แบ่งปันประสบการณ์

แบ่งปันประสบการณ์ความเบื่อหน่ายคลายกิเลส กรณีศึกษาเรื่องการท่องเที่ยว

December 12, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,332 views 0

แบ่งปันประสบการณ์ความเบื่อหน่ายคลายกิเลส กรณีศึกษาเรื่องการท่องเที่ยว

เรื่องการท่องเที่ยวนี่ก็เป็นเหมือนเป้าหมายในชีวิตของใครหลายคนเลยทีเดียว การได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆที่ไม่เคยไป การได้ไปผจญกับภัยในที่ที่ไม่เคยพบเห็น เป็นประสบการณ์ใหม่ๆที่หลายคนอยากสัมผัสด้วยตัวเอง และแม้แต่การท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนสนองกิเลสก็ยังเป็นความฝันก็ใครหลายคนด้วยเหมือนกัน

ผมเองก็เป็นคนที่เคยรักการท่องเที่ยว แม้จะไม่ได้ไปบ่อยนักแต่จากประสบการณ์ก่อนนั้นก็ชอบที่จะเดินไปตามแนวภูเขา ทุ่งกว้าง ชอบขึ้นภูเขา หน้าผา ทะเลตามสมัยนิยม ก็ชอบเหมือนกันกับคนอื่นเขานี่แหละ มีอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิตเมื่อปี ๒๕๕๔ ซึ่งมีน้ำท่วมถึงกรุงเทพ ผมก็เป็นอีกคนที่หนีน้ำท่วมออกจากบ้านไป(แต่น้ำไม่ท่วมนะ หนีก่อนปลอดภัยไว้ก่อน) และใช้โอกาสนั้นในการท่องเที่ยว ผมเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี เมืองพัทยา ประจวบคีรีขันธ์ ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่เขามีให้เที่ยวโดยใช้การพักแรมที่บ้านเพื่อนบ้าง บ้านญาติบ้างตามโรงแรมรีสอร์ทบ้าง

ด้วยความที่ตัวเราก็ชอบถ่ายรูปอยู่มากเหมือนกัน เรียกได้ว่าสนุกกับการถ่ายรูปเลยก็ว่าได้ ดังนั้นการไปเที่ยวและเก็บภาพบรรยากาศต่างๆจึงเป็นกิจกรรมที่ไปด้วยกันได้ ซึ่งผมเคยมีความสุขกับกิจกรรมเหล่านั้นมาก จนกระทั่งวันหนึ่ง….

….วันหนึ่งผมได้มีนัดพบปะเพื่อนฝูง ในกลุ่มเพื่อนก็จะมีคนที่ชอบท่องเที่ยวเป็นประจำ เที่ยวไปในที่ต่างๆมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ แบกเป้ลุยเที่ยวก็เป็นเรื่องปกติของเขา ซึ่งเขาก็ได้เล่าเรื่องที่ไปเที่ยวจีน ซึ่งการเดินทางในแถบนั้นดูจะลำบากและอันตราย เขาเล่าว่ามีครั้งหนึ่งตอนขึ้นรถที่ขับไปทางริมเขาก็เกือบจะตกเขาด้วยความที่เส้นทางนั้นลาดชันและไม่สมบูรณ์สักเท่าไรนัก

พอได้ฟังเขาเท่านั้นแหละ ความอยากท่องเที่ยวมันหายไปในพริบตา หลังจากที่ได้พิจารณาตามเขาซ้ำๆ ทำไมเราต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงขนาดนั้น การได้เที่ยวมันสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วต้องไปอีกกี่ที่ถึงจะพอใจ ได้เที่ยวไปทั่วโลกแล้วยังไง ได้เห็นทั้งโลกแล้วมันยังไง จะมีความสุขจริงหรือ แค่ฟังก็รู้สึกลำบากแล้ว ยิ่งถ้าไปเสียชีวิตจากการท่องเที่ยวแล้วจะมีใครยินดีกับเราบ้าง มันจะมีประโยชน์อะไรที่เราจะแลกความสุขกับความเสี่ยงขนาดนั้น

….ความอยากมันตายลงบนโต๊ะนั่นแหละ กิเลสมันตายกลางวนสนทนา เป็นความรู้สึกเบื่อหน่ายที่ผมรู้สึกลึกๆอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพื่อนๆยังคงสนุกกับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยว ความฝันว่าอยากไปที่นั่นที่โน่น ผมก็ยังนั่งฟังและคุยตามปกติแต่ในใจเราไม่ได้คล้อยตามเขาไปอีกแล้วมันจบไปแล้ว

หลังจากนั้นก็มักจะมีคำชวนจากครอบครัวให้ไปเที่ยวด้วยกันต่างจังหวัด เช่นไปเกาะกูด ไปฟรีนะเขาออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ไป ชวนกี่ครั้งก็ไม่ไป เพราะมันไม่ได้อยากไปแล้ว ถ้าเป็นตัวเราแต่ก่อนนี่ก็คงจะตอบตกลงแน่นอน เพราะไปฟรี กินฟรี นอนฟรี จะมีอะไรดีกว่านี้อีก แล้วมันก็มีดีกว่าจริงๆนั่นคือไม่ไป…

สภาพแบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญและไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ความยินดีที่จะไม่เสพโดยที่ยังมีความสุขนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้ว คงต้องขอบคุณตัวผมเอง ขอบคุณกรรมของผมเอง ที่หัดพิจารณาเรื่องนี้สะสมมาหลายภพหลายชาติ ผมคงเคยเป็นคนที่เที่ยวมาทั่วโลกมาแล้วไม่ชาติในก็ชาติหนึ่ง เที่ยวจนเบื่อ เที่ยวจนทุกข์ เที่ยวจนเกิดโทษ มาถึงชาตินี้พอมีเหตุการณ์ให้พิจารณาเพียงนิดหน่อยก็หลุดจากกิเลสตัวนี้ได้ และหลุดอย่างถาวรไม่อยากเที่ยวอีกเลย เพราะรู้ชัดแจ้งแล้วว่าเที่ยวไปก็เหมือนเดิมมีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ พระอาทิตย์ขึ้นก็เหมือนเดิม ตกก็เหมือนเดิม หนาวก็หนาวแบบนั้น วิวสวยมันก็เป็นของมันแบบนั้น เราไม่ได้สุขจากการเสพสิ่งพวกนี้อีกแล้ว และยังเห็นโทษด้วยว่าไปก็เปลืองเงิน เปลืองเวลา เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ แถมเวลาที่ไปเที่ยวถ้าเอามาทำประโยชน์ก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเองและคนอื่นมากกว่า เช่นถ้าไปเกาะกูด 3 วัน 2 คืน คงได้บทความดีๆมาอย่างน้อย 1-2 บทความแล้ว อันนี้มันเห็นประโยชน์ของการไม่เที่ยวอย่างชัดเจน

ถ้ามองในเรื่องของประสบการณ์ซึ่งถ้ามันจำเป็นต้องเก็บประสบการณ์นั้นจริงๆมันก็ต้องไป แต่ถามว่าอยากไปไหมก็คงไม่อยาก ถ้าให้หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตได้ก็คงใช้ทางนั้นจะดีกว่า ไปให้มันลำบากกายลำบากใจไปทำไม คนที่มันไม่มีความอยากแล้วไปให้ทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์นี่มันจะไม่อยากไปนะ มันจะเมื่อยๆ เฉื่อยๆ เบื่อๆ ไปอย่างนั้นเลย การที่เราไม่ได้เที่ยวนี้มันไม่ทุกข์นะ มันสุขแสนสุขเลย แม้ไม่ได้ไปเที่ยวก็สุขมันก็สุขตลอดเวลาเพราะไม่ได้มีความทุกข์จากความอยากไปเที่ยว

ผมเข้าใจว่าเวลาที่คนเราอิ่ม มันจะพอเอง พออิ่มจนเสพไม่ไหว รู้ว่าเสพต่อไปมันจะทรมานถ้ามีสติปัญญาพอ มันก็จะพอของมันเอง เหมือนกับการเที่ยวถ้าใครยังไม่อิ่ม ยังอยู่กับโลกไม่อิ่ม ยังชื่นชมโลกไม่พอ ยังเสพกิเลสไม่พอก็คงต้องกินให้อิ่มเสียก่อน อิ่มแล้วอยากกินต่อมันก็กินจนทรมาน ทรมานแล้วก็เห็นทุกข์ เห็นทุกข์ก็คงเห็นธรรมเองสักวัน

– – – – – – – – – – – – – – –

26.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

แบ่งปันประสบการณ์ เลิกกาแฟ เลิกชา เลิกดื่มเพื่อสนองกิเลส

October 14, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 12,439 views 0

แบ่งปันประสบการณ์ เลิกกาแฟ เลิกชา เลิกดื่มเพื่อสนองกิเลส

แบ่งปันประสบการณ์ เลิกกาแฟเลิกชา เลิกดื่มเพื่อสนองกิเลส

สมัยก่อนผมเป็นคนที่ติดกาแฟมาก เพราะรู้สึกว่ามันช่วยให้กระชุ่มกระชวยเวลาทำงาน ซื้อกาแฟมาเป็นกระปุก วางไว้ข้างโต๊ะทำงานพร้อมกับกระติกต้มน้ำร้อน พร้อมเสมอเมื่อผมต้องการกาแฟ

ตอนนั้นผมกินกาแฟผสมกับโกโก้ ชอบมากๆ เพราะได้ความหอมหวานขมผสมปนเปกันไปในตัว กินทุกวัน วันละ 3 แก้ว แก้วหนึ่งจะใส่กาแฟสอง น้ำตาลสอง โกโก้หนึ่ง น้ำร้อนเทใส่แล้วชงกินกันไป เช้าหลังตื่น กลางวันหลังอาหาร และกลางคืนช่วงหัวค่ำ และทำงานไปจนถึงเที่ยงคืนกว่าๆ ซึ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงรับงานอิสระ

ถ้าเรากินกาแฟแล้วมีความสุขอยู่อย่างนั้นได้ตลอดไปก็คงจะดีใช่ไหม? เราคงจะไม่มีวันเลิกเสพมันใช่ไหม?

แล้ววันหนึ่งผมก็ได้พบกับอาการปวดตามข้อ ซึ่งรู้ได้ด้วยตัวเองทันทีว่าน่าจะเกิดจากกาแฟ หลังจากพยายามหาเหตุอยู่นานก็มั่นใจว่าเป็นกาแฟแน่ๆ เพราะมีเพื่อนบอกว่าเคยเป็นอาการเดียวกัน จึงค่อยๆลดปริมาณของกาแฟ และเพิ่มปริมาณโกโก้เข้าไปแทน

แต่อาการนั้นก็ยังไม่หมดไป เหมือนกับกาแฟมันสะสมจนเป็นภัยแล้ว แม้จะเติมเข้าไปเพียงน้อยนิดก็ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดเหล่านั้นได้ ผมจึงตัดสินใจที่จะเลิกกาแฟอย่างเด็ดขาดโดยพยายามเลิกโกโก้ไปด้วย

ซึ่งวิธีที่ใช้นั้นคือเลิกกาแฟแต่ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการดื่ม จึงหันมาดื่มชา ในช่วงแรกก็มีอาการคิดถึงกาแฟอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็สามารถเลิกกาแฟได้ หันมาติดชาแทน แสวงหาซื้อชาแบบต่างๆมาลอง โดยให้ชาที่ดื่มนั้นมีราคาไม่แพง หาได้ง่าย เพราะผมดื่มชาต่อวันเยอะมาก ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นคนดื่มน้ำบ่อย ก็ดื่มชากันทั้งวันนั่นแหละ

และมีอยู่วันหนึ่งซึ่งชาหมด และตอนนั้นผมกำลังติดงาน จะขับรถออกไปซื้อมันก็รู้สึกเสียเวลา ผมจึงได้พบกับทุกข์ของอาการติดชา พิจารณาต่อไปว่าถ้าเราไม่เสพติดชาขนาดนี้เราก็คงไม่ต้องทุกข์เพราะความอยากเวลาที่มันขาด มันพรากจากเราไป เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจเลิกชา

วิธีเลิกชาของผมก็เหมือนกับตอนเลิกกาแฟ คือหาอะไรมาทดแทนชาและคงพฤติกรรมการดื่มน้ำให้มากไว้เหมือนเดิม จึงใช้วิธีตัดใบเตยที่บ้านมาต้มกิน เพราะเคยมีประสบการณ์ที่เคยกินน้ำใบเตยสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำได้ว่ามันหอม และหวานเพราะน้ำตาล ในกรณีของผมจะไม่ใส่น้ำตาล เอาแต่กลิ่นให้ได้ความรู้สึกคล้ายๆชา

เมื่อได้ต้มน้ำใบเตยแทนชาแล้วรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมาก สุดท้ายก็เลิกเสพติดชาได้ หันมาติดน้ำใบเตยแทน ก็พบกับความยากลำบากที่ต้องเดินไปตัดใบเตยมาต้มกิน ซึ่งจริงๆมันไม่ได้ยากเลย เพียงแค่เดินออกจากบ้าน เดินวนไปไม่ถึงสิบเมตร ก็สามารถนำใบเตยที่ปลูกไว้มาต้มกินได้

แต่ตอนนั้นมันคิดได้เองนะว่า ถ้ากินน้ำใบเตยได้ก็กินน้ำเปล่าได้แล้ว สุดท้ายก็เลิกต้มน้ำใบเตยกิน หันมากินน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้อง ในห้องทำงานจะมีขวดน้ำ 6 ลิตรซึ่งจะเอาไว้เติมใส่แก้ว กินน้ำวันหนึ่งก็ตก 3-5 ลิตร บางวันร้อนๆก็กินทั้ง 6 ลิตร

สุดท้ายก็เลิกกาแฟได้ เลิกชาได้ เลิกน้ำใบเตยได้ เคยกลับไปลองกินกาแฟครั้งหนึ่งพบว่ามันไม่รู้สึกสุข ไม่รู้สึกยินดีที่ได้กินเหมือนแต่ก่อนแล้ว และเมื่อพอกินเข้าไปก็ได้พบโทษจากกาแฟ นั่นคือนอนไม่หลับทั้งคืน สมัยก่อนเรากินหลายแก้วต่อวันก็ยังหลับได้ปกตินะ ตอนนี้ไม่ไหวแล้วเหมือนว่าร่างกายมันดูดซึมดีขึ้น มันเลยได้สารจากกาแฟไปเต็มๆ ก็ตาค้างกันไป

กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนจะได้เรียนรู้การปฏิบัติธรรม เป็นการลด ละ เลิกโดยการเห็นทุกข์โทษภัยตามธรรมชาติ เป็นลักษณะของธรรมะที่มีในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องรอทุกข์มากระตุ้นเท่านั้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะใช้วิธีดังนี้ได้ แต่ก็ได้แบ่งปันไว้เผื่อว่าใครจะลองเอาไปประยุกต์ใช้ดู

ถ้าใครกินกาแฟอยู่แล้วคิดว่าตัวเองไม่ติดกาแฟ ก็ลองพรากจากมันดูสักระยะ ก็อาจจะเห็นความอยาก เห็นกิเลสที่หาเหตุผลต่างๆนาๆที่จะกลับไปเสพกาแฟ นั่นแหละคือเราเสพติด พอติดแล้วมันก็ต้องทุกข์ ส่วนจะเห็นทุกข์วันใดนั้นก็สุดแล้วแต่บุญแต่กรรม

– – – – – – – – – – – – – – –

14.10.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

โปรตีนเกษตรและเนื้อสัตว์เทียมกับการกินมังสวิรัติ

October 13, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,870 views 0

โปรตีนเกษตรและเนื้อสัตว์เทียมกับการกินมังสวิรัติ

โปรตีนเกษตรและเนื้อสัตว์เทียมกับการกินมังสวิรัติ

ตั้งแต่กินมังสวิรัติมาปีกว่าๆ ต้องยอมรับตรงๆว่าไม่เคยใช้โปรตีนเกษตรหรือเนื้อสัตว์เทียมมาทำอาหารเองเลย เหตุผลนั้นมีหลายส่วนด้วยกัน ส่วนหนึ่งก็คือพยายามจะใช้ของที่หาซื้อได้ทั่วไปมาทำอาหาร และอีกส่วนหนึ่งคือผมเองก็ไม่ได้อยากกินเนื้อสัตว์แล้ว เลยไม่ต้องลำบากไปหาสิ่งเทียมเนื้อสัตว์มากินให้ยุ่งยาก และเหตุปัจจัยอื่นๆอีกยิบย่อยที่ทำให้ไม่สนใจวัตถุดิบเหล่านั้น

ผ่านช่วงเทศกาลเจครั้งแรกของปีนี้ ผมได้กินกะเพราเป็ดเจ ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์เทียม เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จึงคิดได้ว่าการใช้โปรตีนเกษตรแทนเนื้อสัตว์ก็สามารถที่จะทดแทนรสสัมผัสได้อย่างดีเยี่ยม จะว่าคล้ายก็คล้าย จะว่าเหมือนก็เหมือน

โปรตีนเกษตรที่หมายถึงนั้น คือวัตถุดิบที่เป็นชิ้น เป็นก้อน ไม่ได้มีรูปทรงที่ชัดเจนว่าเป็นอะไร ส่วนเนื้อสัตว์เทียมนั้น คือวัตถุดิบที่ถูกสร้างให้เป็นรูปร่างเสมือนเนื้อสัตว์ปกติเช่น ปลาเค็มเทียม หมูเทียม กุ้งเทียม สเต็กเทียม ซึ่งมีเจตนาเพื่อให้ระลึกถึงเนื้อสัตว์นั้นได้อย่างชัดเจน โดยรวมแล้วจะเรียกว่าโปรตีนเกษตรเหมือนกัน แต่ระดับในการสนองกิเลสนั้นจะต่างกัน

สำหรับคนที่ไม่ได้มีปรุงแต่งรสสัมผัสจนมันละเอียดล้ำลึก ก็จะไม่ได้ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบมากนัก ขอแค่มีหน้าตาและรสสัมผัสเหมือนเนื้อสัตว์ที่เคยกินก็พอ

ส่วนผู้ที่ติดในรสชาติหรือรสสัมผัสอันหลากหลายของเนื้อสัตว์ มักจะต้องพบกับความผิดหวังเมื่อได้กินเนื้อสัตว์เทียม เพราะรสชาติและรสสัมผัสนั้นไม่มีทางสู้เนื้อสัตว์จริงที่มีความหลากหลายในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสได้อยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นการยากสำหรับผู้ที่หลงใหลในเนื้อสัตว์จะหันมากินมังสวิรัติ กินเจ โดยใช้โปรตีนเกษตรหรือเนื้อสัตว์เทียมได้

อนุโลม…

การใช้โปรตีนเกษตรและเนื้อสัตว์เทียม แม้จะดูตลกและทำให้เกิดความสงสัยในมุมมองของคนที่ยังกินเนื้อสัตว์ ว่าคนจะมาลดเนื้อกินผักแล้วทำไมยังต้องมากินเนื้อสัตว์เทียม?

เราจำเป็นต้องเข้าใจว่า โดยปกติแล้วมนุษย์เรามีกิเลสหนา การจะหักดิบมากินพืชผักทันทีเลยนั้น เขาทำไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้ จึงมีคนคิดสร้างแหล่งโปรตีนและเนื้อสัตว์เทียมเพื่อมารองรับผู้ที่ยังมีความอยากเสพรสชาติและรสสัมผัสที่เหมือนเนื้อสัตว์แต่ไม่ต้องฆ่าสัตว์ ทำให้สามารถลดการเบียดเบียนสัตว์อื่นได้ดีเช่นกัน

ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่คิดจะลดการเบียดเบียนผู้อื่นนั้นย่อมมีจิตใจที่ดี ส่วนผู้ที่ยังเบียดเบียนสัตว์อื่นอยู่แม้จะรู้ว่าการเบียดเบียนนั้นจะทำให้สัตว์นั้นทุกข์ทรมานและนำอกุศลกรรมมาสู่ตนเอง แต่ก็ยังไม่เห็นโทษภัยในการเบียดเบียน ยังไม่คิดจะเลิกเบียดเบียน ยังยินดีที่จะเบียดเบียนเพื่อให้ตนได้เสพสมใจในกิเลส เขาจึงควรมีจิตศรัทธาในผู้ที่พยายามทำดี อย่าได้เผลอไปเพ่งโทษคนที่พยายามลด ละ เลิก การเบียดเบียนเลย เพราะจิตอกุศลนั้นเองจะนำภัยมาสู่ตน

ในตอนนี้ผมกลับมองว่า จริงๆแล้ว โปรตีนเกษตรกับเนื้อสัตว์เทียมมันก็ดีในระดับหนึ่งนะ คิดไปแบบง่ายๆว่า ถ้าคนทั้งโลกหันมากินโปรตีนเกษตร หรือเนื้อสัตว์เทียมได้ ก็จะไม่มีการเลี้ยงสัตว์ เพาะพันธุ์สัตว์ ฆ่าสัตว์ และวันหนึ่งโปรตีนสังเคราะห์เหล่านั้นก็จะมาแทนที่เนื้อสัตว์ได้ ซึ่งทั้งหมดนี่ก็เป็นแค่เรื่องที่ได้แค่ฝันเอา

ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเรากินโปรตีนเกษตรไปเรื่อยๆ เสพเนื้อสัตว์เทียมไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการล้างความอยากเสพเนื้อสัตว์ เมื่อกินเนื้อสัตว์เทียมและเริ่มติดใจในรสชาติ แล้วก็จะเกิดความอยากกินเนื้อสัตว์จริงๆขึ้นมาในวันใดวันหนึ่ง เพราะกิเลสนั้นจะโตขึ้นเรื่อยๆจนไม่สามารถกดข่มความอยากได้ไหว

เมื่อกลับไปกินเนื้อสัตว์จึงพบว่ามันสนองกิเลสได้มากกว่ากินเนื้อสัตว์เทียม คิดได้เช่นนั้นความเสื่อมก็เริ่มเข้ามา เพราะตอนที่กินมังสวิรัติ กินเจนั้น กินด้วยความกดข่ม กดกิเลสตัวเองไว้ เกิดทุกข์ ทรมาน จากการกดข่มนั้นๆ จนเมื่อตบะแตกไปเสพเนื้อสัตว์เข้าจริงๆ คราวนี้จะกลับมากินโปรตีนเกษตรหรือเนื้อสัตว์เทียมยากแล้ว เพราะกิเลสมันมากกว่าเดิม มันเริ่มคิดแล้วว่าเนื้อสัตว์จริงๆอร่อยกว่าโปรตีนเกษตรหรือเนื้อสัตว์เทียมมาก ว่าแล้วก็เสื่อมจากธรรมที่มี เสื่อมจากศีลที่ตั้งไว้

โดยสรุปแล้วผมเองก็ยังมองว่าโปรตีนเกษตรและเนื้อสัตว์เทียมก็ยังเป็นทางเลือกที่ผู้สนใจหันมากินมังสวิรัติสามารถกินได้ แต่จะให้ดีกว่านั้น ยั่งยืนกว่านั้น คือการล้างความอยากเสพเนื้อสัตว์นั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก เข้าใจได้ยาก ทำได้ยาก

ต่างจากการกดข่มความอยากซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้กันทุกคน เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะสามารถกดข่มสิ่งที่ตัวเองคิดว่าไม่ดีไว้ แต่การกดข่มนั้นไม่ยั่งยืน ไม่สามารถทำลายความอยากได้ สุดท้ายพออยากเข้ามากๆก็จะกลับไปเสพ เสพแล้วก็เลิก เลิกแล้วก็เสพ ต้องมารอให้กิเลสเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปและเกิดขึ้นมาใหม่ วนไปวนมาแบบนี้ไม่รู้จบ

– – – – – – – – – – – – – – –

12.10.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

เทศกาลกินเจ

September 27, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,130 views 0

เทศกาลกินเจ

เทศกาลกินเจ

เข้าช่วงเทศกาลกินเจแล้ว ก็มักจะเป็นช่วงที่สังคมหยิบยกเอาเรื่องของการกินเจ สาระความรู้ แม้แต่ข้อคิดเห็นความเข้าใจในเรื่องของการกินเจออกมาแชร์กัน

สารภาพตรงๆว่าผมเอง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกินเจเลย ไม่เคยสนใจ ไม่เคยรับรู้ พึ่งจะมากินมังสวิรัติมาได้ปีกว่าๆ ในปีนี้ก็เลยลองไปเดินดูบรรยากาศที่เยาวราชกันสักหน่อย และแวะเข้าไปซึมซับบรรยากาศในช่วงเทศกาลกินเจที่วัดมังกรฯกันสักนิด เพื่อที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นที่มากกว่าอ่านบทความในอินเตอร์เน็ตและดูจากทีวี

เรามักจะได้เห็นการวิวาทะเกี่ยวความเชื่อเรื่องการกินเจอยู่บ่อยๆในสังคมออนไลน์ ว่ากินเจดี หรือไม่ดี ต้องกินหรือไม่ กินอย่างไร แบบไหนจึงจะดี แล้วต้องคิดต้องทำอย่างไรถึงจะดี บ้างก็ยกหลวงปู่หลวงพ่อที่ตนนับถือมาอ้าง บ้างก็ยกพระไตรปิฏกมาอ้าง ว่าสิ่งที่ตนคิด สิ่งที่ตนเข้าใจนั้นดี กลายเป็นเทศกาลที่มักจะเห็นคนห้ำหั่นกันด้วยอัตตากันอยู่บ่อยๆ

จะขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกินเจ เพราะเรื่องกินนั้นเป็นประเด็นหลักที่สังคมรับรู้และให้ความสำคัญมาก

คนกินเจ…

ผมคิดว่าการที่คนเราลองเปลี่ยนมากินเจนั้น ก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว มีโอกาสได้ลดเนื้อกินผักหรือกินอะไรแทนเนื้อสัตว์ก็กินไปเถอะ ไม่เบียดเบียนคนอื่นก็ดีแล้วส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่เราไปกินเจแล้วรู้สึกว่าเราดีกว่าคนอื่นนั้น ยังไม่ดี อันนี้ควรจะแก้ไข คนกินเจบางคนมักจะสำคัญตัวเองว่าฉันใจบุญ ฉันดี ฉันมีศีล ซึ่งความติดดียึดดีเหล่านี้แหละ คือสิ่งที่ไปทำร้ายทำลายใจคนที่เขาไม่กินเจ

คนที่กินเนื้อเองก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนไม่ดีไปเสียทุกอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ทั้งชีวิตที่ผ่านผมเองก็กินเนื้อมาตลอดและต้องบอกตรงๆเลยว่า สมัยก่อนก็ชอบเนื้อมาก ถึงขั้นเสพติดเนื้อกันเลยทีเดียว แต่ทุกอย่างก็ไม่เที่ยง…แปรผันได้ตลอดเวลา ติดได้ก็เลิกได้ บางทีคนที่เขายังกินเนื้อในวันนี้ แต่ปีหน้าเขาอาจจะลดเนื้อกินผักได้มากกว่าคนที่กินเจปีละครั้งก็ได้ ดังนั้นคนกินเจก็อย่าไปปรามาส อย่าไปสบประมาทคนที่เขายังกินเนื้ออยู่ เพราะเขาแค่ยังไม่รู้ถึงโทษของการกินเนื้อ เราไม่รู้หรอกว่าใครมีบุญบารมี มีวาสนาสะสมมาเท่าไหร่ คนที่กินเจก็ควรจะมุ่งมั่นกินเจของตนไป ขยายขอบเขตการลดการเบียดเบียนให้ได้มากขึ้น เป็นเดือน เป็นปี อย่าให้ใครเขาว่าเอาได้ว่าถือศีลตามเทศกาล ถือตามชาวบ้าน ถือศีลแบบไม่มีปัญญา

ดังนั้นการเพ่งโทษคนที่ไม่กินเจ หรือกินเจไม่เคร่งครัด จึงไม่ใช่วิสัยที่คนถือศีลกินเจควรทำ เพราะสิ่งที่เราควรทำคือขัดเกลาจิตใจตนเอง ไม่ใช่จิตใจของผู้อื่น

คนไม่กินเจ…

ส่วนคนที่ไม่ได้กินเจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การที่เราเห็นคนกินเจ เราก็ควรจะยินดีกับเขา เห็นคนที่เขาคิดจะทำดี แม้ว่ามันจะยังไม่ดีเลิศอะไร แต่เขาก็ยังคิดจะทำสิ่งที่ดีเท่าที่เขาจะทำได้ แม้เราจะยังไม่เห็นว่าสิ่งนั้นดี เราไม่ยินดีทำตามก็ไม่เป็นไร แต่การที่เราไปเพ่งโทษคนที่เขาทำดี อันนี้ก็ไม่ดี เขาตั้งใจทำดีเรายังไปว่าเขาไม่ดี เรานั่นแหละไม่ดี เขาทำดีเราควรจะช่วยเป็นกำลังใจ ช่วยสนับสนุนให้เขาทำดี ไม่ใช่ไปคอยไปจับผิดเขา คอยแสดงท่าทีเขาให้เลิกทำดี กลับมากินเนื้อเป็นปกติเหมือนอย่างเรา

การกินเจหรือลดเนื้อกินผักนั้น เป็นเรื่องที่ยาก เพราะต้องเดินสวนกระแสแห่งความอยาก ถ้าหากเรายังไม่เคยท้าทายตัวเอง เอาแต่ลอยไปตามสายน้ำแห่งความอยาก ก็ยากที่จะเข้าใจจิตใจของผู้ที่กินเจ ดังนั้นเพื่อการศึกษา คนที่ไม่กินเจ ก็อาจจะลองมากินเจดูบ้างก็ได้ ว่าสิ่งที่เขาว่ายากนั้นยากอย่างไร แล้วสิ่งที่เขาว่าดีนั้นดีจริงอย่างไร

จริงอยู่ที่ว่าการกินเจไม่ได้ทำให้ใครเป็นคนดี และคนดีทุกคนไม่จำเป็นต้องกินเจ แต่เราเองก็ควรจะรับรู้ด้วยว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นก่อให้เกิดการเบียดเบียน ซึ่งเราผู้กินเนื้อแต่ละคนเป็นผู้มีส่วนร่วมในการอุ้มชูและพัฒนาอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ทั้งในทางตรงและทางอ้อม การค้าขายสัตว์เป็นหรือสัตว์ตายนั้น เป็นการค้าขายที่ผิดในทางของพุทธอยู่แล้ว ดังนั้นการที่เรายังไปสนับสนุนธุรกิจเหล่านี้ เราก็ควรจะรับรู้ด้วยว่า เราเองก็เป็นหนึ่งในฟันเฟืองแห่งบาปนี้เช่นกัน

การกินเจที่ปนเปื้อนด้วยกิเลส

ทุกวันนี้มีผลิตภัณฑ์ปรุงแต่ง คล้ายเนื้อสัตว์ออกมามากมาย เป็ดเจ ไก่เจ หมูเจ ฯลฯ ทำให้หลายคนสงสัยว่าการกินเจจะดีจริงหรือในเมื่อใจเรายังติดในรสชาติของสัตว์นั้น

ในความเป็นจริงแล้ว การที่จะให้คนกิเลสหนาหักดิบมากินผักเลยมันเป็นไปไม่ได้ โปรตีนเกษตรหรือเนื้อสัตว์เทียมจึงได้ผลิตออกมาเพื่อตอบโจทย์กับผู้ที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นใหม่ หัดใหม่ หรือยังตัดความอยากไม่ได้ ซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นการลดการเบียดเบียนที่ดีวิธีหนึ่ง ถ้าเรากินกันได้แบบนี้ทุกคนบนโลก ก็จะไม่มีสัตว์ใดตายเพราะความอยากของเรา จริงไหม?

แต่เชื่อเถอะว่าเนื้อสัตว์เทียมเหล่านั้นก็ไม่สามารถหยุดความอยากกินเนื้อสัตว์ได้หรอก ไม่วันใดก็วันหนึ่งเขาเหล่านั้นก็จะกลับไปหาเนื้อสัตว์จริงๆกิน เพราะความหิวกระหาย เพราะความอยาก เพราะกิเลสที่ถูกกดข่มไว้นานนั้นได้เพิ่มปริมาณและทะลักออกมา หรือที่เรียกว่าตบะแตก

ไม่มีสังคมใดที่จะมีคนดีคนเก่งไปเสียทั้งหมด คนที่กินเจได้แบบบริสุทธิ์ต่อเนื่องทั้งชีวิตก็คงจะมีอยู่ แค่เราอาจจะไม่เคยเห็น และถึงจะมีจริง เขาเองก็ไม่ได้สามารถที่จะสอนหรือแนะนำให้ทุกคนกินเจได้บริสุทธิ์ได้เหมือนเขา เพราะคนส่วนมากนั้นมีกิเลสที่หนาในระดับที่แตกต่างกันไป ทุกวันนี้ก็เลยมีผลิตภัณฑ์อาหารเจ เนื้อสัตว์เจขายกันอยู่ทั่วไป

– – – – – – – – – – – – – – –

27.9.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์