จะรู้ได้อย่างไร ว่ากิเลสมากหรือน้อย

June 22, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,995 views 0

จะรู้ได้อย่างไร ว่ากิเลสมากหรือน้อย

จะรู้ได้อย่างไร ว่ากิเลสมากหรือน้อย

ในปัจจุบันเรามีวิธีบริหารจิตใจไม่ให้เกิดความทุกข์มากมาย มีกิจกรรมปฏิบัติธรรมหลากหลายที่เกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์คนทุกจริตตามกรรมของแต่ละคน เราสามารถเห็นคนดีมีศีลธรรมปะปนอยู่ในชีวิตประจำวันของเราได้เป็นเรื่องปกติ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ที่ว่าดีนั้น ดีแค่ไหน?

วิธีตรวจว่าตนเองว่าดีจริงหรือไม่นั้นก็ไม่ยาก เพียงแค่นำศีลเข้าไปใช้ในชีวิตประจำวัน หากดีจริงชีวิตจะไม่ทุกข์ไม่ติดขัด ถือศีลได้อย่างปกติ แต่ถ้าไม่ดีจริง มันจะติดขัด จะมีเหตุให้ผิดศีล เกิดทุกข์ หดหู่ ไม่เบิกบานกระทั่งเลิกถือศีลไปเลยก็ได้

เพียงแค่ศีล ๕ ที่เข้าใจกันโดยทั่วไปก็สามารถจะทำให้ตนเองนั้นรู้ตัวได้ว่าเราดีจริงแล้วหรือยัง เรายังมีเหตุให้ผิดศีลอยู่หรือไม่ กิเลสนั้นเองคือเหตุที่ทำให้ผิดศีล ถ้าไม่มีกิเลสก็จะไม่มีข้ออ้างใดๆให้ทำผิดศีลเลย แม้ว่าจะไม่ได้ผิดศีลในระดับศีลขาด แต่ความขุ่นข้องหมองใจนั้นก็เรียกได้ว่ายังผิดอยู่ในระดับของใจ เพราะศีลนั้นต้องชำระกิเลสตั้งแต่ภายนอกไปจนถึงภายใน ตั้งแต่กาย วาจา ไปจนถึงใจ

หากมีศีลเพียงแค่คุมกายวาจา แต่ใจนั้นยังปรุงแต่งเชื้อทุกข์อยู่แม้จะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม จนทำให้เกิดความไม่โปร่ง ไม่โล่ง ไม่สบาย ไม่เบิกบาน หดหู่ หงุดหงิด ฯลฯ ก็เรียกได้ว่ายังชั่วอยู่

การมีศีลได้นั้นจะต้องมีปัญญา พระพุทธเจ้าเปรียบปัญญาและศีลเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงศีลนั้นๆได้ เพราะจำเป็นต้องมีปัญญาที่มากพอจะเอื้อมถึงคุณประโยชน์ของศีลนั้นด้วย

ยกตัวอย่างเช่น เราเจอคนดีคนหนึ่ง ดูท่าทีเป็นนักปฏิบัติธรรมมาก พูดอะไรเป็นธรรมะหมด ก็เลยลองเสนอสิ่งดีๆที่เราเห็นว่าเป็นประโยชน์กับเขาและเขายังไม่ได้รู้ถึงประโยชน์นั้น เช่นบอกว่าลองกินมังสวิรัติดูสิ ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพและไม่เบียดเบียนด้วย ถ้าเขามีปัญญามากพอ เขาจะสนใจถือศีลนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสามารถศึกษาศีลจนเกิดปัญญาที่เป็นผลได้ทันที

หรือในอีกตัวอย่างหนึ่งเช่น เราเจอคนดี มีศีลธรรม เราก็ลองเสนอสิ่งดีๆเหมือนเดิม ทีนี้ลองเสนอศีลที่ยากขึ้นเช่น กินจืด , กินมื้อเดียว , เป็นโสด ฯลฯ ลองดูว่าเขาจะรับไหวไหม มีเหตุผลของกิเลสมากมายที่จะทำให้คนปฏิเสธการมีศีล แม้ว่าจะเป็นเหตุผลที่ดูดีและน่าเชื่อถือแค่ไหน นั่นแหละพลังแห่งความชั่วที่อยู่ในตนมันกำลังขัดขวางทางเจริญ

ทีนี้ก็ลองเอาตัวอย่างทั้งหมดมาปรับใช้กับตัวเอง การที่เราคิดว่าเราเป็นคนดีแล้ว เราดีจริงหรือ? แล้วเราดีแค่ไหน? เรายังปนชั่วอยู่ไหม? ลองเอาศีลนี้มาปฏิบัติดูซิ ถ้าทำได้ก็เอาศีลที่ยากมาปฏิบัติอีก พระพุทธเจ้าท่านให้ผู้บวชในศาสนาของท่านศึกษา จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ถ้าเป็นนักบวชก็สามารถปฏิบัติได้ทุกข้อ แต่ถ้าเป็นฆราวาสก็เลือกข้อที่เหมาะสมหรือจะเริ่มจากศีล ๕, ๘, ๑๐ หรือจะชอบแบบผสมก็ได้ แต่อย่าไปผสมให้เลี่ยงสิ่งที่ติด ควรจะศึกษาศีลที่ทำให้ตัวเองเห็นกิเลส ศีลใดถือแล้วเฉยๆก็ถือไปอย่างนั้น แล้วเพิ่มศีลอื่นๆไปเข้าอีก

อย่างเช่นการกินมื้อเดียวนี่ใช่ว่าแค่นักบวชเท่านั้นที่ทำได้ ฆราวาสก็ทำได้ มีคนพิสูจน์มาแล้วมากมายว่าสามารถกินมื้อเดียวแล้วมีพลังใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ซึ่งโดยมากจะเกิดศักยภาพมากกว่าปกติ ไม่มีข้อจำกัดใดๆในการถือศีลนอกจากกิเลส

ศีลในหมวดของอาหารตั้งแต่ ลดเนื้อกินผัก กินจืด กินมื้อเดียว เลิกกินขนมและสิ่งฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย คือหมวดศีลที่ปฏิบัติได้ทุกคนทั้งนักบวชและฆราวาส นั่นหมายถึงทุกคนสามารถปฏิบัติธรรมได้บนพื้นฐานเดียวกัน คือจะเจอกิเลสที่มีลักษณะและลีลาคล้ายๆกันนั่นเอง

หากการมีศีลเกิดจากปัญญา การไม่มีศีลก็คือไม่มีปัญญาเช่นกัน

– – – – – – – – – – – – – – –

21.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

การคลายเหงา

June 21, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,887 views 0

การคลายเหงา

การคลายเหงา

แย่ที่สุด..คือการหาแฟน

พอใช้..คือกดข่มและฝืนทน

ดีขึ้นมา..คือหาเพื่อน

ดีที่สุด..คือการล้างกิเลส

กิเลส..ที่เป็นเหตุเกิดของความเหงา

………………….

วิธีการคลายเหงานั้นมีมากมาย แต่ละวิธีก็ให้ผลแตกต่างกันไป แต่ที่แย่ที่สุดคือเหงาแล้วหาแฟนเพื่อแก้เหงา ซึ่งเป็นการสร้างปัญหาอื่นๆเพิ่มเติมในชีวิต ซ้ำยังเป็นการแก้ที่ไม่ถูกจุด เพราะเข้าใจเพียงแค่ว่าการมีคู่เท่านั้นที่จะทำลายความเหงาได้ทั้งๆที่มีวิธีอื่นอีกมากมาย

ที่พอจะทำได้โดยไม่ลำบากตนเองมากนักก็คือกดข่มฝืนทนโดยใช้อุบายต่างๆเขามาควบคุมความฟุ้งซ่านของจิตใจ เช่น หากิจกรรมทำ ขยันทำงาน ใช้ข้อธรรมะ ใช้การปฏิบัติสมถะ ฯลฯ ก็เรียกว่าสามารถจัดการกับความเหงาได้ดีในระดับหนึ่ง

ส่วนที่ดีขึ้นมาคือการหาเพื่อน เพื่อนเป็นคำที่มีความหมายกว้าง ในที่นี้จะระบุลงไปที่ระดับของกัลยาณมิตร คือมิตรที่ดี คอยรับฟัง แบ่งปัน แก้ปัญหา ยินดีช่วยเหลือ เคารพในความเห็นของกันและกัน ฯลฯ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีมิตรที่มีความเกื้อกูลกันในระดับนี้ได้ ซึ่งจะเกิดจากการสร้างขึ้นมาเอง เริ่มจากการยอมรับว่าตนเองนั้นอ่อนแอและยอมรับความช่วยเหลือจากผู้ที่ยินดีจะช่วยและมีศีลธรรม

กัลยาณมิตรจะสามารถแก้ไขของความเหงาได้ดีกว่าแฟน มีความยั่งยืน และมั่นคงกว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ นั่นหมายถึงว่าหากเราอยากจะพ้นทุกข์ เราจำเป็นต้องพบกับกัลยาณมิตรเสียก่อน แล้วการมีกัลยาณมิตรจะเป็นสะพานไปสู่การคลายเหงาเอง

แต่ที่ดีที่สุดนั้นก็คือการทำลายความเหงาที่เกิดจากกิเลสนั้นไปเสีย เพราะถ้าไม่มีกิเลส ก็ไม่มีความเหงา ส่วนกิเลสนั้นคือตัวอะไร หน้าตาแบบไหน ก็คงต้องใช้การศึกษาลงไปในจิตของแต่ละคนว่าการที่เกิดความเหงาแล้วเป็นทุกข์แท้จริงแล้วเราอยากเสพอะไร ซึ่งหน้าตาของกิเลสแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกัน เพราะสร้างและเสพมาต่างกัน

การจะเข้าถึงการทำลายกิเลสได้ต้องเริ่มจากคบหาสัตบุรุษ หรือผู้รู้สัจจะที่พาพ้นทุกข์ ในที่นี้ก็คือผู้ที่มีวิชาทำลายกิเลสจนสิ้นเกลี้ยงและยอมรับท่านเหล่านั้นเป็นกัลยาณมิตรของเรา ถึงแม้เราจะไม่ได้คุยกับท่านเหล่านั้นโดยตรง แต่ก็จะเอาคำสอนของท่านน้อมเข้ามาพิจารณาในใจตามเนื้อหาสาระให้ลงลึกไปจนกระทั่งเห็นกิเลสซึ่งเป็นที่เกิดแห่งทุกข์ทั้งปวง

คือการยอมรับฟังความเห็นของท่าน ศึกษาความเห็นของท่านโดยพิจารณาเอาประโยชน์ว่าแท้จริงแล้วความเห็นของเรานั้นต่างจากท่านตรงไหน สิ่งไหนที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนที่เป็นโทษ เราควรเข้าใจตามท่านหรือเข้าใจตามที่เราเคยเข้าใจ แล้วเหตุอันใดกิเลสตัวไหนที่ขวางกั้นไม่ให้เราสามารถเข้าใจตามท่านได้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องศึกษากระบวนการ จนได้ความรู้ในการชำระกิเลสมาเป็นของตน เพียรศึกษากิเลสในตน และเพียรทำลายความยึดมั่นถือมั่นเหล่านั้นให้สิ้นเกลี้ยง ก็จะสามารถทำลายกิเลส ซึ่งเป็นเหตุแห่งความเหงาได้

เมื่อได้รู้เช่นนี้แล้ว เราจึงควรศึกษาการแก้ปัญหาความเหงาให้เกิดประสิทธิภาพ ให้ความเหงานั้นหายไปอย่างถาวร มิใช่แค่เพียงหาสุขลวงมาเสพเพื่อไม่ให้จิตใจทุกข์ทรมานเพราะความเหงา

– – – – – – – – – – – – – – –

20.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

กินเนื้อสัตว์เพื่อดำรงชีวิต : ๒ ติดใจ ติดรส ติดกาม

June 19, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,704 views 0

กินเนื้อสัตว์เพื่อดำรงชีวิต : ๒ ติดใจ ติดรส ติดกาม

กินเนื้อสัตว์เพื่อดำรงชีวิต : ๒ ติดใจ ติดรส ติดกาม

ในทุกวันนี้ แม้เนื้อสัตว์จะเป็นวัตถุดิบหลักประกอบอาหารที่คนส่วนใหญ่บริโภคกันในแต่ละวัน ปรุงแต่งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสกันให้น่าเสพน่าหลงใหลถึงกระนั้นก็ตาม แท้จริงแล้วเนื้อสัตว์ก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตเลย

เรามักจะมีเหตุผลที่อ้างเพื่อจะไม่ลดเนื้อสัตว์แล้วหันมากินผักแทนด้วยเหตุผลดังเช่นว่า “ฉันต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อดำรงชีวิต” เป็นความปักมั่นที่ยึดเอาเนื้อสัตว์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นตัวเป็นตน เป็นอัตตา ทั้งที่จริงแล้วการเสพสุขจากการกินเนื้อสัตว์นั้นมาจากเสพกามในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสทั้งหลายนั้นเอง แต่พอยึดติดมากเข้าก็กลายเป็นตัวเป็นตนไปเลย

คนเรานั้นสามารถติดใจในรสชาติ จนกระทั่งถึงขั้นหลงระเริงเลยเถิดไปไกลจากการกินเนื้อสัตว์เพื่อดำรงชีวิตไปได้ไม่ยากนัก เพราะความหลงในกามนี้เอง ทำให้เราต้องไปตามหาร้านอาหารชื่อดังที่มีเมนูเนื้อสัตว์ที่อร่อย แสวงหาสถานที่ที่จะปรุงแต่งรสสุขในกามให้ได้เสพ ไม่ว่าจะอยู่เมืองไหน ประเทศใดถ้ามีทุนทรัพย์มากพอก็จะไปแสวงหาเสพให้ได้

เพื่อที่จะให้ตนได้เสพรสอย่างที่ใจหวัง จึงสร้างความยุ่งยากในชีวิตมากกว่ากินๆไปเพียงเพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไป กลายเป็นการแสวงหาของกินที่ถูกปาก เริ่มที่จะเข้าสู่การอยู่เพื่อกิน ไม่ใช่กินเพื่ออยู่อีกต่อไป แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้จิตใจของผู้ที่ติดกามในเนื้อสัตว์จนต้องลำบากออกแสวงหามากนัก เพราะเขาเหล่านั้นคาดหวังอยู่เสมอว่าจะได้เสพรสสุขมากกว่าความลำบากที่ต้องจ่ายไป

ยกตัวอย่างเช่น คนไทยที่บินไปญี่ปุ่นเพื่อที่จะได้ลิ้มลองปลาดิบต้นตำรับว่าจะทำให้อร่อยและสุขใจแค่ไหน ลงทุนลงแรงเกินความจำเป็น ดังคำที่ว่า “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” ทั้งที่จริงๆแล้วถ้าอยากกินปลาก็สามารถหากินตามร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยทั่วไปได้ แต่ความใคร่อยากเสพมันจะไม่ยอม มันจะกระหาย มันอยากจะลิ้มรส ที่ว่าเลิศ ว่ายอดขึ้นไปอีก ว่ามันจะมีรสสุขใดอีก ฉันอยากจะเสพรสสุขนั้นเหลือเกิน ว่าแล้วกิเลสก็พาให้เขาเหล่านั้นออกเดินทางออกไปแสวงหาเมนูเนื้อสัตว์ที่จะมาบำเรอกามตนเองได้

รสกามนี้เองคือสิ่งที่ทำให้มีร้านอาหารหลายระดับต่างกันตั้งแต่ร้านข้างทางจนไปถึงโรงแรมหรูมีดาวมากมาย ซึ่งก็ต่างกันในเรื่องของความสามารถในการบำเรอกาม ร้านข้างทางก็พอจะบำเรอกามได้ระดับหนึ่ง ส่วนโรงแรมหรูนอกจากจะบำเรอกามแล้วยังเสริมโลกธรรมและอัตตาอีกด้วย คือนอกจากจะได้เสพรสอร่อยแล้วยังทำให้รู้สึกว่าดูดีมีระดับอีกต่างหาก

เมื่อเนื้อสัตว์นั้นไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อดำรงชีวิต แต่มีไว้เพื่อบำเรอกาม นั่นก็หมายถึงสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นของชีวิต ดังนั้นหากจะอ้างว่า ฉันต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อดำรงชีวิตแต่ยังมีพฤติกรรมติดกามในเนื้อสัตว์เช่นนี้ เหตุผลนี้ก็เป็นเหตุผลที่ไม่สมควรยกมาอ้างเลย เพราะเห็นกันชัดเจนอยู่แล้วว่า “ไม่ได้กินเพื่อดำรงชีวิต แต่กินเพื่อบำเรอกาม

– – – – – – – – – – – – – – –

16.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

กินเนื้อสัตว์เพื่อดำรงชีวิต : ๑ บุฟเฟ่ต์กามทะลัก

June 16, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,356 views 0

บุฟเฟ่ต์กามทะลัก

กินเนื้อสัตว์เพื่อดำรงชีวิต : ๑ บุฟเฟ่ต์กามทะลัก

เมื่อเราคิดจะทำสิ่งดีอะไรสักอย่าง ก็มักจะมีเหตุผลมากมายเกิดขึ้นมาในความคิด ซึ่งส่วนใหญ่ก็ล้วนจะเป็นเหตุผลที่มากั้นขวางการเข้าถึงสิ่งที่ดีนั้น การลดเนื้อกินผักก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งดี ที่มีเหตุผลมากมายมาค้านแย้งเสมอ หนึ่งในเหตุผลเหล่านั้นก็คือ “ฉันต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อดำรงชีวิต

เราสามารถกินเนื้อสัตว์และใช้ประโยชน์ของธาตุเหล่านั้นเพื่อดำรงชีวิตได้จริง แต่ในทุกวันนี้ดูเหมือนว่าเราจะกินเนื้อสัตว์เกินความจำเป็นในการดำรงชีวิตไปเสียแล้ว

ในเมืองใหญ่ เราสามารถเห็นร้านอาหารแบบบุฟเฟต์เนื้อสัตว์มากมาย ตั้งแต่ห้องแถวข้างทาง ไปจนถึงระดับโรงแรม เป็นการขายแบบที่เรียกได้ว่าอยากจะกินเท่าไหร่ก็กิน ยัดได้เท่าไหร่ก็ยัด แต่จ่ายราคาเดียว ซึ่งโดยมากแล้ว เมื่อใครสักคนตัดสินใจที่จะไปกินบุฟเฟ่ต์ เขาเหล่านั้นมักจะคาดหวังว่าจะต้องได้กินสิ่งที่ตัวเองอยากกินอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่าต้องกินให้ยิ่งกว่าคุ้ม

การกินเนื้อสัตว์แบบบุฟเฟ่ต์นี่เองคือความมัวเมาในเนื้อสัตว์อย่างมาก เพราะไม่ได้กินเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่เพียงอย่างเดียว แต่กินเพื่อสนองกามตัณหาในตัวเองด้วย เป็นความใคร่อยากเสพเนื้อสัตว์ในปริมาณที่ไม่จำกัด คนที่กินแบบไม่ประมาณ ไม่จำกัด ไม่สำรวมระวังว่าสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่เกินความจำเป็นของชีวิตไปมากแล้ว คือความหลงมัวเมาเสพติดในกามรสของเนื้อสัตว์ที่หนักหนามาก

ความโลภอยากได้กำไรในการค้า สร้างค่านิยมที่มอมเมาสังคมให้เห็นว่าการกินเนื้อสัตว์มากๆ เป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่ใครเขาก็ทำกัน ทำให้คนจำนวนมากที่ไม่ได้ศึกษาในเรื่องของกิเลส ถูกมอมเมาด้วยความเห็นทางโลก มองเรื่องหยาบที่ไม่ควรทำเป็นเรื่องปกติที่ทำได้ทั่วไป

ทั้งที่จริงแล้วการแสดงความกระหายอยากที่จะไปกินบุฟเฟ่ต์เนื้อสัตว์ นั้นคือการแสดงความตะกละที่เกินงาม ข้ามเขตของคำว่า “ฉันต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อดำรงชีวิต” ไปเสียแล้ว เพราะในความเป็นจริงเราไม่จำเป็นต้องกินเนื้อสัตว์ปริมาณมากก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ ดังนั้นคนที่กินเนื้อสัตว์แบบบุฟเฟ่ต์ จะยังอ้างเหตุผลนี้ได้อย่างไร? เราเพียงแค่เอาคำพูดที่น่าฟัง เหตุผลที่น่าเชื่อ นิยามที่สวยหรูมาบังหน้า สุดท้ายก็ไปหาเนื้อสัตว์มากินบำเรอกาม จนความอยากทะลักออกมา ปรากฏให้เห็นเป็นความอยากเสพแบบไม่รู้จักประมาณให้เหมาะควรเช่นนั้น

– – – – – – – – – – – – – – –

16.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)