Tag: โลกธรรม
ไลฟ์โค้ช กับการแสวงหาโลกธรรม
ในยุคนี้เราอาจจะได้ยินคำว่า Influencer หรือ ผู้มีอิทธิพลบนสื่อโซเชียล ซึ่ง Influencer โดยส่วนมากอาจจะไม่ใช่ไลฟ์โค้ช แต่ในความเป็นไลฟ์โค้ช ก็มีองค์ประกอบของ Influencer อยู่ในตัว
สรุปในภาษาง่ายว่า Influencer มีความสามารถในการจูงจมูกคน เช่น โพสรูปของกิน ก็ทำให้คนอยากกินตามได้มาก ให้ความเห็นอะไรก็ทำให้คนคล้อยตามได้มาก แม้จะไม่ได้เรียกตัวเองว่าไลฟ์โค้ช แต่โดยฟังชั่นการทำงานก็มีการเหนี่ยวนำคนไปในจุดใดจุดหนึ่ง แต่จะต่างกันตรงไม่ตั้งตนให้เป็นที่พึ่ง
กรณีของไลฟ์โค้ช โดยส่วนมากนั้นจะชัดเจนว่า ฉันเป็นพี่เลี้ยง ฉันเป็นที่พึ่ง ฉันเป็นผู้ช่วยเธอได้ ซึ่งมีทั้งการให้ข้อมูลโน้มน้าวและความเป็นผู้มีอิทธิพลต่อผู้ศรัทธามากเช่นกัน
ว่ากันตรง ๆ ในโลกที่เต็มไปด้วยกิเลส ใครก็อยากเด่นอยากดัง อยากได้เงินมาก ๆ อยากได้การยอมรับ อยากมีตัวตนในสังคม ดังนั้นไลฟ์โค้ช ที่ไม่ได้ลดกิเลส ไม่มีธรรม จึงหลงไปกับกระแสโลกธรรม แสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และบริวาร
ตามที่ผมได้ศึกษามา ส่วนใหญ่เขาก็จะพยายามสร้างเนื้อหาที่จะจับใจคนดู จับหูคนฟัง แต่ด้วยความรู้หรือวาทะศิลป์ที่มี มันจึงมีข้อจำกัด ดังนั้นการนำความรู้อื่น ความเข้าใจของคนอื่นมาหลอมรวมกับตัวเอง แล้วสื่อสาร จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายและได้ผลดี เหมือนกับไป copy ของดี แล้วมา paste ใส่ตัวเองแล้วนำเสนอยังไงอย่างนั้น เรียกง่าย ๆ ว่า ลอกงานมาขาย
หลายปีก่อน อาจจะมีใครเห็นว่ามีคนคนหนึ่งที่เด่นดังมาจากการนำสารพัดคำคมมาเผยแพร่เป็นของตัวเอง ซึ่งเขาก็เด่นได้อยู่ช่วงหนึ่ง สุดท้ายก็ดับไป เพราะเป็นแค่กระแส ไม่ใช่ความจริง
ยุคนี้ก็มีเหมือนกันที่ไลฟ์โค้ช หลายคนนำธรรมะเข้ามาประยุกต์ นำมาใช้นำเสนอข้อมูลของตน ซึ่งดูเผิน ๆ มันก็ดี ดูน่าศรัทธา เขาก็เอามาใช้เพราะรู้ว่ากลุ่มลูกค้าในไทยส่วนใหญ่เขาศรัทธาศาสนาพุทธ เขาก็เอาหลักการพุทธเนี่ยมานำเสนอ ปรุงแต่งให้ขลุกขลิก ใส่ภาพลักษณ์ตนเองเข้าไป
จริง ๆ ธรรมะมันก็ดีนั่นแหละ แต่ปัญหาคือเจตนาที่จะธรรมนั้นมาใช้ เอามาใช้เพื่ออะไร เอามาใช้เพื่อหากิน แลกเงิน แลกชื่อเสียงหรือไม่ เรื่องนี้ดู ๆ ไปสักพักก็จะชัดขึ้นเรื่อย ๆ บางคนไม่ได้หาเงินจากการรับคำปรึกษา แต่เอาโลกธรรมหรือความเด่นดังไปส่งเสริมสินค้าแบบอื่น หรือแม้กระทั่งเอาธรรมะมาสอนเพื่อเสพความยิ่งใหญ่ของตน อยากให้คนเคารพดั่งเทพเทวดา อยากเป็นคนสำคัญ ทั้งหมดนี้ก็ล้วนไปนรกทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าตรัสถึงหลักตัดสินธรรมวินัย โดยภาพรวมคือเป็นไปเพื่อการคลายจากกิเลส ลดกิเลส ดับกิเลส การจากพราก มักน้อย กล้าจน ใจพอเพียง ยอดขยัน เลี้ยงง่าย ฯลฯ
คือ ใครจะธรรมะมาพูดก็ได้ อันนี้เราห้ามไม่ได้ แต่เราก็ดูได้ว่าที่เขาพูดเขาเสนอ ตัวเขาเป็นไปตามหลักเหล่านี้หรือไม่ เขาน้อมใจคนให้เป็นไปตามหลักเหล่านี้หรือไม่ ไม่ใช่พูดธรรม ยกข้อธรรมมาแสดง แล้วก็ทำตรงกันข้าม พูดธรรมะซะโก้หรู แต่เอามาหาเงิน หาบริวาร อันนี้มันก็ไม่ใช่
ไลฟ์โค้ชบางคนนี่ยิ่งทำไปยิ่งดังก็ยิ่งรวยเอา ๆ มันก็ห่างจากหลักพุทธไปเรื่อย ๆ แม้เขาจะเอาหลักพุทธไปพูดปน แต่ตัวตนเขาไม่ใช่ เขาก็แค่เอาธรรมะไปหากินเท่านั้นเอง
จริง ๆ มันก็เป็นตัวที่บอกอยู่แล้วว่าเขาไม่จริง เขาเป็นไลฟ์โค้ชที่แนะนำไปสู่ความจริงที่พ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะแค่ตัวเขายังเอาตัวไม่รอดเลย หลงเข้าสู่กระแสโลกธรรมแล้วก็หมุนวนลอยไปกับแรงของกระแสคลื่นกิเลสเหล่านั้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ลาภสักการะที่พระเทวทัตมี จะเป็นตัวฆ่าพระเทวทัตเอง ไลฟ์โค้ชที่เห็นผิดก็เช่นกัน ยิ่งเด่น ยิ่งดัง ก็จะเป็นเหตุในการทำลายตัวเองได้เท่านั้น แล้วเราก็จะได้เห็นความจริงที่บิดเบี้ยวชัดเจนยื่งขึ้น
คนพาลบ้าอำนาจ
เห็นหนังสือนิทานชาดกในร้านมือสองแล้วซื้อมาอ่านดู เจอประโยคที่น่าสนใจ
“อันนิสัยสันดานของคนต่ำช้า เมื่อได้มีอำนาจ แม้เพียงนิดน้อยเท่าใดก็ดี ย่อมมีใจฮึกเหิมทะนงตัว ดูถูกดูหมิ่นผู้อื่นด้วยกิริยา ต่าง ๆ นา ๆ คนเช่นนี้ โบราณท่านห้ามมิให้เกี่ยวข้องเกี่ยวดองด้วยแล”
เนื้อหาของชาดกตอนนี้คือ คนใช้ที่รับใช้เจ้านายช่วยเอาสมบัติไปฝังดินไว้ พอเจ้านายตาย ลูกเจ้านายโต เขาก็จะไปขุด แต่คนใช้ไม่ยอมขุด พอเดินถึงจุดหนึ่งก็ด่าทอลูกเจ้านาย เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้ง สุดท้ายก็ขุดตรงที่คนใช้ยืนด่านั่นแหละ มีสมบัติ
ชาดกตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความเมาในโลกธรรมแม้เล็กน้อยก็เอามาอวดเบ่งได้
คนพาลไม่มีอำนาจต้านโลกธรรม จะไหลไปกับโลกธรรม เช่นบางคนมีคนชมนิดหน่อยก็ตัวพอง ได้สวมหัวโขนก็ผยอง สำคัญว่าตนแน่ คือจะมีลักษณะพองตัวไปตามโลกธรรม หรือมากกว่านั้น ไม่เป็นอิสระ เหมือนลูกโป่งใส่น้ำ ก็พองไปตามน้ำ ไม่มีสติกั้น สุดท้ายก็จะระเบิด
สมมุติได้คนชมมา 1 ครั้ง เขาจะปรุงเพิ่มไปอีก 1 1 1 1 1 . . . ไปเรื่อย ๆ ตามที่ตนอยากเสพ คือชมจริงน่ะ 1 ครั้ง แต่ชมตัวเองอีกหลายครั้งเลย กิเลสมันก็โตเพราะจิตมันปรุงต่อนี่แหละ ก็เป็นอาการเมาโลกธรรม
ผมก็จะใช้ตรงนี้สังเกตคนเหมือนกันว่าพองตัวเกินฐานะไหม เช่นไม่ได้มีดีจริงอย่างนั้นหรอก แต่หลงโลกธรรม เขาก็มักจะสำคัญตนผิด พอเราเห็นท่าไม่ดี เราก็ห่างมา ไม่ต้องไปใกล้ ไม่ต้องไปคบหา เพราะคบคนพาลที่เมาโลกธรรม ก็มีแต่จะหาเรื่องมาใส่เรา
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปตามโลก
เกิด ไปตามโลก
แก่ ไปตามโลก
เจ็บ ไปตามโลก
ตาย ไปตามโลก…โลกหมุนไปทางไหนก็ไปทางนั้น
…สังคมเป็นเช่นไรก็เป็นไปตามเขา
…กิเลสจูงไปทางไหนก็ไปตามมัน
…
ในยุคสมัยที่กระแสโลกีย์รุนแรงเช่นนี้ ยากนักที่จะเอาตัวรอด ถึงจะมีโอกาสได้พบธรรมะแต่ก็มักจะประมาท ไม่ศึกษาเล่าเรียน มุ่งเอาแต่เรื่องโลกเป็นที่หมาย
ที่สุดของโลกแล้วยังไง ร่ำรวย มีหน้าที่การงานดี มีคนนับหน้าถือตา เป็นที่ยอมรับ มีความสุข…แล้วยังไง มันสุขอย่างนั้นได้ตลอดไปไหม? มันก็วนเวียนสุขทุกข์ไปตามโลกเขานั่นแหละ
คนที่หลงติดในโลกธรรมก็มัวเมาวนเวียนอยู่กับเรื่องแค่นี้ หลงสุขแล้วติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ แม้จะรับรู้ว่าสิ่งดีกว่านี้ยังมีแต่ก็ไม่เชื่อ รู้นะแต่ไม่เชื่อ ฟังนะแต่ไม่ศรัทธา สนใจนะแต่ไม่พยายามศึกษา
เพราะยึดมั่นถือมั่นว่าสุขที่ตนมีนั่นแหละสุดยอด หลงยึดไปว่าชีวิตเป็นอยู่นั้นดีมากพออยู่แล้ว มีคุณค่ามากพออยู่แล้ว จึงใช้ชีวิตเสพสุขลวงรับทุกข์จริงไปอย่างไม่จบไม่สิ้น
วนเวียนรับสุขและทุกข์เช่นนี้ไปอีกนานแสนนาน…จนกว่าจะมีปัญญาที่มากพอจะเห็นคุณค่าของการไขว่คว้าหาหนทางที่จะออกจากโลกีย์แห่งนี้
…
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน, แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น.”
– – – – – – – – – – – – – – –
11.3.2558
มรณสติ

มรณสติ
การระลึกถึงความตายหรือ “มรณสติ” นั้น คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราไม่ประมาทในการใช้ชีวิต และยังให้ผลเจริญในทางธรรมอย่างมากอีกด้วย
คนส่วนมากใช้อยู่ชีวิตทุกวันนี้ ก็เพื่อแสวงหาความเจริญและความมั่งคั่ง ไม่ว่าจะลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่เกินความจำเป็นของการดำรงชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนบนโลกนั้นเกิดมาเพื่อไขว่คว้าเสมอ และสิ่งหนึ่งที่จะชะลอหรือหยุดความกระหายในการแสวงหาโลกธรรมเหล่านี้ก็คือมรณสติ
การระลึกถึงความตายจะทำให้เราตระหนักได้ว่าทุกอย่างต้องมีจุดสิ้นสุด ซึ่งอาจจะถึงก่อนเวลาที่เราหวังไว้เสมอ โลกธรรมนั้นสนองเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็มอิ่ม เพราะกิเลสนั้นไม่เคยพอ เราไม่สามารถใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อแสวงหาเรื่องทางโลกเหล่านั้นจนพอใจได้
การระลึกถึงความตายจะเข้ามาช่วยหยุดกระแสโลกธรรมเหล่านี้ โดยการสร้างความเห็นความเข้าใจว่า สิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นนั้นไม่เที่ยง เราจะต้องตายในวันใดวันหนึ่ง แบบใดแบบหนึ่ง ที่ใดที่หนึ่งแน่นอน การระลึกนั้นคือการคิดพิจารณาในใจโดยแยบคายว่า หากความตายมาถึงแล้ว ฉันจะเป็นอย่างไร ฉันจะต้องทำอย่างไร คนรอบข้างฉันจะเป็นอย่างไร หน้าที่ของฉันจะเป็นอย่างไรฯลฯ
การพิจารณาถึงความตายบ่อยๆจะทำให้เราคลายความยึดมั่นถือมั่นและสร้างความตระหนักในหน้าที่ เป็นผลที่ทำให้เจริญทั้งในทางโลกและธรรมไปในเวลาเดียวกัน
การระลึกถึงความตาย
1).วันนี้ต้องเดินทาง จะเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไรบ้าง แล้วจะตายได้แบบไหนบ้าง จะต้องสูญเสียหรือพิการอย่างไรบ้าง ถึงเราไม่ประมาทแต่คนอื่นก็สามารถประมาทได้ใช่ไหม? เวลาวิบากกรรมมันมา เราป้องกันไม่ได้ใช่ไหม? แล้วเราจะเตรียมใจรับอย่างไร เราพร้อมจะตายหรือยัง เรามีสิ่งใดที่ควรทำแล้วยังไม่ได้ทำ สิ่งใดที่เป็นสาระสำคัญกับชีวิตของเราจริงๆ หากเรามีเวลาเหลืออยู่เพียงไม่กี่นาที เราจะพูดอะไร กับใคร เพื่ออะไร
2).วันนี้อยู่บ้าน จะเกิดเหตุอย่างไรได้บ้าง ไฟไหม้ ขโมยเข้าบ้าน หรืออุบัติเหตุในบ้านเช่นไฟดูด ตกบันได งูกัด ฯลฯ แล้วเราจะตายท่าไหนได้บ้าง ความตายแบบนี้เรายอมรับมันได้หรือไม่ เราพร้อมหรือยัง
3). วันนี้ขยันทำงานอย่างเต็มที่ คิดฝันว่าอนาคตจะสร้างครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ในอนาคตนั้นจะยังเหลือใครที่จะอยู่กับเราบ้าง พ่อแม่ พี่น้อง คู่ครอง ลูกหลาน ยังจะอยู่กับเราถึงวันนั้นไหม เราพร้อมจะรับไหมหากเขาเหล่านั้นได้จากไปก่อนเวลาที่เราคิดว่าควร
…เวลาวิบากกรรมมันไล่ล่าเรา เราไม่รู้หรอกว่ามันจะส่งผลให้เราตายแบบไหน ความตายนั้นไม่ได้หมายแค่การเสียชีวิต แต่หมายรวมถึงการเสียสภาพในการมีชีวิตแบบเดิมเช่น ต้องกลายเป็นอัมพาต พิการแขนขาขาด คือตายจากสภาพเดิมๆ สูญเสียสิ่งเดิมไปอย่างสิ้นเชิง
เราต้องพลัดพรากจากของรักเป็นเรื่องธรรมดา ความตายจากสิ่งที่รักนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา นั่นหมายถึงสภาพที่สุขใจ พอใจ จะต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นเรื่องธรรมดา วันนี้เราอาจจะทำงานมีเงินใช้และมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ในวันใดวันหนึ่งความสุขเหล่านั้นก็จะต้องจากไปเป็นธรรมดา อาจจะมีหลายปัจจัยเข้ามาเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตเปลี่ยนไป หากเราเองยังไม่สามารถยอมรับความตายในมิติที่กว้างกว่าความตายของชีวิตได้ เราก็จะยังต้องเป็นทุกข์อยู่เรื่อยไป
ผู้ที่ประมาทมักจะคิดว่าตัวเองจะยังไม่ตายจนกว่าจะถึงเวลานั้นเวลานี้ หรืออาจจะไม่ได้คิดถึงความตายเลยด้วยซ้ำ ก็จะแสวงหาไขว่คว้าหาสมบัติ หาสิ่งบันเทิงใจ บำเรอกิเลสตัวเอง แสวงหาสุข จนกระทั่งวันหนึ่งวิบากกรรมส่งผลให้สิ่งเหล่านั้นได้ตายจากเราไป หรือเราตายจากมันไป คือเกิดการพลัดพรากจากกัน ผลก็คือการสูญเสีย ผู้ที่ไม่เคยระลึกถึงความตายเลยก็จะเกิดอาการอกหักอกพัง
แต่ผู้ที่ระลึกถึงความตายทั้งในด้านที่ว่าชีวิตนั้นต้องตายเป็นธรรมดา และในด้านที่ว่าสภาพที่เคยสุขนั้นๆจะต้องตายเป็นธรรมดา จะเข้าใจและเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน จะเห็นคุณค่าของสิ่งที่มี ใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด อยู่กับสิ่งที่ควร ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ไม่แสวงหาหรือไขว่คว้าจนไปทำลายความปกติสุขในชีวิต
– – – – – – – – – – – – – – –
4.2.2558


