ทักทาย
ประยุกต์ธรรม ทำตามมรรค
บทความ “อยากโสด แต่กิเลสไม่ยอมให้โสด” ก่อนหน้านี้สามารถประยุกต์ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น…
อยากผอม..แต่กิเลสไม่ยอมให้ผอม
อยากเลิกกินเหล้า..แต่กิเลสไม่ยอมให้เลิก
อยากเลิกกินเนื้อสัตว์..แต่กิเลสไม่ยอมให้เลิก
อยากกินมื้อเดียว..แต่กิเลสไม่ยอมให้กินมื้อเดียว
อยากทำ(สิ่งที่ดี)…แต่กิเลสไม่ยอมให้ทำ(สิ่งที่ดี)…ฯลฯ
ใครที่อ่านแล้วก็ลองเอามาปรับใช้กับสิ่งที่เป็นภัยต่อชีวิตตนเองที่กำลังคิดจะละเว้นกันอยู่
…..
ผมเคยเห็นคนที่มีศรัทธามาก ศึกษามาก ตั้งใจมาก อยากพ้นทุกข์มาก แต่เขาก็ยังไม่สามารถลดสิ่งที่เป็นภัยต่อชีวิตได้ ไม่สามารถต้านพลังของกิเลสได้ ไม่สามารถทำให้ตนหลุดพ้นจากสิ่งที่หลงติดหลงยึดได้
ผมสังเกตุว่า “มรรค” หรือวิถีปฏิบัติของพวกเขานั้นไปผิดทาง ไม่ได้มีทิศทางไปในทางลดกิเลส ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เป็นเป้าหมายเดียวของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา (จูฬสีหนาทสูตร)
เมื่อมรรคผิดก็คงไม่ต้องถามถึงผล เพราะผิดแน่นอน ส่วนจะได้ผลอย่างไรนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะทางแห่งมิจฉานั้นมีผลมากมายหลากหลาย แม้ว่าจะได้ผล แต่ก็เป็นผลที่ผิด ทำให้ติดให้ตัน ให้หลงผิด
เรียกว่ากิเลสก็ไม่ลด แถมยังอาจจะเพี้ยนเป็นบ้าไปได้อีก ทุกข์ก็ไม่ลด แถมความห่างไกลทางพ้นทุกข์ก็มากขึ้น ซวยสุดซวย
ยามรัก ยามชัง ผูกเงื่อน แก้เงื่อน

ยามรัก เหมือนผูกเงื่อนในบึงน้ำ
เย็น สบาย ค่อยๆผูก ค่อยๆพัน
ยามชัง เหมือนแก้เงื่อนบนกองไฟ
ร้อน ทรมาน ยิ่งรีบแก้ ก็ยิ่งพันแน่น
……………………….
คนเราโดยทั่วไปนั้น เมื่อยามหลงรักก็เหมือนกับการผูกเงื่อน ค่อยๆผูกความสัมพันธ์ ค่อยๆยึดมั่นถือมั่นเอาเขาคนนั้นมาเป็นตัวตนของเรา เป็นคู่ของตน กลายเป็นคนรู้ใจ เป็นแฟน เป็นสามีภรรยา เป็นเงื่อนที่มัดแน่นและซับซ้อนขึ้น
การผูกเงื่อนเมื่อยามหลงรักนั้นก็เหมือนกับการผูกอยู่ในบึงน้ำที่สงบเย็น อยู่ในห้วงแห่งการเสพสุขต่างๆที่พาให้หลงไป ยิ่งสุขก็ยิ่งเสพ ยิ่งเสพก็ยิ่งผูก ยิ่งผูกก็ยิ่งจะพัน และพันไปพันมาซับซ้อนมากเท่าที่จะมากได้ เช่น เราจะไม่แยกจากกัน เราจะดูแลกันไปจนตาย เราจะรักกันชั่วนิรันดร์
แต่พอถึงวันหนึ่งที่ไม่ได้เสพสมใจหมาย สิ่งนั้นไม่ได้ดีดังใจฝัน เวลาจะออกมันไม่ง่าย เราไม่สามารถแก้เงื่อนที่ผูกไว้ได้ง่ายเหมือนตอนที่ผูก เพราะตอนผูกก็ผูกด้วยความหลง เลยไม่รู้ว่าจะแก้ยังไง แถมยังต้องแก้บนความเกลียดชัง ความไม่พอใจที่เหมือนกับไฟที่คอยเผา ให้ต้องเร่งรีบทำทุกอย่างเพื่อที่จะหลุดพ้นจากความไม่พอใจนั้นๆ
การแก้ความยึดมั่นที่ผูกมาไม่ได้ง่ายเพียงแค่การตัด เพราะถ้าเราสามารถตัดความยึดมั่นถือมั่นได้ง่ายเพียงแค่คิดก็คงจะไม่มีใครทุกข์ แต่เงื่อนแห่งนามธรรมที่เต็มไปด้วยกิเลสนี้ต้องตัดด้วยปัญญาเท่านั้น แต่จะเอาปัญญามาจากไหน? เคยสร้างมันขึ้นมาหรือไม่? เมื่อไม่มีแล้วจะเอามาใช้ได้อย่างไร? สุดท้ายมันก็ต้องทนแก้เงื่อนไปบนกองไฟอยู่นั่นเอง
– – – – – – – – – – – – – – –
15.6.2558
เรื่องลดเนื้อกินผัก
ปกติผมจะไม่ค่อยได้พิมพ์เกี่ยวกับวิธีการเลิกกินเนื้อสัตว์สักเท่าไหร่ ส่วนมากจะพิมพ์ในแนวทางของการลดอัตตา เพราะอยู่ในกลุ่มคนที่กินมังสวิรัติ กินเจกันได้บ้างแล้ว
จริงๆแล้วเรื่องการลดเนื้อกินผัก จนกระทั่งเลิกกินได้เลยนั้น เป็นปัญญาระดับทั่วไป เป็นเรื่องง่ายๆ เพราะมันเป็นเหตุของการเบียดเบียนกันอย่างตรงไปตรงมาอยู่แล้ว
ในคลิปนี้ จะเห็นได้ว่าการมีความกรุณาช่วยเหลือผู้อื่นนี่เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย จะกระชากก็กลัวมันจะเจ็บ ก็ต้องระวังและค่อยๆทำ ผู้ที่มีความเจริญทางจิตใจ มีหิริ ดูเพียงเท่านี้ก็จะสำนึกได้เองว่าการเบียดเบียนสร้างทุกข์ให้กับผู้อื่น อย่างไร
เรียกว่าใช้เชื้อเพียงเล็กน้อยก็สามารถขยายผลไปที่การเบียดเบียนแบบองค์รวม ได้ ส่วนคนที่ยังไม่เจริญนัก ก็ขยันดูที่มาที่ไปของเนื้อสัตว์ที่ซื้อบ่อยๆก็จะพอ สำนึกได้
ในส่วนคนที่ดูยังไงมันก็ยังไม่เกิดความรู้สึกผิด ไม่รู้สึกว่าอยากลดละเลิกการเบียดเบียน ก็สามารถใช้วิธีทำชั่วไปจนกรรมชั่วนั้นมากระทบให้ได้ซึ้งถึงทุกข์ของการ เบียดเบียนได้เช่นกัน (เช่น พระเทวทัต)
เรามีวิธีเข้าถึงธรรมได้มากมายหลายวิธี ใครชอบวิธีเบาๆสบายๆก็ขยันทำดีไป ใครชอบหนักๆ โหดๆ ก็ขยันทำชั่วไป สุดท้ายก็จะมีปัญญาเห็นโทษชั่วของการเบียดเบียนอยู่ดี
ศึกษาธรรม
ช่วงนี้ผมใช้เวลาอ่านพวกเว็บบอร์ดและกลุ่มธรรมะค่อนข้างมาก มีประเด็นมากมายที่เขาถกเถียงกันอย่างไม่ลงตัว ในความเห็นความเข้าใจที่ต่างกัน
ซึ่งผมเองก็เคยโดนเห็นแย้งในความเห็นที่ผมมีเช่นกัน ซึ่งก็มีทั้งที่ผมเลือกตอบและไม่ตอบ
เพราะถ้าตอบไปแล้วทะเลาะกันผมก็ไม่ตอบ จะเลือกตอบในเฉพาะประเด็นที่เป็นกุศลเท่านั้น
ผมจึงเริ่มเล็งเห็นว่าหลายท่านที่เข้ามาในเพจนี้ต่างมาจากหลายสาย หลายแนวทางปฏิบัติ หลายความเชื่อ หลายครูบาอาจารย์ ซึ่งมีโอกาสที่จะท่านจะเห็นแย้งแต่ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นออกมา
ซึ่งความเห็นนั้น ยากนักที่ตัดสินว่าใครเห็นถูกหรือเห็นผิด วิธีที่จะไม่ทำให้ผิดใจกันหรือทะเลาะกันก็คือพิสูจน์สัจจะของตนด้วยการ ปฏิบัติตามที่ตนเองศรัทธา ถ้าปฏิบัติแล้วกิเลสมันลดได้จริง ดับได้จริง กิเลสไม่เกิดอีกเลย มันก็จริงของมัน
แต่ถ้าเชื่อแล้วยังปฏิบัติไม่ได้ผล ก็ให้ศึกษาและปฏิบัติไปก่อน ปฏิบัติจนได้มรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่งค่อยมาพิสูจน์กันก็ยังไม่สาย อย่าพึ่งรีบตัดสิน อย่าพึ่งรีบวิเคราะห์เพื่อจับผิด เพราะถ้าฝืนพยายามเข้าใจทั้งที่ยังไม่มีสภาวธรรมนั้นในตนมันก็เสียเวลาอยู่ ดี สู้เอาเวลาไปศึกษาและปฏิบัติจะเป็นประโยชน์กว่า
ผมเห็นหลายท่านที่เล่นพวกเว็บบอร์ดหรือกลุ่มธรรมะต่างๆแล้ว รู้สึกกังวลกับความเสี่ยงต่อชีวิต นั่นเพราะในการถกเถียง เรามีโอกาสไปปรามาสใครต่อใครเต็มไปหมด และนั่นเองคือการสร้างนรกของเราด้วยความยึดดีถือดีของเรา
อย่าไปสำคัญตนว่าเราถูกคนอื่นผิด แล้วไปข่มเขาเสียหมด บางทีเราอาจจะไม่ถูกก็ได้ หรือเข้าใจผิดไปเองก็ได้
อุปกิเลส ๑๖ แจงอาการของกิเลสไว้ เช่น โอ้อวด ,แข่งดีเอาชนะ, ยกตนข่มท่าน, ดูหมิ่นผู้อื่น ,ถือดี … ถ้ายังมีอาการนี้แล้วประมาทไม่รู้ตัว ถึงจะเป็นผู้รู้ข้อธรรมมาก แต่ก็ยังชั่วอยู่นั่นเอง

