Tag: ศีลธรรม
กรณีศึกษา ไลฟ์โค้ชที่ไม่มีศีล
ช่วงก่อนนี้มีเรื่องราวในสังคมเกี่ยวกับไลฟ์โค้ชที่ทำงานไม่โปร่งใส ไม่ทำงานไปตามที่ตนได้ประกาศไว้ มีอาการหมกเม็ด ไม่ชัดเจน สังคมจึงพากันจับตาในประเด็นนี้ เนื่องจากเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในโลกโซเชียล เป็นอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย
เรื่องราวเงียบหายไปพร้อมข้อกังขาราว ๆ 1 สัปดาห์ ไลฟ์โค้ชผู้ถูกกล่าวหาจึงได้มาแจ้งหลักฐาน ซึ่งในหลักฐานนี้เอง ก็ได้เป็นตัวมัดตัวเองอีกทีว่า เขาพูดไม่จริง
ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ เขายังประกาศอยู่เลยว่าได้รับเงินบริจาคราว ๆ 8 แสน ซึ่ง ตัวเลขในบันทึกของบัญชีกลับไม่เป็นไปแบบนั้น ตัวเลขรวมที่แจ้งในบัญชีประมาณ 1.3 ล้าน แต่ก็ยังมีประเด็นอื่นที่หนักกว่า
คือในใบบันทึกรายการ ต้นเดือนเมษายน มีบันทึกว่าถอนเงินมาประมาณ 200,000 บาท ในการถอน 4 ครั้ง ใน 2 วัน และ 3 วันต่อมามีการโอนเงินรวม 1 ล้าน เข้าบัญชีของไลฟ์โค้ช ผู้นั้น ทั้งหมดนี้คือกิจกรรมในเดือนเมษายน
ซึ่งดูจากการเบิกถอนก็ 1.2 ล้านเข้าไปแล้ว แม้เงินตั้งต้นในบัญชีเดิมจะมีเกือบแสน แต่ 8 แสน กับ 1.1 ล้าน ก็ยังมีส่วนต่างที่มากอยู่
ปัญหาก็คือเรื่องศีลธรรม การที่เมืองไทยมีคนที่ไม่มีศีลธรรม แต่มีอิทธิพลในโลกโซเชียลอยู่นั้น จะเป็นพลังที่ชักนำคนไปสู่ทางเสื่อม ยิ่งคนไม่มีศีลธรรมเด่นดังเท่าไหร่ยิ่งเสื่อมไวเท่านั้น
ซึ่งจากหลักฐานนั้น เขาก็รู้อยู่แล้วว่าเงินมันเกินล้าน เพราะมันมีการทำกิจกรรมโอนเงิน แล้วใครจะเข้าไปจัดการบัญชีเขาได้ ก็มีแต่เขานั่นแหละ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูด พูดไม่หมด พูดไม่จริง อันนี้เขาก็ฟ้องตัวเองอยู่แล้วว่าเขาไม่มีศีล
คนจะแสวงหาความเจริญก็ควรจะเลือกคบคนมีศีล ให้คนมีศีลได้เป็นผู้นำ และหมั่นตรวจสอบความจริงกันด้วยใจปรารถนาดี ว่าเขาหรือเธอเหล่านั้นยังมั่นคงในศีลธรรมอยู่ไหม
แรก ๆ อาจจะไม่รู้ ไม่รู้ก็คือไม่รู้ ก็คบกันไป ศึกษากันไป ตรวจสอบกันไป แต่พอได้ผลชัด ได้หลักฐานชัด ว่าคิดไม่ซื่อ จิตไม่ตรง ประพฤติชั่ว ก็เลิกคบกันไป เป็นการสร้างมงคลในชีวิตคือห่างไกลคนพาล
คนพาลซื่อ ๆ แสดงออกกันชัด ๆ ยังพอรู้ได้ง่าย แต่คนพาลหมกเม็ดเน่าในอันนี้รู้ยาก พาหลง ร้ายลึกยิ่งกว่านักเลงหัวไม้
ก็หยิบกรณีนี้มาวิจารณ์กันไว้ ใครจะเข้าไปคบหากับคนไม่มีศีลก็เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล แต่ในมุมมองของผม ผมก็ไม่เอาด้วยหรอก แล้วใครไปเชื่อมต่อกับคนชั่ว ผมก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน เหมือนคนดีมาหาเรา แต่คนนั้นยังคบกับคนชั่ว อันนี้แปลก ๆ แสดงว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากล เขาดีจริงหรือเปล่า? หรือเขาแกล้งดี? ถ้าคบคนพาลอยู่ คนอื่นเขาจะไม่ไว้วางใจ ก็ต้องยอมรับกรรมไป
คบสหายมีปัญญา ความเป็นสหายไม่มีในคนพาล
ถ้าบุคคลพึงได้สหายมีปัญญา เที่ยวไปด้วยกัน
เป็นนักปราชญ์คอยช่วยเหลือกัน
เขาครอบงำอันตรายทั้งปวงเสียได้
พึงพอใจ มีสติเที่ยวไปกับสหายนั้น
แต่ถ้าไม่ได้สหายมีปัญญาคอยช่วยเหลือกัน
พึงเที่ยวไปคนเดียว และไม่พึงทำบาป
เพราะความเป็นสหายไม่มีในคนพาล(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ “โกสัมพิขันธกะ”่ ข้อที่ ๒๔๗)
อ่านแล้วรู้สึกว่าเห็นด้วยมาก พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ให้ไปคบคนมั่ว ๆ ท่านแนะนำให้คบคนที่สูงกว่าหรือเสมอกัน ดังที่ท่านว่า คอยช่วยเหลือกัน ช่วยให้พ้นภัยอันตราย มีความพึงพอใจในกัน คือเคารพและยินดีในการมีอยู่ของกันและกัน ท่านให้คบหากับคนเหล่านั้น
แต่ถ้าหาไม่ได้ อย่าไปคบเชียว อย่าเชียวล่ะ คนที่ต่ำกว่า มีศีลธรรมต่ำกว่า จะพาปวดหัว เพราะท่านกล่าวว่า ความเป็นมิตรสหายไม่มีอยู่ในคนพาล ซึ่งก็จริงเช่นนั้นจริง ๆ คนที่เขาไม่พัฒนาตน ไม่พัฒนาศีลธรรม เชื่อใจไม่ได้หรอก ดีไม่ดีหลอกเราด้วยว่ามีศีลมีธรรม สุดท้ายก็ทำร้ายเรา นินทาเรา แทงหลังเรา พวกนี้เกิดจากเราไปคบคนพาล เสียทั้งเวลา และสารพัดเสีย ไม่มีมิตรแท้ในหมู่คนพาลนี่เรื่องจริง มีแต่ชิงดีชิงเด่นเอาหน้าเอาผลงาน
ยุคนี้คนพาลเขาฉลาด เขาก็แสร้งว่าเป็นคนดี มีศีลธรรม ก็เหมือนพระปลอม เนื้อปลอม ผู้ชายปลอม ผู้หญิงปลอม อะไรแบบนี้ ได้แค่เหมือน แต่ไม่ใช่ แม้กระนั้นก็ยังหลอกคนได้อยู่ดี แต่ถ้าเราใช้สูตรของพระพุทธเจ้า เราจะไม่พลาด เราไม่จำเป็นต้องไปอนุโลมคบกับคนต่ำกว่า แม้จะมีบทหนึ่งเว้นไว้สำหรับคนที่เขามาขอความช่วยเหลือก็สามารถเอาภาระสอนเขาได้ แต่การจะไปคบคนต่ำกว่าที่เขาไม่ได้ยินดีให้เราแนะนำหรือช่วยเหลือนี่มันผิดสัจจะ มันไม่พาเจริญ ดีไม่ดีเขายกตนข่มเราเข้าไปอีก ซวยไปกันใหญ่
ผมคบคนไม่เยอะ เพราะผมเน้นคุณภาพ ใครที่ดู ๆ แล้วท่าไม่ค่อยดี ผมก็ห่าง ๆ ไว้ มันเมื่อยหัว เพราะสร้างแต่เรื่องอกุศลและไร้สาระ เป็นคนรู้จักห่าง ๆ กันไปดีกว่า ไม่ต้องสนิทชิดใกล้กันหรอก ศีลมันไม่เสมอ ทำยังไงมันก็คุยกันไม่รู้เรื่อง
คนจะเป็นสหายกันนี่มันไม่ต้องพยายามหรอก คุยกันถูกคอ ศีลเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกันเดี๋ยวก็ไปด้วยกันได้เอง ถึงจะพยายามแค่ไหน ถ้ามันไม่เสมอเดี๋ยวก็หลุดไปอยู่ดี ด้วยเหตุที่ฟังแล้วไม่เข้าใจบ้าง อิจฉาบ้าง ฯลฯ เดี๋ยวก็เพ่งโทษ ถือสา หานรก ป่วนไปหมด
ครูบาอาจารย์ก็เคยบอกสอนไว้ แม้ในองค์กรเดียวกัน ก็ต้องเลือกกลุ่มให้ถูก เพราะกลุ่มที่ไม่พาเจริญก็มี กลุ่มที่พาเจริญก็มี ต้องเลือกให้ถูกระดับศีลเรา ถ้าเราถือศีลเคร่ง เราไปอยู่กับกลุ่มเหยาะแหยะบ้ากามหลงงานไม่ปฏิบัติธรรม อันนี้ตายอย่างเดียว มีแต่เสื่อม ไม่มีเจริญเลย เราก็ต้องเลือกกลุ่มที่เสมอกันเป็นอย่างน้อย ถ้ามีดีกว่า ก็ไปอยู่กลุ่มที่ดีกว่า
พระพุทธเจ้าท่านเน้นว่า “สหายมีปัญญา” ด้วยผมเองก็เป็นสายปัญญาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงหาคนที่มีปัญญามากกว่าไม่ยาก ยิ่งสายปัญญายิ่งมีน้อย ๆ อยู่แล้วด้วย คุยไปเถอะ นานไปเดี๋ยวก็รู้เอง คนไม่มีปัญญา เขาจะตามไม่ทัน เข้าใจผิด หลงประเด็น เพ่งโทษ ถือสา ฯลฯ แต่คนมีปัญญาเขาจะตามทัน แถมเขาจะรู้ด้วยว่าเราวางหมากอะไรไว้ แล้วเขาจะแก้ให้เราดูแล้วสอนท่าใหม่ที่เหนือกว่าที่เรามีให้เราด้วยความเมตตา
ศรัทธา

ศรัทธา
คนไม่มีศรัทธา พาตัวเองออกจากศาสนา
คนศรัทธาน้อย พาเงินเข้าวัด
คนศรัทธาดี พาธรรมเข้าสังคม
คนศรัทธามาก พากิเลสออกจากตน
คนศรัทธาเต็ม ชี้ทางนำกิเลสออกจากผองชน
. . . . . . . . . . . . . . . . . .
คนไม่มีศรัทธาจะไม่พาตัวเองเข้าหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และจะมีทิศทางที่จะห่างออกไปจากศาสนา ห่างออกไปจากศีลธรรม มักจะมีชุดความเชื่อของตนเอง ศีลธรรมของตนเอง ยึดตนเองเป็นที่ตั้งแห่งการตัดสินใจ
คนศรัทธาน้อยจะพาเอาลาภสักการะเข้าสู่ศาสนา มีเงินก็บริจาคเงิน มีที่ก็บริจาคที่ พาตัวเองเข้าวัดฟังธรรม ซึ่งหากขาดปัญญาแล้ว ศรัทธานั้นมักจะเป็นภัยแก่ตน คือไปศรัทธาอลัชชีผู้มักมาก หลอกล่อเอาลาภสักการะเข้าสู่ตน หลอกให้บริจาคทรัพย์ เวลา แรงงาน กระทั่งชีวิตให้แก่ตน
คนศรัทธาดีพอได้ศึกษาธรรมะบ้างแล้ว ก็จะมีความอยากเผยแพร่สิ่งดีๆให้กับคนอื่น ในขั้นหยาบๆมักมาในรูปของการเชิญชวนให้ทำทาน หรือให้ไปศรัทธาในอาจารย์ที่ตนนับถือ ในแบบทั่วๆไปก็คือการแจกจ่ายข้อมูลธรรมะ ตามคำบอกเล่า ตามหลักฐาน ตามที่มีที่อ้างต่างๆ มักจะเป็นธรรมะที่จำมา ซึ่งมักจะหลงผิดว่าเป็นการแจกจ่ายธรรมทาน ทั้งที่จริงแล้วเป็นเพียงผู้ที่ทำหน้าที่สื่อเท่านั้น ธรรมทานจะให้ได้ก็ต่อเมื่อมีคุณสมบัติเหล่านั้นในตนจริงๆ หากผู้ใดไม่มีธรรมนั้นในตนจริงแล้วเอามาแจกจ่าย ก็เป็นเพียงผู้ที่มีส่วนช่วยในการจำและกระจายข้อมูลเท่านั้น
คนศรัทธามากจะเข้ามาปฏิบัติที่ตนอย่างจริงจัง คือแสวงหาหนทางที่จะพาตนเองให้พ้นไปจากทุกข์ให้ได้ ซึ่งความศรัทธามากนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถปฏิบัติจนถึงผลได้ ขึ้นอยู่กับวิถีปฏิบัติที่ศรัทธาอยู่นั้นถูกต้องหรือผิดทาง ถ้าผิดทางศรัทธาที่มากนั้นก็จะพาไปเข้ารกเข้าพงเข้าป่าหลงทางกันไป แต่ถ้าถูกทางก็จะสามารถทำลายกิเลสที่ตนเองหลงติดหลงยึดโดยลำดับจนสามารถเปลี่ยนอธรรมในตนให้เป็นธรรมะได้ จึงเรียกว่าเป็นผู้สร้างธรรมะให้มีในตนได้อย่างแท้จริง ก็จะสามารถเป็นผู้แจกจ่ายธรรมทานนั้นๆ เท่าที่ตัวเองปฏิบัติมาได้โดยไม่ผิดสัจจะ
คนศรัทธาเต็มจะมีความเห็นว่ากิเลสนั้นเป็นสิ่งชั่วจึงล้างกิเลสออกจากตนจนสิ้นเกลี้ยง ทั้งยังชักชวนให้ผู้อื่นออกจากกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์นั้น รวมทั้งยังกล่าวสรรเสริญคุณในกิจกรรมการงานใดๆก็ตามที่พาให้ลดกิเลส ลดการเบียดเบียน ซึ่งผู้ที่มีคุณดังนี้ก็จะสามารถชี้ทางให้คนอื่นออกจากกิเลสได้ เพราะได้ทำสิ่งที่ควรทำก่อนแล้วจึงสอนผู้อื่น ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บัณฑิตพึงตั้งตนในคุณธรรมอันสมควรก่อน จึงค่อยพร่ำสอนผู้อื่นภายหลัง จักไม่มัวหมอง”
– – – – – – – – – – – – – – –
1.12.2558
การนำเสนอภาพยนตร์ “อาบัติ” (2)
อ่านบทความก่อนหน้านี้ : การนำเสนอภาพยนตร์ “อาบัติ”
ผมเองไม่ได้มีความเห็นว่าควรฉายหรือไม่ควรฉายนะ โดยส่วนตัวผมมองว่าเป็นเรื่องโลก ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะสนใจ เพราะศาสนาไม่สามารถถูกทำลายด้วยภาพยนต์เรื่องเดียวหรอก ศาสนาไม่ได้เปราะบางขนาดนั้น
เพราะถึงไม่สร้างหนังเรื่องนี้ ก็มีให้ดูตามข่าวกันอยู่เกือบทุกวันอยู่แล้ว มันแสดงให้เห็นความเสื่อมของศีลธรรมในสังคมมานานมากแล้ว
ศาสนาจะเจริญหรือเสื่อมได้ก็เพราะคน ถ้าคนมีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ต่อให้ทำอีกสิบหรือร้อยอาบัติมันก็เท่านั้นแหละ มันก็เป็นแค่สื่อสารคดีให้เขาคนมีปัญญาเขาศึกษาเท่านั้นเอง
ศาสนาคงอยู่ได้เพราะความบริสุทธิ์ของผู้ปฏิบัติ ถ้าเอากันชัดๆก็นักบวชนี่แหละ ที่เป็นตัวแสดงภาพลักษณ์ของศาสนา
ถ้ามันจะเสื่อมลงก็เพราะคน จะเจริญขึ้นก็เพราะคน ไม่ได้เกี่ยวกับสรรเสริญ( การสร้างหนังมาชม ) นินทา( การสร้างหนังมาสะท้อนปัญหา )อะไรเลย เพราะความเป็นจริงที่ผู้คนเห็นกันทุกวันนี้มันก็ชัดอยู่แล้ว
ถ้านักบวชส่วนรวมมีความประพฤติดี เขาก็ไม่กล้าสร้างหนังแบบนี้ขึ้นมาหรอก เพราะคนจะต่อต้าน หาเรื่องซวยเปล่าๆ แต่กระแสตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น น้ำหนักมันไม่ได้ไปในทิศทางเดียว มันมีทั้งต่อต้านทั้งสนับสนุน
พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่าให้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อรักษาภาพลักษณ์เพื่อให้ได้ลาภ สักการะ สรรเสริญ แต่ให้ปฏิบัติไปเพื่อการพราก เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลส ที่หวงลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์สุข
แล้วสิ่งที่ทำผิดทั้งหลายน่ะให้รีบแก้ไข ถ้ารีบแก้ไขมันก็จะไม่เสื่อม แต่ถ้าปล่อยไว้มัวแต่แก้ตัวหรือนิ่งทำเฉยมันก็จะเสื่อม ทุกวันนี้มีการแก้ไขกันเป็นตัวอย่างไหม? มีแต่อุ้มคนผิด เลี้ยงนักบวชทุศีล มันก็เสื่อมสิ พาเสื่อมปุ๊ปเดี๋ยวก็มีคนเอาไปตีแผ่อีก มันเป็นไปตามวิถีโลกอยู่แล้ว
ผมยืนยันเลยนะว่า ถึงจะฉาย”อาบัติ rate x” ( อย่างที่มีข่าวกันทุกวันนี้ ) พุทธก็ไม่เสื่อมไปจากคนที่มีของจริงหรอก ใครเขามีปัญญาเขาก็ศรัทธาอยู่แบบนั้น ส่วนใครสิ้นศรัทธาก็จากไป มันเป็นการคัดสรรโดยธรรมชาติเท่านั้นเอง
ศาสนาพุทธในมุมของผมนั้นไม่ลึกลับ เชิญใครมาดูก็ได้ว่าเราปฏิบัติเช่นนี้ เห็นเช่นนี้ ได้ผลเช่นนี้ ใครจะด่าจะว่า วิจารณ์ยังไงก็ได้ ศาสนาที่ไม่ยอมให้คนอื่นตินั้นไม่เจริญหรอก เช่นเดียวกันกับคนที่ไม่ยอมให้ใครวิจารณ์ เขาก็ยากจะเจริญเช่นกัน
ผมก็แอบสงสัยนะ ว่าการที่คิดจะแบนหรือปิดบังเนี่ย มันจะทำไปได้ตลอดหรอ ในเมื่อทุกวันนี้ก็เละเทะขนาดนี้แล้วเนี่ย
โดยส่วนตัวแล้วมองว่าถ้าปิดๆไว้ก่อนแล้วรีบแก้ไขสิ่งผิด มันก็พอเข้าใจได้ แต่ถ้าปิดไว้แล้วไม่แก้ไข ปล่อยให้ศีลธรรมเสื่อมแบบนี้มันจะบาปทะลักเอานะ


