ชีวิต
การสะสม สร้างบาปเสียกุศล

การสะสม สร้างบาปเสียกุศล
การสะสมสิ่งที่ไร้สาระไม่มีความจำเป็นต่อชีวิตนั้น เป็นเพราะกิเลสพาให้หลงเพลิดเพลินไปกับสิ่งลวง ให้จมอยู่กับสุขลวงและเหลือทิ้งไว้แต่ทุกข์แท้ๆ
เราสามารถสะสมอะไรได้หลายอย่างทั้งที่เห็นเป็นรูปและไม่มีรูป ที่เห็นเป็นรูปก็เช่น ของสะสมต่างๆ แสตมป์ ตุ๊กตา ซีดี ต้นไม้ เสื้อผ้า บ้าน รถ เงิน ฯลฯ และที่ไม่มีรูปเช่น การยอมรับ ชื่อเสียง ศักดิ์ศรี ความสุข เป็นต้น
เมื่อเราหลงไปสะสมอะไรก็ตาม นั่นหมายถึงเรากำลังสะสมกิเลสไปทีละน้อย การสะสมกิเลสหมายถึงการทำบาป สรุปแล้วผู้ที่หลงมัวเมาสะสมสิ่งใดๆที่ไม่มีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตคือผู้ที่สร้างบาปให้แก่ตนเอง
เพราะยิ่งสะสม ก็ยิ่งอยากได้ เมื่ออยากได้ก็จะเป็นทุกข์ เมื่อเป็นทุกข์ก็ต้องไปหามาเสพ เอามาสะสมให้สมใจ เมื่อได้เสพก็สุขอยู่ชั่วครู่แล้วก็จางหายไป แล้วก็จะอยากได้สิ่งใหม่อีก เป็นทาสกิเลสแบบนี้เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้น จึงกลายเป็นผู้ที่สร้างบาป เวร ภัย ให้กับตน เพราะเอาแต่สิ่งที่ไม่มีสาระมาเป็นแก่นสารสาระในชีวิต ดังนั้นจึงทำให้ชีวิตนั้นไร้สาระ
แม้ว่าสังคมจะให้การยอมรับผู้ที่สะสม ผู้ที่มีมาก แต่นั่นก็เป็นแค่เสียงสะท้อนจากสังคมอุดมกิเลส ผู้ที่หลงมัวเมามักจะชักชวนกันให้จมอยู่ในห้วงแห่งความหลงเสพหลงสุข พวกเขาจะไม่ยอมให้ใครพรากความสุขไปง่ายๆ นั่นหมายถึงการไม่ยอมให้ใครได้หลุดออกจากนรกของการสะสมด้วย
สังคมที่พาให้สะสมกิเลสนั้นไม่ใช่สังคมของบัณฑิต แต่เป็นสังคมของคนพาล แม้ว่าผู้สะสมจะมีหน้าตาในสังคม มีฐานะดี มีการศึกษาดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนดีแท้ เพราะถ้าเขาเหล่านั้นตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกิเลสแล้วล่ะก็… สามารถและคุณสมบัติที่มีก็จะกลายเป็นความสามารถที่จะสร้างนรกได้มากพอๆกัน
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนธรรมดาสะสมต้นไม้ ก็คงจะไม่มีใครให้ความสนใจต้นไม้นั้นมาก แต่ถ้ามีดาราหรือผู้ใหญ่ในสังคมสะสมต้นไม้แล้วล่ะก็ ผู้คนก็จะให้ความสนใจกับต้นไม้นั้นมากขึ้น สิ่งนี้เองคือการสร้างบาป สร้างนรกที่มากกว่า ในผู้ที่ได้รับการยอมรับในสังคม
เมื่อเราให้เวลา ให้ทุน ให้ชีวิตไปกับการสะสม ไปสร้างบาป เวร ภัย ให้กับตัวเอง เราก็จะต้องเสียโอกาสในการทำกุศล แทนที่เราจะเอาเวลาเหล่านั้นไปเรียนรู้สาระแท้ของชีวิต เอาไปทำประโยชน์ให้แก่ตนและผู้อื่น เอาเงินที่ใช้สะสมเหล่านั้นมาบริหารให้เกิดประโยชน์ต่อตนและผู้อื่น ใช้ชีวิตไปเพื่อตนและผู้อื่น ไม่ใช่ใช้ชีวิตเพื่อสนองกิเลสในตน หรือมีชีวิตเป็นเพียงแค่ทาสกิเลส
เมื่อเสียโอกาสสร้างกุศล และใช้เวลากับการสร้างบาปที่เกิดอกุศลในเวลาเดียวกัน ก็หมายถึงการสะสมสิ่งชั่วและละเว้นการทำดี ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เราสร้างกรรมชั่วเพิ่มมากขึ้นและใช้กรรมดีเก่าที่ทำไว้เพื่อดำรงชีวิตอย่างเป็นสุขด้วยการบำเรอกิเลส
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น ”
แต่การสะสมที่เป็นบุญและได้กุศลนั้นมีอยู่ นั่นคือการสะสมอริยทรัพย์ ซึ่งเป็นทรัพย์ทางนามธรรม ซึ่งเป็นทรัพย์ที่แท้จริงของมนุษย์ ส่วนหนึ่งสามารถเกิดได้จาก “การไม่สะสม” การได้พบสัตบุรุษ การได้ฟังสัจธรรม การปฏิบัติสัมมาอริยมรรค และทรัพย์หรือคุณสมบัติที่จะติดตัวไปตลอดกาลนานทั้งหมดนั้นคือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๓ ธนสูตร ข้อ ๖)
– – – – – – – – – – – – – – –
27.4.2558
เที่ยวมากขึ้น กิเลสมากขึ้น
ได้อ่านกระทู้เกี่ยวกับคนไทยที่ไปเที่ยวต่างประเทศแล้วโดนปล้น โดนโกง โดนเอาเปรียบแต่ไม่สามารถที่จะเรียกร้องหรือขอความช่วยเหลือจากใครได้ เขาจึงได้นำประสบการณ์มาแบ่งปันให้ผู้อื่นได้ร่วมเรียนรู้
อ่านเนื้อหาในกระทู้ได้ที่ลิงก์นี้ : http://pantip.com/topic/33483596
สมัยนี้คนเริ่มเที่ยวกันมากขึ้น มิจฉาชีพก็มากขึ้น สุดท้ายจะมีคนที่โดนปล้นก็ไม่แปลกอะไรนัก เหยื่อมาให้เชือดถึงที่แล้วจะไปเหลืออะไร
….พอกล่าวถึงเรื่องเที่ยวนี่ก็….
มันเริ่มจากคนมีกิเลส เอากิเลสของตัวเองมาเผยแพร่ “ที่นั่นสวยนะ, ที่นี่น่าไปนะ, มีไอ้นั่นไอ้นี่” เอารูปมายั่ว เอาคำบรรยายมาล่อ
ทีนี้คนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันก็หลงชอบไปตามเขาสิ แล้วยังไงล่ะ? มันก็ต้องไปเที่ยวสนองกิเลสสิ เพราะเวลามันมีกิเลสมันจะทนอยู่เฉยๆไม่ได้ มันต้องไปเสพ ไม่เสพมันก็ทุกข์ เลยต้องเดินทาง
ขามันขยับด้วยแรงกิเลสพาให้เดินทางไปท่องเที่ยวเพื่อเสพสมอารมณ์หมาย
เขาก็หลงว่านั่นคือความสุขนะ ทั้งๆที่จริงแล้วการได้เที่ยวนี่มันการสนองกิเลส และความสุขที่ได้มันก็แค่ความสุขจากความทุกข์ที่จางไปเพราะได้เสพ
ทีนี้ก็แก้กิเลสกันไม่เป็นหรอก วิธีเดียวที่จะทำให้เกิดความสุขได้ คือสนองกิเลส ว่าแล้วก็เตรียมตัวไปเที่ยวสงกรานต์นี้…สินะ
– – – – – – – – – – – – – – –
8.4.2558
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)
ผ่าน พบ จบ จาก

ผ่าน พบ จบ จาก
ชีวิตดำเนินผ่านเหตุการณ์และผู้คนมามากมาย
ได้พบเจอกับใครสักคนเข้ามาในชีวิต
เข้ามาเป็นสีสัน เรื่องราว ความทรงจำ
ไม่ว่าจะดีหรือร้ายอย่างไร
สุดท้ายทุกความสัมพันธ์ก็ต้องจบลงไป
แต่เรามักจะไม่ยอมปล่อยให้มันจากไป
แม้ว่าสิ่งนั้นจะได้จบลงไปแล้วแต่เรายังเก็บเศษซากของมันไว้
ไม่ยอมปล่อยให้มันได้จากไปจากความทรงจำของเรา
เป็นซากแห่งความทรงจำที่ยังคอยตามมาหลอกหลอน
ให้เราต้องวนอยู่ในสุขและทุกข์อย่างไม่มีวันจบสิ้น
…
การยอมปล่อยให้ทุกความทรงจำจากไป
โดยไม่เหนี่ยวรั้งไม่ผลักไส ไม่ทุกข์ ไม่สุข
ปล่อยให้มันจางหายและจากไปตามที่มันควรจะเป็น
คือการให้อิสระกับตัวเองอย่างแท้จริง
– – – – – – – – – – – – – – –
1.4.2558
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)
แนะนำบทความที่เกี่ยวข้อง
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปตามโลก
เกิด ไปตามโลก
แก่ ไปตามโลก
เจ็บ ไปตามโลก
ตาย ไปตามโลก…โลกหมุนไปทางไหนก็ไปทางนั้น
…สังคมเป็นเช่นไรก็เป็นไปตามเขา
…กิเลสจูงไปทางไหนก็ไปตามมัน
…
ในยุคสมัยที่กระแสโลกีย์รุนแรงเช่นนี้ ยากนักที่จะเอาตัวรอด ถึงจะมีโอกาสได้พบธรรมะแต่ก็มักจะประมาท ไม่ศึกษาเล่าเรียน มุ่งเอาแต่เรื่องโลกเป็นที่หมาย
ที่สุดของโลกแล้วยังไง ร่ำรวย มีหน้าที่การงานดี มีคนนับหน้าถือตา เป็นที่ยอมรับ มีความสุข…แล้วยังไง มันสุขอย่างนั้นได้ตลอดไปไหม? มันก็วนเวียนสุขทุกข์ไปตามโลกเขานั่นแหละ
คนที่หลงติดในโลกธรรมก็มัวเมาวนเวียนอยู่กับเรื่องแค่นี้ หลงสุขแล้วติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ แม้จะรับรู้ว่าสิ่งดีกว่านี้ยังมีแต่ก็ไม่เชื่อ รู้นะแต่ไม่เชื่อ ฟังนะแต่ไม่ศรัทธา สนใจนะแต่ไม่พยายามศึกษา
เพราะยึดมั่นถือมั่นว่าสุขที่ตนมีนั่นแหละสุดยอด หลงยึดไปว่าชีวิตเป็นอยู่นั้นดีมากพออยู่แล้ว มีคุณค่ามากพออยู่แล้ว จึงใช้ชีวิตเสพสุขลวงรับทุกข์จริงไปอย่างไม่จบไม่สิ้น
วนเวียนรับสุขและทุกข์เช่นนี้ไปอีกนานแสนนาน…จนกว่าจะมีปัญญาที่มากพอจะเห็นคุณค่าของการไขว่คว้าหาหนทางที่จะออกจากโลกีย์แห่งนี้
…
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน, แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น.”
– – – – – – – – – – – – – – –
11.3.2558

