แล้วชาวพุทธจะหาเนื้อสัตว์กินได้อย่างไร?

แล้วชาวพุทธจะหาเนื้อสัตว์กินได้อย่างไร?
หากได้ชมซีรี่พระพุทธเจ้าตอนที่ 30 จะมีเนื้อหาตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าไปห้ามการนำสัตว์ไปฆ่าเพื่อบูชายัญ โดยมีบทพูดในละครที่น่าสนใจเช่น “ข้อยอมตายตรงนี้แต่ข้าหลีกทางให้ไม่ได้” , “หากมีบาปเกิดขึ้นในนามของศาสนาข้าจะต้องคัดค้านแน่”
ยอมตายแต่ไม่ยอมให้ฆ่า นั่นหมายถึงแม้เหตุแห่งชีวิต ท่านก็จะไม่สนับสนุนในการฆ่า ในพระไตรปิฏกมีหลักฐานเกี่ยวกับองค์ประกอบของการฆ่าไว้ชัดเจน และการฆ่านั้นถือเป็นเรื่องนอกพุทธ ดังนั้นไม่ว่าจะฆ่าด้วยเหตุผลอะไรย่อมไม่ใช่แนวทางของพุทธ
แต่ในทุกวันนี้เนื้อสัตว์ที่มีขายอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นเนื้อที่มาจากการฆ่า เป็นเนื้อนอกพุทธอยู่แล้ว ดังนั้นไม่มีสิ่งดีใดๆในเนื้อสัตว์นั้นเลย และซ้ำร้ายการค้าขายเนื้อสัตว์ยังเป็นการค้าที่ผิดของพุทธด้วย นั่นหมายถึงชาวพุทธย่อมไม่ยินดีในเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าและไม่ค้าขายเนื้อสัตว์
ในสมัยพุทธกาลนั้น การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นเรื่องสามัญมากๆ ขนาดพระเทวทัตที่ได้ชื่อว่าชั่วที่สุดในโลกก็ยังขอให้พระพุทธเจ้าบัญญัติให้ภิกษุไม่กินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต ถึงกระนั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่เห็นตามนั้น ทรงตรัสว่าให้กินเนื้อที่ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจว่าเขาฆ่ามา เพราะแท้จริงแล้วเนื้อสัตว์ที่กินได้โดยไม่มีองค์ประกอบของการฆ่าที่ผิดพุทธเข้าไปเกี่ยวอยู่นั่นมีอยู่ คือเดนสัตว์ที่เหลือจากการถูกล่าโดยสัตว์ และสัตว์ที่ตายของมันเอง
ประโยคในละครที่ว่า “หากมีบาปเกิดขึ้นในนามของศาสนาข้าจะต้องคัดค้านแน่” ยังกำชับแนวทางของพุทธได้ดี แม้จะเป็นคำที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาใหม่ แต่ทิฏฐิยังคงเดิม นั่นคือ นอกจากจะไม่ฆ่าเองแล้ว ยังไม่สนับหนุนให้คนอื่นฆ่า และยังแสดงความกรุณาโดยการคัดค้าน ไม่เพิกเฉยต่อสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม
พระพุทธเจ้ายังเคยถูกกล่าวตู่ว่ากินเนื้อสัตว์ โดยฝ่ายที่ไม่ศรัทธา นั่นหมายถึงว่าปกติแล้วพระพุทธเจ้าท่านไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วฝ่ายที่ไม่ศรัทธาจ้องจะหาทางทำลายชื่อเสียง จึงใช้วิธีป่าวประกาศว่าพระพุทธเจ้าท่านกินเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านให้กินอาหารที่หาได้ง่ายและไม่มีโทษ เนื้อสัตว์ที่ถูกพุทธก็หาได้ยากกว่าพืชผักอยู่แล้ว และเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่ามาก็ยังมีโทษเจือปนอยู่ ท่านได้ตรัสไว้ในสูตรอื่นๆว่า การเบียดเบียนทำให้มีโรคมากและอายุสั้น ดังนั้นการกินเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามาจึงมีส่วนในการเบียดเบียน ทำให้ตนเองนั้นมีโรคมากและอายุสั้น นั่นหมายถึงเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามานั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์
“บาปแม้น้อยไม่ทำเสียเลยจะดีกว่า” เป็นสิ่งหนึ่งที่ท่านได้ฝากทิ้งไว้ ในเมื่อเรารู้แล้วว่าเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามานั้นมีส่วนแห่งบาปอยู่อย่างเต็มเปี่ยม แล้วเราจะยังยินดีรับเนื้อสัตว์นั้นมากินได้อย่างไร เราไม่รู้สึกผิดบาปเลยหรือ? ไม่ตะขิดตะขวงใจกันเลยหรือ? เรายอมมีส่วนในบาปนั้นเพียงเพื่อจะได้เสพรสสุขลวงจากเนื้อสัตว์เท่านั้นหรือ? เรายินดีในการฆ่าเพียงเพื่อให้ตนได้เสพสุขอย่างนั้นหรือ? เราปล่อยวางเหตุผล แต่เรายังมุ่งเสพกามที่ผิดจากทางของพุทธไปมาก นี่คือทางพ้นทุกข์จริงหรือ?
เพราะแท้จริงแล้วประโยชน์ของเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามานั้นไม่มีเลย แม้จะทำให้อิ่มท้องได้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ต้องการพ้นทุกข์สมควรบริโภค แล้วทีนี้ชาวพุทธจะหาเนื้อสัตว์มากินได้อย่างไร? แล้วจำเป็นต้องหากันหรือไม่? หรือแท้จริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องใส่ใจเนื้อสัตว์ว่าเป็นอาหารเสียเลยยังจะง่ายกว่าที่ต้องมารู้สึกไม่ดี สงสัย ตะขิดตะขวงใจกับการกินเนื้อสัตว์ในแต่ละครั้ง
– – – – – – – – – – – – – – –
16.6.2558
ยามรัก ยามชัง ผูกเงื่อน แก้เงื่อน

ยามรัก เหมือนผูกเงื่อนในบึงน้ำ
เย็น สบาย ค่อยๆผูก ค่อยๆพัน
ยามชัง เหมือนแก้เงื่อนบนกองไฟ
ร้อน ทรมาน ยิ่งรีบแก้ ก็ยิ่งพันแน่น
……………………….
คนเราโดยทั่วไปนั้น เมื่อยามหลงรักก็เหมือนกับการผูกเงื่อน ค่อยๆผูกความสัมพันธ์ ค่อยๆยึดมั่นถือมั่นเอาเขาคนนั้นมาเป็นตัวตนของเรา เป็นคู่ของตน กลายเป็นคนรู้ใจ เป็นแฟน เป็นสามีภรรยา เป็นเงื่อนที่มัดแน่นและซับซ้อนขึ้น
การผูกเงื่อนเมื่อยามหลงรักนั้นก็เหมือนกับการผูกอยู่ในบึงน้ำที่สงบเย็น อยู่ในห้วงแห่งการเสพสุขต่างๆที่พาให้หลงไป ยิ่งสุขก็ยิ่งเสพ ยิ่งเสพก็ยิ่งผูก ยิ่งผูกก็ยิ่งจะพัน และพันไปพันมาซับซ้อนมากเท่าที่จะมากได้ เช่น เราจะไม่แยกจากกัน เราจะดูแลกันไปจนตาย เราจะรักกันชั่วนิรันดร์
แต่พอถึงวันหนึ่งที่ไม่ได้เสพสมใจหมาย สิ่งนั้นไม่ได้ดีดังใจฝัน เวลาจะออกมันไม่ง่าย เราไม่สามารถแก้เงื่อนที่ผูกไว้ได้ง่ายเหมือนตอนที่ผูก เพราะตอนผูกก็ผูกด้วยความหลง เลยไม่รู้ว่าจะแก้ยังไง แถมยังต้องแก้บนความเกลียดชัง ความไม่พอใจที่เหมือนกับไฟที่คอยเผา ให้ต้องเร่งรีบทำทุกอย่างเพื่อที่จะหลุดพ้นจากความไม่พอใจนั้นๆ
การแก้ความยึดมั่นที่ผูกมาไม่ได้ง่ายเพียงแค่การตัด เพราะถ้าเราสามารถตัดความยึดมั่นถือมั่นได้ง่ายเพียงแค่คิดก็คงจะไม่มีใครทุกข์ แต่เงื่อนแห่งนามธรรมที่เต็มไปด้วยกิเลสนี้ต้องตัดด้วยปัญญาเท่านั้น แต่จะเอาปัญญามาจากไหน? เคยสร้างมันขึ้นมาหรือไม่? เมื่อไม่มีแล้วจะเอามาใช้ได้อย่างไร? สุดท้ายมันก็ต้องทนแก้เงื่อนไปบนกองไฟอยู่นั่นเอง
– – – – – – – – – – – – – – –
15.6.2558
ขุดกระถิน ขุดกิเลส

ขุดกระถิน ขุดกิเลส
เมื่อปีก่อน พื้นที่หนึ่งเคยเป็นแค่ที่ไร่เก่าที่ถูกปล่อยร้าง อย่างมากก็มีแค่วัชพืช บนพื้นที่เป็นร่องของรอยไถ เมล็ดของกระถินได้ตกลงมาและเติบโตโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าวันนี้มันจะเป็นปัญหาที่แก้ไขได้อย่างยากลำบาก
ผมได้ดำเนินการขุดพื้นที่ให้เป็นสภาพของเกาะ ซึ่งไม่สามารถนำรถไถเข้ามาปรับพื้นที่ได้อีก กระถินต้นน้อยที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านเดือนมาเป็นปี แน่นอนว่าในตอนแรกมันยังเป็นแค่ต้นเล็กๆ แต่พอมันโตขึ้น ก็มีชาวบ้านเข้ามาตัดมันจนกุดไปเป็นระยะ จนผ่านไปปีกว่า พื้นที่เกาะกว่าร้อยตารางวาก็กลายเป็นดงกระถิน
มาถึงวันนี้ ผมใช้แรงและเวลาอย่างมากในการะขุดกระถินออก การนำกระถินออกใช้การตัดไม่ได้ เพราะการตัดก็ยังเหลือตอ เมื่อเหลือตอก็โตต่อได้ และถ้าโดนตัดบ่อยๆ ตอจะยิ่งใหญ่ขึ้น ทำให้ขุดยากขึ้นด้วย เพราะรากจะแทงออกไปตามปริมาณของกิ่งที่แตกแขนงออกไปเช่นกัน นั่นหมายถึงยิ่งตัดก็ยิ่งจะเอาออกยากในภายหลัง
ขุดกระถิน…
การขุดกระถินนั้นจะต้องขุดลงไปลึกถึงระดับหนึ่งให้ลึกถึงส่วนราก ซึ่งจะทำให้กระถินไม่แตกกิ่งใหม่ขึ้นมาอีก แต่การขุดนั้นไม่ง่าย ในเมื่อเราใช้รถไถกระถินออกไม่ได้ เราก็ต้องใช้เครื่องมือ ไม่ว่าจะลองใช้จอบ เสียม ก็กลับพบว่าไม่มีอะไรขุดกระถินออกได้ดีเท่าอีเตอร์ถ้านึกภาพไม่ออกก็น่าจะนึกถึงอุปกรณ์ขุดเหมือง ประมาณนั้นละนะ
ทีนี้อีเตอร์ธรรมดานี่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ จึงต้องเอาปลายด้านหนึ่งมาลับให้คม เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการเฉาะลงไปในเนื้อส่วนรากของกระถินเข้าไปอีก แต่ยิ่งคมก็ยิ่งอันตราย ทั้งหนัก ทั้งคม ต้องใช้แรงมาก ต้องระวังมาก ถ้าพลาดมาโดนตัวเองก็อาจจะบาดเจ็บหนักได้เช่นกัน
และการขุดแต่ละครั้งก็ใช่ว่าจะสำเร็จ ต้องเพียรอย่างมาก บางครั้งขุดพลาดบ้าง แฉลบไปข้างๆ ก็เสียแรงฟรีๆ บางครั้งเจอตอใหญ่ ขุดไปอีเตอร์กระเด้งกลับ ถ้ายึดอีเตอร์ไว้มั่นก็จะเจ็บทั้งมือทั้งแขน ต้องทำอย่างยึดแต่ไม่มั่น เพราะถ้าไม่ยึดให้ดีก็หลุดมือ หรือไม่มีแรง แต่ถ้ายึดมั่นมากเกินไปก็จะเจ็บตัว
ทั้งนี้ถ้าเราเอากระถินออกตั้งแต่ตอนแรก ก็คงจะไม่ลำบากเสียแรงกันให้วุ่นวายกันแบบนี้ เมื่อเรากั้นเขตไม่ให้รถไถเข้ามาช่วยเราก็เลยต้องออกแรงเองทั้งหมด
ขุดกิเลส…
หากจะมองในเชิงเปรียบเทียบ การขุดกระถินก็คงจะให้ภาพคล้ายๆกับการขุดกิเลส ถ้าใครอยากรู้ว่าการขุดกิเลส การล้างกิเลสเป็นอย่างไรให้ลองไปขุดกระถินสักร้อยสองร้อยต้น แล้วระลึกไว้เสมอว่าการทำลายกิเลสยากกว่านั้นจนเทียบไม่ได้
กระถินนั้นต้องใช้การขุดออก จะตัดออกไปไม่ได้ ถึงจะตัดควบคุมไม่ให้ต้นมันโต แต่ตอที่เหลือไว้มันก็จะยิ่งโตใหญ่อยู่ดี นั่นหมายถึงถ้าไม่ขุดกระถินออกก็ไม่มีทางจบปัญหา กิเลสก็เช่นกัน แม้ว่าเราจะสามารถใช้สติ ดับความฟุ้งซ่านได้เป็นคราวๆ แต่สติที่มีขอบเขตเพียงแค่การระลึกรู้ตัวนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะชำระกิเลสได้ เป็นเพียงแค่ตัวรู้เท่านั้น หากรู้แล้วปล่อยให้เกิดดับไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วกิเลสกำลังแอบกำเริบเติบโตอยู่ นั่นแหละคือภาระอันยิ่งใหญ่ที่เราต้องมาสะสางกันยกใหญ่ทีหลัง
กระถินนั้นเรายังพอจะเห็นว่ามันเริ่มเติมโตตั้งแต่ต้นเล็กไปจนต้นใหญ่ เห็นต้นเห็นรากของมัน แต่กิเลสเราไม่รู้เลยว่ามันเริ่มจากตรงไหน จับต้นชนปลายกันไม่ถูก หาเหตุกันไม่เจอ ได้แต่งงกับผลกรรมร้ายๆทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิต ซ้ำร้ายกิเลสยังแผ่ขยายรากและเติบโตได้อย่างไม่มีวันจบสิ้น ตัดตรงนี้ ไปเกิดอีกตรงนั้น แถมตรงนี้ยังโตขึ้นไปได้อีก
ถ้ากระถินเป็นต้นไม้ที่ขยายพันธุ์ด้วยรากและแตกหน่อจากใบได้ด้วย ก็คงจะเป็นพืชที่ครองโลกไปแล้ว แต่แค่ที่มันเป็นอยู่ก็กำจัดมันได้ยากแล้ว ส่วนกิเลสนั้นเป็นพลังงานที่สามารถขยายและแตกตัวได้อย่างไม่จำกัด เป็นเหมือนคลื่นที่มองไม่เห็นแต่มีพลังงานมหาศาลให้คนทำชั่ว คนมีกิเลสหนึ่งคนสามารถขยายกิเลสของตนให้คนอื่น ขยายและแพร่พันธุ์กิเลสได้อย่างไม่จำกัด
ทีนี้เมื่อกิเลสนั้นเป็นพลังงาน มองไม่เห็นได้ง่ายเหมือนกระถิน แล้วจะเอามันออกได้อย่างไร ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับตัวตนของกิเลสได้ จะแน่ชัดได้อย่างไรว่ากิเลสเป็นเชื้อชั่วที่ควรขุดรากถอนโคนทิ้ง และถึงแม้จะมั่นใจว่าต้องขุดทิ้งก็ใช่ว่าจะสามารถจะขุดกิเลสกันได้ง่ายๆ ต้องเพียรกันสุดยากลำบาก
ที่ว่าทำได้ง่ายๆนั้นไม่มีหรอก มีแต่ขุดผิดเท่านั้นแหละ เขาให้ขุดกิเลสในสันดานทิ้ง ไปขุดอะไรทิ้งก็ไม่รู้ เช่นไปขุดความยึดมั่นถือมั่นว่ากิเลสเป็นของไม่ดีทิ้ง คล้ายๆกับมีกระถินอยู่เต็มพื้นที่ที่จะต้องนำไปใช้ประโยชน์ ด้วยความเห็นผิดก็เลยปล่อยให้กระถินเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ให้มันโตตามธรรมชาติอยู่แบบนั้น แล้วเข้าใจว่าทุกอย่างก็เป็นเช่นนั้นเอง ก็เหมือนกับคนที่คิดว่าตัวเองปฏิบัติธรรมแต่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกิเลส เสพกามเมาอัตตาอยู่นั่นเอง
…การขุดกิเลสนั้นเป็นเรื่องนามธรรมที่ยากสุดยาก เป็นสิ่งที่ต้องเพียรกันถึงขั้นทุ่มชีวิตเอาใจใส่ก็ใช่ว่าจะสำเร็จกันได้ง่ายๆ เพราะถึงจะขยันแต่ขุดผิดที่ ก็หมายความว่าเหนื่อยเปล่า ยิ่งทำยิ่งหลงทาง ยิ่งขยันยิ่งพาตัวเองไปสร้างทุกข์
คนขยันแต่ไม่มีปัญญานี่ต้องหยุดก่อน อย่าเพิ่งทำอะไร ลองศึกษาก่อน พิจารณาดูก่อนว่าควรจะทำอะไร ควรจะขุดตรงไหน สิ่งไหนที่เรียกว่ากิเลส อันไหนกาม อันไหนอัตตา ควรจะทำลายตัวไหนก่อน ลำดับขั้นตอนเป็นอย่างไร มีผลเป็นอย่างไร นั่นหมายถึงว่า ถ้ายังไม่เจอผู้รู้ที่มีวิชาทำลายกิเลสได้จริง ก็อย่าเพิ่งปักมั่นว่าการทำลายกิเลสไม่มี แม้จะได้ชื่อว่าวิชาล้างกิเลสนั้นมีอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกลวงให้หลงด้วยชื่อและคำเล่าอ้างให้หลงไปในผู้ที่ตั้งตนเป็นครูบาอาจารย์ลวงให้ผู้คนหลงมัวเมาและศรัทธาในตนเพราะหวังลาภ ยศ สรรเสริญ กาม อัตตา
– – – – – – – – – – – – – – –
14.6.2558
คุยกับหลานสาว เรื่องมังสวิรัติ
หลานสาว 7 ขวบ คุยกันเรื่องเราเป็นสัตว์กินพืช แต่คนอื่นเขาเป็นสัตว์กินทั้งพืชทั้งเนื้อ (เรื่องก็เริ่มมาจากบทเรียนที่เขาเรียนรู้มาละนะ)
หลานก็บอกว่าแต่ก่อนน้าดิณก็กินเนื้อมา
เราก็ตอบว่า ก็ตอนนี้ก็เลิกแล้วไง
ว่าแล้วหลานก็บอกว่า หนูก็ทำได้
เราก็ตอบว่า ก็ลองทำสิ
หลาน : แต่หนูก็ต้องกินอาหารที่โรงเรียนทำให้อยู่ (ป.2)
เรา : ซื้อกินเองได้ค่อยกินก็ได้
หลาน : (ท่าทางมั่นใจ)
อืม…. อนาคตก็ยังมาไม่ถึงเนาะ ค่อยว่ากันตอนหลานโต แต่ไม่รู้กิเลสจะโตตามด้วยรึเปล่า สังเกตุว่าเด็กนี่จะมีเหตุผลไม่ค่อยมากเท่าไหร่ แต่ผู้ใหญ่นี่เหตุผลในการที่จะไม่เลิกกินเนื้อสัตว์นี่ก็มีกันมากมายก่ายกอง น่าฟังน่าเชื่อเสียด้วยสิ 55
จะหาเหตุผลให้ตัวเองได้มีส่วนเบียดเบียนสัตว์อื่นโดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิดบาป ก็ไม่แปลกอะไร ใครๆเขาก็ทำกัน แต่ก็เป็นวิถีชีวิตที่ลำบาก เพราะต้องเติมทั้งเนื้อทั้งผักจึงจะดำเนินชีวิตได้ ไม่เหมือนชีวิตที่กินแต่ผักก็ดำเนินชีวิตได้ง่ายกว่ากันเยอะ
แปลกนะ ที่คนเราคิดว่าการกินทั้งเนื้อทั้งผักเป็นเรื่องปกติ แต่กลับคิดว่าการกินผักอย่างเดียวเป็นเรื่องลำบาก ทั้งๆที่ค่าใช้จ่ายในการกินเนื้อมันก็มากกว่าผัก หาได้ง่ายกว่า(ปลูกเองได้) ช่วยให้ระบบร่างกายทำงานได้ดีกว่า
การเปลี่ยนมาทำให้ชีิวิตประหยัด สะดวก สบายกว่าเดิมนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากลำบากขนาดจริงหรือ?
คิดๆแล้วก็งงในตรรกะ เอาเป็นว่าโทษกิเลสไปแล้วกันนะ กิเลสนี่แหละตัวทำสับสน ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก …เบื่อมันจริงๆ

