ศาสนาพุทธ ในปัจจุบัน

February 2, 2018 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,402 views 1

ศาสนาพุทธในปัจจุบัน

ศาสนาพุทธ ในปัจจุบัน

ระหว่างที่กำลังทำสวนในเย็นวันหนึ่ง ผมมองขึ้นไปบนฟ้า เห็นเส้นสีขาวที่คดไปมา มองต่อไปก็เห็นเครื่องบินกำลังบินอยู่ เครื่องบินก็ดูเหมือนจะบินตรงไปตามทิศทางของมัน แต่เมฆหรือไอน้ำที่เกิดขึ้นกลับเปลี่ยนไปตามลมอย่างไร้ทิศทาง

ในช่วงหนึ่งที่เห็นภาพเหล่านั้น ผมคิดไปถึงความเป็นไปของศาสนาพุทธในปัจจุบัน ซึ่งเหมือนกับภาพของเครื่องบินและไอน้ำที่เกิดตามหลังมา คือพระพุทธเจ้า ท่านก็สอนถูกตรงที่สุดแล้ว แต่พอเวลาผ่านไป ความผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวก็เกิดขึ้น เหมือนเป็นเรื่องธรรมดายังไงอย่างนั้น

ความผิดเพี้ยนไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสมัยนี้เท่านั้น แต่เกิดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ต้องมีสงฆ์คอยชำระแก้ไขความผิดเพี้ยนเหล่านั้นเรื่อยมา แต่ยิ่งนานวันผ่านไป อริยสงฆ์เหล่านั้นก็ค่อย ๆ จากไป เส้นทางที่ชัดเจนได้เลือนหายไปตามกาลเวลา ที่มีอยู่ส่วนใหญ่ก็ล้วนบิดเบี้ยวไปตามวิบากของแต่ละคน มีเพียงฝุ่นปลายเล็บเท่านั้นที่ยังคงปฏิบัติถูกต้องอยู่ได้ ส่วนดินทั้งแผ่นดินที่เห็นคือผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว

เรื่องพุทธแท้พุทธเทียม คงจะเป็นเรื่องที่เถียงกันไม่มีวันจบสิ้น เพราะต่างคนก็ต่างถือว่าตนเอง อาจารย์ของตน ลัทธิของตนนั้นถูกเสมอ ซึ่งมันก็มีทั้งคนถูกทั้งคนผิด แต่คนถูกมีนิดเดียว คนผิดแทบทั้งโลก

สมัยศึกษาธรรมะใหม่ ๆ ผมเองก็ยังแสวงหาหนทางเหมือนกับคนทั่วไป พอเจออาจารย์ที่ปฏิบัติตามแล้วได้ผลจริง คือลดความอยากลงได้จริง มีหลักฐานปรากฏตามจริง สามารถรู้ร่วมกันได้ เช่น การเลิกหลงในการกินเนื้อสัตว์, การประพฤติตนให้อยู่เป็นโสด ฯลฯ และมั่นใจว่าจิตใจข้างในก็เป็นจริงตามนั้น

หลังจากตนเองพอจะมีหลักให้ยึด จึงเริ่มศึกษาผู้อื่น กลุ่มอื่น ลัทธิอื่น ความเชื่ออื่น ก็ศึกษาไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้คิดจะไปรบกับใคร ไม่ได้คิดจะไปปรับเปลี่ยนอะไรเขา เพียงแค่อยากรู้ว่าเขาปฏิบัติเหมือนเราไหม เขาปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างเราไหม หรือเขาปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไร ช่วงแรก ๆ มันก็ยังมีไฟ ยังตั้งใจอยู่ แต่พอศึกษาไปนานวันเข้า มันก็ท้อเหมือนกัน

อาการท้อ นี่คือรู้สึกหมดหวัง รู้สึกประมาณว่าไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร สร้างสำนัก สร้างลัทธิมาหลง ทำไปทำไม แน่นอนว่าเราไปช่วยเขาไม่ได้อยู่แล้ว ตรงนี้ไม่ใช่เป้าหมายแต่แรก แต่ลึก ๆ มันยังมีความรู้สึกเป็นห่วง เพราะเห็นว่าปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ต้องการไปสู่ความพ้นทุกข์เหมือนกัน แต่กลับไปกันคนละทิศละทางอย่างจนดูเหมือนจะไม่มีวันที่จะมาบรรจบกันได้

สุดท้ายหลังจากที่ได้พูดคุย, แลกเปลี่ยน, ปะทะ, ฯลฯ กับคนที่เห็นไม่ตรงกันในการปฏิบัติ จากประเด็นต่าง ๆ ในบทความที่เคยได้พิมพ์ออกไป ก็รู้สึกว่า “พอดีกว่า” หลายครั้งหลายที มันก็ไปไม่ได้ มันทำความเข้าใจกันยาก ยิ่งไม่มีศรัทธาต่อกันยิ่งไปกันใหญ่ มันจะกลายเป็นแค่การแข่งดีเอาชนะกัน ซึ่งมันเสียเวลาเอามาก ๆ สรุปคือนอกจากจะช่วยเขาไม่ได้แล้วยังผลักเขาลงเหวไปอีก

ยิ่งในลัทธิที่แตกต่างนี่ผมยิ่งไม่อยากแตะ เพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีกำลังพอจะไปบอกอะไรเขาได้ มันก็ต้องปล่อยเขาไป ฐานะเราก็เท่านี้ เราก็มีแค่นี้ เราก็เจียมตัวอยู่แบบของเราไป ส่วนใครเขาจะบรรลุธรรมแบบไหน จะเร็วจะช้า จะพิสดารแบบไหนก็เรื่องของเขา มันก็เป็นไปตามวิบากของเขา เป็นไปตามวิบากของโลก เหมือนกับเมฆที่โดนลมพัด เปลี่ยนรูปไปหมด เอาแน่เอานอนไม่ได้

เรื่องเขานี่มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ รู้ก็ไม่ชัดเท่าตัวเรา สู้เราเอาเวลามาปฏิบัติของเราดีกว่า ว่าพุทธในปัจจุบันของเรานี่มันเต็มความเป็นพุทธหรือยัง ถ้าเราทำได้ดีแล้วโลกจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ เพราะมันพร่องเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เราก็ช่วยไปตามกำลัง ตามบารมีของเรา มีมากก็ช่วยได้มาก มีน้อยก็ช่วยไปตามบารมีที่มี ไม่ต้องทุกข์อะไร

เท่าที่ผมเห็น ดูเหมือนคนส่วนมากจะเอาเวลาไปทุ่มกับเรื่องนอกตัวเสียหมด ปฏิบัติธรรมก็ไปทำนอกตัว ไปอยู่กับอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะมากมาย ไม่แก้ปัญหาที่จิต ไม่แก้ที่กิเลสในจิต แต่ก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดา ก็ทางปฏิบัติมันหายไปเกือบหมดแล้ว ก็ปฏิบัติกันแบบหลงป่ากันไป ป่าใครป่ามัน คนอยู่ในป่าก็มองจากป่า ก็เหมือนเห็นคนอื่นอยู่อีกป่า แม้คนไม่อยู่ในป่าเขาก็มองว่าว่าอยู่ในป่า เพราะเขามองผ่านป่าของเขา ก็เป็นแบบนี้แหละนะ พุทธในปัจจุบัน

31.1.2561

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ยังยินดีกินเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามา ก็ยังยินดีในการฆ่า

December 29, 2017 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,352 views 0

meat-supply-chain-

ยังยินดีกินเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามา ก็ยังยินดีในการฆ่า

ภาพนี้กำลังนึกถึงการสื่อสารให้ง่ายและกระชับขึ้นอีก แต่ก่อนก็เคยเขียนภาพลักษณะนี้ไปบ้างแล้ว แต่ก็รู้สึกว่ายังมากไปนิด ทั้งรายละเอียดและเรื่องราว อันนี้ก็เป็นแบบเดิมที่ตัดทอนรายละเอียดลงอีก ให้เข้าใจง่าย ซึ่งจะเข้าใจได้จริงหรือไม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็ลองวาดไปครับ

ดูการ์ตูนอื่น ๆ ได้อีกที่เพจ Veggie kitchen

more-veggie-cartoon

ความเสื่อมสลาย สัญญาณแห่งการจากลา ที่เราไม่อยากจะรับรู้

July 12, 2017 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,722 views 0

ความเสื่อมสลาย

ความเสื่อมสลาย สัญญาณแห่งการจากลา ที่เราไม่อยากจะรับรู้

เราต้องจากพรากสิ่งที่เรารักและชอบใจเป็นธรรมดา นี้คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ฝากไว้สอนใจเรา แม้ว่าจะเป็นเพียงประโยคสั้น ๆ แต่การทำความเข้าใจในสิ่งนี้ได้อย่างถ่องแท้ ช่างเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก

เป็นความรู้ที่ใครหลาย ๆ คน ก็รู้ว่าทุกสิ่งต้องเสื่อมและดับไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเหล่านั้นจะยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นจริงได้

ความสัมพันธ์ใด ๆ  ก็เช่นเดียวกัน มันมีวันหมดอายุของมัน มีวันสิ้นสุดและมีสัญญาณของความเสื่อมสลายให้ได้เห็นเป็นระยะ ในความจริงแล้ว แม้เราจะเห็นความเสื่อมในความสัมพันธ์ แต่เราก็มักจะไม่ทันได้ระลึกรู้ว่ามันต้องจบดับไป เราทำได้เพียงแค่ประคองความสัมพันธ์และหมายมั่นจะพัฒนามันให้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ความเสื่อมสลายได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

…เหมือนผู้หญิงที่พยายามจะปั้นแต่งหน้าตาและร่างกายให้ดูเด็ก แม้ว่าวัยจะล่วงเลยไปมากแล้ว

…เหมือนความรักที่พยายามจะยื้อให้ดูดี แม้ว่ามันจะหมดความหวานไปหมดแล้ว

…เหมือนความสัมพันธ์ที่อยากจะรักษาไว้ แต่ความจริงมันแตกสลายและยากจะเชื่อมต่อกันได้แล้ว

พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีชาติ (การเกิด) ก็มีชรา (แก่,เสื่อม) สุดท้ายก็มรณะ (จบ,ดับ,ตาย) ลงท้ายเหลือไว้แค่ความโศกเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์

ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องรอให้ทุกอย่างหรือทุกความสัมพันธ์จบ ดับหรือตายไป เราก็สามารถเห็นความดับของสิ่งเหล่านั้นได้ จากความเสื่อมสลายของมันที่เกิดขึ้น และความเสื่อมนี้เองคือสิ่งที่ยากจะทำใจยอมรับ หลายคนรู้ หลายคนเห็นอาการเสื่อมของสิ่งเหล่านั้น แต่ไม่อยากยอมรับ ปิดกั้น ไม่อยากจะให้มันเกิด ไม่อยากให้มันเป็นความจริง ทั้ง ๆ ความจริงในปัจจุบันก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันกำลังเสื่อมสลาย มีแต่เราเท่านั้นที่ไม่ยอมรับความเป็นจริงเหล่านั้น

การที่เรารับรู้ว่าทุกอย่างต้องเสื่อมสลาย ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องปล่อยมันไปตามเวรตามกรรม แต่หมายถึงให้เราทำความเข้าใจว่าวันหนึ่งมันจะต้องจบดับไปตามเหตุปัจจัยของมัน ซึ่งเรามีหน้าที่อะไร ก็ทำไปตามนั้นให้สมบูรณ์ มีหน้าที่ประคองก็ประคอง มีหน้าที่รักษาก็รักษา โดยไม่ต้องไปตั้งความหวังว่ามันจะดีขึ้นหรืออย่างไร เราเพียงแค่ทำสิ่งที่ดีในปัจจุบัน ส่วนผลเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ในท้ายที่สุด หากเราสามารถเข้าใจธรรมะได้ลึกซึ้งขึ้น เราจะรู้ว่าสิ่งใดหรือความสัมพันธ์ใดๆ ก็ตามจะต้องจบลงไป ก็เพราะมันเกิดขึ้นนี่แหละ เราจะเห็นความเสื่อมสลายและดับไปตั้งแต่ที่มันเกิด เมื่อเห็นดังนั้นเราก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นความสัมพันธ์หรือสิ่งใดเหล่านั้นมาเป็นตัวตน มาเป็นของของตน

12.7.2560

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

 

เชื่อมร้อยความดี ด้วยกระทงกระดาษ

June 27, 2017 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,234 views 0

เชื่อมร้อยความดีด้วยกระทงกระดาษ

ถ้าใครได้ไปสนามหลวงในช่วงที่โรงทานต่าง ๆ ยังอยู่ในสนามหลวง จะเห็นได้ว่ามีจิตอาสามากหน้าหลายตาที่นำทั้งสิ่งของและแรงงานมาแบ่งปัน แต่ในวันนี้ไม่เหมือนวันนั้น การแบ่งปันสิ่งของทำได้ยากขึ้น แรงงานก็เช่นกัน

ทุกวันนี้คนที่อยากทำดีหลายคนเกิดสภาพตกงาน ถึงจะมาทำดีก็ใช่ว่าจะหางานทำได้เหมือนสมัยก่อน มีเพียงบางกิจกรรมเท่านั้นที่ยังเอื้อให้ทุ่มเททุนทรัพย์และแรงกายแรงใจทำความดีต่อไปได้ หนึ่งในนั้นคือกิจกรรมโรงทาน

แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมาเปิดโรงทานกันได้ง่าย ๆ เหมือนสมัยก่อน ตอนนี้มีทั้งกฎ ระเบียบ หรือข้อจำกัดเพิ่มมากขึ้น แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีสิทธิที่จะร่วมทำความดีได้ คือการพับกระทงกระดาษมาสนับสนุนงานโรงทาน

ผมมองเห็นว่า นัยสำคัญของการพับกระทงกระดาษ คือการเชื่อมร้อยความดี ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถสั่งหรือใช้กระทงกระดาษสำเร็จรูปที่มาจากโรงงานเลยก็ได้ ซึ่งอาจจะมีต้นทุนต่ำกว่าด้วยซ้ำ แต่สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้เชื่อมร้อยความดี ไม่ได้ร่วมจิตวิญญาณ คือมีแต่วัตถุ ไม่มีพลังความดีที่เกื้อหนุนกัน

การจะได้กระทงกระดาษมาสักหนึ่งชิ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีกระบวนการในการพับ ซึ่งต้องสละเวลาและแรงงาน ตรงนี้เองที่เป็นประเด็นสำคัญ ในชีวิตของคนเราทุกคนสามารถเลือกที่จะทำอะไรก็ได้เท่าที่ตนสามารถทำได้ แต่การจะเลือกพับกระทงกระดาษ หรือทำความดีเพื่อคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกิเลสจะชักจูงเราออกไปทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นเสมอ

หรือถ้ามองง่าย ๆ ตื้น ๆ ประมาณว่า “โรงทานต้องการใช้กระทงกระดาษ ก็เอาเงินเทลงไปเลย ซื้อกระทงกระดาษสำเร็จรูปไปให้เลยแล้วเอาเวลาไปเที่ยวเล่นหาความสุขใส่ตัวดีกว่า” อะไรประมาณนี้ ผมมีความเห็นว่าความดีไม่ได้สร้างได้ด้วยเงิน ศาสนาไม่ได้เกิดขึ้นจากคนโยนเงินลงมา แต่เกิดจากคนพากเพียรทำความดี เงินเป็นองค์ประกอบร่วม แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความดีเท่าไรนัก จิตวิญญาณของคนที่คิดจะทำดีต่างหาก คือความยิ่งใหญ่

เมื่อเห็นดังนั้น ผมจึงให้ความสำคัญกับการพับกระทง แม้ว่ามันจะไม่สวยหรู ต้องใช้เวลา หรือมีต้นทุนในการผลิตและจัดส่งที่มากก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้ขาดทุนเลย เพราะการที่เราจดจ่ออยู่กับการทำความดี ที่ร่วมกันทำในโอกาสพิเศษนี้ เป็นสิ่งที่เชื่อมร้อยความดี เชื่อมร้อยจิตวิญญาณ เป็นกุศลกรรมที่จะผูกพันกันไปในอนาคตข้างหน้า

ในโลกนี้มีความดีมากมายให้ทำก็จริง แต่ดีไหนล่ะที่จะเชื่อมต่อกับคนดีได้มากที่สุด แล้วคนแบบไหนล่ะที่เราเห็นว่าเป็นคนดีมากที่สุด เราก็ทำดีนั้นแหละให้ได้มากที่สุด ตามกำลัง ตามปัญญา ตามองค์ประกอบเหตุปัจจัยของเรา

เพราะถ้าหากเราไม่เพียรทำความดีแล้ว กิเลสก็ย่อมจะลากเราไปทำชั่ว ไปทำในสิ่งที่ไร้สาระและไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร ไม่เกื้อกูลแบ่งปันเสียสละ จนสุดท้ายเหตุการณ์สำคัญผ่านไป ต้องเสียโอกาสในการสร้างประโยชน์เหมือนภาพจิตอาสาตกงานที่ปรากฏเด่นชัดมากขึ้นในทุกวันนี้

ชีวิตก็เช่นกัน หากเกิดมาแล้วมัวหลงระเริงกับการใช้ชีวิตไปตามกิเลส จนสุดท้ายชีวิตหนึ่งได้ผ่านพ้นไป ก็ต้องเสียโอกาสในการสร้างประโยชน์ เหมือนกับชีวิตทั่วไปที่เกิดมา เติบโต หากิน แล้วก็ตายไป พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย

เกริ่นกันมาก็ยาว ในบทความนี้ก็อยากจะขอเชิญชวนทุกท่านร่วมพับกระทงกระดาษแล้วนำส่งมายังโรงครัวต่าง ๆ ในพื้นที่โรงครัวที่หน่วยงานรัฐได้จัดสรรไว้ ซึ่งในตอนนี้อยู่แถวสะพานผ่านพิภพลีลา

27.6.2017

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์