Tag: แต่งตัว

ชีวิตฟุ่มเฟือย

January 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,114 views 0

ชีวิตฟุ่มเฟือย

ชีวิตฟุ่มเฟือย

… เมื่อชีวิตที่มีถูกใช้ไปเพื่อสนองกิเลส

ชีวิตในสังคมเมืองปัจจุบันนั้นดูรีบเร่งและกดดัน คงมีไม่น้อยที่ต้องลำบากตั้งแต่เช้า ขึ้นรถสาธารณะที่คนแน่นจนขยับแทบจะไม่ได้ รถติดอยู่นานทั้งที่ลงทุนตื่นเช้า ทำงานอยู่กับความกดดันและน่าเบื่อจนหมดวันก็ต้องหอบชีวิตฝ่ามวลชนผสมรถติดกว่าจะถึงบ้านเพื่อที่จะได้เงินมาดำรงชีวิตและ…สนองกิเลส

เราใช้เงินในการดำรงชีวิตจริงๆไปเท่าไร เราเสียเงินให้กับกิเลสไปเท่าไร หากเราได้ลองทำบัญชีอาจจะพบว่าเรามักจะยินดีเสียเงินให้กับสิ่งฟุ่มเฟือยและไม่จำเป็นในชีวิตมากมาย แน่นอนว่าเรามักจะยอมแลกเงินและความเหนื่อยยากเหล่านั้นไปเพื่อการเสพสุข เรามักจะมีเหตุผลที่ดูดีมากมายในการใช้เงินมาสนองกิเลสตัวเอง เรามักจะปลอบตัวเองว่าไม่ผิดหรอกถ้าฉันจะใช้เงินที่ฉันหามาเพื่อสนองกิเลสของตัวเอง

ชีวิตที่เป็นทาสของกิเลสมันก็ต้องวิ่งวนหาเงิน ทำบาป ทำอกุศลเพื่อไปบำรุงบำเรอกิเลสแบบนี้ เพราะหลงว่าต้องเสพจึงจะเป็นสุข เข้าใจว่าความสุขเกิดได้จากการเสพเท่านั้น กิเลสจะไม่ปล่อยให้เราเข้าใจคำว่า “สุขกว่าเสพ” เป็นเหมือนคำในอุดมคติที่ไม่มีจริง เพราะเห็นกันอยู่เต็มๆตาว่าการกินของที่ชอบ ไปเที่ยวที่ที่อยากไป ได้ของที่ใฝ่ฝันนี่มันรู้สึกสุขอยู่จริงๆ

ความสุขที่ได้รับจากการเสพนั้นเป็นของจริง เกิดขึ้นจริง แต่ไม่ใช่สุขจริง เพราะมันคือ “สุขลวง” เป็นสุขที่กิเลสสร้างขึ้นเพื่อให้เราหลงเสพไปเรื่อยๆ ให้ขยันทำงานหามรุ่งหามค่ำประหยัดอดออมไว้เพื่อสนองกิเลส

เรามาดูลีลาของกิเลสที่สามารถเห็นได้ทั่วไป ซึ่งกลายเป็นเรื่องทั่วไปเสียแล้วหากคนจะยอมรับกิเลสเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แต่กิเลสนั้นทำอะไรกับเราบ้าง ถ้าเราไม่มีกิเลสจะดีอย่างไร ลองมาอ่านกัน

!เนื้อหาหลังจากนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านระมัดระวังความรู้สึกดังเช่นว่า ฉันก็สุขของฉัน, มันเรื่องของฉัน, ความสุขของฉัน, สิทธิของฉัน, คนเราไม่เหมือนกัน, คนอื่นเขาก็ทำกัน, คนเราเกิดมาครั้งเดียวต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม ฯลฯ เพราะความเข้าใจเหล่านี้คือ “กิเลสของฉัน” ทั้งสิ้น ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายระวังอาการกลัวของกิเลส ซึ่งมันจะร้อนตัว ต่อต้าน ไม่ยอมให้เราพิจารณาเรื่องของมัน พึงระวังกันไว้ให้ดี

1). อบายมุข

ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ เหล้า เบียร์ การพนันต่างๆ ล้วนเป็นความอยากที่เป็นภัยมาก ซึ่งจริงๆแล้วชีวิตเราไม่ต้องพึ่งพิงสิ่งเหล่านี้เลย มันไม่จำเป็นเลย แต่เราก็ไปยึดมันมาเป็นของเรา ทำให้ต้องเสียทั้งเงิน เสียเวลา เสียสติ หรือกระทั่งเสียชีวิต เพราะต้องวนเวียนอยู่ในสถานที่และเวลาที่ไม่สมควร

เราใช้เงินจากการทำงานหนักมาเพื่อเสพสิ่งไร้สาระเหล่านี้ นอกจากจะไม่มีประโยชน์ยังเป็นโทษอย่างมาก แต่เรากลับมองแต่ด้านประโยชน์ สูบบุหรี่แล้วโล่ง มีความสุข…แต่คนไม่สูบเขาก็สุขนะ กินเหล้าแล้วสบายใจได้ปลดปล่อย…แต่คนไม่กินเขาก็สบายใจนะ เป็นลักษณะของคนที่ต้องเสพจึงจะเป็นสุข แถมยังหลงไปอีกว่าคนอื่นไม่รู้หรอกว่าสุขเพราะเสพอย่างตนดีอย่างไร กลายเป็นทาสผู้จงรักภักดีต่อกิเลสแม้ว่ามันจะผลาญทรัพย์สิน สุขภาพ เวลา และชีวิตไปก็ตาม

2). สิ่งบันเทิง

การมัวเมาเสพสิ่งบันเทิงนั้นก็เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ไม่ต่างกับอบายมุขเท่าไรนัก เช่นการดูละครน้ำเน่า การดูกีฬา เทศกาลดนตรี ละครเวทีที่นำเสนอเรื่องราวบันเทิงต่างๆ หลงคลั่งไคล้ดารานักแสดง สิ่งเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นในชีวิตเลยสักนิดเดียว ไม่มีสาระอะไร ถึงจะไม่ได้เสพก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นหรือแย่ลง

แต่คนที่หลงมัวเมายึดสิ่งเหล่านี้ไว้จะมีความสุขความทุกข์ไปกับมัน เช่นเชียร์กีฬา พอฝ่ายที่เราเชียร์ทำแต้มได้ก็ดีใจ แต่พอเสียแต้มก็เสียใจ พอเขาทำไม่ถูกใจก็ขุ่นใจ มันหลงเอาตัวไปผูกกับเรื่องเล่นๆแบบนี้ ทั้งหมดนั้นมันเป็นเรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องจริง เขาแข่งกันให้เราดู ให้เราบันเทิง มันเป็นสิ่งบันเทิงใจแบบหนึ่ง เป็นกิเลสแบบหนึ่ง ถึงเขาจะชนะหรือแพ้มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตของเราเลย

ด้วยความที่เราหลงไปยึดมันหนักเข้าจนมัวเมา จึงกลายเป็นการทะเลาะกันระหว่างคนที่ชอบคนละฝ่าย มีการเย้ยหยัน กดดัน ดูถูกกัน ข่มกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลงมัวอย่างมาก จนกระทั่งมีการอวดกัน เอาชนะกัน ทะเลาะกัน ทำร้ายกัน ฆ่ากันก็มีให้เห็นมาแล้ว ซึ่งเป็นความเสียหายที่เกิดจากเรื่องเล่นๆ ไม่มีสาระ จะมีเรื่องเหล่านั้นหรือไม่มีก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตเรา แต่เราก็กิเลสหนา กิเลสเลยพาหาเรื่องเข้าไปเกี่ยวจนได้

3). อาหารการกิน

มีคนมากมายเสียเงินให้กับการกิน กินของเดิมๆก็ไม่พอใจ กิเลสมันไม่ยอม ต้องไปกินของอร่อยที่เขาว่าดีว่ายอด ต่อให้ต่างประเทศก็จะบินตามไปกิน มันหลงในการกินแบบนี้ หลงว่าการติดรสมันสุขมาก จึงยินดีลำบากเอาเงินที่มาจากการทำงานไปสนองกิเลสในเรื่องกิน เริ่มที่จะอยู่เพื่อกิน ไม่ได้กินเพื่ออยู่อีกต่อไป

สิ่งที่เรียกว่า “รสอร่อย” นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คนหลงมัวเมากันมากที่สุด ไม่ว่าจะอาหารหรือเครื่องดื่ม ต่างก็มัวเมาคนด้วยกามคุณ ๕ คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในสมัยนี้ยังไม่พอ ยังล่อเราด้วยโลกธรรม เช่นกินอาหารแพงๆ อาหารหรูๆ อาหารที่คนธรรมดาไม่มีปัญญาจะกิน กลายเป็นคนที่หลงงมงายอยู่กับการกิน ชีวิตมีแต่เรื่องกิน

ทรัพย์ที่หามาก็ไปหมดกับเรื่องกิน ขอให้ได้กินของดี ของที่เขาว่าอร่อย ดูดี มีคุณค่า มีรสนิยม มีประโยชน์ แต่จริงๆจะมีคุณค่าหรือประโยชน์หรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ความอร่อย ดูดีและรสนิยมนี่มันของลวงแน่นอน เป็นกิเลสแท้ๆ

4). ท่องเที่ยว

เป็นที่นิยมของคนในยุคนี้ มักจะเก็บเงินที่ทำงานหามาได้ยากลำบาก แลกกับการไปลำบากที่อื่น เพียงเพื่อจะได้เห็นดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มีหน้าตาต่างไปจากบ้านตัวเอง

บางคนลงทุนไม่มากเที่ยวในประเทศก็ไม่เท่าไหร่ แต่บางคนเที่ยวในประเทศแล้วก็ยังไม่พอใจ มันเสพไม่อิ่ม กิเลสมันบอกไม่ให้พอ มันต้องไปเสพที่บ้านอื่นเมืองอื่นต่อ มันต้องไปที่นั้นที่นี้ กลายเป็นชีวิตเดินตามความฝันของกิเลสไปโดยไม่รู้ตัว เอาเงิน สุขภาพ และความเสี่ยงภัย ไปแลกกับการเสพอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน

หลายคนมีข้ออ้างในการเรียนรู้ชีวิต แน่นอนว่าประโยชน์นี้ก็มีอยู่ แต่การเรียนรู้ชีวิตนั้นสามารถทำได้หลากหลาย สุดท้ายถ้าไล่กันจนจนมุมก็จะสรุปว่าชอบท่องเที่ยว จริงๆมันก็ติดเที่ยวนั่นเอง อยากไปเสพรสเสพเหตุการณ์บางอย่างที่แตกต่างออกไปจากที่ตัวเองเคยเสพ กิเลสมันก็อยากแบบนี้แหละ ต่อให้ไปทั่วโลกมันก็ไม่หยุดหรอกมันจะไปนอกโลกต่อแล้วก็กลับมาเจาะรายละเอียดในโลกต่อ วนเวียนไปมาหาเรื่องเที่ยวอยู่แบบนั้นแหละ

5). แต่งตัว

แต่งตัวนี่เป็นความฟุ่มเฟือยที่เป็นภัยอย่างลับๆ ภัยที่มาในรูปของสิ่งที่ดูดี หลายคนใช้เงินที่หามาทุ่มเทไปกับการทำร่างกายและเครื่องนุ่งห่มให้ดูดี ดูเด่น ดูน่าสนใจ เพราะต้องการสนองทั้งอบายมุข กาม โลกธรรม และอัตตาของตัวเอง มันก็เสพทุกอย่างในเวลาเดียวกันนั่นแหละ ติดกิเลสอยู่หลายเหลี่ยมหลายมุมซึ่งก็คงจะไม่ไขกันทั้งหมดในบทความนี้

แม้ว่าเราจะใช้เงินมากมายในการทำให้เกิดความสวยความหล่อความงามเหล่านั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นประโยชน์กับชีวิต ถึงเราจะมองว่าความงามเหล่านั้นจะทำให้ชีวิตง่าย ทำงานสะดวก มีคนมาคบหา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเหล่านั้นจะดี

เมื่อเราแต่งตัวเพิ่มความงาม นั่นหมายถึงเรากำลังเพิ่มกำลังในการกระตุ้นกิเลสผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราไม่แต่งตัวโป๊ เขาคงไม่มองเรา พอเราแต่งโป๊เข้าหน่อยผู้คนก็เข้ามาจีบเราจนต้อนรับกันไม่ทัน นั่นเพราะเราไปกระตุ้นกิเลสเขา ไปทำให้เขาอยากเสพเรา ทีนี้แล้วยังไง? มันก็มีแต่ผีกิเลส มีแต่คนกิเลสหนาเข้ามาเท่านั้นแหละ ความคิดประมาณว่าเข้ามาเยอะๆแล้วคัดนี่มันใช้ไม่ได้นะ เพราะที่มาทั้งหมดนั่นก็พวกกิเลสหนาทั้งหมดนั่นแหละ เพียงแค่แสดงลีลาต่างกัน บางคนก็แอบไว้ บางคนก็เปิดเผย ใช่ว่าจะรู้กันง่ายๆ แต่ที่รู้ได้คือคนดีเขาไม่เข้ามาใกล้หรอก

สรุปก็คือเราฟุ่มเฟือยแต่งตัว ลงทุนไปเสริมความงาม ทั้งหญิงและชายก็มีมุมความงามในแบบของตัวเอง แต่สุดท้ายก็เหมือนกับการเสียเงิน เสียเวลาไปเพื่อลากสิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิตของตัวเองเท่านั้นเอง

6). การสะสม

การใช้เงินที่มีไปเพื่อการสะสม การได้รับนั้น แม้เป็นสิ่งที่สร้างสุขให้เมื่อได้รู้สึกครอบครอง แต่สุดท้ายจะกลายเป็นทุกข์ที่ขังให้หลงวนอยู่ในทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนกับสิ่งเหล่านั้นไม่จบไม่สิ้น

ไม่ว่าเราจะสะสมตุ๊กตา ของชำร่วย ต้นไม้หายาก รถราคาแพง บ้านหลายหลัง ธุรกิจมากมาย รวมไปถึงลูกและคู่ครอง ฯลฯ การเพิ่มจำนวนของสิ่งที่สะสมหมายถึงเงินที่ต้องจ่ายไปและภาระในการดูแลที่มากขึ้น แต่ด้วยความหลง เราก็จะยินดีแลกเงินกับการครอบครองสิ่งเหล่านั้น ขอแค่ให้เรารู้สึกว่าได้มี ได้ครอบครอง แล้วเราก็จะเป็นสุข

เป็นลักษณะของความโลภ ที่ต้องหามาครอบครองจึงจะเป็นสุข แต่ครอบครองชิ้นเดียวก็ไม่พอ พอได้แล้วก็อยากได้มากขึ้น อยากสะสมมากขึ้น อยากได้สิ่งที่ยอดกว่ามาครอบครอง หลงใหลอารมณ์สุขของการได้ครอบครอง ได้มี ได้อวด แม้จะไม่ได้ประกาศก็แอบภูมิใจอยู่ในตนเอง ที่สามารถครอบครองสิ่งเหล่านี้ได้

และเมื่อสะสมมากภาระก็มากและทุกข์ก็จะมากตามไปด้วย ของเสียก็ต้องมาดูแล ของหายก็ต้องหา กลัวใครเขาจะมาขโมยแย่งเอาไป เป็นภาระเป็นทุกข์ให้กระวนกระวายอยู่ตลอดการสะสมนั่นเอง

7). ลาภยศและชื่อเสียง

สมัยนี้คนก็เอาลาภแลกลาภกันมาก เอาแบบหยาบๆก็การพนัน หวย หุ้นต่างๆ ยศก็ใช้เงินซื้อกันได้ ชื่อเสียงก็ใช้เงินแลกมาได้ แต่เมื่อเราแลกสิ่งเหล่านี้มาด้วยความโลภ แลกมาเพื่อที่เราจะได้เสพในลาภ ยศ สรรเสริญที่มากขึ้น นั่นหมายถึงการสะสมบาปและสร้างอกุศลกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ

ในมุมยศและสรรเสริญนี้ อาจจะไม่เห็นภาพเหล่านี้ในชีวิตประจำวันชัดเจนมากนัก แต่ถ้าลองมองให้ใหญ่ขึ้นเป็นในมุมขององค์กร บริษัท ธุรกิจ การลงทุน การเมืองการปกครองก็จะสามารถเห็นภาพเหล่านี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

การเอาโลกียทรัพย์ไปแลกสิ่งเหล่านี้ก็เป็นธรรมดาของคนกิเลสหนาที่ยังวนอยู่ในเรื่องโลก เมื่อใช้กิเลสเป็นเป้าหมาย แม้ว่าในตอนแรกจะได้เสพสุข แต่ในท้ายที่สุดก็จะทุกข์ และจะทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการใช้ความโลภและอำนาจที่มีเข้าไปแย่งชิงโลกธรรมนั้นหมายถึงการไปเบียดเบียนผู้อื่น ทำให้เกิดการแย่งชิง แข่งขัน ทำร้ายหรือฆ่ากันได้

เมื่อเรามัวเมาไปกับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเหล่านี้ เราก็จะพยายามรักษาและประคองไม่ให้มันเสื่อม ใช้ทรัพยากรและสิ่งที่มีเข้าไปอุดรูรั่วของความเสื่อม แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องเสื่อม เพราะโลกธรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่สลับหมุนวนสับเปลี่ยนขั้วกันอยู่เสมอ

แม้ว่าโลกธรรมที่ได้มาโดยธรรมเช่น เราเป็นคนดีเขาจึงให้ ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ก็ไม่ได้หมายความสิ่งที่ได้มาโดยธรรมเหล่านี้จะไม่เสื่อมไป แม้เราจะไม่ได้หามาแต่ถ้าเรายึดติดและเสพสุขกับสิ่งเหล่านี้ มันก็จะทำให้เราแสวงหาในวันใดก็วันหนึ่ง

8). อัตตา

จริงๆแล้วการที่คนเราแสวงหาเงิน ทำงานเหนื่อยยากสุดท้ายก็ใช้เงินเหล่านั้นมาสนองกิเลส ก็คือการสนองอัตตาของตัวเองนั่นแหละ เพราะเรามีตัวตนให้ยึดว่าฉันจะต้องเสพสุขแบบนั้น ฉันจะต้องได้อันนี้ ฉันจะต้องเที่ยวแบบนี้ แต่งตัวแบบนี้ กินแบบนี้ ใช้ชีวิตแบบนี้ มันก็เป็นอัตตาทั้งนั้น

อัตตานั้นยังมีการยึดในหลายระดับ ในระดับหยาบๆคือการยึดวัตถุ คน สัตว์ สิ่งของ ระดับกลางก็ยึดจิตที่ปั้นสุขขึ้นมาเอง หลงว่าเสพสิ่งนั้นแล้วมันจะสุข เช่นรสอร่อย รสสุขตอนเชียร์กีฬา ความสุขเมื่อได้เห็นพระอาทิตย์ยามเช้า เป็นความสุขที่จิตของเราปั้นขึ้นมาลวงเราเอง และในระดับละเอียดที่สุดนั้นจะเป็นการเสพสภาพสุขในอรูปภพ เช่นความมีศักดิ์ศรี เกียรติ ความเชื่อ ความเข้าใจ เช่นเข้าใจว่าคนระดับสูงอย่างเราต้องให้ทิปร้านอาหารเสมอ แบบนี้มันก็เป็นอัตตาที่พาเสียเงินได้แบบโง่ๆเหมือนกัน

สรุป

เมื่อเราเข้าใจว่าเรากำลังใช้ชีวิตของเรา ไม่ใช่ให้กิเลสใช้ชีวิตของเรา เราจึงควรพิจารณากิจกรรมส่วนเกินของชีวิตที่จะสร้างภาระและภัยให้กับตัวเอง

การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้หมายถึงการจะต้องเลิกทำงาน ละเว้นหน้าที่แต่อย่างใด หรือหมายเพียงแค่การที่เราเจียดเวลาเสาร์อาทิตย์ไปทำกุศล เข้าวัด ฟังธรรม ศึกษาธรรม สนทนาธรรมเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงการใช้ชีวิตไป ทำงานไป ล้างกิเลสไป สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเราก็ค่อยๆลด ค่อยๆเลิกไปตามกำลังที่ทำไหว

ถ้าเราไม่ถูกกิเลสจูง เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินให้กับกิจกรรมสนองกิเลสเหล่านั้น เพราะแม้ไม่ได้เสพก็ยังเป็นสุขอยู่ เพราะสุขที่มีนั้นสุขกว่าเสพ การทำลายกิเลสจะให้ผลเช่นนี้ คือยินดีที่จะไม่เสพด้วยใจที่เป็นสุข อธิบายแบบนี้ก็คงจะงงกันไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องเร้นลับอะไร เพราะเป็นความจริงที่ปฏิบัติได้จริง ทำได้จริง ไม่ว่าความหลงติดยึดในสิ่งใดก็สามารถชำระล้างได้จริง

เมื่อเราไม่มีกิเลสมาเป็นตัวผลักดัน เราจะใช้ชีวิตอย่างประหยัด มีความสุขเพราะไม่ต้องหาเงินด้วยความโลภ ไม่เอาเงินเป็นเป้าหมาย สามารถเลือกงานได้มากขึ้น ผ่อนคลายมากขึ้น มีเงินเหลือเยอะขึ้น มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น สุขภาพดีขึ้น ชีวิตโดยรวมดีขึ้นเมื่อปราศจากกิเลสไปโดยลำดับ ลดกิเลสได้บ้างก็ลดทุกข์ได้บ้าง ลดกิเลสได้มากก็ทุกข์น้อยมาก ทำลายกิเลสได้หมดเลยก็ไม่ต้องทุกข์จากกิเลสอีกเลย

ในชีวิตที่เราต้องหาเพื่อให้กิเลสกินใช้นี่ยังเรียกว่ามีภาระอยู่มาก แม้จะรู้ว่ากิเลสนั้นสร้างสุขลวงให้เราเสพแต่หลายคนก็กลับยินดีพอใจในรสสุขเพียงแค่นั้น หลงว่าสุขเท่านั้นคือสุขที่เลิศ ทั้งที่จริงมันมีสุขที่มากกว่า มากจนอธิบายไม่ได้

โดยนิยามแล้วเรียกว่า “สุขกว่าเสพ” คือไม่ต้องเสพก็ยังเป็นสุข แถมยังเป็นสุขมากกว่าคนที่ยังเสพ มันเป็นยังไง มันจะดีแค่ไหน มันมีด้วยหรือ โม้หรือเปล่า คิดไปเองรึไม่ ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองปฏิบัติดูเอง เริ่มจากสิ่งหยาบๆเช่นอบายมุข การเที่ยวกลางคืน การท่องเที่ยว ฯลฯ สิ่งที่ทำให้เสียทรัพย์มาก เสียแรงงานมาก เสียเวลามาก เพียงแค่ลดกิเลสเหล่านี้ได้ก็สุขมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าถ้าทำลายกิเลสได้หมดจะสุขขนาดไหน

– – – – – – – – – – – – – – –

18.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน

January 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 90,696 views 14

ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน

ทำไมเขาถึงมาจีบฉัน

… ความจริงที่จะมาอธิบายเหตุผลมากมายร้อยแปดพันเก้าว่าทำไม…เขาถึงมาจีบฉัน

เราอาจจะต้องใช้เวลาเนิ่นนานเป็นเดือนเป็นปีในการทำความเข้าใจว่าทำไมเขาจึงมาจีบฉัน แต่ในบทความนี้จะย่อช่วงเวลาแห่งการหาคำตอบเหล่านั้นไว้ให้เหลือเพียงไม่กี่หน้า เพื่อให้ง่ายต่อการจับประเด็นและรู้เท่ากิเลสที่แอบซ่อนอยู่ภายในลึกๆ ก่อนที่จะพลาดท่าเสียทีให้กับความรักลวงนั้นได้

ในบทความนี้เราจะพูดในมุมของผู้หญิงซึ่งเป็นมุมที่มักจะถูกจีบ ถูกดูแล ถูกเอาใจ เป็นมาตรฐานสากลของไทยที่ใครตั้งไว้ก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าพูดในมุมผู้หญิงก็จะอธิบายให้เห็นภาพได้ชัด ส่วนคุณผู้ชายก็อย่าน้อยใจกันไป ลองอ่านแล้วเปรียบเทียบกันดูได้ เพราะลีลาท่าทางต่างๆของคนที่มาจีบก็เหมือนๆกันนั่นแหละ

เราอาจจะสงสัยว่าทำไมเขาจึงมาจีบ มาทุ่มเท ดูแล เฝ้าเอาใจ ไม่ห่างไปไหน เขาช่างดีแสนดี หลายเดือนหลายปีก็ยังอยู่ เรามีอะไรดีนักหนา ผู้คนตั้งมากมายทำไมต้องเป็นเราหรือเขาคือเจ้าชายที่ขี่ม้าขาวมาเพื่อเรา มาเป็นเนื้อคู่ของเรากันแน่นะ พลังมโน หรือการคิดไปเองนี่มันร้ายยิ่งกว่าร้าย มันปรุงแต่งสิ่งลวงให้เป็นของจริงได้ แต่ก่อนจะมโนกันไปมากกว่า เรามาเข้าเรื่องกันเลย

1). ทำไมเขาจึงมาจีบฉัน

เหตุผลในการมาจีบทางโลกนั้นมีอยู่มากมายยากจะชี้ให้เห็นทั้งหมด แต่ถ้าเราจับต้นสายปลายเหตุดีๆ ค้นไปให้ลึกให้เห็นถึงต้นเหตุที่ผลักดันให้เขามาจีบ เราก็จะสามารถเห็นได้ว่ามีกิเลสอยู่ 4 ระดับหลักที่ผลักดันให้เขามาติดมายึดเรา

1.1).อบายมุข … ความอยากในอบายมุขนี่ก็เช่น พวกกิจกรรมที่พาเสื่อมต่างๆ เป็นนักกินเหล้า นักพนัน ชอบดูละครน้ำเน่า ชอบเที่ยวกลางคืน เกียจคร้านการงาน ติดเล่นเสเพลไปเรื่อย เมื่อเขาเหล่านั้นเจอคนจริตเดียวกัน คือเราก็เป็นคนที่หลงในอบายมุขด้วย จึงชอบพอและมาจีบด้วยเหตุที่ว่าจะได้ใช้ชีวิตไปกับการเสพอบายมุขสนองกิเลสไปด้วยกัน คิดแบบกิเลสท่วมใจว่า แหม.. เราเสพคนเดียวยังสนุกขนาดนี้ ถ้าชวนเธอมาเสพสุขในเรื่องเหล่านี้มันจะสุขขนาดไหน

ในมุมคนเจ้าชู้ เขาเหล่านั้นจะลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในการได้เสพการยอมรับและการสมสู่ จึงตระเวนแจกขนมจีบไปทั่วโดยไม่หวังผล แม้จะเป็นการจีบไปทั่วแต่ก็มักจะเป็นการจีบที่มีผลให้หญิงผู้มีจิตใจอ่อนไหวต่อกิเลสได้พลาดท่าเสียทีมาแล้วนับไม่ถ้วน ดังที่เป็นกรณีศึกษาที่ปรากฏทั่วไปในสังคม

และในมุมที่ตรงไปตรงมาที่สุดของการมาจีบในระดับอบายมุข คือจีบมาเพื่อเป็นที่สนองตัณหา สนองความใคร่ จีบเพื่อจะได้สมสู่ จนมีคำเรียกที่ว่า “รักนิรันดร์ ฟันแล้วทิ้ง”

1.2).กามคุณ … กามนี้เป็นกิเลสในฐานที่คนยึดถืออยากได้อยากมีจนจีบกันในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความสวย หุ่นดี เสียงไพเราะ ตัวหอม ผิวนุ่ม ต่างเป็นที่น่าหลงใหลของชายทั่วไป หญิงที่พรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณ ๕ จึงเหมือนกับดอกไม้ที่มีหมู่ผึ้งมาคอยจ้องจะมาเอาน้ำหวาน เรียกง่ายๆว่าเขาหลงในความงามเขาจึงมาจีบ เพราะเขาอยากได้ความงามของเรามาเสพ มันก็ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนเท่าไหร่

1.3).โลกธรรม … ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขแบบโลกๆ เพราะเรามีสิ่งเหล่านี้ เขาจึงมาจีบเพื่อหวังได้เสพสิ่งเหล่านี้จากเรา เราอาจจะรวย อาจจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานดี อาจจะมีชื่อเสียง อาจจะดูเหมือนบำเรอสุขให้เขาได้ เขาจึงมาจีบเรา แบบว่าอยู่กับคนนี้ก็สบายไปทั้งชีวิต

ในมุมผู้ชายมาจีบเพื่อโลกธรรมอาจจะเห็นได้ไม่มาก แต่ถ้ามองย้อนกลับไปที่ผู้หญิงที่มาจีบหรือจะตกลงใจต่อผู้ชายจะเห็นภาพได้ง่าย เพราะในสังคมไทย ผู้หญิงมักจะต้องตั้งเงื่อนไขไว้ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เช่น “สมัยนี้ไม่มีใครเขากัดก้อนเกลือกินกันแล้ว” หรือไม่ก็ “รักคนดี ชอบคนหล่อ แต่งงานกับคนรวย” คนที่มาจีบเพราะโลกธรรมมันก็แบบนี้ เพราะเขาหวังว่าสุดท้ายแล้วจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขโลกๆ มาสนองให้กับตนจึงพยายามจีบ หรือคอยให้ท่า

1.4). อัตตา … ในมุมของอัตตานี่ล้ำลึกที่สุด เพราะเหตุผลไม่ค่อยชัด ประมาณว่าฉันก็ชอบของฉันแบบนี้ ฉันจะต้องได้คนแบบนี้ ฉันคัดคนแบบนี้มา เธอคือสเปคของฉัน รักตั้งแต่แรกพบอะไรก็ว่ากันไป ในมุมอัตตานี่จะมีในระดับศีลธรรมต่ำก็ได้ จะสูงก็ได้ แต่เนื้อแท้คือต้องการแบบเธอคนนั้นมาสนองอัตตาของฉัน ซึ่งอัตตานี้เองเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและลึกลับที่สุด ถ้าอยากรู้ต้องค่อยพิจารณาขุดค้นหากิเลสซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก

ต้องยอมรับกันจริงๆว่าบางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ผูกพันกันมาหลายภพหลายชาติ มันจะมีอาการดูดดึงกันแปลกๆ ความรู้สึกอยากเสพความสวยความงาม ความรวย ความมีชื่อเสียง หรือการสมสู่มันก็ไม่ได้อยากจะมีมากนักหรอก แต่มันอยากได้คนคนนี้ มันต้องเป็นคนนี้เท่านั้น อันนี้แหละเขาเรียกว่าเจ้ากรรมนายเวร เหตุผลทางโลกนี่จะใช้อธิบายไม่ได้เลย เพราะมันจะอยากได้อยากมีแบบดื้อๆ ไม่ค่อยมีเหตุผล

….สรุปแล้วการที่เขามาจีบนั้นก็มีเพียงภาพกว้างๆเท่านี้ เขาอาจจะอยากเสพหลายอย่างพร้อมกันก็ได้ทั้งกามทั้งโลกธรรม หรืออาจจะเป็นเหลือแค่อัตตาก็ได้ เราก็ใช้ลักษณะของกิเลสเหล่านี้ไปสังเกตเขาแล้วก็ค่อยๆวิเคราะห์ไปตามเหตุปัจจัย

2). จริงๆฉันก็รู้และอยากให้เขามาจีบฉัน

ผู้หญิงหลายคนก็ฉลาดในเรื่องโลก ฉลาดในทางสะสมกิเลส ฉลาดเฉโก รู้อยู่เต็มอกนะ ว่าเขามาจีบเพราะอะไร นอกจากจะรู้แล้วยังไม่อยู่เฉย มักจะคอยกระตุ้นผู้ชายให้มาจีบมากขึ้นด้วยการเร่งกิเลสของเขา

2.1).อบายมุข … พอรู้ว่าผู้ชายติดอบายมุข ติดการสมสู่ก็เข้าไปเร่งกิเลสผู้ชาย แต่งตัวโป๊ ใส่กระโปรงสั้นๆ ใส่เสื้อผ้ารัดรูป เว้านิด เปิดหน่อย เสื้อบางๆ ถ่ายรูปโชว์หน้าอกนิดหนึ่ง ทำหน้าอ้อนๆนิดหน่อย หรือถ้าหลงมัวเมาหนักๆในการยั่วกิเลสก็โป๊ให้เห็นเลย หรือถ้าพูดกันตรงๆก็คือวางแผนให้ท่าอ่อยเหยื่อผู้ชาย สุดท้ายก็หลอกล่อให้เขามาสมสู่กับเรานั่นแหละ อันนี้มันระดับอบาย เป็นนรกแท้ๆ แม้จะมีให้เห็นทั่วไป แต่อย่าไปลองเลย เพราะมันได้แค่สุขลวงแต่เป็นทุกข์แท้ๆ

2.2).กามคุณ …พอรู้ว่าผู้ชายชอบผู้หญิงสวยๆ ก็จะดูแล บำรุงให้ตัวเองดูดี ในระดับกามนี้จะไม่ตกต่ำไปจนโป๊เปลือย แต่จะสวยอยู่ในระดับที่สังคมยอมรับได้ มีการแต่งหน้าทาปากเพื่อให้สวยตามสังคมทั่วไป แต่งตัวให้ดูดีแบบทั่วไป หัดพูดจาให้เสียงไพเราะ ทำตัวให้หอม ทำเนื้อตัวให้เนียนนุ่ม อันนี้ก็อยู่ในขีดของกาม ผู้หญิงจะรู้ตัวและแอบดูแลตัวเองอยู่เพราะลึกๆต้องการให้ใครสักคนมาจีบ

คนที่ติดในกามหลงในกามมากเข้าจะเริ่มต้องการมากขึ้น อยากเสพความงามมากขึ้น เพราะเชื่อว่าถ้าสวยขึ้นงามขึ้นก็จะมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตมากขึ้น ถึงขั้นที่ว่าไปศัลยกรรมตกแต่งร่างกาย ฉีดตรงนั้น ตัดตรงนี้ เพิ่มตรงนั้น ลดตรงนี้ ซึ่งในขีดนี้ก็เรียกได้ว่าเสื่อมถึงขนาดเข้าขีดของอบายมุขแล้ว

ในข้อนี้อาจจะมีความเห็นแย้ง ว่าปกติฉันก็แต่งอยู่แล้ว คนเรานั้นมีกิเลสลีลาหนึ่งที่เรียกว่า “แข่งดีเอาชนะ” ถ้าให้เทียบทั่วไปก็คือการแข่งกันสวยแข่งกันเด่น แต่แข่งกันไปเพื่ออะไรล่ะ? การแข่งนี้เป็นสัญชาติญาณของสัตว์ไม่ใช่ของผู้เจริญแต่อย่างใด สัตว์จะแข่งกันโชว์ความสวยงามเรียกร้องให้เพศตรงข้ามมาสนใจ แต่ถ้าเราคิดว่าเราแต่งไปเพราะความชอบล้วนๆนี่มันเป็นอัตตา มันหลงยึดหลงติดแบบไม่มีเหตุผล มันต่ำยิ่งกว่าสัตว์อีก

2.3).โลกธรรม …ในกิเลสมุมนี้จะขออธิบายในมุมผู้ชายเพื่อให้เห็นภาพชัดกว่า เมื่อเราเห็นว่าผู้หญิงติดโลกธรรม อยากได้อยากมี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แน่นอนว่ามีผู้ชายบางจำพวกสามารถสนองกิเลสด้วยลาภได้อย่างไม่ยากไม่ลำบาก จึงเกิดการเลี้ยงดู บำเรอด้วยลาภ หรือที่เขาเรียกกันว่า “เด็กเสี่ย” อะไรประมาณนั้น เป็นการใช้เงินเข้ามาล่อผู้หญิงขี้โลภให้เข้ามาติดกับ จริงๆแล้วมันก็ต่างพึ่งพาอาศัยกันและกันละนะ ต่างคนก็เสพสมใจในมุมของตัวเอง ใช้คนอื่นสนองกิเลสตัวเองกันไป

2.4). อัตตา …กลับไปในมุมของผู้หญิงเหมือนเดิม แม้ว่าจะเป็นผู้ชายที่มีอัตตามาก มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เป็นตัวของตัวเอง มีอุดมการณ์มาก แต่ก็มักจะต้องพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงคนใดคนหนึ่งอยู่เสมอ เพราะเธอเหล่านั้นวางค่ายกลที่จะสนองอัตตาไว้แล้ว เป็นมารยาที่มีมากกว่าร้อยเล่มเกวียน เป็นการสนองอัตตาจนผู้ชายคนนั้นยอมรับผู้หญิงที่มีมารยาผู้นั้นไว้เป็นหนึ่งในอัตตาของตัวเอง

เมื่อผู้ชายรับเอาผู้หญิงเป็นอัตตาแล้วยังไง? ก็เข้ามาจีบเท่านั้นเอง ผู้หญิงที่วางแผนไว้แต่แรกก็อาจจะเล่นตัวอีกสักเล็กน้อยให้พอดูมีศักดิ์ศรีบ้างเพื่อสนองอัตตาเขาไปอีกที สุดท้ายก็จะจับผู้ชายที่มีอัตตาจัดได้ไม่ยาก

3). ทำไมเขาจึงไม่มาจีบฉันบ้างล่ะ

ก็เพราะเขาคิดว่าผู้หญิงอย่างฉันนั้นไม่สามารถสนองกิเลสของเขาได้ หรือไม่ก็มีคนอื่นที่สนองกิเลสเขาได้มากกว่า เขาจึงไม่จีบฉันยังไงล่ะ หรือจะเรียกได้ว่าฉันไม่ใช่กรรมกิเลสของเขา (ก็ดีแล้ว) หรืออีกนัยหนึ่งคือเราไม่มีกรรมผูกกันมาขนาดนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมาผูกกันอีกครั้ง (ก็ดีแล้ว)

4). จีบแล้วพาให้หลง

เมื่อเขามาจีบแล้วก็มักจะสนองกิเลสเราด้วยความลวง เราไม่สวยก็ว่าเราสวย เราไม่ดีก็ว่าเราดี ทำให้เราเริ่มหลงจนเริ่มมีนิสัยเสีย งอแง เอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์ เพราะไม่ว่าจะทำนิสัยไม่ดีเท่าไหร่ เขาก็ทนได้ เขาก็รับได้ ที่เขาทนได้เพราะเขายอมให้เราตายใจก่อนจะได้เสพสมใจเท่านั้นเอง แต่เวลาเราสร้างนิสัยเสียขึ้นนี่มันเสียแล้วเสียเลย เสียแล้วมันแก้ยาก กิเลสมันขึ้นแล้วมันลงยาก นี่แหละผลของการจีบแล้วทำให้หลงผิด

5). รักจริงหรือ…จึงมาจีบ

เรามักจะเห็นภาพความเพียรพยายาม ดูแลเอาใจใส่ ทำตัวดังพ่อบุญทุ่ม ยากแค่ไหนก็ยอมฝ่า เจ็บปวดแค่ไหนก็ยอมทน ดีแสนดีเหนือใคร ซื่อสัตย์ อดทน ให้อภัย เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของสามีในอนาคต ดังเทพบุตรที่ส่งมาจากฟ้า พร้อมคำมั่นสัญญาว่าจะรักและมั่นคงไปชั่วนิรันดร์

แค่นั้นยังไม่พอ ยังทุ่มเทและบำรุงเราด้วยอบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา กระหน่ำเข้ามาไม่เว้นวัน วันละหลายครั้งสามเวลาหลังอาหาร คำว่ารัก รัก รักนี่ตกเกลื่อนพื้นเรี่ยราดมากมายจนเก็บไม่หมด เฝ้าฝันเฝ้ารอคอย ตามตื้อจนกว่าเธอจะรับรัก อดทนรอหลายเดือน หลายปี หลายสิบปี ทำความดีให้เห็นอย่างไม่ลดละ เธอชอบคนดีฉันก็เข้าวัดฟังธรรมสวดมนต์ เธอชอบเล่นหุ้นฉันก็ศึกษาหุ้นวิเคราะห์หุ้นให้ เธอชอบอะไรฉันก็จะสนองเธออย่างนั้นจนกว่าเธอจะยอม

เป็นเทพบุตรสุดที่รักที่น้ำเน่ายิ่งกว่าละคร เป็นนักแสดงค่าตัวแพงที่ยอมเล่นก่อน จ่ายทีหลังพร้อมกับดอกเบี้ยบานเบอะ ถ้าเจอแบบนี้ให้ลองสังเกตดูว่าเขาดูแลพ่อแม่ดีแบบนี้หรือไม่?

ถ้าผู้ชายที่ดีแสนดีจะดูแลใครสักคนให้ดี เขาจะต้องดูแลพ่อแม่ของเขาให้ดีก่อนเป็นแน่ เขาจะไม่มาเสียเวลาแจกขนมจีบให้เราหรอก เพราะเขาเอาเวลาไปดูแลครอบครัวของเขาดีกว่า เพราะพ่อแม่นั้นเป็นผู้มีพระคุณที่ควรจะกตัญญู ไม่เหมือนกับเราซึ่งเจอกันไม่นาน ถ้าเขาสามารถรักเราที่พึ่งเจอกันไม่นานมากกว่าพ่อแม่ได้ ก็ลองพิจารณากันดูเองว่าควรแล้วหรือ? รักนั้นจริงแล้วหรือ? คนที่มีรักจริงทำตัวเช่นนี้หรือ?

6). จีบไปทำไม

จริงๆแล้วเขาก็มาจีบเพื่อจะเสพเรานั่นแหละ และโดยรวมทั้งหมดตามธรรมชาติของมนุษย์เลยก็คือการได้สมสู่ ดังนั้นเป้าหมายก็จะเป็นการจีบเพื่อสมสู่ แม้ว่าภาพที่แสดงออกจะดูดีแค่ไหน สุภาพบุรุษแค่ไหน สุดท้ายก็สมสู่อยู่ดี ชีวิตมันก็วนเวียนอยู่กับเรื่องสมสู่นี่แหละ จีบกันหมายจะมีคู่มันแค่เรื่องสมสู่นี่แหละ แล้วเราก็หลงไปว่าเรามีคุณค่ากับเขาอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆแล้วมันก็มีคุณค่าแค่ไว้สมสู่นี่แหละ

กล่าวกันแบบนี้อาจจะดูแรงไปสักนิด แต่ถ้าคนเรารักกันจริงมันไม่ต้องจีบกันให้เมื่อยหรอก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสมสู่เลยเพราะหยาบเกินไป เอาแค่จีบกันนี่ก็ไม่ไหวแล้วนะ การจะคอยสนองกิเลสใครนี่มันเหนื่อยและใช้พลังงานมาก มันไม่บริสุทธิ์เพราะมันมีกิเลส รักกันนี่ไม่จำเป็นต้องเสพกันก็ได้ เป็นเพื่อนกันก็รักกันได้ แต่ที่มันจะพยายามให้เกินเพื่อนเพราะมันอยากจะเสพบางอย่างที่มันเกินเพื่อนไปนั่นแหละ

ผู้ชายหลายคนอาจจะเริ่มซึ้งและเข้าใจกิเลสตัวเองมากขึ้นหลังจากได้เสพสมใจและเสพจนกระทั่งเบื่อหน่าย จนพบว่าสุดท้ายเมื่อตัดความใคร่ออก ก็จะเหลือแค่คำว่าเพื่อนชีวิตเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วเพื่อนนี่มันไม่ต้องจีบ ไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้ แต่การจีบจนกระทั่งแต่งงานนี่มันจะได้สมสู่กันอย่างถูกต้องตามจารีตประเพณีที่คนเขายอมรับกัน

เมื่อเริ่มเบื่อหน่ายจากเมียที่เคยรักเคยหลง ก็จะเริ่มเห็นทุกข์แท้จริง เพราะไม่ว่ากามคุณที่เธอเคยมีนั้นก็จะเสื่อม แก่ เหี่ยว หย่อนยาน เสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ โลกธรรมที่เคยมีนั้นก็ร่อยหรอลงเรื่อยๆ อัตตาที่เคยยึดมั่นถือมั่นไว้ก็คลายลงเรื่อยๆ แต่ก็จะอยู่ในสภาวะที่ต้องจำยอมรับผิดชอบกับอีกชีวิตหนึ่งที่เอามาผูกกันไว้

สุดท้ายก็เป็นผู้ชายเองที่ติดกับผู้หญิง หลงจีบผู้หญิงเพราะอยากได้อยากมีเธอมาไว้สนองกิเลสตัวเอง จริงๆแล้วเธอก็อยู่ของเธอดีๆ เราก็ไปยุ่งกับเธอเอง ไปชอบเธอเอง ไปอยากได้เธอเอง แล้วก็ไปจีบเธอเอง สุดท้ายหลังจากกระตุ้นกิเลสเธอจนเธอยอมก็ได้เธอมาเป็นของตัว แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้นั่นก็ไม่เที่ยง เสพสุขไม่นานมันก็หมดรสสุข เสพไปก็ไม่สุขเหมือนเดิม ความสุขนั้นลวงเราตั้งแต่แรก เราสุขแป๊ปเดียวเท่านั้นแหละ จีบกันไม่กี่ปี แต่ต้องทุกข์อีกหลายสิบปี ทุกข์ไปจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง หรือมีใครคนใดคนหนึ่งไม่ซื่อสัตย์แยกตัวออกไป

และสำหรับผู้ชายที่ไม่เคยพอ เมื่อไม่สุขเหมือนที่เคยเสพ ก็จะทิ้งผู้หญิงที่ตนเคยรัก เคยดูแล เคยเอาใจ เคยสาบานว่าจะรักไปจนชั่วนิรันดร์ไปหาเสพสิ่งที่ตัวคิดว่าสุขเอาดาบหน้า ไปมีกิ๊ก ไปมีชู้ ไปมีเมียน้อย ฯลฯ ทิ้งผู้หญิงซึ่งถูกเสพจนเสื่อมสภาพ และถูกเอาใจจนเสียนิสัยที่ดีไปหมด ไว้ให้เป็นเพียงแค่อดีตตอนหนึ่งของชายคนนั้นเท่านั้น

7). รักฉันอย่าจีบฉัน

ดังที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า การจีบนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อมอย่างแน่แท้ ความรักที่แท้จริงไม่ได้หวือหวา น่ามหัศจรรย์ น่าหลงใหลขนาดนั้น แต่เป็นความสงบเย็น อ่อนละมุน บางเบา ไม่เร่าร้อน ไม่เรียกร้อง เมื่อเห็นเช่นนั้นพึงเข้าใจว่า “รักฉันอย่าจีบฉัน” อย่าทำให้ฉันหวัง อย่าบำเรอกิเลสฉันจนฉันหลงไป อย่าเอาใจฉันจนฉันนิสัยเสีย อย่าบิดเบือนความจริงด้วยความลวง อย่ามองฉันเป็นเพียงเป้าหมายที่ต้องพิชิต อย่าให้ฉันกลายเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในชีวิตของเธอ อย่าให้ฉันเป็นของเธอและอย่าให้เธอมาเป็นของฉัน

การที่คนเราจะรักกันนั้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นของกันและกัน เราแค่เพียงมีกันและกันเดินร่วมกันไปดังเส้นขนาน แม้ว่าจะไม่ได้เสพสมสู่กันดังธรรมชาติของผู้คนทั่วไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรักกันไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีความสุข ความสุขจากการได้เสพสมใจตามกิเลสมันจะมีค่าอย่างไรในเมื่อมันเป็นแค่ความหลง

ดังนั้นหากว่ารักฉันจริง จงอย่าจีบฉัน อย่าทำร้ายฉันด้วยดอกไม้ คำหวาน และคำสัญญาใดๆอีกเลย เพราะฉันรู้ว่ามันไม่มีวันเป็นจริง

– – – – – – – – – – – – – – –

13.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)