Tag: การลดกิเลส
การลดกิเลส ความดีที่เข้าใจได้ยาก
การลดกิเลส ความดีที่เข้าใจได้ยาก
หากเราจะกล่าวกันถึงเรื่องลดกิเลสนั้น ก็เป็นเสมือนเรื่องนามธรรมที่มองไม่เห็น เป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจ เป็นเรื่องที่ถูกลืมไปแล้วในสังคมพุทธบ้านเรา
เรามักจะมองเห็นการทำดีที่เป็นรูปธรรมได้ชัดเจน ใครทำดีก็ทำไปตามที่สังคมเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดี แต่การลดกิเลสกลับเป็นเรื่องที่ดูมีคุณค่าน้อย ดูเป็นเรื่องอุดมคติ มองไม่เห็น วัดไม่ได้ ไม่เหมือนการทำดีตามสังคมนิยมทั่วไปที่เห็นภาพกันได้ชัดเจนเลยว่าใครทำอะไร เท่าไหร่ อย่างไร…
(ต้องขออภัยที่ในบทความนี้ต้องยกตัวอย่างการปล่อยปลา ซึ่งผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาให้กระทบใคร การปล่อยปลาช่วยเหลือปลาก็เป็นสิ่งดีถ้าปลานั้นได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ ซึ่งการช่วยเหลือเกื้อกูลสัตว์เป็นสิ่งที่ดีสามารถทำได้ เป็นสิ่งที่เป็นกุศล แต่กระนั้นผู้เขียนก็ไม่ได้สนับสนุนในการซื้อขายชีวิตสัตว์เพราะเป็นมิจฉาวณิชชาหรือการค้าขายที่ชาวพุทธไม่ควรทำ)
หากเราจะเปรียบเทียบการทำดีในมุมที่สังคมเข้าใจกับการลดกิเลส ก็จะยกตัวอย่างในกรณีการปล่อยปลา คนที่คิดว่าการปล่อยปลาดีนั้น เขาก็จะนำปลามาปล่อย ปล่อยตัวเดียวคนก็ยินดีประมาณหนึ่ง ปล่อยเป็นล้านตัวคนก็ร่วมยินดีกันยกใหญ่ เข้าใจตามประสาสังคมว่าเป็นบุญใหญ่ ความดีแบบนี้มันเห็นได้ง่าย ผู้คนเข้าใจ ร่วมยินดี ให้ความเคารพ
แต่ถ้ามาเรื่องลดกิเลส เราอาจจะไม่ได้ซื้อหรือหาปลามาปล่อยลงแม่น้ำเหมือนคนอื่นเขา แต่เราปล่อยให้ปลาใช้ชีวิตไปตามธรรมชาติของมัน ไม่ซื้อ ไม่จับ ไม่กินมัน คือละเว้นการกินเนื้อปลาตลอดชีวิตเพราะรู้ว่าความอยากกินเนื้อปลานั้นยังผลให้ต้องเบียดเบียนปลา และเบียดเบียนตนเองด้วยอกุศลกรรมและทุกข์จากความอยากกิน สุดท้ายจึงกลายเป็นคนที่ไม่กินปลา
ความดีที่เห็นและที่เป็น
หากจะถามว่าเราสามารถเห็นความดีแบบไหนได้ง่าย โดยส่วนมากเขาก็จะตอบว่าปล่อยปลาล้านตัว เขาไม่มาสนใจคนที่เลิกกินเนื้อปลาหรอก เพราะมันเป็นรูปธรรม มันชัดเจน เข้าใจง่าย
แต่หากจะถามว่าอะไรเป็นความดีมากกว่า ก็ต้องตอบว่าการลดกิเลส เพราะการลดความอยากได้นั้นคือการปฏิบัติสู่หนทางสู่การพ้นทุกข์ การทำลายกิเลสจนสิ้นเกลี้ยงเป็นเป้าหมายของศาสนาพุทธ แม้จะทำได้แค่เรื่องเดียวก็เป็นเรื่องที่มีกุศลมากแล้ว เป็นความดีมากแล้ว
ความชั่วที่เห็น
หากจะถามว่าเราจะเห็นสิ่งชั่วแบบไหนได้ง่าย โดยส่วนมากเขาก็จะตอบว่าปล่อยปลาล้านตัว คนที่ช่างสังเกตก็จะมองว่าแล้วหาปลามาจากไหน จับมาหรือเพาะพันธุ์มา แล้วจะทำให้ระบบนิเวศเสียไหม แล้วทำไมไม่เลิกกินปลาเสียเลย เห็นบางคนปล่อยปลาแล้วก็ไปกินปลาต่อ ซึ่งการทำดีแบบโลกๆก็คงจะหนีไม่พ้นสรรเสริญและนินทา
ส่วนการทำลายความอยากจะไม่สามารถเห็นสิ่งชั่วได้เลย เพราะไม่ไปเบียดเบียนให้มันชั่ว ไม่ยุ่งกับสัตว์อื่นให้ต้องมีอกุศลกรรมใดๆ แม้จะไม่ได้ดีโดดเด่นอะไร แต่เพียงแค่ไม่มีชั่วปนอยู่เลยก็เพียงพอแล้ว และไม่ต้องได้รับสรรเสริญนินทามาก จนเสี่ยงต่อการเกิดสิ่งชั่วขึ้นอีก
ความจริงที่ปรากฏ
การปล่อยปลา หรือการทำดีที่เข้าใจกันโดยทั่วไปเช่น การสละทรัพย์สร้างวัตถุ การสละแรงงาน ฯลฯ เหล่านั้นมีความไม่แน่นอน นั่นหมายถึงไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา อาจจะมีเหตุปัจจัยให้ทำได้หรือไม่ได้ก็ได้ ดังนั้นการทำความดีตามที่โลกเข้าใจนั้น ยังมีข้อจำกัดที่มาก ไม่สามารถทำได้ทุกวัน
แต่การละเว้นปลานั้น เป็นความดีที่ทำได้ทุกวัน ทุกมื้ออาหาร โดยเฉพาะคนที่ทำลายกิเลสได้จริง เขาก็จะดีของเขาไปทุกวันเช่นนั้น ไม่ต้องรอโอกาส ไม่ต้องมีเวลาพิเศษ ไม่ต้องสละทรัพย์ใดๆเพื่อความดี แต่เป็นการสละกิเลสเพื่อความดี ความดีก็จะคงอยู่กับตัวเขาไปเช่นนั้น ทุกวัน ทุกเวลา และสามารถละเว้นสิ่งอื่นๆได้ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างความดีในตนสะสมไปอีก
ความจริงตามความเป็นจริง
หากเอาความดีตามที่โลกเข้าใจนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องทางรูปธรรม เข้าวัด ปล่อยปลา ทำทาน สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล สร้างวัด ฯลฯ แต่ในทางพุทธศาสนาแล้ว เราไม่ได้มุ่งเน้นด้านวัตถุหรือรูปธรรมมากนัก แต่จะเน้นหนักไปทางด้านจิตใจหรือเรื่องนามธรรมเป็นส่วนใหญ่
ความดีสูงสุดที่มนุษย์ควรจะกระทำคือการชำระกิเลส การปฏิบัติตนให้พ้นจากกิเลส ที่เป็นเหตุแห่งความชั่วทั้งปวง ดั้งนั้นความเป็นพุทธจึงไม่ได้มุ่งเน้นการทำดีเป็นอันดับแรก แต่เอาการหยุดชั่วมาเป็นสิ่งแรกที่มนุษย์สมควรทำ การจะหยุดชั่วได้นั้น จะต้องหยุดที่กิเลส ถ้ายังมีกิเลสอยู่ก็จะยังชั่วอยู่ เมื่อหยุดชั่วได้หมดก็จะเป็นความดีไปในตัว แต่กระนั้นท่านก็มิได้บอกให้หยุดชั่วแล้วอยู่เฉยๆ แต่ให้เพียรทำดีด้วย คือสร้างประโยชน์ให้ตนเองและผู้อื่นไปด้วย สุดท้ายแล้วคือหมั่นทำจิตใจของตนให้ผ่องใสจากกิเลสอื่นๆที่ยังหมักหมมในจิตใจให้หมดสิ้น
– – – – – – – – – – – – – – –
28.7.2558
รวยเท่ากับซวย #4
รวยเท่ากับซวย #4
…หยุดความซวยด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
วิธีเดียวที่จะหยุดความซวยจากความรวยได้นั้นก็คือหยุดรวย แต่จะบอกให้คนรวยนั้นหยุดรวยก็คงจะทำใจกันยากสักหน่อยเพราะคงจะไม่มีใครที่จะยอมสละกิเลสกันง่ายๆ ดังนั้นเราจึงต้องมาศึกษาความพอเพียงกัน
ความพอเพียงนี้ก็มีอยู่หลายระดับ ความพอเพียงของเศรษฐีกับความพอเพียงของคนจนยอมแตกต่างกัน ถ้าหากคนรวยมองไปในความพอเพียงของคนจนก็มักจะมองว่า ทำไมมีน้อยจัง กินน้อยใช้น้อยจัง ชีวิตลำบากจัง แต่นั่นคือความพอดีของคนจนแล้วนะ จะให้เขาไปมีในระดับความพอดีของคนรวยมันก็คงจะไม่ไหว มันก็มากเกินไป มากเกินจะแบก เป็นภาระให้ปวดหัวเข้าไปอีก
จะเห็นได้ว่าความพอเพียงนั้นต้องเป็นไปตามฐานะของแต่ละคน ไม่ใช่ให้คนรวยมาพอเพียงอย่างคนจนเลยมันทำไม่ได้ กิเลสเราสะสมมาเยอะแล้วไปขัดใจมันเข้ามากๆมันจะบีบคอเราตายเอา มันจะทำให้เราทรมานจนขยาดไปเลย ดังนั้นคนรวยก็ควรจะพอเพียงในระดับที่ตนรับไหวก่อนแล้วค่อยลดระดับลงมาเรื่อยๆ จนเข้ามาใกล้เคียงหรือต่ำกว่าคนจนให้ได้ ในส่วนคนจนเมื่อพอเพียงแล้วก็จะพบว่ามีรายได้มากขึ้น ลดรายจ่ายได้มากมาย ก็อย่าหลงไปตามโลก ไปอยากได้อยากมีอะไรที่เกินความจำเป็นตามเขา ซึ่งมันจะเริ่มไม่พอเพียง มันจะฟุ้งเฟ้อแล้วกิเลสมันก็จะโตตามไปด้วย
ความพอเพียงนั้นเกิดขึ้นได้จากการลดกิเลส ลดความอยากได้อยากมี เป็นเศรษฐกิจพอเพียงที่เราทำได้ในชีวิตประจำวันกันนี่แหละ แทรกเข้าไปในชีวิตเลย ไม่ต้องไปเรียนรู้ที่ไหน เรียนรู้กันอยู่ในใจนี่แหละว่าฉันโลภไหม ฉันอยากได้ไปทำไม กระเป๋าใบเก่าก็ยังดีอยู่แล้วจะซื้อใบใหม่ทำไม ,น้ำเปล่าก็ดีต่อสุขภาพแล้วจะกินกาแฟไปทำไม, แค่สองสามชั้นก็น่าจะเดินได้จะขึ้นลิฟท์ให้เปลืองไฟไปทำไม ,เรากินอาหารมื้อนี้แพงไปไหม ,จริงๆแล้วเรากินแค่ข้าวผัดหนึ่งจานก็อิ่มแล้วทำไมต้องกินบุฟเฟต์ให้มันจุก ให้มันลำบากด้วย เราจะเห็นได้ว่าเพียงแค่จิตใจของเราหัดพอเพียงในสิ่งเล็กๆน้อยๆ ลดกิเลสจากเรื่องที่มันดูเหมือนไม่มีสาระนี่แหละ มันจะขยายไปเรื่องที่มันยิ่งใหญ่ขึ้นได้เอง
เช่น เราจะซื้อรถคันใหญ่ไปทำไม ในเมื่อเราก็ตัวคนเดียว คนในครอบครัวก็มีรถกันหมดแล้ว ,เราจะแต่งรถไปทำไม เพื่อเติมกิเลสใดให้สมใจเรา ถ้าสวยแล้วเราจะเป็นสุขหรือ ,เราจะมีบ้านใหญ่ไปทำไม ไว้อวดใครหรือแค่ไว้ซุกหัวนอนเท่านั้น ,เราจะแบกอะไรให้มากมายไปทำไม ทำงานเท่าที่ควรจะทำให้เสร็จเรียบร้อยให้เหมาะกับตำแหน่งหน้าที่แล้วพักผ่อนให้เพียงพอก็พอแล้ว …
เศรษฐกิจพอเพียงในชีวิตมันก็เรื่องเพียงแค่นี้แหละ แค่เราถามตัวเองบ่อยๆว่าเราจะเสพมากไปทำไม จะทำตามกิเลสไปทำไม เราจะอยากได้อยากมีไปทำไม มันจำเป็นจริงหรือ เรามีแล้วมันจะเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่มีแล้วจะเป็นอย่างไร มันจำเป็นกับชีวิตไหม มันสำคัญไหม
ถ้าจิตใจมันไม่พอเพียงมันจะตีทิ้งคำถามพวกนี้หมดเลยนะ เวลาคนกิเลสขึ้นใจมันโลภ มันอยากเสพ มันจะหน้ามืดจะเสพ มันจะเอามาให้ได้ มันไม่สนอะไรทั้งนั้น จะขอข้ออ้างเหตุผลอะไรเพื่อเสพมันมีให้หมด มีธรรมะมีสติแค่ไหนมันก็ตีทิ้งหมด เวลามันจะเสพตามกิเลสมันชนะหมดทุกความพอเพียงนั่นแหละ
คนพอเพียงจริงๆแล้วก็คือคนที่ตามทันกิเลส รู้ทันกิเลส สามารถทำให้กิเลสสงบลงและสยบกิเลสนั้นได้ ส่วนคนที่ไม่พอเพียงก็เป็นเพียงคนที่ตามกระแสกิเลส ทำตามกิเลส คล้อยตามกิเลส สุดท้ายจะรวยหรือจะซวยยังไงก็ไม่สน ขอให้ได้เสพสมใจตามกิเลสก็เป็นพอ ชาติภพนี้จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน จะทุกข์ข้างหน้าก็ไม่เป็นไรขอให้ได้เสพสุขตอนนี้ก็เป็นพอ
…ดูสิพลังของกิเลสมันรุนแรงขนาดไหน จะแก่เดือน แก่ปี แก่พรรษา เป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมามากแค่ไหน แต่ถ้ายังแพ้กิเลสก็ยังถือว่าเด็กๆอยู่ดี เด็กต่อกิเลส ยอมให้กิเลสมันหลอก ไม่รู้ทันกิเลส จะเกิดมากี่ชาติต่อกี่ชาติก็ยังเป็นเด็กให้กิเลสหลอกให้หัวปั่นอยู่เรื่อยไป อย่าว่าแต่เศรษฐกิจพอเพียงเลย แค่เลี้ยงตัวเองให้ทันตามกิเลส ให้พอเสพกิเลสยังเอาตัวไม่รอดเลย แบบนี้จะให้ตั้งหลักสู้กับกิเลสคงไม่ไหว คงต้องยอมปล่อยให้เป็นไปตามกิเลส ปล่อยให้เรียนรู้กันอีกหลายภพหลายชาติจนกว่าจะพอเข้าใจ ว่าความรวยนั้นมันนำมาซึ่งความซวยอย่างไร
– – – – – – – – – – – – – – –
15.12.2557
รวยเท่ากับซวย #3
รวยเท่ากับซวย #3
…เมื่อความมั่งคั่งในทางโลก คือความซวยชั่วกัปชั่วกัลป์
คนที่เกิดมาพร้อมกับความรวยนั้นดีจริงหรือ?มีบุญวาสนาเป็นตัวผลักดันจริงหรือ?เรารู้กันหรือยังว่าสิ่งใดเป็นตัวผลักดันให้เกิดความมั่งคั่งตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
สิ่งที่ทำให้คนเกิดมารวยก็คือ “กุศล” กุศลโลกียะแบบชาวบ้านๆนี่แหละ เช่นไปทำทานด้วยเงิน ส่งเสริมคนอื่นด้วยเงิน ช่วยเหลือคนอื่นไว้ด้วยเงินและด้วยปัจจัยอันมาก พอตายแล้วเกิดมาก็แค่ได้รับผลแห่งกุศลที่ตัวเองทำไว้ ไม่ได้เกี่ยวกับบุญแม้แต่น้อย เพราะบุญเป็นเรื่องของการลดกิเลส
ทีนี้พอเกิดมารวยแล้วไม่รู้ที่มาของความรวยนั้นก็จะถล่มใช้เงินเหล่านั้นทำบาป เสพกิเลส เพราะคนรวยนั้นมีศักยภาพที่จะสนองกิเลสมากกว่าคนอื่น สะสมบาปเวรภัยไปเรื่อยๆ เมื่อไปทำทานอย่างไม่มีปัญญารู้เรื่องบุญก็ได้แต่กุศลมาสะสม ทำให้เมื่อตายไปก็จะเกิดมารวยอีก แล้วก็เกิดมาสนองกิเลสอีกหลายภพหลายชาติจนกว่าบาปจะสั่งสมมากพอเป็นวิบาก เป็นผลทำให้เกิดทุกข์ โทษ ภัยในวันใดวันหนึ่ง
เมื่อเกิดทุกข์โทษภัย ทำให้ชีวิตลำบากหรือเกิดในชาติที่ชีวิตลำบากยากจน พอเห็นคนอื่นรวยก็อิจฉาแล้วก็ขยันหาเงินอีก พอมีเงินก็เอาไปทำทานเพื่อกุศล จนรวยขึ้นมาแล้วก็ตาย เกิดมาเสพกุศลตัวเองรวยไปอีกชาติ ก็วนเวียนจนๆรวยๆอยู่เช่นนี้ วนอยู่ในโลกแบบนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์
….เกิดมารวยมันก็เท่านั้น
เกิดมารวยมันก็เท่านั้นเอง มันไม่ได้ยืนยันว่าจะเป็นสุขมากกว่าเด็กชาวเขาที่วิ่งเล่นกันทุกวันโดยไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องเรียนพิเศษ ไม่ต้องแต่งตัวเรียบร้อย ไม่ต้องมีมารยาท ถ้าหากเราใช้เงินและความมั่งคั่งมาเป็นตัววัดความสุข เรากำลังมีความเห็นผิดอย่างรุนแรง เพราะเงินเป็นเพียงปัจจัยอำนวยความสะดวกแต่ซื้อความสุขไม่ได้
มีคนมากมายที่ไม่มีโอกาสสัมผัสกับความร่ำรวยแต่ก็ยังมีความสุขในชีวิตประจำวัน มีความสบายใจที่ไม่ต้องแบกภาระแบกกิเลสอันมากมายของเงิน แบบนี้สิเขาเรียกว่ามีบุญวาสนาบารมี เพราะเขามีการลดกิเลสมาอยู่แล้ว เขาสามารถมีความสุขได้ทั้งๆที่ไม่มีเงินมากมาย เพราะกิเลสเขาน้อย ชีวิตจึงไม่จำเป็นต้องลำบากหาเงินจำนวนมากเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าให้มันลำบากกาย ลำบากใจ เพราะไม่มีกิเลสหรือพลังแห่งบาปเป็นแรงผลักดัน
…รวยไม่ได้หมายความว่าทำบุญได้มากกว่า
การที่เรารวยไม่ได้หมายความว่าเราจะมีศักยภาพในการทำบุญมากกว่าคนอื่น การทำบุญหรือการลดกิเลสนั้นทุกคนไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ยากจนหรือรวย ก็สามารถที่จะเรียนรู้เรื่องลดกิเลสได้เหมือนกัน ในส่วนการทำกุศลเช่นนำเงินจำนวนมากไปบริจาคสร้างสถานที่หรือสนับสนุนโครงการต่างๆ นั้นก็เป็นกุศลอยู่บ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าคนจนจะทำกุศลไม่ได้ เพราะมีคนจนหลายคน ที่สร้างตัวเองให้เป็นนักสร้างแรงบันดาลใจ ทำให้ทุกคนสร้างความดี ทำให้คนในชุมชนทำดี แบบนี้มันกุศลมากกว่า เพราะความดีมันเกิดในจิตใจคน ไม่ใช่เพียงวัตถุสิ่งของ
เห็นไหมว่าการทำกุศลไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลย เงินจะเป็นปัจจัยที่ด้อยค่าด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับการทำความดีของคน ดังจะเห็นได้ว่ามีคนนำเงินไปบริจาคให้กับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจำนวนมากนั่นเพราะเขาเห็นว่าผู้ปฏิบัติดีเหล่านั้นจะสามารถใช้เงินให้เกิดประโยชน์ได้มากกว่าเขา นั่นเป็นเพราะว่าความดีในจิตใจของคนนั้นมีแค่เหนือเงินนั่นเอง
….คนรวยติดสุข
ความรวยนี่เองที่จะทำให้เราอยู่กับทุกข์ชั่วกาลนาน เพราะคนที่รวยจะติดสุข ติดไปกับโลกธรรมอยู่เรื่อยไป จะไม่มีวันเห็นทุกข์ในโลกธรรม เพราะตัวเองนั้นยังติดสุขอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ ที่เกิดจากความรวยของตน ชีวิตก็ติดอยู่ในภพของเทวดา มีคนหาของมาบำเรอ อยากได้อะไรก็หาได้ กลายเป็นเทวดาในร่างคน ติดภพ ติดสุข อยู่เช่นนี้ กอดความรวยของตนเองไว้หลงว่าเป็นสุข หลงว่าเป็นบุญ ทั้งๆที่เป็นเพียงกุศลหรือผลของความดีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับบุญ
คนที่เกิดมารวยหรือคนที่พยายามจะรวยนั้น โดยมากจะมีกิเลสหรือพรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณอยู่เสมอ ใช้ชีวิตบำเรอกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอยู่ไม่ขาด ไปที่ไหนก็ต้องกินดี ไปที่ไหนก็ต้องนอนดี อยู่ในที่ดีๆ ติดสุขอยู่แบบนี้ ยินดีในความรวยอยู่แบบนี้ จิตจึงตั้งมั่นอยู่ในความรวย แล้วพยายามสร้างกุศลให้ตัวเองได้เกิดมารวยอีกต่อไปเรื่อยๆ
เมื่อมีความติดสุขก็ย่อมไม่เห็นทุกข์ เมื่อไม่เห็นทุกข์ก็ไม่มีทางเห็นธรรม คนที่รวยมากๆจะเข้าถึงธรรมได้ค่อนข้างยาก จะเข้าถึงก็ได้แค่เพียงวัด แค่พระ แต่จะไม่เข้าถึงใจที่เป็นทุกข์จริงๆ การที่เราจะบรรลุธรรมได้นั้นเราต้องไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ในกิเลสด้านใดด้านหนึ่ง แต่คนรวยจะไม่ยอมทุกข์เพราะว่าตนเองติดสุข จะให้ไปทุกข์นั้นเขาจะไม่เอา แต่ถ้าให้ไปทำกิจกรรมในวัดที่เสริมโลกธรรมอันนี้จะชอบ เช่นแต่งชุดขาวเป็นประธานกฐิน ออกหน้าออกตาในสังคม อันนี้มันก็เป็นกุศลที่อาจจะปนบาปไปด้วยเช่นกัน
….ความซวยชั่วกัปชั่วกัลป์
ความหลงติดในความรวย ในความสุขสบายนี้เอง จะทำให้เราหลงติดอยู่ในโลกนี้ ไม่ยอมสละไม่ยอมทิ้ง คนที่ยอมสละได้ทิ้งได้ย่อมเป็นคนมีบุญเป็นอันมากและเมื่อทิ้งแล้วย่อมไม่ใช่คนรวย ดังเช่นพระพุทธเจ้าที่ทรงสละทุกอย่างมาออกบวช แม้รองเท้าก็ไม่เอาเป็นอดีตคนรวยที่สละทุกสิ่งเพื่อสิ่งที่ดีกว่า
ถ้าท่านยังคงติดอยู่ในราชสมบัติติดอยู่ในความสบายก็คงจะไม่มีคำสอนเรื่องธรรมะมาถึงพวกเราจนถึงทุกวันนี้ คนรวยในปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน หากยังหลงในความรวยอยู่ ยังยึดติดว่าต้องรวยก่อนจึงจะทำกุศลได้อยู่ ยังมีความเห็นผิดเป็นอันมากอยู่ ก็จะกอดเก็บและสะสมความรวยนั้นไว้ สร้างบาป เวร ภัยต่อตัวเอง เป็นคนขี้โลภที่กอดกิเลสไว้ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมสละความรวย ไม่ยอมจน คนที่จะพ้นทุกข์ได้ไม่ใช่คนรวย พระพุทธเจ้าท่านก็ทำให้ดูแล้ว แต่ต้องเป็นคนจน จนขนาดที่ว่าแทบไม่มีอะไรเป็นของตัวของตนเลย มีเพียงแค่บาตร จีวรและเครื่องบริขารอีกเล็กน้อยไว้ดำรงชีพเท่านั้นจึงจะทำให้ชีวิตเบา
เพราะยิ่งรวยก็ยิ่งต้องแบกภาระ ก็ยิ่งต้องหนัก แต่พอจนมันไม่ต้องแบกไม่ต้องรับผิดชอบ ที่จริงคนรวยนี่เองคือคนที่ติดสุข ติดกิเลส ติดสะดวกสบาย ก็เลยหากาม หาโลกธรรมมาบำเรอตัวเองจนรวยเพื่อที่จะได้เสพความสบายวนเวียนไปอยู่เช่นนี้ติดภพติดสุขอยู่ในโลกไปเช่นนี้อย่างไม่มีวันจบสิ้น
– – – – – – – – – – – – – – –
15.12.2557
รักให้เป็นสุข
รักให้เป็นสุข
….การทำให้ใครมารักนั้นไม่ยาก แต่การจะรักใครสักคนนั้นยากมาก
คงจะปฏิเสธได้ยากหากจะบอกว่า “ความรัก” นั้นคือสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของแต่ละชีวิต ความรักนั้นมีรูปแบบและมิติที่หลากหลาย แต่ถ้าหากแบ่งออกเป็นสองส่วนก็จะได้เป็นรักคนอื่นและรักตัวเอง ในบทความนี้จะมาขยายกันในหัวข้อรักให้เป็นสุขในเรื่องของการรับรักและการให้รัก
….การทำให้ใครมารักนั้นไม่ยาก
เป็นเรื่องจริงแน่แท้หากจะบอกว่าการทำให้ใครสักคนมารักนั้นไม่ยาก แต่รายละเอียดนั้นกลับไม่มีสิ่งใดจริงเลย การจะทำให้ใครสักคนมารัก มายอมรับ มาสนใจ มาลุ่มหลงในตัวเรานั้นก็เพียงแค่สนองกิเลสให้สาสมใจของเขาเท่านั้นเอง
เป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายที่สุดและเป็นเรื่องที่ลวงโลกมากที่สุดที่คนหลงติดหลงยึดกันข้ามภพข้ามชาติ เพราะในความเป็นจริงแล้ว “เราไม่มีวันสนองกิเลสของใครได้ตลอดไป” แม้วันนี้เราจะสนองได้ แต่วันหนึ่งความไม่เคยพอของกิเลสก็จะทำให้สภาพของความรักลวงๆที่เกิดจากความเสพสมใจนั้นเปลี่ยนแปลงไปหรือที่เรียกกันว่า”ไม่เที่ยง”
เราไม่มีวันสนองกิเลสใครให้เขาสมใจได้ตลอดไป แม้กระทั่งตัวเราก็ตาม เราเองไม่มีวันที่จะสนองกิเลสตัวเองได้ตลอดไป วันหนึ่งเราจะต้องพบเจอกับการพราก การจากไปจากสภาพที่เคยยินดี ดังประโยคที่ว่า เมื่อเกิดมาแล้ว การแก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา กิเลสก็เช่นกันเมื่อเกิดความอยากขึ้นมาแล้วสภาพที่ถูกพรากจากความเสพสมใจนั้นเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่ใช่ว่ากิเลสนั้นตาย แต่เป็นความสามารถในการสนองกิเลสนั้นตาย ดังเช่นความรัก แม้วันนี้เราจะสามารถสนองกิเลสคนที่เราเลือกมาเป็นคู่ด้วยคำหวาน คำสัญญา ความมั่นคง ความมั่งคั่งด้วยฐานะ ชื่อเสียง การงาน หรือแม้กระทั่งความฝัน แต่วันหนึ่งเราก็ต้องเสียความสามารถที่จะสนองกิเลสเหล่านี้ไป เหลือทิ้งไว้แต่คนมีกิเลสสองคนที่โหยหาอยากเสพไม่เคยพอ
และการที่เราเสนอสิ่งเหล่านี้เพื่อได้ความรักมานั้นเปรียบเสมือนการซื้อ ซึ่งไม่ใช่การซื้อด้วยเงินแต่เป็นการล่อซื้อด้วยการสนองกิเลส จนกว่าอีกฝ่ายจะยอมใจอ่อน น้ำลายไหล ยอมขายตัวมาเพื่อเสพกิเลสที่อีกฝ่ายล่อ
รักที่เกิดจากการบำรุงบำเรอกิเลสจึงไม่ต่างจากการซื้อขายตัว แต่เป็นการซื้อขายที่ดูดีในแบบที่สังคมยอมรับหรือจะเรียกให้ถูกว่า “หลงไป”และวันใดวันหนึ่งเมื่อการซื้อขายจ่ายค่าบำรุงไม่เป็นไปดังที่คาดหวังก็จะเกิดการบาดหมาง การเลิกรา หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆก็ตามเกิดขึ้น
คนบางคนนั้นมีคุณสมบัติในการสนองกิเลสคนอื่นติดมาตั้งแต่เกิดเช่น ความสวยความหล่อ และด้วยความหลงระเริงไปตามโลกว่าต้องแต่งตัวดีบ้าง ต้องมีคู่ครองบ้าง ทำให้เขาหรือเธอใช้กามคุณที่มีติดตัวมาแต่กำเนิดนั้นล่อลวงเหล่าคนที่หลงในกิเลสให้เข้ามาติดกับดักเหมือนดังเหยื่อติดเบ็ดที่เขาใช้ล่อปลา คนที่หลงไปในรูป หลงไปในกามคุณก็มักจะยอมตกเป็นเหยื่อเพื่อที่จะได้เสพความสวยความหล่อเหล่านั้น
ความรักที่ดีนั้นย่อมไม่เกิดจากการล่อลวงด้วยกิเลส แต่เป็นการยอมให้กับคุณงามความดี ซึ่งจะตรงข้ามกับการสนองกิเลส รักแบบนี้มีอยู่ไม่มากนัก และโดยมากก็ยังเป็นรักที่เห็นแก่ตัว เพราะยังมีความอยากเอามาครอบครองเอามาเป็นของตัวของตนอยู่นั่นเอง
การทำให้ใครสักคนมารักด้วยการสนองกิเลส หรือการทำให้ใครสักคนมารักด้วยความดีนั้น มีสภาพไม่เที่ยงทั้งสองกรณี แม้รักนั้นจะใสสะอาดบริสุทธิ์แค่ไหน แต่การที่รักนั้นจะอยู่ยั่งยืนตลอดการไม่แปรเปลี่ยนนั้น เป็นไปไม่ได้เลย
ความรักนั้นไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม หากมันไม่เที่ยงแล้วผู้ที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในรักนั้นจะไม่มีวันพบกับความสุขแท้ได้เลย คงจะได้พบเพียงสุขลวงๆที่ล่อให้เขาและเธอได้เสพติดความรักที่เหมือนกับมายานั้นเพื่อได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัสตลอดไป
….แต่การจะรักใครสักคนนั้นยากมาก
การจะรักใครสักคนนั้น ในความเข้าใจสามัญธรรมดาก็มองว่ามักจะเป็นเรื่องง่ายเพียงแค่เราพบคนที่เราถูกใจ คนที่พร้อมจะทุ่มเท เราก็มักจะเรียกสิ่งนั้นว่าความรักได้แล้ว แต่ชื่อของมันจริงๆก็คือ “ความหลง”
เรามักถูกทำให้หลงเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรัก ว่าความรักเป็นสิ่งที่ต้องได้รับมา ได้มาเสพ ได้มายึด จนกระทั่งไปหาคู่ หาแฟน หาคนมาแต่งงาน มีครอบครัวให้ชีวิตต้องพบกับความลำบากทุกข์กายทุกข์ใจแบกเคราะห์กรรม แบกกิเลส แบกของตัวเองยังไม่พอยังต้องลำบากไปแบกของคู่ ของลูกหลาน ของญาติมิตรอื่นๆอีกด้วย ทั้งหมดนี้เกิดจากความหลงผิดไปว่าความรักเป็นเรื่องของการมีคู่ เป็นเรื่องของการสมสู่ เป็นเรื่องของคนสองคน เป็นเรื่องของครอบครัว ฯลฯ
ความรักนั้นมีรายละเอียดและความยิ่งใหญ่มากกว่าการได้มาเสพความเป็นคู่ การมีแฟน หรือการแต่งงานมากนัก เรามักมองความรักกันได้แค่ในมุมแคบๆ รักกันอยู่แค่วงแคบๆ
แม้แต่การรักในวงแคบนั้นก็ยังเป็นความรักที่ผิด ผิดไปจากทางแห่งความสุขแท้ การจะรักใครสักคนแล้วสนองกิเลสเขา หรือเอาเขามาบำเรอกิเลสตัวเองเพื่อความสุขลวงนั้นทำได้ง่าย แต่ความรักที่จะเป็นไปเพื่อความสุขแท้นั้นทำได้ยากยิ่ง
เพราะรักที่เป็นไปเพื่อความสุขแท้นั้น ต้องเกิดจากการไม่สนองกิเลส เพราะกิเลสเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ ยิ่งสนองกิเลสเท่าไหร่ก็จะยิ่งห่างไกลจากความสุขแท้เท่านั้น
สุขที่ได้จากการเสพกิเลสนั้นคือสุขลวง สุขที่ไม่เที่ยง สุขที่แปรผันไปตามโลก เป็นสุขแบบโลกๆ ไม่ยั่งยืน ไม่ถาวร ทำให้เป็นทุกข์ ดังนั้นหากจะรักใครสักคนอย่างแท้จริงนั้นต้องให้เขาได้พบกับความสุขแท้และยั่งยืนนั่นคือการลดกิเลส
การลดกิเลสไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องที่จะทำความเข้าใจหรือคิดคำนวณเอาเองได้ แต่ต้องใช้การเพียรพยายามศึกษาและปฏิบัติ และต้องทำอย่างถูกต้องถูกตรง โดยมีครูบาอาจารย์ที่มีสัจจะแท้อยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นสิ่งที่เข้าใจว่ากิเลสลด อาจจะเป็นการเพิ่มกิเลสก็เป็นได้
ความรักที่เจริญจากการลดกิเลสนั้น จะเป็นความรักที่ยั่งยืน นำมาซึ่งความสุขแท้ จะเป็นความรักที่ค่อยๆปล่อย ค่อยๆคลายจากความยึดมั่นถือมั่นด้วยความยินดี ยินดีที่จะได้ให้แม้จะไม่มีอะไรตอบแทน แม้จะไม่มีคำขอบคุณ แม้จะไม่มีใครเห็นคุณค่า แม้จะไม่มีโอกาสได้แสดงถึงความรักนั้นก็ยังยินดี เพราะรักที่แท้คือการให้โดยไม่เอา ไม่เอาอะไรเลย มีแต่จิตที่คิดจะให้อยู่ฝ่ายเดียว ให้จนหมดตัวหมดตน เป็นการให้ที่เป็นบุญเป็นกุศลที่สุดในโลก
แต่การจะให้ความรักแท้ที่นำมาซึ่งความสุขแท้ ที่เรียกว่าการลดกิเลสนั้นไม่ใช่ว่าจะให้ได้ทันที เพราะสิ่งที่เราจะสามารถให้ได้คือสิ่งที่เรามี หากตัวเราเองไม่มีการลดกิเลส ไม่มีความรู้ในการลดกิเลส ไม่มีวิธีการลดกิเลสอย่างถูกต้องแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะให้ หรือถ่ายทอดวิธีสร้างความสุขแท้ให้กับผู้อื่นได้
การที่เราจะเป็นผู้มีรักแท้นั้นจึงจำเป็นต้องทำตนให้เป็นผู้ลดกิเลสได้จริง ทำลายกิเลสได้จริงๆ จึงจะเรียกได้ว่ามีของจริง เมื่อมีของหรือมีธรรมนั้นในตัวจริงๆก็จะสามารถให้ความรู้ ความเข้าใจ วิธีการเหล่านี้กับผู้อื่นได้ ซึ่งเป็นวิธีที่จะทำให้เราสามารถรักใครได้จริงๆ รักได้แบบไม่หวังอะไร รักได้อย่างบริสุทธิ์ รักได้อย่างไม่มีโทษ
เรามักเข้าใจผิดว่าเรานั้นมีรักแท้ แต่ถ้าสังเกตดีๆ รักของเราที่มีให้กับคนอื่นนั้น คือรักที่เห็นแก่ตัว เป็นรักที่จะเอาบางสิ่งบางอย่างมาเสพ เช่นรักแฟน ก็อยากเสพทั้งการสมสู่ ทั้งการดูแลเอาใจใส่ ทั้งหน้าตาทางสังคม ทั้งชื่อเสียงลาภยศ ,รักพ่อแม่ ก็เพราะพ่อแม่เอาใจเลี้ยงดู , รักลูก ก็เพราะมองลูกเป็นของของตน เรามีการเสพบางสิ่งบางอย่างโดยใช้นามแห่งความรักเสมอ เรียกได้ว่ามีผลประโยชน์กับความรักอยู่นั่นเอง
รักที่แท้นั้นจะสามารถพิสูจน์ได้ในยามที่สภาพสุขที่เคยเสพได้พรากจากไป เช่นแฟนที่เคยคิดว่าจะดูแลเรา วางแผนกันว่าจะแต่งงานในเร็วๆนี้ แต่มาประสบอุบัติเหตุเป็นอัมพาตเสียก่อน เรายังจะสามารถที่จะรักหรือให้ได้โดยไม่คิดจะเอาอะไรอยู่รึเปล่า เมื่อสิ่งที่เราเคยได้เสพหายไป เรายังจะยินดีให้โดยที่ตัวเองไม่ได้รับอะไรกลับคืนมารึเปล่า
ผู้ที่สามารถมีความยินดีที่จะให้ได้แม้จะไม่ได้รับอะไรเลย จะเป็นผู้ที่ได้รับที่แท้จริง ได้รับโอการในการให้ที่มีคุณค่า เป็นผู้ที่มีรักแท้ เป็นรักที่เสียสละ ไม่ครอบครอง ไม่แสวงหา ไม่ผลักไส ไม่ดูดดึง ไม่ได้รักเพราะมีผลประโยชน์ แต่รักเพราะเข้าใจว่าความรักนั้นเป็นสิ่งที่ดี
ผู้ที่สามารถรักใครได้โดยไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่เอาสิ่งใดมาเสพอีก จะเป็นผู้ที่สามารถรักใครก็ได้ในโลก รักได้ทั้งคนสัตว์และสิ่งอื่นๆ เป็นความรักที่นำมาแต่ความสุข รักกันข้ามภพข้ามชาติ ข้ามความลำบากทุกข์ทรมานแสนสาหัสก็เพื่อจะได้มอบความรักแก่คนอื่น
เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าได้ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงความรักที่ทนทุกข์ทรมาน บำเพ็ญเพียรอยู่กว่าสี่อสงไขยกับหนึ่งแสนกัป เพื่อที่จะส่งต่อความรัก หรือการให้วิธีทำลายกิเลสซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ นำมาซึ่งความสุขแก่จิตวิญญาณดวงหนึ่งอย่างแท้จริง
เรายังไม่ต้องทำถึงขนาดพระพุทธเจ้าหรอก เพียงแค่หัดรักให้เป็น การรักเป็นคือการรักให้มีความสุข การมีความสุขแท้เกิดจากการลดกิเลส นั่นก็คือถ้าเราพากันลดกิเลส เราก็จะรักกันเป็น รักคนอื่นได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่รักตัวเองโดยใช้คนอื่นมาสนองความอยากโดยอ้างว่าเป็นความรักอย่างในทุกวันนี้
– – – – – – – – – – – – – – –
19.11.2557