เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก

November 19, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,632 views 0

(อ้างถึง : วีดีโอทำคลอดหญิงชาวเอเซีย )

การเกิดเป็นผู้หญิง มีความลำบากมากกว่าชายที่ชัดเจน 5 ประการ สองในนั้นคือต้องเป็นฝ่ายอุ้มท้องและคลอดลูก

ผู้หญิงที่ไม่พึ่งตน ไม่พยายามประพฤติตนเป็นโสด มุ่งแต่จะหาคู่ ฝากฝังชีวิตไว้กับผู้ชาย ใช้ความงามและมารยามัดใจชาย บำเรอชายเหล่านั้นด้วยการสมสู่ ใช้บุตรเป็นเครื่องผูกชายนั้นไว้ ยากนักที่จะหลุดพ้นจากการเกิดเป็นหญิง (ศึกษาเพิ่มได้ใน สังโยคสูตร พระไตรปิฎกเล่ม ๒๓ ข้อ ๔๘)

ถึงจะประพฤติตนเป็นโสดก็ยังเหลือทุกข์ที่มากกว่าชายอยู่ข้อหนึ่ง คือต้องมีประจำเดือน แล้วจะแสวงหาทุกข์ไปทำไม มันไปเสพไปสุขตรงไหนในภพของความเป็นหญิง ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นล้วนไม่จีรัง

ก็แล้วแต่ว่าใครจะตั้งจิตไว้แบบไหนนะ ใครเห็นว่าการเกิดเป็นหญิงเป็นสุขก็ศึกษากันต่อไป มีเวลาอีกหลายภพหลายชาติ

คงจะไม่สรุปว่าผู้ชายสบายกว่าหรอกนะ แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีทุกข์ของหญิง 5 ประการ

1.หญิงสาวไปสู่ตระกูลสามี ย่อมพรากจากญาติของตน
2.หญิงย่อมมีระดู (ประจำเดือน)
3.หญิงย่อมมีครรภ์
4.หญิงย่อมคลอดบุตร
5.หญิงย่อมบำเรอชาย

(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๘ “อาเวณิกสูตร” ข้อ ๔๖๒-๔๖๖)

การดูดวงเป็นการเดา

November 19, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,141 views 0

การดูดวง“เป็นการเดาผลของกรรมในอนาคต

1. การเดาใจ ทายใจ หรือเดาอะไรก็ตาม ศาสนาพุทธไม่สรรเสริญเรื่องพวกนี้

2. ผลของกรรม เป็นเรื่องอจินไตย คิดไปก็ปวดหัว เดาไม่ได้ ไม่ควรคิด ไม่ใช่เรื่องสถิติ

3. การเชื่อเพราะเขาเป็นหมอดูหรือเกจิอาจารย์คนดัง มีชื่อเสียง น่าเคารพ ผิดกาลามสูตรเต็มๆ

4. นักหลอกลวงมักพูดเพ้อเจ้อ พูดเลื่อนลอย กลับกลอก ไม่มีหลักฐาน ไม่มีที่อ้าง เป็นไสยศาสตร์ เป็นเวทมนต์ ไม่ชัดเจน ลึกลับ ไม่เหมือนศาสนาพุทธที่ไม่ลึกลับ ธรรมะเป็นสิ่งที่ยินดีให้ผู้สนใจเข้ามาพิสูจน์ความจริงได้เสมอ

5.อนาคตไม่แน่นอน

พุทธศาสนิกชนที่ยังหลงมัวเมากับการดูดวงอยู่ ก็ยังห่างไกลจากการพ้นทุกข์มากนัก และห่างไกลธรรมะด้วยเช่นกัน หากต้องการเจริญในธรรม ให้เลิกหลงงมงายกับสิ่งเหล่านี้เสียก่อน

ผลของกรรมเป็นเรื่องอจินไตย

November 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,094 views 0

อจินไตย หมายถึง สิ่งที่ไม่ควรคิด คิดไปก็ไม่สามารถเข้าใจได้โดยสามัญ คิดมากไปพาลจะเป็นบ้า

เราไม่สามารถคิดหรือเดาได้ว่า “ผลของกรรม” ของเราหรือใครจะออกมาเป็นแบบไหนอย่างไร ไม่สามารถบอกได้ว่าเขาจะเจออะไร ต้องป้องกันแบบไหน ต้องแก้อย่างไร จึงจะหักลบกันได้พอดี

เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าผลของกรรมนั้นจะแสดงผลออกมาอย่างไร ตอนไหน ที่ใด แบบใด กับใคร ฯลฯ และเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากรรมดีกรรมชั่วที่เคยทำมานั้นมีปริมาณสะสมไว้มากเท่าไหร่อย่างไร

ดังนั้นการที่จะพยายามเดาหรือคิดเอาว่า ผลของกรรมจะออกมาเป็นแบบนั้นแบบนี้ ฉากนั้นเหตุการณ์นี้ จึงเป็นเรื่องไร้สาระ

เรารู้ได้แค่เพียงว่าเมื่อทำดี ก็จะต้องได้รับผลกรรมที่ดี และเมื่อทำชั่วก็จะต้องได้รับผลกรรมที่ชั่ว อย่างยุติธรรม

ซึ่งเราจะรู้ได้เองว่าเราทำกรรมอะไรมาเมื่อได้รับผลของกรรมนั้นไปแล้ว เพราะสิ่งที่เราได้รับ คือสิ่งที่สะท้อนความดีความชั่วที่เราทำมาในชาตินี้และชาติก่อนๆนั่นเอง

ปฏิบัติธรรมในปัจจุบัน

November 15, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,053 views 0

สัญญาของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ จะเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมนั้นต้องนั่งสมาธิบ้าง เดินจงกรมบ้าง ไปวัดบ้าง

แม้จะเป็นความเห็นที่เอ่ยเอ้งว่า “ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน” ก็กลายเป็นการประยุกต์การนั่งสมาธิ การเดินจงกรมเข้ามาใช้อีก

ซึ่งมันแคบมากเมื่อเทียบกับองค์ประกอบทั้งหมดของมรรค ๘ และที่สำคัญ มันจะมีน้ำหนักไปทางลัทธิฤๅษีเสียด้วยซ้ำ

ซึ่งสัมมาอริยมรรคนั้นมีองค์ประกอบของการ คิด พูด ทำ ที่ถูกต้องอยู่ในปัจจุบัน

….แต่กลับไปปฏิบัติหยุดคิด ปิดวาจา นั่งนิ่งๆไม่ทำอะไร มันก็ผิดทางมรรคสิ ทำแบบนั้นมันก็สงบได้จริง แต่มันสงบแบบสมถะ ซึ่งเป็นทางของฤๅษีทั่วๆไปนั่นแหละ อย่างเก่งก็กดข่มเป็นฤๅษีสุดสงบ ไม่เสพกาม น่าศรัทธา ซึ่งมันก็มีรูปที่มองผ่านๆแล้วน่าเคารพอยู่ แต่มันผิดพุทธเท่านั้นเอง

ยิ่งถ้านักบวชไปเห็นผิด เอาความสงบแบบสมถะมาเป็นมรรคเป็นผลนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย กลายเป็นฤๅษีในผ้าเหลืองนั่นแหละ

ถ้าเริ่มต้นด้วยมิจฉามรรค ก็จะได้ผลเป็นมิจฉาผลตามกันด้วย เหตุแห่งความเสื่อมนั้นเกิดจากการไม่คบหาสัตบุรุษ ไม่ศึกษาในอธิศีล แล้วดันไปยึดมั่นถือมั่นในมิจฉาทิฏฐิ

…ปิดประตูไปอีกชาติ