อาการดูดดึง (เรื่องความรัก)

March 13, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 956 views 0

ก็มีคนเขามาเล่าว่า เจอคนที่มีอาการดูดดึง แต่จากที่เล่า เขาก็ไม่ชัดในอาการของตนเองสักเท่าไหร่นัก ซึ่งตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดได้กับผู้ประพฤติตนเป็นโสดมือใหม่ทุกคน

เมื่อเราตั้งใจแล้วว่าจะเป็นโสด ก็เหมือนเริ่มเกมตำรวจจับผู้ร้าย ทีนี้เราก็ต้องจับโจรให้ได้ จะจับได้ก็ต้องใช้สติ เพราะโจรมันทั้งไว ทั้งพรางตัว ถ้าสติเราไม่แกร่ง ไม่แม่น เราจะจับโจรหรืออาการเหล่านั้นได้ไม่ชัด

จะย่อสติปัฏฐาน 4 ที่เป็นเครื่องมือปฏฺิบัติในการตรวจจับกิเลสสั้น ๆ ให้พอเข้าใจกัน

กายในกาย – มีสติรู้อาการที่เปลี่ยนแปลงไป ที่เกิดขึ้นในร่างกาย เช่น หัวใจเต้นแรง , หันไปมองบ่อย , ประหม่า ฯลฯ

เวทนาในเวทนา – มีสติจับอาการสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ที่เกิดขึ้น มันจะมีไป 3 ทาง ถ้าเราเจอคนที่ชอบ มันก็จะสุข ก็ต้องจับทางให้ได้

จิตในจิต – มีสติจับตัวตนของกิเลส ว่าที่เกิดสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์นั้น ๆ เกิดเพราะเรามีความเห็นอย่างไร เราเห็นผิดอย่างไร (มิจฉาทิฏฐิ) ประเด็นไหน มุมไหน

ธรรมในธรรม – มีสติรู้ว่าจะต้องใช้ธรรมหมวดไหน ข้อไหน ประโยคไหน มาแก้สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น เมื่อเห็นว่าคนคนนั้นดี เป็นของน่าได้น่ามี เราก็ใช้ธรรมของพระพุทธเจ้าว่า เป็นลาภเลว ไม่น่าได้ ไม่พาพ้นทุกข์ ไม่ประเสริฐ เป็นต้น

ธรรมในธรรมนี้จะเป็นลักษณะของการสอนใจ หรือการดัดจริต จากมิจฉา(ผิด) ให้เป็นสัมมา(ถูก) ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีครูบาอาจารย์และมิตรดีสหายดีที่มีธรรมในเรื่องนั้น ๆ ช่วยเป็นมาตรฐาน หรือกรอบของความดีให้ปฏิบัติตามได้

… เมื่อเราจับอาการได้ บางครั้งเราอาจจะประมาณตัวเองไม่ถูก ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะแก้ไขเหตุการณ์ตรงหน้ายังไง ก็ให้ประเมินไว้ก่อนเลยว่า “สู้ไปก็แพ้แน่นอน” ดังนั้นการหนีจึงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม

หนี แล้วห่างไว้ คือห่างจากสิ่งที่ทำให้ต้องกังวลและหวั่นไหว ในเมื่อเรายังไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับโจทย์นั้น เราก็ควรจะเลี่ยงออกมาก่อน แล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมในเรื่องที่พอจะทำไหว สะสมกำลัง สะสมชัยชนะไปเรื่อย ๆ จะแกร่งขึ้น อินทรีย์พละจะสูงขึ้นจากการล้างกิเลสได้เป็นเรื่อง ๆ โดยลำดับ

ถ้ากำลังสติแกร่ง ๆ จะจับอาการได้ก่อนที่คอจะหันไปมอง ก่อนจะกลอกลูกตาไปดู จะจับความรู้สึกอยากจะเสพในใจได้ รู้ว่าอยากเป็นสุข ได้มองแล้วจะเป็นสุข เพราะหลงใน ? ของเขา แล้วใช้ธรรมมากำราบความกำเริบของกิเลสได้ทันที สู้วนไปแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ตัดกำลังกิเลสไปเรื่อย ๆ เท่าที่จะทำได้ ความเด็ดขาดจะขึ้นอยู่กับปัญญา (ความรู้จริงในโทษภัยของกิเลส) ไม่ใช่ความรู้ (ความจำตามที่เรียนมา) บางทีรู้มากแต่รู้ไม่ทันกิเลสก็มี ถึงเวลาที่กระทบควักความรู้ออกมาแทบไม่ทัน เผลอ ๆ เจอเขายิ้มให้ ความรู้หล่นกระจายหมด สติแตกกระเจิง แพ้ไปได้อีก

สภาวะดูดดึง รู้สึกแปลก รู้สึกพิเศษเหล่านี้ จริง ๆ มันก็ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก รู้แค่ว่าให้ระวังไว้ พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้กล่าวไว้ว่า “เจอปุ๊ปรักปั๊บนั่นแหละตัวเวร

คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ ไปล่อลวงใครมาก็หลายคนและซ้ำซากมาหลายต่อหลายชาติ ดังนั้น ถ้ามันจะมีสัญญาณว่า “เริ่มต้นยกที่ 1” มันก็ไม่แปลกอะไร อย่าไปให้ความสำคัญ มันเป็นเรื่องธรรมดา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป อย่าไปติดในใจ อย่าไปยึดไว้ ปล่อยเขาไปตามเวรตามกรรมของเขา เหมือนที่โบราณเขาว่า ได้ยินเสียงเรียกอะไรกลางค่ำกลางคืน อยากไปทักกลับ อาการพวกนี้ก็เช่นกัน อย่าไปหาสาระอะไรกับมันมาก ไปสนใจ ไปใส่ใจ เดี๋ยวของจะเข้าตัว เดี๋ยวไปรับเขาเข้ามาในชีวิตแล้วมันจะยุ่ง

ถ้าเราไม่ชัดเจนว่าจะรับมือไหว ทำเฉย ๆ ห่าง ๆ ไว้จะดีกว่า ที่เหลือคือจะเผลอเอาตัวเองไปคลุกกับเขาเหมือนก่อนรึเปล่าเท่านั้นเอง ไปหลงงมงายอีกชาติรึเปล่า มันก็ต้องใช้ความอดทนเหมือนกัน เพราะบางคนเขาก็ตามจีบเป็นสิบ ๆ ปี การประพฤติตนเป็นโสดก็ยากตรงนี้แหละ ตรงที่เจ้ากรรมนายเวรเขาขยันมาคอยทวงหนี้บาปที่เราได้ก่อไว้

พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบ กามราคะเหมือนเป็นหนี้ ถ้าเรายังมีความอยากมีคู่ เราก็จะต้องจ่ายหนี้เรื่อยไป ไม่จบไม่สิ้น เพราะเราต้องเอาเขามาเป็นของเรา เอามาเสพ เป็นตัวเป็นตน เราก็ต้องจ่ายหนี้ไปเรื่อย ๆ ทุกข์ไปเรื่อย ๆ เจ็บช้ำไปเรื่อย ๆ

ถ้าใครปลดหนี้ก้อน “คู่ครอง” ได้ ชีวิตก็สบายไปเยอะ จะเหลือหนี้ เหลือกามเรื่องอื่น ๆ มันจะเบาลงมา ก็ใช่ว่าไม่เป็นภัย เพียงแต่หนี้มันน้อยลง ก็จ่ายดอกเบาลง มันก็คล่องตัวขึ้น

ใครอยากมีชีวิตหนี้ จ่ายไม่จบไม่สิ้นก็ไม่ต้องปฏิบัติตนเป็นโสด ปล่อยไหลไปตามโลก ไปตามกิเลส เดี๋ยวก็มีเจ้าหนี้มาทวงในวันใดวันหนึ่งเอง แล้วเขาก็ไม่ได้ทวงอย่างสุภาพหรอกนะ เขาทวงกันอย่างมาเฟีย อย่างอันธพาล ไปดูเถอะ ความทุกข์ในชีวิตคู่หนักขนาดไหน เจ็บ แค้น อาฆาต ทำร้าย ฆ่ากันตาย ก็เริ่มต้นจากเหตุแห่งความหลงในรสรักทั้งสิ้น

ยอดนักรบ (ในเรื่องความรัก)

March 12, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 703 views 0

บทความก่อนหน้านี้ [กรณีศึกษา สารภาพบาป (เรื่องความรัก)] ได้ยกว่าคนที่พลาดไปหลงรักแล้วรอดมาได้ก็เหมือนนักรบที่เอาตัวรอดมาได้ แต่ก็มีบาดแผลหนัก

การแพ้มันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะถ้าจะชนะกิเลสกันจริง ๆ มันก็ชนะกันได้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ นอกนั้นที่ว่าชนะโดยลำดับ ก็เหมือนกับหลบดาบของกิเลสได้บ้าง ฟันสวนกลับไปได้บ้าง แต่กิเลสก็ยังไม่ตาย

โดยปกติแล้ว เราจะต้องเริ่มจากโดนกิเลสยำ แล้วก็ฮึดสู้ขึ้นมาเรื่อย ๆ ไปฝึกวิชากับครูบาอาจารย์บ้าง เรียกเพื่อนมาช่วยบ้าง เราก็จะเริ่มต่อกรกับกิเลสได้มากขึ้นโดยลำดับ หลบหลีกได้ สวนกลับได้

แต่สภาพที่จะเอาชนะได้จริง ๆ นั้น ก็คือชนะแบบสะอาดหมดจดไร้บาดแผล (ใหม่) กิเลสลุกขึ้นมาได้ก็แทงซ้ำ แทงซ้ำ แทงซ้ำ จนมันพอนั่นแหละ

ถ้าจะเปรียบให้เป็นภาคปฏิบัติคือ เถียงไม่มีวันแพ้กิเลสในเรื่องความรัก (เป็นเรื่อง ๆ ตามที่ตนเองปฏิบัติได้) เอามารมาล่อลวงให้หลงรักมากขนาดไหน ตัวใหญ่แค่ไหน คือเอาคนมาหว่านล้อมขนาดไหน พูดจาน่าเชื่อถือแค่ไหน ก็เถียงไม่แพ้

ถ้าปัญญาเต็มรอบจะเถียงไม่มีแพ้ กิเลสจะงัดไม้ไหนมา ก็เถียงชนะกิเลสได้หมด รับได้ ตอบโต้กลับได้ แถมยังอัดกลับไปแรงกว่ากิเลสได้เลย เพราะธรรมะนี่ถ้าเต็มรอบก็ชนะแน่ ๆ อยู่แล้ว เถียงยังไงก็ชนะ (เฉพาะกิเลสตัวเองนะ กิเลสคนอื่นไปเถียงเขาไม่ชนะหรอก)

เหมือนกับประโยคของพระพุทธเจ้าที่ว่า “มาร เรารู้จักเธอแล้ว” มารได้ยินดังนั้นก็หายไปเลย มารก็คือกิเลสนั่นแหละ ความเห็นผิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกก็เช่นกัน

ถ้าเจอสัตบุรุษที่รู้แจ้งธรรมในหมวดนั้น ๆ ไปศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนตาม ก็จะได้วิชา ได้วิทยายุทธ ที่เป็นเหตุให้รบชนะ (ถ้าหลงไปศึกษาจากคนไม่รู้จริง จะรบไม่มีวันชนะ)

กรณีศึกษา สารภาพบาป (เรื่องความรัก)

March 12, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 854 views 0

วันสองวันนี้ ก็มีคนที่เขามาสารภาพบาป 2 เคส ลักษณะคล้าย ๆ กัน ว่าเขาไปตกหลุมรัก ทั้ง ๆ ที่ในตอนแรกก็ดูเหมือนจะยินดีมาในทิศทางอยู่เป็นโสด

ก็เข้าใจเขาอยู่นะ เพราะจริง ๆ “มันยากมาก” สำหรับเรื่องคู่ ที่คนจะฝ่าไปได้ ถ้าไม่มีของเก่าสะสมมาก่อน คำว่าหืดขึ้นคอก็ดูจะเบาเกินไป

แต่ 2 เคสนี้เขาก็รอดกลับมาได้ แบบเหวอะหวะ ถ้าเป็นนักรบก็รอดกลับมาได้แบบเสียแขนเสียขาไปบ้าง คือ ตัดจบไม่สวยเท่าไหร่ แต่ก็ดีมากแล้วที่เอาตัวรอดมาได้ เคสหนึ่งมีกรรมเก่าตัดรอบช่วยเอาไว้ อีกเคสใช้สังฆานุสติ ระลึกถึงครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง กลับใจเอาตัวรอดมาได้

ซึ่งการที่เขาเอามาเล่านี่ เรียกว่าเขาก็มี “หิริ” (ความละอายต่อบาป) อยู่บ้างเหมือนกัน ซึ่งผมก็เคยเจอเคสที่หายไปเลยก็มี คือพอเขาเจอที่ถูกใจ เจอคู่ปุ๊ป ก็เหมือนจะตัดเราออกจากชีวิตไปเลย มารู้ข่าวอีกทีก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว เขาก็ปิดนั่นแหละ ปิดไม่ให้เรารู้ ไม่ให้เราไปเกี่ยวข้องกับเขา เขาก็หวังจะเสพได้โดยไม่มีใครขัดนั่นแหละ พวกนี้ก็มักจะหายแล้วหายลับ เพราะคงไม่กล้าแบกหน้ากลับมาเจอเราหรอก

ในกระบวนการกลุ่มของ แพทย์วิถีธรรม ก็มีการสารภาพบาปต่อหน้าหมู่กลุ่มเช่นกัน ว่าไปทำอะไรมา คิดยังไงถึงทำอย่างนั้น ผมเคยมีช่วงเวลาที่ศึกษาอย่างต่อเนื่องทุกวันกว่า 6 เดือน ซึ่งความต่อเนื่องนี้เอง เราจะได้เห็น “การเคลื่อนไหว” ของจิตที่เปลี่ยนไปของแต่ละคน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่หาศึกษาได้ยาก หากไม่มีเวลาที่ใช้ทำกิจกรรมร่วมกัน

การสารภาพบาป จะทำให้เกิดความเจริญ เพราะเป็นการทบทวนธรรมซ้ำในใจว่าทำไมถึงพลาด และยังเป็นการบอกกล่าวโดยนัยว่าจะไม่ทำอีก ซึ่งการตั้งจิตที่จะแก้ไขส่วนที่พลาดนี่แหละ คือความเจริญ เรียกว่าเจริญโดยลำดับแล้ว

แต่เป้าหมายของการหลุดพ้นจากเรื่องคู่ครองก็คือการอยู่เป็นโสดอย่างผาสุก ดังนั้น จึงยังไม่ควรหยุดที่จะพัฒนาตนเองหากยังไม่ถึงสภาพนั้น

การที่ยังไม่พลาดไปมีคู่ ก็หมายถึงยังมีโอกาสที่จะได้สู้อยู่ มันก็จะมีแพ้มีชนะไปโดยลำดับ แพ้ก็ไม่ใช่ปล่อยให้แพ้ร่วงยาวไปเลย ถ้าเผลอใจชอบเขา ก็อย่าเผลอไปตกลงคบหา ถ้าหลงตกลงคบหา ก็อย่ารีบหลงไปแต่งงาน ถ้าเผลอแต่งงานไปแล้ว ก็อย่าหลงไปมีลูก คนที่ 1 2 3 …

จริง ๆ ในเรื่องความรักนี่มันมีเวลามีโอกาสให้แก้ตัวเยอะ มีจุด check point เยอะ แต่ด้วยตัณหาคือความเร่ง ก็เหมือนคนเขาจะเดินทางจาก กรุงเทพไปถึงเชียงใหม่ด้วยความเร็วแสง อันนั้นก็เป็นธรรมดาของคนไม่มีสติ

การตั้งศีลว่าจะประพฤติตนเป็นโสด จะสร้างโอกาสให้สติได้เตือนเป็นระยะ ที่เจอคนที่ถูกใจ ที่ได้มอง ที่ได้คุย… ถ้าไม่ตั้งใจว่าจะเป็นโสด ก็เหมือนไม่ได้ตั้งเป้าหมาย ไม่ได้เขียนโครงงาน ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุก มันก็จะหลงหลับใหลยาวไปเลย

ก็เหมือนกับคนทั่วไปที่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรมเรื่องนี้นั่นแหละ เขาก็เคลื่อนไปตามแรงเหวี่ยงของโลก แรงของกิเลส คือเจอกัน ชอบกัน คบกัน แต่งงานกัน มีลูกกัน ฯลฯ

สรุป การสารภาพบาปนั้นเป็นการยอมรับว่าสู้ไม่ได้ แต่ก็จะตั้งใจสู้ การไม่สารภาพบาปนั้น …เราก็ไม่รู้ใจเขาเหมือนกัน ส่วนการไม่ได้ตั้งจิตจะประพฤติตนเป็นโสดนั้น นอกจากจะไม่สู้แล้ว ยังไปเป็นทาสมารอีกต่างหาก

ทุกข์จากความรัก คืออาหารของปัญญา

March 11, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 782 views 0

เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม คือข้อธรรมที่เผยแพร่เป็นที่รู้กันโดยมาก เนื้อหาสั้น ๆ เหมือนจะเข้าใจง่าย แต่จริง ๆ เข้าใจได้ยากมาก

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะกิเลสมันจะบังไว้ไม่ให้เห็นธรรม จะมีก็แค่ได้เป็นทุกข์เท่านั้นเอง ถ้าไม่ชีวิตไม่เจอสัตบุรุษ ไม่มีทางเห็นธรรมแล้วพ้นทุกข์ได้เลย

คนทั่วไป เมื่อมีทุกข์จากความรัก เขาจะไม่สามารถย่อยทุกข์นั้นไปเพิ่มเป็นปัญญาได้ เขาทำได้แค่เปลี่ยนทุกข์นั้นเป็นตัณหา

เช่นเขาอกหัก ช้ำรัก เขาก็เอาความทุกข์นั้นแหละ เป็นพลังในการเปลี่ยนตัวเองให้น่าเสพมากขึ้น คือเอาไปเพิ่มกามเพิ่มอัตตา เพื่อที่จะได้เพิ่มกำลังในการล่อลวงหลอกใจคนให้หลงในตัวตนของเขามากขึ้น หรือไม่ก็ไปเพิ่มข้อเรียกร้องในการเลือกคู่ให้มากขึ้น กลัวมากขึ้น กังวลมากขึ้น หวังจะเสพสุขที่มากขึ้นจากความผิดหวังในความรัก

ถ้าไม่ไปเพิ่มฝั่งกาม คือฝั่งหาคู่ยิ่ง ๆ ขึ้น ก็เพิ่มฝั่งอัตตา คือยึดดี ยึดมั่นถือมั่น เกลียดความรัก ชังความรัก เหม็นความรัก เป็นการทรมานตนเองด้วยอัตตา คือจริง ๆ ตัวเองต้องการเสพความรัก แต่มันเจ็บ แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยกดไว้ด้วยความเกลียดชัง ยึดดีถือดี

คนโลกีย์เขาก็ทำได้แค่เท่านี้ ไปได้สองฝั่ง ไม่กามก็อัตตา นรกทั้งสองฝั่ง

ที่ว่าทุกข์จากความรัก คืออาหารของปัญญา นั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีสัมมาทิฏฐิแล้ว เพื่อที่จะใช้ทุกข์นั้นเป็นตัวพิจารณาในการละหน่ายคลายจากความหลงรัก ใช้ทุกข์นั้นเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เห็นความจริงตามความเป็นจริง เข้าใจธรรมะ เข้าใจตามที่ครูบาอาจารย์ เข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ไม่มีรักเลย ไม่ทุกข์เลย คือสภาพจิตเช่นใด

มันจะเป็นปัญญาก็ตรงนี้ ตรงที่ใช้ประโยชน์ให้ถูก คือใช้ทุกข์มาเป็นเครื่องมือในการล้างโลภ โกรธ หลง ถ้าเอาทุกข์ไปใช้เพิ่ม โลภ โกรธ หลง อันนั้นจะกลายเป็นว่าทุกข์คืออาหารของตัณหา

แม้ทุกข์แบบเดียวกัน เกิดเหมือนกัน แต่จิตคนต่างกัน มีความเห็นความเข้าใจต่างกัน ก็จะปฏิบัติต่างกันไป

ดังนั้นเวลาศึกษาธรรมก็ระวังให้ดี ไปเจอคนมิจฉาทิฏฐิเรื่องความรักสอนธรรมนี่จะไปคนละทิศเลย คือไปทิศเพิ่มตัณหา เพิ่มปัญหา เพิ่มทุกข์ เพิ่มความเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น