตนเองล่ะนะ

เราควรที่จะมีแง่คิดในเรื่องของความรักเป็นอย่างไร?

December 17, 2019 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 678 views 0

ถาม : เราควรที่จะมีแง่คิดในเรื่องของความรักเป็นอย่างไร?

ตอบ :  ในศีลข้อ 1 ภาคขยาย ได้กล่าวถึงประโยคที่ว่า มีความเมตตา มีความเกื้อกูล หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย อันนี้คือแง่คิดที่เป็นประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่นมากที่สุด เบียดเบียนน้อยที่สุด ความรักที่มีสภาวะเช่นนี้จะบาง เบา แต่กว้าง และลึกซึ้ง ไม่เหมือนความรักทั่วไป ที่หนัก(ใจ) (กิเลส)หนา แคบ(มักจะเกื้อกูลได้แค่วงแคบ ๆ เช่น คู่ครอง ลูก ฯลฯ) และไม่ลึกซึ้ง (เป็นความรักเสมอสัตว์ทั่วไป ไม่ประเสริฐ ไม่แปลก ไม่พิเศษ เป็นโลกีย์ทั่วไป)

การไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นเรื่องของจิตใจ

April 7, 2016 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,326 views 0

การไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นเรื่องของจิตใจ

ความเจริญของจิตใจนั้นสามารถชี้วัดได้จากสิ่งหนึ่ง คือการลดการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ซึ่งเป็นผลที่เจริญขึ้นจากการทำความเห็นให้ถูกต้องโดยลำดับ

การไม่กินเนื้อสัตว์นั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจโดยตรง เพราะการจะเลิกกินเนื้อสัตว์นั้นเราจะต้องหักห้ามใจ บังคับใจ ไม่ให้ใจนั้นหลงไปกินเนื้อสัตว์เหล่านั้น

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ จะไม่กินเนื้อสัตว์ด้วยความเมตตา หวังประโยชน์เกื้อกูลต่อสัตว์ทั้งปวง ก็เป็นจิตที่เมตตาจนถึงรอบที่จะลงมือทำ ไม่ใช่แค่คิดเมตตาแต่ปากยังเป็นเหตุให้เบียดเบียนอยู่ หรือว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ การหักห้ามใจไม่กินเนื้อสัตว์นั้นเป็นเรื่องที่จะทำให้ไม่เบียดเบียนตนเอง ถ้ากินแล้วตนเองก็เป็นทุกข์ เป็นโรค ก็ต้องฝืนใจเลิก นั่นเพราะใจที่ทุกข์จากเหตุแห่งสุขภาพนั้นมีน้ำหนักกว่าสุขเมื่อได้เสพเนื้อสัตว์ หรือจะเหตุผลอื่นใดก็ตาม การลด ละ เลิกสิ่งที่เป็นภัยต่อตนเองและผู้อื่นย่อมเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น

แต่การจะเลิกกินนั้นไม่ง่าย หากเราตั้งใจละเลิกกินเนื้อสัตว์สักอย่างที่เราเคยติด เช่นเนื้อวัว การจะออกจากเนื้อวัวได้ต้องหักห้ามใจไม่ไปกินเป็นเบื้องต้น จนพิจารณาเห็นโทษภัยของการกินเนื้อวัวจนความอยากนั้นจางคลาย จึงค่อยๆ ขยับไปเลิกหมู ไก่ ปลา สัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่นๆ จนถึง นม ไข่ น้ำผึ้ง ฯลฯ ซึ่งหลายคนก็สามารถตัดทุกอย่างทั้งชีวิตได้ในทันที แต่อีกหลายคนก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ การเลิกกินเนื้อสัตว์นั้นต้องมีกำลังใจที่หนักแน่นและสำคัญที่สุดคือกำลังของปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงในโทษชั่วของการที่เรายังกินเนื้อสัตว์เหล่านั้น

ในขณะที่เรากำลังพยายามลด ละ เลิก ก็จะมีเสียงสะท้อนกับสังคม คำชื่นชมจากคนเห็นดีกับไม่กินเนื้อสัตว์ ไปจนถึงคำประชดประชันจากคนที่มีอคติต่อการไม่กินเนื้อสัตว์ เป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญ ถ้าเราเลิกแค่เนื้อวัวเราก็จะเจอการกระทบระดับหนึ่ง แต่ถ้าเลิกหมู ไก่ ปลา ไปอีกก็จะเจอแรงกระทบอีกระดับหนึ่ง ยิ่งถ้าไม่กิน นม ไข่ เนย น้ำผึ้ง ด้วยแล้วยิ่งจะเจอมากเข้าไปอีก ชมก็ชมมาแรง นินทาก็นินทามาแรง และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเราเป็นผู้นำเสนอข้อดีของการไม่กิน ชักชวนผู้อื่นให้ละเว้นเนื้อสัตว์ แม้จะมีจิตที่ยินดีแบ่งปันสิ่งดีให้กับคนอื่นเช่นนั้น ถึงจะสื่อสารอย่างถูกกาลเทศะอย่างไรก็ตาม แต่ก็จะไม่สามารถหนีสรรเสริญนินทาพ้น

สรรเสริญก็ทำให้อัตตาโต ยิ่งมีคนชื่นชมมากๆ ก็สามารถทำให้หลงติดดีได้ นินทาก็เช่นกัน มันจะมาในทุกรูปแบบ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งสุภาพและหยาบ ซึ่งจะคอยแซะให้เราตบะแตกแสดงความโกรธ นี่ก็เป็นเรื่องที่เราต้องฝึกจิตใจ อดทนข่มใจไม่ลอยไปตามคำชม ไม่ขุ่นมัวไปตามคำนินทา

สรุปแล้ว ตลอดเส้นทางแห่งการละเว้นเนื้อสัตว์ ย่อมจะเจอโจทย์ที่หลากหลายเข้ามาฝึกใจ ทั้งจากข้างในและข้างนอก ความอยากกินเขาเราเองก็ว่าหนักแล้ว เสียงจากสังคมก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก คนที่จิตใจไม่ตั้งมั่นในการทำความดี ไม่มีกำลังใจ ไม่มีปัญญา ก็จะหวั่นไหวได้ง่าย เจอโลกเขาลากกลับไปกินเนื้อสัตว์ ก็กลับไปกินตามเขา เพราะใจง่ายนั่นเอง การไม่กินเนื้อสัตว์จึงเป็นเรื่องของจิตใจที่ต้องฝึกฝนเช่นนี้

– – – – – – – – – – – – – – –

15.3.2559

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

เงิน 5 บาททำอะไรได้บ้าง?

December 5, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,704 views 0

เงิน 5 บาททำอะไรได้บ้าง?

เงิน 5 บาททำอะไรได้บ้าง?

ผมเคยนึกสงสัยนะว่าเงิน 5 บาทจะใช้ทำอะไรได้ในสมัยนี้ ขบคิดอยู่นาน ทำยังไงหนอให้มันเกิดประโยชน์สูงสุด ซื้ออะไรก็แทบไม่ได้ และถึงจะซื้อได้สิ่งเหล่านั้นก็มักจะไม่มีประโยชน์เท่าไรนัก คำตอบสุดท้ายในใจของผมคือเก็บเงิน 5 บาทนั้นเอาไว้…

จนกระทั่งเมื่อวาน… ผมมีนัดกับเพื่อนและแยกย้ายกันเกือบเที่ยงคืน หลังจากล่ำรากันผมรีบเดินไปขึ้นรถกะป๊อกลับบ้าน เพราะเขาว่ารถจะหมดตอนเที่ยงคืน

โชคยังดีที่ยังเหลือรถอยู่หนึ่งคัน ผมถามคนขับว่าไปถึงสุดซอยหรือไม่ คนขับพยักหน้า ในรถมีหนึ่งป้าและสองวัยรุ่น ทั้งสามดูไม่ได้รู้จักกัน เมื่อขึ้นไปนั่ง ป้าก็บ่นให้คนขับที่นั่งรอคนอยู่นอกรถฟังดังๆ ประมาณว่า “ไหนว่ามีคนขึ้นสองสามคนแล้วรถจะออก ให้นั่งรอนานๆ นี่มันร้อน” สีหน้าของป้าดูหงุดหงิด ไม่เป็นมิตร

คนขับตอบมาว่า “ก็รอพี่น้องเราอีกสักหน่อย เผื่อจะตกหล่น” ผมก็เข้าใจคนขับนะ ว่าการที่มีคนเพิ่มเขาก็ได้เงินด้วย และที่สำคัญ ถ้ารถออกไปแล้วผมคงต้องเสียเงินมากกว่านี้ในการกลับบ้านแน่ๆ ไม่นานนักก็มีหนุ่มนักศึกษาขึ้นมาเพิ่มและรถก็ออก

เมื่อรถออก ผมขยับขาเล็กน้อยเพื่อที่จะนั่งได้มั่นคงมากขึ้น ป้าหยิบสัมภาระที่วางอยู่ใกล้ๆเท้าของผมขึ้นไปมัดไว้กับราวข้างหนึ่ง หน้าตาดูไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก ผมทบทวนตัวเองว่าทำอะไรให้ป้าไม่พอใจหรือไม่ …ก็ไม่นี่

นั่งรถไป ลมเย็นๆเวลาเที่ยงคืนก็พัดไป คนก็ค่อยๆทยอยลงไป เหลือแต่ผมกับป้า…

ป้าถามขึ้นมาว่า “หนูลงสุดซอยใช่ไหม?” ผมก็ตอบว่า “ใช่ครับ” แล้วก็นั่งไปจนสุดซอย ป้าก็บอกถึงแล้ว ผมก็ลงไปจ่ายเงินและเดินต่อไปเพื่อที่จะกลับบ้าน

เดินไปไม่กี่วินาที รถกะป๊อขับไล่หลังมา ตะโกนทักว่าไปไหม จะไปส่งใกล้ๆ ผมเห็นดีด้วยก็ขึ้นไป ป้าที่นั่งอยู่ในรถก็ตะโกนบอกคนขับว่า “สองคน 10 บาทพอเน้อ คนละ 5 บาท” แล้วหันมาบอกผมว่า เดี๋ยวแม่ออกให้ๆ ผมก็ตอบรับว่าขอบคุณครับ

ตอนแรกเราก็นึกว่าเขาใจดีไปส่งฟรี แต่จริงๆป้าเป็นคนจัดแจงให้ เพราะทางที่จะต้องเดินไปนั้นค่อนข้างเปลี่ยว เดินคนเดียวก็คงจะเสียวๆอยู่บ้าง สมัยนี้ถึงเป็นผู้ชายเขาก็ปล้นจี้กันเป็นธรรมดา

ก่อนลงรถ ป้าก็บอกอีกครั้งว่า “เดี๋ยวแม่จ่ายให้เนาะ เดี๋ยวเราเดินต่อไปด้วยกัน” …การแทนตัวว่าแม่ ทำให้ผมนึกถึงสมัยที่ไปเรียนรู้อยู่กับกลุ่มเครือข่ายชาวนาที่จังหวัดยโสธร คนที่นั่นเขาจะแทนตัวว่าพ่อว่าแม่ คือมองทุกคนเหมือนลูกหลาน ก็น่ารักดีนะ เมื่อถึงที่หมาย ผมก็ลงรถและเดินไปยืนรอ ในขณะที่ป้ากำลังจ่ายเงิน

เสร็จแล้วป้าก็เดินถือสัมภาระมา และเดินกันไปต่ออีกราวๆ 15 เมตร ก่อนจะถึงทางแยก ป้าถามว่าเราไปทางไหน เราก็ตอบว่าไปทางนั้น ป้าก็บอกว่าป้าไปทางโน้น ผมก็เลยขอบคุณและลาป้าเดินกลับบ้านต่อไป

แต่ก่อนหน้านี้ผมไม่มีปัญญานะ ว่าเงิน 5 บาทจะทำอะไรที่มีประโยชน์ได้ แต่ป้ากลับใช้เงิน 5 บาทแสดงให้ผมเห็นว่า เงิน 5 บาทนี่มันทำประโยชน์ได้ขนาดนี้เชียวนะ

ป้าก็ดูเป็นชาวบ้านธรรมดา ดูเป็นคนต่างจังหวัดเข้ากรุง ไม่ได้ดูรวยเหมือนป้าคนเมืองทั่วไป แต่กลับสละเงินแม้จะจำนวนไม่มาก แต่ก็เป็นทานที่มีผลให้ผมได้รับความสะดวกและปลอดภัยขึ้น บอกกันตรงๆว่าผมก็คิดไม่ถึงว่า 5 บาทจะสามารถทำประโยชน์ได้ขนาดนี้

ที่สำคัญคือเงิน 5 บาทนี้ไม่ได้ใช้เพื่อตัวเอง ป้าคงเห็นว่าผมจะเดินไปในทางเปลี่ยว ซึ่งคงจะถามคนขับว่าผมจะไปไหน ด้วยความเมตตากรุณาที่มีจึงสามารถใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้

ในตอนแรกป้าอาจจะดูหงุดหงิดเพราะรอรถออกนาน ซึ่งอากาศในรถก็ร้อนอบอ้าว แม้จะเปิดโล่งในทุกทิศก็ตาม แต่เมื่อนั่งไปจนสุดทางป้ากลับเปลี่ยนเป็นอีกคน อาจจะเพราะลมเย็น อาจจะเพราะใกล้ถึงที่หมายแล้ว อาจจะเพราะอะไรก็ตาม

แต่การที่ป้าได้แสดงให้ผมได้เห็นว่า ถ้าเรามีปัญญา เราก็จะใช้เงินแม้เพียงเล็กน้อยสร้างสิ่งที่ดีได้มากมาย นั่นคือประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับผมเลยเชียวล่ะ

คืนนั้นไม่มีรถมอเตอร์ไซค์อยู่ที่วินเพื่อต่อรถเข้าบ้าน ผมกลับดีใจที่ผมจะได้เก็บเงินไว้และเดินกลับบ้านไปแทน เผื่อวันหนึ่งเงินที่ประหยัดไว้ได้ จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นได้แบบป้า

– – – – – – – – – – – – – – –

5.12.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)