Tag: หน้าที่

ลูกเอ๋ยลูกรัก

January 18, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,401 views 1

ลูกเอ๋ยลูกรัก

ลูกเอ๋ยลูกรัก

…เจ้ากรรมนายเวรตัวน้อย กำเนิดจากกรรม เป็นวิบากกรรม

การมี “ลูก” เป็นเหมือนกับสิ่งที่ยืนยันความสำเร็จของการมีครอบครัว เป็นความสมบูรณ์ในชีวิตคู่ เป็นธรรมชาติของสัตว์โลกที่จะต้องสืบพันธุ์ ขยายเผ่าพันธุ์ต่อไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องพบกับสุขและทุกข์หากเรายังวนเวียนอยู่ในวิถีทางแห่งธรรมชาติในโลกใบนี้

ในบทความนี้จะสรุปภาพรวมของความยากลำบากเกี่ยวกับลูกและเส้นทางแห่งทุกข์ที่เกิดขึ้น ด้วยเนื้อหา 9 ข้อดังต่อไปนี้

1). กว่าจะมีลูก

ปัญหาเริ่มแรกก่อนจะมีลูกเลยก็คือ ต้องแสวงหาพ่อหรือแม่ของลูกเสียก่อน ต้องทุกข์ทรมานกับเรื่องคู่เสียก่อน คนนั้นดีแต่ไม่เหมาะสม คนนี้เหมาะสมแต่กลับไม่ดี สุดท้ายหลังจากแสวงหามานานหรือจะพลั้งเผลอไปก็ตาม เราก็จะได้คู่มาหนึ่งคนซึ่งจะทำหน้าที่มาเป็นพ่อหรือแม่ของลูก

คนโดยทั่วไปแล้วมักมีลูกกันไม่ยากนัก และส่วนหนึ่งในการเกิดลูกนั้นไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่หากเป็นผลผลิตของความหมกมุ่นในกามอารมณ์จนประมาทในการป้องกันหรือในกรณีของการโดนยัดเยียดความเป็นแม่ให้โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งจะไม่กล่าวกันในประเด็นเหล่านี้

กว่าจะมีลูกได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในบางคู่ถึงกับต้องพึ่งวิธีทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยให้ประสบความสำเร็จ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความจะเกิดผลดังใจหวัง 100% พวกเขายังต้องทุกข์ทรมานกับความหวังในการมีลูก ความคาดหวังว่าในสักวันหนึ่งครอบครัวจะสมบูรณ์สมดังใจหมาย

สรุปแล้วกว่าจะมีลูกได้นี้ก็ต้องผ่านทุกข์จากการหาคู่ ไหนจะต้องมาทุกข์กับความคาดหวังว่าจะได้ลูกอีก คนที่ได้สมใจอยากก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนใจ คนที่ไม่อยากได้แต่กลับได้มาก็เป็นเรื่องน่าเศร้า ส่วนคนที่อยากได้แต่ทำยังไงก็ไม่ได้นี่มันทุกข์สุดทุกข์จริงๆ

2). จนถึงวันที่ลืมตาดูโลก

ช่วงเวลากว่า 9 เดือนที่ต้องอุ้มท้องนั้นไม่ง่าย เป็นความยากลำบากทรมานร่างกายของคนเป็นแม่ที่ต้องแบกลูกไว้กับตัว ต้องคอยระแวงระวัง สารพัดความทุกข์ที่จะประดังเข้ามาทั้งเรื่องความกังวลของลูกที่อยู่ภายในท้อง อาหารการกินที่จะมีผลประทบต่อลูก และวิถีชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนไปเมื่อตั้งครรภ์

ในช่วงเวลาเหล่านี้ต้องยอมรับกันตรงๆว่าเป็นทุกข์ของหญิงจริงๆ สองในห้าข้อในข้อธรรมที่ว่าด้วยเรื่องทุกข์ของหญิง ๕ นั้นคือ หญิงย่อมมีครรภ์ และหญิงย่อมคลอดบุตร ความทุกข์เหล่านี้เป็นความทุกข์ที่ผู้เป็นแม่ต้องจำยอมแบกรับไว้ เป็นวิบากกรรมของผู้หญิงที่ผู้ชายไม่มีวันเข้าใจ

กว่าจะถึงวันที่คลอดบุตรนั้นต้องรับทั้งภาระทางร่างกายและจิตใจอย่างมาก ความหวัง ความเครียดจากสุขภาพและความกดดันทางจิตใจ แม้จะสามารถบรรเทาได้ด้วยการมองโลกในแง่ดี การคิดบวก แต่ทุกข์นั้นก็ยังเป็นทุกข์อยู่วันยังค่ำ

3). ใครมาเกิด?

มาถึงเนื้อหาหลักของบทความนี้กันเสียที มีคำกล่าวมากมายว่า “เด็กเหมือนดังผ้าขาว” ความเห็นความเข้าใจเหล่านี้เป็นความเข้าใจแบบโลกๆ เป็นความเข้าใจทั่วไป แต่ศาสนาพุทธไม่ได้มองแบบนั้น เรามองว่าทุกคนมีกรรมเป็นของของตน นั่นหมายถึงเด็กคนที่กำลังจะเกิดมานั้นก็มีกรรมของเขา มีความเห็นความเข้าใจของเขา มีกิเลสของเขา มีธรรมของเขา การมาเกิดของเขานั้น เขาหอบโภคทรัพย์ของเขามาเกิดด้วย

ทีนี้ใครล่ะที่มาเกิด? ในยุคกึ่งพุทธกาลเช่นนี้ เราคิดหวังจริงๆหรือว่าจะมีผู้มีบุญมาเกิด อัตราส่วนระหว่างคนเลวกับคนดีในโลกเป็นเท่าไหร่ ไหนจะสัตว์เดรัจฉานที่เปลี่ยนภูมิกลับมาเป็นคนอีก การคาดหวังว่าจะเป็นผู้มีบุญมาเกิดนี่มันยากยิ่งกว่าถูกหวยอีก

กรรมของเด็กที่มาเกิดจะสังเคราะห์รวมกับกรรมของพ่อและแม่ รวมกับญาติพี่น้อง รวมกับสิ่งแวดล้อม จนเกิดสภาวะพอเหมาะที่จะแสดงผลของกรรม คนนั้นๆเขาจึงได้มาเกิดในท้องของแม่คนนั้นซึ่งเป็นภรรยาของพ่อคนนั้น เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่ถูกคำนวณไว้อย่างพอเหมาะแล้วโดยกรรมของเราทุกคน

ปัญหาคือใครจะรู้ว่าเราทำกรรมอะไรไว้ คนที่มาเกิดอาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราก็ได้ เป็นศัตรู เป็นลูกน้อง เป็นอะไรต่อมิอะไรที่อาจจะส่งผลร้ายถึงร้ายมากต่อเราก็เป็นได้ เรามองเห็นเพียงแค่รูปธรรม คือเด็กตัวน้อยเกิดมาหน้าตาเหมือนเราผสมกับคู่ของเรา แต่เรามองไม่เห็นนามธรรมหรือกรรมที่ซ่อนอยู่ลึกๆของเขา

ชีวิตของเขาจะถูกผลักดันด้วยกรรมของเขา ถ้าเขาเคยเป็นเดรัจฉานมาก่อน เคยเป็นคนขี้โลภมาก่อน เคยเป็นฆาตกรมาก่อน เมื่อเขาตายและเกิดใหม่มาเป็นลูกของเรา กิเลสที่เขามีอยู่จะติดมากับเขาด้วย เพราะนั่นเป็นกรรมของเขา

ส่วนเราซึ่งเป็นพ่อแม่ก็มีกรรมของเรา เพราะเรามีกิเลสอยากมีลูก กรรมของเราก็คือต้องยินดีรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น เราไม่มีทางรู้ว่าใครจะมาเกิด ไม่รู้ว่าเกิดมาแล้วจะเป็นอย่างไร จะปกติไหม จะพิการไหม จะสุขภาพดีไหม หลากหลายปัญหาที่พาให้ทุกข์ตั้งแต่แรกคลอดนั้นมีมากมายตามกรรมที่เคยทำมา

4). เจ้านายและทาส

ไม่ว่าจะเป็นใครมาเกิดก็ตาม บทของเราคือทาสอย่างเดียวเท่านั้น เราไม่สามารถสั่งให้เด็กทารกไปทำอะไรตามใจเราได้ เราต้องป้อนนม ป้อนข้าว เช็ดอึ บริการเด็กคนนี้ทุกอย่าง

เมื่อเด็กร้องงอแงเราก็ต้องหาสิ่งบำเรอเด็กให้หายจากทุกข์ เรามักจะเรียกสิ่งนี้ว่าความรักความห่วงใย แต่มันมีกิเลสซ้อนอยู่คืออยากเอาใจให้เด็กรักเรา ให้เด็กหลงเรา เราจึงพยายามเอาใจเด็ก แท้จริงแล้วเรากำลังเสพความรักจากเด็กเพราะว่าเรากำลังหลงรักเด็กอยู่นั่นเอง

เด็กนั้นเป็นดังเจ้านายที่สามารถบงการให้พ่อและแม่เกิดทุกข์หรือสุขขึ้นได้ พ่อแม่จึงกลายเป็นทาสอารมณ์ของเด็กคนนั้น เมื่อเด็กยิ้มและหัวเราะ ทาสก็มีความสุขไปด้วย แต่เมื่อเด็กร้องไห้งอแงเอาแต่ใจ ทาสก็จะเป็นทุกข์ลำบากลำบนหาเครื่องบรรณาการมาให้เด็กได้เสพสมใจ ซึ่งเราก็ต้องทนเป็นทาสอารมณ์ของเด็กไปอีกนานแสนนานจนกว่าจะหมดความหลงในตัวเด็กคนนั้นนั่นแหละ

5). นักลงทุนผู้คาดหวัง

มีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่เป็นนักวางแผนและนักลงทุน เขามักจะมองปัจจัยที่มองเห็นได้ด้วยตาซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เพราะในเรื่องนามธรรมมันมองไม่เห็นอยู่แล้ว ไม่มีใครรู้หรอกว่าเด็กที่มาเกิดคนนั้นจะมีบุญบารมีด้านไหน จะเก่งหรือจะเจริญไปเช่นใด

แต่ด้วยอัตตาและความหวังดีที่ปนกิเลสของเรา จึงมักจะเห็นพ่อแม่ที่ขีดเส้นทางสวยๆไว้ให้ลูกเดิน แน่นอนว่าในสายตา เขาก็มักจะเดินให้เราเห็น ให้เราภูมิใจ แต่นอกสายตาเขาก็ไปกับเพื่อน ไปเสพกิเลสตามใจเขา ไปสูบบุหรี่ กินเหล้า เล่นพนัน สมสู่กัน นอกลู่นอกทางไม่ให้เราเห็นอยู่เสมอ เหล่านี้เองคือธรรมชาติหรือที่เรียกว่าเป็นไปตามกรรมของเขา

พ่อแม่ผู้หวังดีพยายามวางอนาคตให้ลูก เมื่อได้รู้ว่าลูกที่ตนรักและเอาใจใส่ได้ออกนอกลู่นอกทางก็อกหักอกพัง บ้างก็โทษเด็ก บ้างก็โทษตัวเองว่าเลี้ยงไม่ดี เป็นทุกข์เศร้าหมองหดหู่กันไป แต่จะโทษเด็กก็มีส่วนอยู่บ้างเพราะเขาก็มีกรรมของเขา กิเลสของเขาลากให้เขาไปทำบาป เราทำหน้าที่ป้องกันได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ถึงจะพยายามเท่าไหร่แต่เราก็ไม่มีทางป้องกันวิบากกรรมอยู่

การทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหวังของเรามันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้แน่นอนในโลก ทุกอย่างต้องแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ และความผิดหวังที่เราได้รับก็คือผลกรรรมจากความคาดหวังของเรา เพราะเราอยากให้เกิดเราจึงตั้งความหวัง มีวันที่สมหวังก็ต้องมีวันที่ผิดหวัง แต่ความทุกข์นั้นจะเกิดหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ยังมีพ่อแม่นักลงทุกอีกมากที่วาดเส้นทางสวยงามไว้ให้ลูก ซึ่งแท้จริงได้ซ่อนภาระอันหนักหน่วงให้กับลูกปนไปกับความหวังดี เช่นมีลูกเพราะอยากให้ลูกมาสืบทอดกิจการของตนหรืออยากให้เขามาเลี้ยงตนเองตอนแก่ จึงแสดงความรักและดูแลเอาใจใส่เพื่อหวังว่าวันหนึ่งเขาจะได้มาทำงานสนองกิเลสให้ตนเอง ดูสิกิเลสคนเรามันสร้างคนอื่นขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองได้เสพสุข วางแผนกันได้เป็นสิบๆปี แล้วคิดดูสิว่าถ้าผิดหวังมันจะทุกข์ขนาดไหน

6). กรรมเป็นของของตน

ถ้าเรายังไม่ชัดเรื่องกรรม เราก็จะต้องมีทุกข์เพราะความผันแปรที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด แม้ว่าเราจะมองลูกเป็นสิ่งที่เกิดมาอย่างบริสุทธิ์ เราเลี้ยงดูมาด้วยวิธีตามตำรา ดูแลด้วยอาหารอย่างดี ให้คบคนดี ทำแต่สิ่งที่ดี แน่นอนว่ากรรมใหม่เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีที่พ่อแม่ควรกระทำ

แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรจะเผื่อใจไว้ด้วยว่า เราไม่สามารถขีดเขียนเส้นทางชีวิตของใครได้ทั้งหมด เพราะเราก็มีกรรมของเรา เขาก็มีกรรมของเขา มีให้เห็นมาแล้วว่าลูกเศรษฐีในประเทศหนึ่งยินดีละทิ้งสมบัติของตระกูลหันมาบวชเป็นพระในประเทศไทย หรือแม้แต่กรณีศึกษาคลาสสิกที่สุดในโลกคือเจ้าชายองค์หนึ่งยินดีสละทุกสิ่งมาออกบวชจนกระทั่งพบว่าตัวท่านเองคือพระพุทธเจ้า

ไม่ว่าจะคนดีหรือคนชั่ว ทุกคนมีเส้นทางกรรมที่ถูกขีดไว้แล้ว ถูกกำหนดไว้แล้ว ถ้าเขาทำดีมามากถึงเราจะไม่มีเวลาเลี้ยง ไม่ได้เอาใจใส่ สุดท้ายคนดีก็ยังเป็นคนดีอยู่วันยังค่ำ แต่ถ้าคนที่ทำชั่วมามาก ถึงเราจะเลี้ยงดูเอาใจใส่พาให้พบแต่สิ่งดี แต่สุดท้ายเขาก็จะวิ่งหาความชั่วความต่ำทรามอย่างที่เขาเคยเสพคุ้นมานานหลายภพหลายชาติ

ความดีความเลวในโลกล้วนแต่วนเวียนสลับกลับไปกลับมา คนดีกลายเป็นคนเลว คนเลวกลายเป็นคนดี หมุนเวียนอยู่ในโลกธรรม ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุขอยู่เช่นนี้ เพราะมีกิเลสเป็นแรงผลักดัน และกิเลสนั้นเองก็นำมาสู่กรรมที่จะถูกสร้างขึ้น ให้เราได้วนเวียนรับกรรมดีกรรมชั่วอย่างไม่จบไม่สิ้น

เมื่อเป็นคนดีก็จะทำแต่ความดีจนได้รับความสุข เมื่อได้รับสุขก็ติดสุขจนต้องแสวงหาจนยอมทำชั่วเพื่อให้ได้สุขมา พอทำชั่วมากๆก็กลายเป็นคนชั่ว พอชั่วมากๆก็ทุกข์มากจนเลิกทำชั่วกลับมาทำดี พอดีมากๆก็ได้รับความสุขมาก จนติดสุข….วนเวียนไปเช่นนี้

7). ยึดมั่นถือมั่นในอะไร?

เมื่อเราเริ่มเห็นแล้วว่าลูกหลานที่เราเห็นนั้น แท้จริงเขาก็ไม่ใช่ของเราหรอก เขาไม่ใช่ผลผลิตจากตัวเราทั้งหมด แน่นอนว่าเขาใช้ร่างกายและเชื้อของเรามาเกิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นเหมือนเราเสมอไป

พอเรายอมรับได้แล้วว่าเขาก็มีกรรมเป็นของเขา เขาก็เป็นเขาแบบนั้น เราก็จะเริ่มคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวเขาลง ปล่อยให้เขาได้เดินตามวิถีทางของเขาโดยเราเป็นเพียงผู้สนับสนุนในทางกุศลและให้กำลังใจเมื่อเขาพลาดพลั้ง

การที่เรายังยึดมั่นถือมั่นอยู่ในความเป็นพ่อหรือแม่ จะทำให้เราเป็นทุกข์ เราไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วบทเสริมของเราคืออะไร แม้เราจะพยายามเล่นบทพ่อแม่ที่เราคิดหวังไว้ แต่วันหนึ่งอาจจะต้องเปลี่ยนไปเล่นบทอื่นเสริม เช่นบทเพื่อน บทครู บทหมอ หรือแม้แต่บทพระ

ความยึดมั่นถือมั่นจะมีลักษณะอาการที่แข็ง กดดัน อึดอัด ไม่ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ เพราะเราไม่สามารถยอมรับความจริงของการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเราเสพสุขกับการเล่นบทพ่อแม่ เราจึงยึดบทนั้นไว้เป็นบทของตัวเอง ซึ่งในบางสถานการณ์การเปลี่ยนตัวเองเป็นเพื่อนนั้นน่าจะทำให้เกิดกุศลกว่า

แต่หลายคนอาจจะทำไม่ได้ เพราะเราเห็นว่าเขาเป็น “ลูก” เราเป็น “พ่อแม่” จริงๆเราก็แค่อินกับบทที่เขาให้ในชาตินี้เท่านั้นเอง ลองถอยมาดูสักหน่อย ลองลดความยึดมั่นถือมั่นสักหน่อย เราก็จะสามารถเห็นได้ว่า ลูกคนที่อยู่ตรงหน้าเรา แท้จริงเขาเป็นอย่างไร เขาควรจะทำอะไร เราควรจะทำหน้าที่เพิ่มเติมอย่างไร เพิ่มบทบาทแบบไหน ลดบทบาทใดลงบ้าง

8). ภาระจากกิเลส

แม้ว่าเราจะวางความยึดมั่นถือมั่นได้แล้ว เข้าใจแล้วว่าเขาก็เป็นเขา เราก็เป็นเรา แม้เราจะมีกรรมมาเกี่ยวพันกันได้เป็นพ่อแม่ลูกกันในชาตินี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องยึดมั่นถือมั่นในบทบาทที่เราเล่นจนเป็นทุกข์

เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ไม่ทุกข์ ไม่ตีกรอบ ไม่ตั้งความหวังจนเกินไป เพียงเท่านี้ก็จะได้ความสุขจากความสงบมากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องแบกภาระนี้ต่อไป เพราะแม้จะไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นแต่ความเป็นพ่อแม่ลูกจะยังคงอยู่ต่อไป เราจำเป็นต้องยึดอาศัยกันและกันเพื่อสร้างกุศล ดำเนินไปให้เกิดกุศลสูงสุด

ภาระที่เกิดขึ้นทุกอย่างก็คือภาระจากการที่เรามีกิเลส เช่นเราอยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนที่ดีมีชื่อเสียง เราก็ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าโรงเรียนทั่วไป และในภาพรวมของภาระนั้นหมายถึงเราจะต้องแบกเด็กคนนี้ไปเรื่อยๆ เพราะเรามีกิเลสอยากมีลูก ดังนั้นเด็กที่เกิดมาก็คือผลของกรรมกิเลสที่เราต้องแบกรับไว้นั่นเอง

9). หน้าที่

ผู้ที่เข้าใจความจริงตามความเป็นจริงแล้ว แม้จะต้องแบกรับภาระที่ทำให้ทุกข์ แต่ก็จะไม่หนี ไม่ทิ้งหน้าที่ เพราะรู้ว่าหน้าที่ของพ่อแม่นี้เองคือสิ่งที่เราควรจะปฏิบัติให้ดี เลี้ยงลูกให้เขาเป็นคนดี ให้มีศีลธรรม ให้เข้าใกล้ศาสนา พาให้ลดกิเลส ไม่พาฟุ้งเฟ้อ ไม่สนองกิเลสจนเสียคน พาไปแต่ทางที่เป็นกุศล ตักเตือนในเรื่องที่เป็นอกุศล เหล่านี้คือหน้าที่ที่พ่อแม่ควรจะกระทำนอกเหนือจากการเลี้ยงดูด้วยปัจจัยพื้นฐาน

เราควรจะทำหน้าที่ของพ่อแม่ไปพร้อมกับทำหน้าที่ของตนเองนั่นคือการขัดเกลาจิตใจของตนเอง ลูกคือเจ้ากรรมนายเวร หรือเทวดาตัวน้อยที่ฟ้าส่งมาให้เรียนรู้ทุกข์ เพื่อให้ค้นให้เจอเหตุแห่งทุกข์ จนรู้ถึงการดับทุกข์ และปฏิบัติสู่การดับทุกข์ด้วยการดำเนินไปตามวิถีทางแห่งการดับทุกข์

พ่อแม่นั้นมีสถานที่ปฏิบัติธรรมที่อยู่ที่บ้าน เพราะนอกจากจะปฏิบัติธรรมกับคู่ของตนแล้วยังต้องปฏิบัติธรรมกับลูกด้วย ทำอย่างไรที่เราจะไม่หลงรักลูกจนหลงไปเป็นทุกข์ และทำอย่างไรที่เราจะไม่ยึดดีถือดีในสิ่งที่เราเชื่อมากเกินไปจนเป็นทุกข์ เพราะไหนๆเขาก็เกิดมาแล้ว โตมาแล้ว เราก็เรียนรู้ที่จะพัฒนาจิตใจไปพร้อมๆกับเขา เรียนรู้ความเป็นเราโดยสะท้อนจากตัวเขา ใช้โอกาสนี้ในการปฏิบัติธรรมเสียเลย

…เมื่อเห็นความยากลำบากของการเป็นพ่อแม่ดังนี้แล้วเราจึงควรตระหนักว่ากว่าที่เราจะโตมาถึงวันนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อแม่ต้องฝ่าฟันทุกข์ ต้องรับภาระ รับวิบากกรรมอย่างหนักหนาสาหัสมามากเท่าไหร่กว่าจะถึงวันนี้ การที่พ่อแม่เลี้ยงดูเราดีนั้นก็เกิดเพราะผลกรรมดีของเรา และการที่พ่อแม่ทำอะไรให้เราทุกข์ใจนั้นก็เกิดจากผลกรรมที่ไม่ดีของเรา

สิ่งดีสิ่งร้ายทั้งหมดที่เราได้เจอนั้นเกิดจากผลของกรรมของเรา เราทำมาเองทั้งนั้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พ่อแม่ก็เป็นผู้มีพระคุณที่ควรกตัญญูเสมอ

ความกตัญญูนั้นไม่ได้หมายความเพียงแค่ว่าเอาใจใส่ แต่หมายรวมถึงการพาให้ท่านได้พบกับสิ่งที่เป็นกุศล สิ่งที่พาให้ชีวิตพบกับความสุขแท้ แต่การที่จะพาท่านไปสู่การปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ได้นั้น เราก็ต้องทำตัวเองให้เป็น ให้ได้ ให้มีสิ่งนั้นในตนเสียก่อน

แล้วเราจะมีสิ่งดีที่ประเสริฐในตนได้อย่างไร หากเรามัวเอาเวลาไปดูแลใครก็ไม่รู้ที่กำลังจะมาเกิดในตัวเราหรือในตัวของภรรยาเรา พ่อแม่คือคนที่เรารู้จักดีอยู่แล้ว ชัดเจนอยู่แล้ว เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องวางแผน การดูแลพ่อแม่นั้นง่ายกว่าการเลี้ยงลูกอย่างมาก เพราะขยับจากง่ายไปยาก ท่านจะค่อยๆแก่ให้เราได้ปรับตัวอย่างช้าๆ ไม่เหมือนกับเด็กทารกที่เกิดมาก็เป็นเรื่องยุ่งยากในทันทีและจะยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป

ดังจะเห็นได้ว่าการมีลูกนั้นมีแต่ทุกข์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “คนมีลูกก็มีทุกข์ คนไม่มีลูกก็ไม่ต้องมีทุกข์” ดังนั้นใครที่แต่งงานแล้วไม่มีลูกก็เป็นลาภอันประเสริฐ เพราะสามารถนำเวลาที่มีคุณค่าไปทำสิ่งที่มีประโยชน์ได้มากมาย

เมื่อความไม่มี การไม่ครอบครองสิ่งใดๆนั้นคือคุณค่าแท้ เป็นความสุขแท้ นั่นหมายถึงคนที่โสดอย่างเป็นสุขนั่นแหละคือผู้มีบุญที่สุด เพราะไม่ต้องทุกข์ด้วยเหตุแห่งลูกหรือคู่ครอง มีศักยภาพสูงสุดในการกตัญญูพ่อแม่ เพราะไร้ซึ่งข้อจำกัดของบ่วงกรรมที่ผูกมัดไว้นั่นเอง

– – – – – – – – – – – – – – –

10.1.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

เมาบุญ

September 23, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,527 views 0

เมาบุญ

เมาบุญ

การที่เรามีศาสนาเป็นที่พึ่ง มีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่บางครั้งเรามักจะวางตัวห่างไกลจากความพอดี บ้างก็เป็นศาสนานั้นแต่ในทะเบียนบ้าน บ้างก็นับถือศาสนานั้นอย่างมัวเมา หรือที่เรียกกันว่า “เมาบุญ

ความหลงมัวเมาในบุญนี้ มักเกิดจากความศรัทธาที่ไม่มีปัญญา จึงมัวเมาลุ่มหลงอยู่ในสิ่งที่สังคมเขาเห็นว่าดี ดังจะเห็นได้จากการทำบุญทำทานอย่างเกินพอดีจนตนเองและครอบครัวลำบาก การใช้เวลาไปกับวัดและการบำรุงศาสนาจนบกพร่องในหน้าที่ของตัวเอง การยึดดีถือดีติดดีจนทำให้คนรอบข้างเอือมระอา ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะของการ “มัวเมา

การทำบุญทานอย่างเมาบุญนั้น เบียดเบียนตนเองและคนอื่นอย่างไร?

การทำบุญทำทานที่ทำเพราะอยากได้บุญนั้น ไม่มีทางที่จะได้บุญเลย เพราะการทำทานที่ได้บุญคือการทำทานที่พาให้เราลดกิเลส แต่การทำเพราะอยากได้อยากมี คือการเพิ่มกิเลส ดังนั้นไม่มีทางได้บุญอยู่แล้วแต่อานิสงส์ก็ยังจะมีอยู่บ้าง ในส่วนของการเบียดเบียนคือการทำทานเกินความพอดี บางครั้งแทนที่จะได้ใช้ทรัพย์นั้นไปทำกุศลอย่างอื่นก็ไม่ได้ใช้ บางทีก็ต้องไปเรี่ยไรขอเงินจากคนอื่นเพื่อมาสมทบความอยากได้บุญในกองบุญของตนเองอีก ความไม่พอดีจึงกลายมาเป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

การใช้เวลาไปกับวัดบำรุงศาสนามาก ไม่ดีอย่างไร?

การใช้เวลากับการไปวัดและบำรุงศาสนามาก ถ้าเป็นนักบวชก็ถือว่าดี ยิ่งใช้เวลาศึกษาธรรม ก็จะยิ่งเป็นการบำรุงศาสนา คือการทำให้ตัวเองให้มีความเป็นพระยิ่งขึ้น แต่ในปัจจุบันฆราวาสมักจะใช้เวลาที่มากไปกับการไปวัด ไปทำงานบำรุงศาสนา จนมักจะเห็นศาสนาดีกว่าทุกสิ่ง ทำให้บกพร่องในหน้าที่ของตนเอง เช่นแทนที่จะดูแลกิจกรรมการงาน กลับเอาเวลาไปวัด แทนที่จะดูแลคู่ครองครอบครัว กลับเอาเวลาไปวัด สุดท้ายงานและครอบครัวก็มีปัญหา เพราะตนทำหน้าที่บกพร่อง แต่ด้วยความติดดีจึงโยนความผิดไปให้คนอื่นและบอกว่าศาสนาของตนดีเลิศ การที่ตนให้เวลากับศาสนาเป็นสิ่งดี เป็นความเข้าใจที่มัวเมาหลงผิดซ้ำซ้อน เพราะแท้จริงแล้วศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คนละทิ้งหน้าที่ แต่ให้ทำหน้าที่ของตัวเองไปพร้อมๆกับการบำรุงศาสนาอย่างสอดคล้องในชีวิตประจำวันโดยไม่ให้บกพร่อง

การยึดดีถือดีติดดี เป็นอย่างไร?

ขึ้นชื่อว่าการยึดมั่นถือมั่นก็ไม่ดีอยู่แล้ว แต่การยึดดี ถือดี ติดดีเหล่านี้ ผู้ที่ติดมักจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองติดดี แม้ว่าจะมีคนมาทัก หรือแนะนำก็จะไม่ยอมรับว่าตัวเองติดดี และไม่ระวังตัว มักจะใช้ความดีที่ตนมีอยู่ เข้าไปทำหน้าที่ตัดสิน พิพากษาคนที่เขาพลาดทำชั่วอยู่เรื่อยไป โดยเฉพาะคนที่เมาบุญ พอเจอคนที่เขาไม่เอาดีในการทำบุญทำทานก็จะเริ่มเพ่งโทษเขา ตำหนิเขา มองว่าที่ตนทำนั้นดี แต่ที่เขาทำไม่ดี มองว่าตนดีเขาไม่ดี มองแบบนี้ก็ติดดีแล้ว เข้าใจแบบนี้ก็ยึดดีเข้าแล้ว

เมาบุญ เมาโลกธรรม

การเมาบุญยังมีระดับการเมาที่หลงไปในระดับที่ลึกยิ่งกว่า นั่นคือเมาบุญในระดับหลงโลกธรรม คือหลงยึดติด ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข

เมาบุญหลงลาภ เช่น การทำทานที่เข้าใจไปว่าจะนำมาซึ่งความเจริญ เช่นคิดว่าทำทาน 1 พัน แล้วจะได้กลับมา 1 ล้าน หรือคิดว่าทำบุญ 1 ล้านแล้วจะสามารถซื้อนิพพาน ซื้อสวรรค์วิมานอยู่ได้ ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ เป็นการหลงเมาบุญในเชิงของลาภหรือในลักษณะของการเอาลาภไปแลกลาภ

เมาบุญหลงยศ เช่น การที่เขาเหล่านั้นได้มีโอกาสดูแลใกล้ชิดพระเกจิอาจารย์ หรือพระดังต่างๆ บางครั้งถึงขนาดใช้เวลาไปเสาะหา ติดตามพระดังทั้งหลาย พระรูปไหนที่เขาว่าดีก็ตามไปหมด เพื่อที่จะเสริมคุณค่าและบารมีให้กับตัวเอง หลงมัวเมาไปว่าพระดัง หรือวัดดังเหล่านั้นจะเป็นบุญบารมีคุ้มกันภัยให้ตนเองได้ หรือถึงขั้นเอาครูบาอาจารย์ไปอวดอ้างเพื่ออวดเบ่งบารมีของตนเอง ว่าฉันนี่แหละที่เป็นศิษย์ท่านนั้นท่านนี้ ฉันดูแลพระรูปนั้นรูปนี้ เพราะมัวเมาหลงบุญหลงยศไปพร้อมๆกัน

เมาบุญหลงสรรเสริญ เช่น การมีความอยากในการเป็นประธานของงานบุญใหญ่ งานกุศลสำคัญต่างๆ หลงคิดว่าการที่ตนได้เป็นประธานนั้นจะนำมาซึ่งบุญที่มากกว่า จึงมีการจองเป็นประธานงานกฐิน กันแบบข้ามปี บางวัดก็จองกันข้ามชาติคือชีวิตนี้ตัวเองคงไม่ทันแล้วเลยจองไว้เผื่อลูกหลาน อาจจะเพื่อให้ลูกหลานทำบุญให้ตัวเองด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เกิดจากความเมาสรรเสริญร่วมด้วย คืออยากให้คนเคารพนับหน้าถือตา ให้คนเขามาชม ให้มีเรื่องไปอวดชาวบ้าน ว่าเป็นตนนี้เป็นผู้ใหญ่ที่ใจบุญน่าเคารพยกย่อง จึงชอบไปทำบุญทำทานเพื่อการได้หน้า เพราะเขาเหล่านั้นหลงมัวเมาไปในบุญพร้อมกับเมาสรรเสริญ

เมาบุญหลงสุข เช่น ผู้ที่ทำบุญทำทานทั่วไป เมาไปในการทำบุญ หลงสุขติดสุข ถ้าไม่ได้ทำบุญจะไม่สุข ชีวิตต้องทำบุญ ในระดับเสพติดการทำบุญทำทานในลักษณะของทางโลก เช่น ทำทาน บำรุงวัด บริการพระ ฯลฯ เขาเหล่านี้จะหลงมัวเมาในบุญโลกียะเหล่านี้ ทำให้ติดหลงสุข ไม่ปฏิบัติในธรรมที่สูงกว่า ดีกว่า วิเศษกว่า เพราะมัวแต่พอใจกับกุศลทางโลก จึงเป็นความมัวเมาที่มาบดบังกุศลที่แท้จริง

…..เราจะเห็นผู้ที่เมาบุญในระดับของโลกธรรมเหล่านี้ได้ไม่ยากนัก โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มจะมีความสมบูรณ์ในชีวิต มีการงานดี มีครอบครัวดี มีลูกน้องบริวารดี เขาเหล่านั้นก็จะเริ่มหากิเลสในระดับที่มากขึ้นมาปรนเปรอตัวเอง โดยการเลือกมัวเมาไปกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ซึ่งเขาหลงเข้าใจไปว่าสิ่งเหล่านั้น จะทำให้ตัวเขามีความสุข

เมาบุญในระดับอบายมุข

และถ้าหากมัวเมาในบุญมากๆ ก็มักจะหลงไปในการเมาถึงระดับของเดรัจฉานวิชา ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำและหยาบ นอกจากจะไม่เกิดบุญอย่างที่เข้าใจแล้ว ยังสร้างความหลงมัวเมาบาปอกุศลในระดับที่มากอีกด้วย

คนที่เมาบุญจนขาดสติมักจะไปหลงมัวเมาในผู้บวชเป็นพระ หรือเกจิอาจารย์ที่ทำเดรัจฉานวิชา แล้วหลงเข้าใจว่าสิ่งนั้นคือบุญ สิ่งนั้นคือกุศล สิ่งนั้นคือสิ่งดี เช่นกิจกรรมเหล่านี้คือ ทายนิมิต ทำนายฝัน ทำพิธีเป่าเสก ทำนายทายทักวัตถุ คน สัตว์ สิ่งของ หมอผี หมอลงยันต์ ดูฤกษ์ ดูดวง ดูดาว ทำนายฟ้าฝน ทรงเจ้า ทำพิธีเชิญขวัญ พิธีบนบาน การแก้บนต่างๆ รดน้ำมนต์ ฯลฯ (ดูเพิ่มเติมในมหาศีล)

เหล่านี้คือเดรัจฉานวิชา คือวิชาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นวิชาที่พาโง่ โดยคนโง่ เพื่อคนโง่ พาให้หลงมัวเมาในกิจกรรมอันไม่เป็นกุศล ไม่เป็นบุญ ไม่พาลดกิเลส ไม่พาพ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญ ท่านให้เว้นเสียจากกิจกรรมการงานพวกนี้ คนที่หลงมัวเมาไปก็มีแต่จะเพิ่มทุกข์ คนที่ใช้วิชาเหล่านี้ก็มีแต่จะเพิ่มวิบากบาปให้ตนเอง เพราะไปทำให้คนอื่นหลงมัวเมา เพื่อแลกกับการเสพ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และเป็นการเพิ่มกิเลสของตัวเองด้วย

ดังจะเห็นได้ว่า ความเมาบุญ นี้มีมิติที่หลากหลายลึกซึ้ง บ้างเมาน้อย บ้างเบามาก ไปตามเหตุปัจจัยที่แต่ละคนทำมา ผู้ที่ปฏิบัติอย่างถูกตรง ทำดีมาก มีปัญญามาก ก็จะสามารถเห็นโทษภัยจากการเมาบุญในระดับต่างๆได้อย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันผู้ที่มีกิเลสหนา มีวิบากบาป จะแยกไม่ออกว่าสิ่งไหนที่เป็นกุศลหรืออกุศล สิ่งไหนที่เป็นบุญหรือบาป วิธีออกจากความโง่เขลาเหล่านี้คือทำบุญทำทานให้มาก เสียสละให้มาก ช่วยเหลือผู้อื่นให้มาก ถือศีลให้เคร่งครัด แล้วก็จะออกจากนรกนี้ได้เอง

– – – – – – – – – – – – – – –

23.9.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

เกิดมาทำไม?

August 7, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,003 views 0

เกิดมาทำไม?

เกิดมาแล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม… รู้แค่เกิดมาแล้ว มีสุข มีทุกข์ มีหน้าที่ตามที่เขาอยากให้ทำ และดำเนินชีวิตไปตามทางที่กิเลสจะพาไป จนวันหนึ่งมีคนถามคำถามนี้กับเรา… “เกิดมาทำไม?”

เป็นคำถามที่ชวนให้คิด… เกิดมาทำอะไร แล้วทำไมถึงเกิดมา…

เกิดมาทำอะไร?… ในเมื่อเกิดมาแล้วทั้งที จะต้องเรียนรู้ ทำงานไปเรื่อยๆ และสุดท้ายก็เกษียณอายุงาน กลายเป็นคนแก่นั่งอยู่บ้านอย่างนั้นหรือ ในเมื่อเห็นปลายทางแบบนั้นแล้ว มันก็ไม่เห็นจะน่าเดินไปตรงไหน ชีวิตในกรอบสังคมช่างน่าเศร้า เหมือนทุกข์ที่วนเวียนไม่รู้จบตั้งแต่เกิดจนตาย สุดท้ายก็ตายไปโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดมาทำอะไร

ทำไมถึงเกิดมา?… แล้วอะไรล่ะทำให้เราเกิดมาแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ นิสัยแบบนี้ มีครอบครัว และสังคมแบบนี้ อะไรเล่าเป็นตัวกำหนด จะตอบว่าความบังเอิญก็ดูจะมักง่ายและคลุมเครือเกินไป สุดท้ายก็ต้องไปตามหาคำตอบว่าเราเกิดมาได้อย่างไร

ใช้เวลาตามหาคำตอบกันอยู่นานหลายปี จนพบว่าเราเกิดมาเพื่อใช้เวลาที่มีเรียนรู้ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และวิถีปฏิบัติไปสู่การดับทุกข์ ซึ่งก็คือการล้างกิเลส เป็นหน้าที่หลักที่ต้องทำไปพร้อมกับสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและโลกในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่

ส่วนทำไมเราถึงเกิดมานั้น “กรรม” เป็นสิ่งที่ทำให้แต่ละชีวิตมีความแตกต่างกันออกไป และก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า หน้าที่มันยังไม่จบ ความอยากมันยังไม่หมดมันก็ต้องเกิดมาเสพต่อ เหมือนเราชอบขนม ถ้าวันนี้ได้กินขนม พรุ่งนี้มันก็อยากกินอีก…เกิดความอยากสะสมมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนต้องพยายามหามาเสพให้ได้ แม้จะตายก็ต้องเกิดมาสนองความอยากกันต่อไป ถ้ายังเหลือความอยากอยู่ก็ยังต้องเกิดอยู่เรื่อยไป

เกิดมาทำไม?

เรียนรู้เพื่อเพิ่มมิติในชีิวิต

June 25, 2013 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,288 views 0

กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปเรียนรู้วิถีชีวิตที่ต่างออกไป ห่างออกไปไกลจนเกือบขอบประเทศ ผมพาตัวเองไปในที่ที่คิดจะได้รู้จักตัวเองในอีกมุมหนึ่งมากขึ้น

การเดินทางในครั้งนี้ เป็นการไปเรียนรู้ว่าผมจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะอื่นๆนอกจากที่เคยเป็นได้หรือไม่ ครั้งนี้ผมได้ไปศึกษาอยู่กับกลุ่มชาวนาคุณธรรม ที่จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นกลุ่มที่คุ้นเคยกันอยู่บ้างแล้ว ซึ่งทางกลุ่มได้ต้อนรับและดูแลผม พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผมได้เรียนรู้หลายๆอย่างที่ผมไม่เคยได้รู้อย่างเต็มที่

ผมมีความรู้สึกว่าวันหนึ่งความเคยชินมันจะฆ่าผม มันทำให้ผมตายใจและประมาทอย่างช้าๆ ดังนั้นก่อนที่ผมจะชินกับความเป็นปัจจุบันที่อยู่นิ่งๆเป็นการดำเนินชีวิตที่วนซ้ำไปมา ก่อนที่จะสายเกินไป ผมเลือกเดินทางไปตามหามิติใหม่ หามุมมองที่ผมยังไม่เคยรู้จักให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ในครั้งนี้ผมเลือกเดินทางไปใช้วิถีชีวิตแบบไทยๆพื้นบ้าน ในถิ่นของชาวนาต่างจังหวัดห่างไกลกรุงเทพฯ ผมเลือกที่จะไปเรียนรู้รากเหง้า ชาติกำเนิดของเราเพราะเมืองไทยเป็นประเทศที่เหมาะกับการเกษตร น้ำเราดี ดินเราเยี่ยม เรามีต้นไม้มากมาย ไม่มีที่ใดในโลกที่เหมาะกับการเกษตรเท่านี้อีกแล้ว แต่ถึงจะมีผมก็คงจะไม่เดินทางไปให้ลำบากหรอก เพราะเมืองไทยนี่แหละ ดีพอแล้ว เมื่อเข้าใจว่าดีพอที่จะเรียนรู้เราก็ไปกันเลย

ปกติแล้วเวลาผมท่องเที่ยวเอง ผมก็จะพยายามใช้เวลาเดินดูเมือง คน วิถีชีวิต ต่างๆเท่าที่จะเห็นได้ตามเหตุและปัจจัย แต่ในครั้งนี้มีโอกาสดีกว่า ผมไปฝังตัวเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆจากกลุ่มชาวนาคุณธรรมรวม 17 วัน ได้ไปพักก็หลายบ้าน หลายอำเภอ กลุ่มชาวนาคุณธรรมเมตตากับผมมาก มีโอกาสมากมายให้คนเมืองอย่างผมได้เรียนรู้ ได้มอง ได้เห็น ได้เข้าใจ และได้ลงมือทำบ้าง ทำให้เห็นชีวิตที่แตกต่างไป

เราอาจจะคิดได้ว่า เราคนเมืองไปทำไร่นา เสาร์อาทิตย์ก็เหมือนกัน แต่จริงๆมันไม่เหมือนนะครับ ที่นี่เวลาแต่ละวันไหลช้า ไม่รีบเร่ง แต่มีการทำงานทุกวัน ไม่มีเจ้านาย ไม่มีลูกน้่อง มีแต่หน้าที่ ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง อยู่กับธรรมชาติ กับผลผลิต เป็นผู้ผลิตที่รู้ที่มาที่ไปของแหล่งอาหาร ชีวิตที่มีอิสระจากระบบ ห่างไกลจากกิเลส มันเป็นอะไรที่อธิบายได้ยากมาก ไปคุยก็ไม่เข้าใจ ต้องเข้าไปคลุกวงใน

ที่ผมสามารถบอกได้แบบนี้เพราะไปมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนรอบนี้ ปกติจะไปกับทีวีบูรพา จัดเป็นทัวร์พามาเรียนรู้ แน่นอนข้อจำกัดมันเยอะมาก ผมเลยเลือกที่จะลดข้อจำกัดเหล่านั้นด้วยการเดินทางมาเองเสียเลย

มิติในชีิวิตที่เพิ่มขึ้น

มาถึงเนื้อหาหลักๆของเรื่องนี้จริงๆเสียที ที่บอกว่าเพิ่มมิติในชีวิตนั้น อธิบายได้ง่ายๆ ก็เหมือนเพิ่มขนาดพื้นที่ความปลอดภัยในความรู้สึกเรานั้นแหละ ผมรู้จักชีวิตชาวนา คนต่างจังหวัด อาหารท้องถิ่น ชีวิตแบบเกือบจะเสื่อผืนหมอนใบ แน่นอนถ้าชีวิตผมต้องมีเหตุให้เปลี่ยนแปลง ผมจะยังสามารถดำรงชีวิตในรูปแบบอื่นนอกจากวิถีคนเมืองได้ ในขณะที่คนเมืองอาจจะทุกข์ทรมาณกับการกินอาหารที่ไม่เคยกิน นอนที่ที่ไม่เคยนอน เขาจะรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย

ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ให้นึกถึงน้ำท่วมปี 54 ที่ผ่านกันมา คนเมืองอย่างเราถูกจำกัดในสภาวะที่ของกินหายาก อาหารขาดแคลน น้ำไฟโดนตัด โชคดีหน่อยก็หนีได้ แต่ถ้าหนีไม่ได้จะทนอยู่อย่างไรไหว เครียดแย่เลย ไม่เคยหัดใช้ชีวิตลำบาก แน่นอนตามธรรมชาติของมนุษย์เราจะปรับตัวได้ในเวลาไม่นานนัก แต่ถ้าใครปรับตัวได้ไวกว่า เข้าใจได้ไวกว่ามันก็ทุกข์น้อยกว่า มันวัดกันตรงนี้

ถ้าถามว่าทำไมต้องลงทุนเรียนรู้กันขนาดนี้ ถ้าเกิดค่อยทำแล้วกัน ในมุมมองผมก็จะตอบว่า “ยามศึกเรารบ ยามสงบเราฝึก”ลองคิดดูว่าคนที่ประมาทกับคนที่พร้อม คนไหนจะมีโอกาสรอดมากกว่ากัน

แต่การเพิ่มมิติในชีวิต ไม่จำเป็นต้องเป็นการปรับลดปัจจัยเสมอไป เราอาจจะลองเข้าไปอยู่ในสังคมที่คิดว่าใช้ปัจจัยในการดำรงชีวิตเยอะก็ได้ ก็เป็นการเพิ่มมิติ มุมมองในชีวิตได้เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็แล้วแต่ว่าใครจะลองเพิ่มมุมไหน มุมไหนที่จะเป็นประโยชน์ มุมไหนที่ทำแล้วมันมีแต่จะแย่ลง ก็ลองเรียนรู้กันดูนะครับ

สวัสดี