แบ่งปันประสบการณ์
การตอบคำถามในหมวดที่คนยึดมาก ๆ
วันนี้มีคนมาถามคำถามเกี่ยวกับการไม่กินเนื้อสัตว์ในพระพุทธศาสนา เป็นบทความเก่าที่ผมได้พิมพ์ไว้หลายปีแล้ว
หลัง ๆ มานี้ผมหมดฉันทะ คือหมดความยินดีในการตอบคำถามเหล่านั้น เพราะโดยมากมักจะปักธงเชื่อของเขาอยู่อย่างนั้น การถามส่วนมากก็เพียงเพื่อจะข่มหรือแข่งดีเอาชนะเท่านั้นเอง
ซึ่งผมก็ไม่ได้เห็นประโยชน์อะไรกับการเสียเวลาไปตอบคนที่เขาไม่ได้ศรัทธา ไม่ได้น้อมใจไปสู่การไม่เบียดเบียน มันก็เมื่อยเปล่า ๆ เหมือนตำน้ำพริกลงแม่น้ำ เพราะจริง ๆ ในบทความก็พิมพ์ตอบไว้หมดแล้ว เพียงแต่ถ้าเขาจะหาเรื่องติเรื่องเพ่งโทษ เขาก็หากันได้หมดนั่นแหละ
ถ้าวัดกันในพุทธระดับโลกจริง ๆ เขาก็ไม่กินเนื้อสัตว์กันครับ มีแต่ไทยกลุ่มใหญ่นี่แหละที่ยังกิน แล้วก็อ้างตนว่าถูก คือถ้าเถียงกันไปกันมานี่มันเสียเวลาน่ะครับ ให้สัจจะพิสูจน์ดีกว่า ว่าทำแล้วพ้นทุกข์จริงไหม?
ว่ากันจริง ๆ นะ คนที่เขาปล่อยวางได้ เขาไม่มาเถียงสู้ผมหรอก คนอัตตาจัดเขาอ่านสิ่งที่ขัดกับตนเอง เขาก็อารมณ์ขึ้น มันก็ยึดดี อยากสั่งสอน อยากแสดงตนว่าข้าแน่ ข้าถูกต้อง เขาก็มาแสดงตัวของเขานั่นแหละว่าเขายังวางความเห็นที่แตกต่างไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่โลกนี้ใครก็เห็นแตกต่างกันทั้งนั้น
ส่วนตัวผมก็ไม่ค่อยถือสาเท่าไหร่ เพราะเข้าใจว่าโลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ แต่เราก็จะโฟกัสเฉพาะกลุ่มคนที่เราพูดได้ สื่อสารได้ ศรัทธากัน เราไม่ใช่นักโต้วาที เอาวาทะธรรมไปเถียงเอาชนะกันเสียที่ไหน อันนั้นมันนักเลงธรรมคุยกัน เขาชอบก็ปล่อยเขา เราก็ทำแบบของเราไป
ก็เว้นเสียแต่ว่าคนที่มาติดตามผมบ่อย ๆ เห็นแล้วยกมาถาม ผมก็จะตอบให้ตามที่รู้ครับ หรือมีคนถามมาแล้วผมเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ติดตามผมอยู่ ก็จะนำมาตอบกันครับ
ปลาข้างทาง

ปลาข้างทาง
เช้าเมื่อวานฝนตกลงมาอย่างหนัก และค่อย ๆ ซาไปในตอนสาย ระหว่างที่ผมกำลังเดินออกจากบ้านเพื่อที่จะไปขึ้นรถประจำทาง ก็พบกับปลาตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างทาง
ปลาตัวนี้ตัวไม่ใหญ่นัก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปลาจะมาอยู่บนถนนหลังฝนตก เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เจอได้บ่อย ๆ ปลาจะมาตามท่อที่น้ำล้นและติดอยู่บนถนนเมื่อน้ำลด
ผมยืนดูปลาตัวนี้สักพัก ก็คิดว่าจะเอาอย่างไรกับมันดี มันก็อยู่ข้างทาง รถก็วิ่งผ่านมาใกล้ ๆ เห็นท่าจะรอดยาก ไม่ตายเพราะรถก็ตายเพราะมด แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าพกถุงพลาสติกไว้ใส่ของกันฝน ก็เลยเอาปลาใส่ถุงแบบรวมน้ำ ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าจะเอาไปปล่อยที่บึงสาธารณะใกล้บ้าน แต่พอคิดไปคิดมาก็นึกขึ้นได้ว่า เหมือนบึงเขาจะไม่ให้ปล่อยสัตว์น้ำ สุดท้ายก็เลยปล่อยปลาลงท่อไป
จากเหตุการณ์นี้ก็นึกขึ้นได้ว่า หากจะปล่อยปลาให้ถูกธรรม ก็คงจะต้องปล่อยแบบนี้ คือมีปลามานอนพะงาบพะงาบต่อหน้าแล้วช่วยมัน ทำแบบนี้ไม่มีผลเสียกับใคร และไม่ผิดธรรมด้วย ส่วนที่ซื้อปลาไปปล่อยนั้น พวกเขาผิดตั้งแต่ซื้อขายชีวิตสัตว์แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า อย่าทำการค้าที่ผิด มันจะไม่พ้นทุกข์ หนึ่งในนั้นคือค้าขายชีวิตสัตว์ (มิจฉาวณิชชา ๕) ดังนั้นเมื่อเราไปข้องเกี่ยวกับกระบวนการขายชีวิตสัตว์ ไม่มีทางเลยที่เราจะได้มันมาอย่างถูกธรรม มันผิดแน่ ๆ และไม่ควรประเมินว่าผลสุดท้ายมันจะดีกว่า ในเมื่อกระดุมเม็ดแรกมันผิด เม็ดต่อ ๆ ไปมันก็ติดผิดไปเรื่อย จะดีกว่าไหมที่เราจะแก้ความเห็นผิดตั้งแต่แรก ให้มันไม่ต้องผิดซ้ำผิดซ้อนกันไปอีก
เพราะพุทธทุกวันนี้แทบจะไม่รู้ผิดรู้ถูกกันแล้ว เอาแต่ตามที่ใจเห็นว่าดี เอาแต่ตามที่ประเพณีเห็นว่าควร ส่วนจะถูกธรรม ถูกตามที่พระเถระ(เถรวาท) ได้รวบรวมไว้หรือไม่นั้นชาวพุทธส่วนมากไม่ได้สนใจแล้ว ซึ่งมันก็ไม่แปลกว่าทำไมบ้านเมืองมีแต่เรื่องน่าสลด นั่นเพราะกระดุมเม็ดแรกมันติดไว้ผิด เม็ดต่อมาจนถึงปัจจุบันก็ผิดหมดนั่นแหละ หากใครได้ศึกษาและตรวจสอบตามหลักฐานจนพบว่าสิ่งที่ตนเองมีความคิดเห็นหรือความเข้าใจที่ผิด ก็ให้รีบเร่งแก้ไขความเห็นผิดนั้น เพราะการแก้ตัวไม่ได้ช่วยให้ความเห็นผิดนั้นกลับเป็นถูกได้ แม้จะเถียงชนะโลก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะชนะมารและพ้นจากความเห็นผิดไปได้
6.5.2560
ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์
ผู้ให้บริการ – การเข้าคิว
เมื่อวานผมไปซื้อของที่ตลาดติดแอร์แห่งหนึ่ง ของที่ซื้อก็เป็นพวกผักที่ต้องชั่งน้ำหนัก ซึ่งผมก็เดินไปต่อคิวตามที่ควรจะเป็น
ลักษณะของพื้นที่นั้นเป็นหัวมุม ทุกคนสามารถเข้าถึงผู้ให้บริการได้หลายทิศทาง ตอนที่ต่อคิวอยู่และกำลังจะถึงคิวชั่งน้ำหนักของผม คนที่มาต่อข้าง ๆ ก็ยื่นถุงนำหน้ามา
ในจังหวะที่ผู้ให้บริการ ชั่งน้ำหนักให้คนก่อนหน้าผมเสร็จ เขาก็หันมาดู ของที่ถูกยื่นนำหน้าผมมา และหันมามองของในมือผมที่กำลังจะยื่นให้
ผมไม่ได้ยื่นของแข่งกับเขา แม้ว่าเขาจะพยายามยื่นให้ใกล้เครื่องชั่งที่สุด ผมก็ยื่นให้เท่าที่ผมสบายนั่นแหละ เพราะไม่ว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็เป็นสิ่งจริงตามกรรมที่ควรจะเป็น ผู้ให้บริการจะเลือกของผมก็ได้ หรือจะเลือกของคนที่ยื่นมาจากข้าง ๆ ผมก็ได้ เพราะลักษณะมันเป็นหัวมุม ไม่ชัดเจนว่าแถวอยู่ตรงไหน
แว่บหนึ่งที่ผมรู้สึกถึงลักษณะที่บ่งบอกถึงความลังเลของผู้ให้บริการ แต่สุดท้ายแล้วผู้ให้บริการก็หยิบถุงผักในมือผมไป หลังจากนั้นผมจึงค่อย ๆ วางผักอื่น ๆ ลงบนโต๊ะตามลำดับ เพื่อให้การชั่งน้ำหนักรวดเร็วขึ้น เสร็จแล้วผมก็เดินออกมาโดยไม่ได้สนใจคนข้างหลัง ไม่ใช่เพราะว่าผมได้รับบริการก่อน แต่ผมเพราะผมไม่ได้สนใจแต่แรกอยู่แล้ว
….
มันก็เป็นเรื่องเล็กๆ แต่เชื่อไหมว่า คนเราโกรธกันทุกวันนี้ก็เพราะเรื่องเล็กๆ แค่นี้แหละ ไม่ว่าจะแซงคิวกัน ขับรถปาดกัน สารพัดการเอาเปรียบกัน หลากหลายลีลาที่จะทำให้เราขุ่นเคืองใจ
หากเราหัดสังเกตุเรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้ มันมีความจริงเกี่ยวกับผลของกรรมให้ศึกษาอยู่ นั่นคือกรรมที่เราทำมา เราต้องได้รับแน่นอน การที่ผมวางใจได้นั้น เพราะผมระลึกเสมอว่า ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหนผมก็จะทำความเข้าใจและยอมรับให้ได้ว่า สิ่งเหล่านั้นเราเคยทำมาทั้งหมด
ผมไม่ได้เอาความเหมาะสม, ความถูกต้อง, มารยาท หรืออะไรทั้งสิ้นมาเป็นที่ตั้ง แต่เอาผลของกรรมเป็นที่สุด หากเราไม่ปล่อยใจไปตามความโลภ โกรธ หลง สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็เป็นสิ่งที่จริงที่สุด ที่สมควรจะเป็นแล้ว แม้ว่าผู้ให้บริการจะเลือกรับของจากคนข้างหลังผมก็ตามที
สาย8 ในความทรงจำ…ที่กำลังจะเปลี่ยนไป

สาย8 ในความทรงจำ…ที่กำลังจะเปลี่ยนไป
สาย8 ในทีนี้ก็คือรถเมล์ สาย 8 ที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยกันดี ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เกิดและโตอยู่ ณ จุดหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่ต้องใช้บริการของรถเมล์สาย 8 เป็นประจำ
ที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนโต สาย 8 ในความทรงจำของผมคือ “ความหวาดเสียว” เพราะด้วยลีลาการขับรถชองพวกเขานั้นมักจะทำให้ผมรู้สึกตื่นตัวมีสติอยู่เสมอ และในบางครั้งที่ผมได้นั่งหลังคนขับ ก็มีบางคราวที่คนขับรถเมล์สาย 8 ไม่พอใจกับรถเมล์สายอื่นแล้วขับปาดกันไปกันมา ถึงกับช่วยให้ผมได้เจริญมรณสติกันเลยทีเดียว
สรุปว่าสาย 8 ในความทรงจำของผมมันก็ไปในทางลบนั่นแหละ แต่ก็ต้องใช้บริการกันไปด้วยความจำเป็น ถ้าไม่รีบก็จะไม่เลือก ซึ่งเรื่องที่จะเล่าในตอนนี้ก็คือเรื่องในวันก่อนที่แม้ไม่รีบ แต่ก็ยังเลือก
…..ผมรอรถเมล์อยู่ตั้งแต่เช้า คิดว่าจะนั่งสาย 145 หรือ 96 ไปยังจุดหมายเพราะเดินต่อไม่ไกล แต่รอไปก็ไม่มีมาสักคัน สาย 8 ก็ผ่านมาแล้วคันสองคัน จนมาถึงสาย 8 คันที่ 3 คันนี้ไม่มีคนโบกหรอก คนลงก็ไม่มี แต่ก็มาจอดหน้าผม เขาก็ไม่ได้เรียกหรอกนะ แต่เห็นเขาจอดเราก็รู้สึก เออ…ขึ้นก็ได้ เพราะจริงๆ สาย 8 ก็ไปได้เหมือนกัน แค่เดินต่อไกลกว่าสายอื่นๆ นิดหน่อย
ขึ้นไปก็ไปนั่งเบาะเดี่ยวใกล้ๆ หลังรถ ในรถคนไม่เยอะมาก พนักงานเก็บเงินก็เดินมาเก็บเงินตามปกติ พอผมยื่นเงินออกไปเขาก็ยกมือไหว้ ซึ่งผมก็ตะลึงนิดๆ คิดว่า โอ้โห! สาย 8 พัฒนาบริการแบบใหม่หรือนี่ เราอาจจะเคยเห็นในห้างหรือที่ไหนๆจนชิน แต่ในสาย 8 นี่เป็นเรื่องที่ผมไม่ชินจริงๆ แต่พอดูไปดูมา เขาก็ไม่ได้ไหว้คนอื่นนี่ อาจจะเพราะเราแต่งตัวเหมือนหรือไปคล้ายๆ กับคนที่เขาเคารพก็ได้นะ เรื่องนี้ก็ยกไว้ เพราะไม่รู้เหตุ
นั่งต่อไปก็มีหญิงแก่คนหนึ่งขึ้นรถมา พนักงานเก็บเงินก็เข้าไปช่วยประคองขึ้นรถอย่างนุ่มนวลประดุจบริการญาติผู้ใหญ่ เป็นภาพที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นในขณะที่นั่งรถเมล์ สาย 8 เช่นกัน ต่อมาก็มีจังหวะที่คนขับรถ เข้าจอดป้ายแล้วเบรกแรง ทำให้เบาะยาวหลังรถที่ไม่มีคนนั่งพับลงมา ซึ่งตอนแรกผมก็ยังไม่เห็น แต่เห็นเพราะพนักงานเก็บเงินนั้นเดินมาไหว้ผมอีกรอบ แล้วเดินเลยไปยกเบาะขึ้นแล้วก็เดินกลับไปหน้ารถพร้อมยกมือไหว้เชิงขอโทษผู้โดยสารแบบรวมๆ
ผมก็เห็นว่า พนักงานหนุ่มคนนี้แม้ดูภายนอกจะออกไปทางเกเรนิดๆ อาจจะด้วยภาพของสาย 8 ที่ผมเคยยึดไว้หรืออะไรก็ตาม แต่สิ่งที่เขาแสดงออกนั้นนุ่มนวลกว่าที่เห็นภายนอกมากนัก ผมเริ่มทบทวนอคติลำเอียงที่ผมมีต่อสาย 8 ว่าผมเหมาเกินไปไหม ผมรีบตัดสินไปไหม ทั้งดีและไม่ดีนั้นจะอยู่ยั่งยืนอย่างนั้นจริงหรือ…
สักพักหนึ่งรถเมล์ก็เข้าโค้งอย่างแรง ซึ่งถ้าตามค่ามาตรฐานของสาย 8 การเค้าโค้งอย่างที่ผมว่านี้ถือเป็นเรื่องปกติของเขา แต่ผมก็ยังนึกอยู่ในใจว่า เข้าโค้งแบบนี้มันก็ไม่ค่อยปลอดภัยนะ แต่พอเขาขับไปอีกนิดหนึ่งในจังหวะที่รถจะต้องแทรกเข้าไปในทางหลัก แทนที่เขาจะขับพรวดพราดออกไป เขากลับรอที่จะออกช้าๆ ทั้งที่ผมก็มองแล้วว่ารถที่ขับมาทางหลักก็ไม่ได้เยอะมากมาย
ซึ่งสิ่งที่เขาทำนั้น ทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนความเข้าใจของตนเองว่าผมกำลังเอาแต่ใจเกินไปรึเปล่า อยากให้มันดีอย่างใจ ให้มันปลอดภัยตามมาตรฐานของเรารึเปล่า เพราะจริงๆ เขาก็ขับอย่างปลอดภัยในมุมที่เขาคิดว่าปลอดภัย ซึ่งมันก็ปลอดภัยจริงๆ คือภัยมันยังไม่เกิด พอไม่เกิดเขาก็อาจจะยังไม่ได้เรียนรู้การปรับบางอย่างให้ละมุนละไมในบางมุม ซึ่งในวันหนึ่งเขาก็จะค่อยๆ ปรับไปเรื่อยๆ ว่าอย่างไหนปลอดภัย อย่างไหนไม่ปลอดภัย เพราะแท้จริงแล้วไม่มีใครอยากใช้ชีวิตบนความไม่ปลอดภัยหรอก ก็คงมีแต่เรานั่นแหละ ที่อยากให้ทุกอย่าง “ดี” ตามที่ใจเราหมาย อยากให้บางจังหวะมันปลอดภัยอย่างใจเรา และอยากให้บางจังหวะมันไวอย่างใจเรา มันก็อยากไปเรื่อยตามความเห็นที่เรายึดว่าดีเหมือนกัน
เมื่อถึงป้ายที่ต้องลง ผมลงรถพร้อมรอยยิ้มส่งจากพนักงานเก็บเงิน ซึ่งในขณะที่ผมเดินต่อไปยังที่หมาย ก็ได้ใช้โอกาสนั้นทบทวนตนเองซ้ำอีกทีว่า เราจะยึดติดกับภาพใหม่นี้รึเปล่า ภาพของวันนี้มันก็เป็นเพียงแค่ในวันนี้ มันก็ดีเท่านี้ ดีกว่านี้ยังไม่เกิด แย่กว่านี้ก็ยังไม่เกิด ดีเก่าก็ผ่านพ้นไป อะไรที่มันไม่ดีก็ผ่านพ้นไป
ผมกำลังต่อสู้กับ “ความยึดมั่นถือมั่น” ในความทรงจำหรือสัญญาที่ผมมี ในลำดับแรกนั้นต้องทำลายความยึดมั่นถือมั่นเดิมก่อน ว่าสิ่งนั้นต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ตามที่เรายึดไว้ คือ เราจะไม่เอนเอียงไปทางอคติจนมองข้ามความจริงตามความเป็นจริงว่าครั้งนี้เขาก็ดีตามที่เขาเป็นจริงๆ และหลังจากนั้นคือไม่สร้างความยึดใหม่ขึ้นมา คือ เราจะไม่ลำเอียง เพราะเห็นว่าครั้งนี้เขาดีอย่างใจเรา แล้วมันจะดีไปตลอด เพราะความเป็นจริงก็คือ เขาดีดังใจเราแค่ครั้งนี้เท่านั้น ครั้งหน้าอาจจะไม่มีก็ได้ ถ้าเราเกิดความลำเอียง ฝังไว้ในใจว่ามันต้องดีอย่างนี้ทุกครั้ง เราก็จะต้องทุกข์จากความผิดหวัง เพราะวางความคาดหวังให้เกิดดีแล้วไม่ดีดังใจหมายไม่ได้
ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันหนึ่ง เป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ที่ได้เก็บเกี่ยวและสังเคราะห์ประสบการณ์ใหม่ๆ จากการศึกษาธรรมะ
– – – – – – – – – – – – – – –
12.4.2559

