Tag: พระพุทธเจ้า
ปล่อยเธอไป
ปล่อยเธอไป
…เพราะรักจึงเข้าใจและยอมรับ
ในวันที่การพลัดพรากได้มาถึง วันที่ต้องห่างกายหรือในวันที่ต้องห่างใจและคงจะห่างออกไปเรื่อยๆอย่างไม่มีวันกลับมา เราพร้อมจะรับมันไหมหากว่าวันเวลาเหล่านั้นได้มาถึงโดยที่เราไม่ได้คาดคิดไว้ว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้
คู่รักหลายคู่ที่คบกันอย่างจริงใจ ไม่มีคู่ไหนที่คิดว่าความสัมพันธ์นั้นจะต้องเสื่อมต้องสลาย ซ้ำยังเชื่อมั่นว่าเราและเขาจะต้องเจริญไปด้วยกัน จะต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน จะต้องร่วมสุขร่วมทุกข์ไปด้วยกัน เป็นคู่ชีวิตของกันและกัน
ความเชื่อเหล่านี้เป็นชุดความเชื่อทั่วไปของคนที่คิดจะรักกัน ผูกพันกัน สร้างครอบครัว ดำรงชีวิตร่วมกันมองชีวิตข้างหน้ามีเพียงความสวยงาม แต่กลับกลบความจริงไว้ใต้จิตสำนึกและไม่คิดจะยอมรับมัน
ความจริงนั้นก็คือเราต้องจากคนที่รักคนที่ชอบใจเป็นเรื่องธรรมดา ไม่จากเป็นก็จากตาย ถ้าจากตายนี่มันก็ง่ายหน่อย เพราะว่าไม่ซับซ้อน ตายแล้วก็จบไป เรื่องต่อจากนั้นก็ให้เป็นเรื่องของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนจากเป็นนั้นมีหลายสาเหตุ เช่น จากเพราะหมดรัก จากทั้งที่ยังรัก ฯลฯ
1).ตายจาก
ในวันใดวันหนึ่งเราก็ต้องตายจากโลกนี้ไป ตายจากสภาพเหล่านี้ไป เหลือไว้เพียงความทรงจำกับกรรมที่ได้ทำไว้ หากเราเป็นผู้ที่จากไปก็คงจะไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่ยืนมองคนที่รัก มองคนที่หวงแหนกำลังจะจากไป หรือจากไปแล้วไม่ว่าด้วยอุบัติเหตุ ด้วยโรคร้าย ด้วยกรรมบันดาลต่างๆ เราจะสามารถยอมปล่อยวางได้ไหม เราจะวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวเขาได้หรือไม่
ยามเมื่อที่คนรักจากไป ความเศร้าโศกเสียใจนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมชาติ หลายคนร้องให้คร่ำครวญ หลายคนกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นเวลานาน หลายคนมีอาการซึมเศร้าและวิถีชีวิตเปลี่ยนไปหลังจากเสียคนที่รัก อาการทั้งหมดเหล่านี้เป็นธรรมชาติที่เห็นได้ในโลกแต่กลับไม่ใช่ธรรมชาติของธรรมะ
การที่เราเศร้าโศกเสียใจหรือมีอาการอื่นๆ โดยรวมเรียกว่าเป็นทุกข์ เมื่อเป็นทุกข์เราก็ต้องค้นหาเหตุแห่งทุกข์ เมื่อค้นลงไปแล้วก็จะเจอกิเลส คือความยึดมั่นถือมั่น การที่เราทุกข์เพราะเราต้องพรากคนที่เรายึดมั่นถือมั่นไป ไม่ว่าจะยึดไว้ในสถานะใดก็ตาม เช่น ผู้นำครอบครัว คู่ชีวิต เพื่อนชีวิต ฯลฯ เราจะต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานมากเท่าที่เรายึดไว้
แต่ถึงจะทุกข์เท่าไร การจากพรากกันด้วยความตายนั้นก็ยังเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่าย ยอมรับได้ง่าย แม้ว่าเหตุการณ์จะดูบังเอิญและซับซ้อนเพียงใด แต่ในท้ายที่สุดก็คงต้องยอมรับว่าคนตายไม่มีวันฟื้นคืนกลับมาอย่างแน่นอน
การจะยอมปล่อยยอมวางความยึดมั่นถือมั่นในคนที่ตายจากไปแล้วนั้น เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่หลายคนสามารถทำได้ไม่ยากไม่ลำบากเท่าไรนัก แต่ก็ยังมีบางคน บางความเชื่อ บางวัฒนธรรมที่หลงติดหลงยึดไม่ยอมปล่อยยอมวางแม้ร่างนั้นจะเป็นซากที่ไร้วิญญาณไปแล้วก็ตาม
2).จากเป็น
สิ่งที่เข้าใจและยอมรับยากกว่าการจากตายก็คือการจากทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังเห็นกันอยู่ ยังวนเวียนอยู่ในชีวิตของกันและกัน แต่ความสัมพันธ์นั้นได้ตายจากไปแล้ว สถานะของคู่รักนั้นได้ยุติลงไปแล้ว อาจจะเกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายหมดรักต่อกัน หรือความจำเป็นบางอย่างก็ได้
ในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายหมดรักหมดความอยากในการเสพกิเลสร่วมกัน หมดความหมายในการร่วมเคียงคู่กัน นั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะปล่อยวาง เพราะทั้งสองรู้ดีว่าคู่ของตนในตอนนี้สนองกิเลสให้ตนไม่ได้ ทำให้ตนไม่พอใจ จึงไม่ยินดีที่จะเคียงคู่กัน ดังนั้นการเลิกรากันอย่างเต็มใจนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้นำมาซึ่งความทุกข์ใดๆ เพราะไม่ได้ยึดไว้ตั้งแต่แรกก็เลยไม่ต้องทุกข์เพราะไม่ได้ถือก็เลยไม่ต้องวาง อาจจะเพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ตรงใจนั้นทำให้เขาทั้งคู่ได้เรียนรู้และยินดีที่จะไม่ยึดมั่นในคู่ของตน
ในตอนจบของความสัมพันธ์แบบนี้อาจจะจบด้วยความเข้าใจก็ได้ หรือจะจบด้วยการทะเลาะเบาะแว้งก็ได้เช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าเราจะไม่มีการยึดซึ่งกันและกัน ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง บางครั้งเราอาจจะต้องทะเลาะกันด้วยเหตุที่ว่าเรายึดในตัวเองมากเกินไป
แต่ในกรณีการจากกันทั้งที่ยังรักกันหรือการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังคงรักยังคงผูกพันอยู่โดยที่อีกฝ่ายไม่ยินดีจะเคียงคู่กันอีกต่อไป จึงนำมาซึ่งปัญหาทางจิตใจมากมายไปจนถึงสุขภาพและสังคม หน้าที่การงาน กระทั่งในทุกองค์ประกอบของชีวิต
2.1).หมดรักจึงจากไป
เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดรักโดยที่อีกฝ่ายยังคงรักและผูกพันอยู่ ผู้ที่ถอนตัวจากความรักความหลงได้ก่อนก็เป็นผู้ที่เอาตัวรอดไปได้ เหลือทิ้งไว้แต่คนซึ่งยึดมั่นถือมั่นในความรัก เหมือนกับคนสองคนดึงหนังยางคนละฝั่ง คนที่ปล่อยทีหลังก็จะเป็นคนที่เจ็บ เราเจ็บเพราะเราไม่ปล่อย แต่เราจะปล่อยได้อย่างไรในเมื่อเรายังรักและผูกพันอยู่
ไม่ว่าจะถูกเลิกราไปด้วยกรณีใดๆก็ตาม เรามักจะเห็นคนที่ถูกทิ้งเป็นทุกข์โดยมีอาการคร่ำครวญ เศร้าโศกเสียใจ คับแค้นใจ เหตุนั้นเพราะหลงติดหลงยึด รากปลายสุดสายของความหลงผิดก็คืออวิชชา เป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท คือ มีสังขาร มีวิญญาณ มีนามรูป มีสฬายตนะ มีผัสสะ ต่อเนื่องกันไล่มาจนถึงมีเวทนา มีตัณหา มีอุปาทาน จึงเกิดเป็นภพเป็นชาติ จึงมีความตายซึ่งหมายถึงการพลัดพรากจากความรักนั้น และเกิดความทุกข์ต่างๆต่อมาเรื่อยๆนั่นเอง
การจะไปแก้ที่อวิชชานั้นเป็นเรื่องที่ทำทันทีไม่ได้ หลายคนเข้าใจผิด เข้าใจไปเพียงว่าแค่เรา”รู้”ก็สามารถดับทุกข์นี้ได้แล้ว เพราะเข้าใจด้วยภาษาว่าอวิชชาคือ “ความไม่รู้” จึงแก้ด้วยภาษาซึ่งนำคำว่า “รู้” เข้ามาคิดจะแก้อวิชชา จึงเกิดการฝึกสติให้เกิดการรู้ตัวทั่วพร้อมโดยเข้าใจว่าการรู้ตัวคือตัวดับทุกข์ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลย เป็นการเข้าใจผิดอย่างรุนแรง เพราะความรู้นั้นหมายถึงวิชชา คือความรู้แจ้งในกิเลสนั้นๆอย่างถ่องแท้ ดังนั้นการจะดับทุกข์ได้ต้องดับที่กิเลส ไม่ใช่ดับจิตให้นิ่ง แต่เป็นการขุดค้นเหตุแห่งทุกข์ แล้วดับมันด้วยสัมมาอริยมรรค
กลับมายกตัวอย่างอาการของคนที่ยึดไว้(อุปาทาน)เสียก่อน เมื่อเรามีความยึดในคู่ครองของตนแล้วต้องถูกพรากจากไปแบบเป็นๆนั้น จะมีอาการแสดงออกมาได้หลากหลาย ทั้งซึมเศร้าเหงาหงอย กินไม่ได้นอนไม่หลับ โวยวายตีโพยตีพาย เป็นบ้า ฆ่าตัวตาย อาการทำร้ายตัวเองเบียดเบียนตนเองเหล่านี้เป็นผลมาจากความยึดทั้งสิ้น
และยังสามารถแสดงอาการทำร้ายคนอื่นได้ เช่นการหึงหวง แม้จะถูกเลิกราไปแล้ว แต่ก็ยังตามรังควานอดีตคนรักที่เขาหมดรักไป ในมุมที่ไม่รุนแรงก็คือการตามง้อ ไปขอร้องให้มอบความเห็นใจ ขอให้กลับมารักกัน ร้องไห้ฟูมฟายเรียกร้องความสนใจ ไปวนเวียนอยู่ในชีวิตเขา ซึ่งการกระทำเหล่านี้เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นในระดับหนึ่ง เราเบียดเบียนเพราะเราอยากได้เขามาเสพเหมือนก่อน เพราะเรายึดว่าถ้าได้เสพจึงจะเป็นสุข และต้องเสพคนเดิมด้วยนะ เพราะเรายึดมั่นถือมั่นคนเดิมไว้
ความหึงหวงแม้ยุติความสัมพันธ์ไปแล้ว ก็เป็นเรื่องที่มักเห็นได้ตามข่าวในหนังสือพิมพ์ คือฝ่ายหนึ่งเลิกราไปแล้ว แต่อีกฝ่ายหนึ่งยังจองเวร ประมาณว่า “ถ้าข้าไม่ได้ก็ไม่ต้องมีใครได้คนนี้ไป” จึงตามรังควาน กดดัน บีบคั้น ใส่ร้าย จนกระทั่งมีการทำร้ายตบตี จนถึงฆ่ากันก็มีให้เห็นกันเป็นเหมือนเรื่องปกติ ลักษณะนี้เกิดจากความยึดที่รุนแรง พอตนเองโดนพรากสิ่งที่รักไปก็ไม่ยอมให้ใครได้ไป มันจะเอามาเป็นของตนอยู่ฝ่ายเดียว จนถึงขั้นฆ่าเพื่อไม่ให้ใครมาเสพก็ยังได้ ฆ่าทั้งที่ยังรักยังยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละ แต่เพราะความโกรธมันมากกว่า โทสะมันแรง พอเราไม่ได้เสพสมใจโทสะมันก็ขึ้น ถ้ามันขึ้นไปเหนือความรัก เหนือหิริโอตตัปปะ เหนือศีลเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะมีการกระทบกระทั่งจนถึงการทำร้ายกันฆ่ากันก็เป็นเรื่องธรรมดาของกิเลส
ไม่ว่าจะทำอย่างไร คนที่ยึดมั่นถือมั่นก็ยังคงต้องทนทุกข์ จะบอกให้ปล่อยวาง ไม่ไปทุกข์ ไม่เอาตัวเองไปทุกข์โดยใช้ความคิด ความเห็น ความเข้าใจเดิมมันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันยึดไปแล้ว กิเลสมันเกิดไปแล้ว อัตตามันสร้างไปแล้ว เราจะมาดูสรุปในข้อ 4. ตอนท้ายบทกัน
2.2).จากกันทั้งที่ยังรัก
การจากกันโดยที่เขาไม่ได้รักเราอีกต่อไปแล้วนั้นก็ยังทำใจได้ง่าย เมื่อเทียบกับการที่ต้องจากกันทั้งที่ยังรักกัน เขาก็รักเรา และเราก็รักกัน แต่ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆทั้งหลายนั้นอาจจะไม่เอื้ออำนวยให้ดำเนินชีวิตคู่ต่อไป อาจจะเป็นไปได้จากสาเหตุทั้งเรื่องส่วนตัว ครอบครัว สังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและกรรม
การจากกันโดยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดรัก อาจจะทำให้คนที่ต้องถูกทิ้งเสียใจ เสียดาย หรือกระทั่งโกรธได้ หมายถึงเกิดได้ทั้งดูดและผลัก คือพยายามจะดูดดึงเขาเข้ามาในชีวิตเหมือนเดิม และสภาพผลักด้วยความโกรธ ความน้อยใจ ความผิดหวัง หรือการงอน ทำให้ผลักเข้าออกจากชีวิต
แต่การจากทั้งที่สองฝ่ายยังรักกันนั้น ยากนักที่จะเกิดสภาพผลัก เพราะไม่ได้ทำผิดอะไรต่อกัน ยังคงรู้สึกดีต่อกัน ยังคงต้องการกันและกัน ดังนั้นการดูดดึงย่อมมีพลังรุนแรงเพราะไม่มีพลังผลักมาต้านหรือมาลดแรงของการดึงดูดกัน ซึ่งเป็นเรื่องยากแสนยากที่ตัดใจได้ ยากที่จะปล่อยวางได้
จะขอยกทศชาติของพระพุทธเจ้าบทหนึ่งมาเป็นตัวอย่างในกรณีนี้ ในมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นชาติที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญทานบารมี ในชาตินั้นท่านเองก็มีลูกและภรรยาที่ทั้งรักและผูกพันแต่ก็ต้องตัดใจมอบทั้งลูกและภรรยาให้ผู้อื่นทั้งๆที่ยังรักอยู่และภรรยาท่านเองก็ยังรักท่านอยู่ เป็นเรื่องยากสุดยากที่สุดจะจินตนาการ ยากจะเข้าใจ เป็นเรื่องที่คนธรรมดาไม่มีทางทำได้ต้องบารมีระดับพระพุทธเจ้าเท่านั้นถึงจะทำได้
ลดลงมาเป็นระดับที่เห็นได้โดยทั่วไปบ้าง ดังเช่นคนที่ครอบครัวห้ามไม่ให้คบกัน โดนสังคมกีดกันไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้เพราะหากคบกันต่อแล้วจะมีคนอื่นทุกข์อีกมากมายหรือเกิดทุกข์ที่คู่รักคู่นั้นเอง มีบางคู่ที่มีความยึดมั่นถือมั่นมากไม่สามารถยอมรับสภาพการที่ต้องถูกพรากทั้งที่ยังรักกันได้จนกระทั่งเลือกที่จะหนีตามกันหรือตัดสินใจอื่นๆเพื่อหนีจากทุกข์นั้น ถึงแม้คู่ที่ต้องถูกพรากขณะที่ยังรักกันจะสามารถยอมรับการพลัดพรากนั้นได้แต่ถึงกระนั้นก็ยังจะต้องทนทุกข์ทรมานจากความยึดมั่นถือมั่นอยู่เช่นกัน
3). มากกว่ารัก
ดูเหมือนว่าความรักนั้นจะมาพร้อมกับความทุกข์เสมอ แต่ความรักนั้นก็ยังมีมิติที่ล้ำลึกกว่ารักที่เราเห็นและเข้าใจ เป็นมากกว่ารักทั่วไป เป็นรักที่ไม่มีการผูกมัด ไม่มีความทุกข์ มีความหวังดีและจิตเมตตาอยู่ แต่ไม่มีความผิดหวัง เพราะไม่ยึดสิ่งใดไว้ให้ผิดหวัง เราจึงต้องเรียนรู้ในเรื่องที่มากกว่ารัก
ในส่วนของผู้ที่ต้องการความเจริญในทางธรรม เช่นเดียวกับตัวอย่างของพระพุทธเจ้า เราเองก็ต้องทำเช่นนั้นเหมือนกัน แต่จะไม่ยากเท่า ไม่ลำบากเท่า ผู้ที่จะต้องการทำลายกิเลสเพื่อข้ามพ้นสู่ความผาสุกที่แท้จริง จะต้องทำลายกิเลสทิ้งในขณะที่มีความรัก ในขณะที่ยังรักยังผูกพัน ในขณะที่ความรู้สึกว่ารักนั้นยังคงอยู่ ยังเหลือเยื่อใยต่อกันอย่างเต็มที่เท่านั้น
การทำลายกิเลสหรือการทำลายความยึดมั่นถือมั่นนั้นไม่ใช่การทำลายความรัก แต่เป็นการยกระดับของความรักจากรักแบบโลกีย์ ให้กลายเป็นรักในแบบโลกุตระ เป็นรักที่ยิ่งใหญ่ มีแต่ความเมตตา มีแต่การให้ ไม่คิดจะเอาอะไรกลับมา เป็นเพราะรักมากจนกระทั่งยอมปล่อยยอมวาง รักมากเสียจนยินดีสละทุกอย่างให้ มากจนยอมทนทรมานเพียรทำที่สุดแห่งทุกข์เพื่อที่จะได้มาซึ่งรักที่ใสบริสุทธิ์จากกิเลสและนำรักที่บริสุทธิ์นั้นมาให้กับคนที่รักและคนอื่นๆอีกมากมาย
เพราะรักมากและเห็นคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ของความรักมากกว่าการครองคู่ มากกว่าการยึดมั่นถือมั่น มากกว่าการจองเวรจองกรรมกันข้ามภพข้ามชาติ มากกว่าการกอดทุกข์ไว้ คือการปลดปล่อยตัวเราและผู้อื่นออกจากการจองเวรจองกรรม เป็นโอกาสเดียวที่เราจะสามารถเข้าถึงความสุขแท้ได้คือยอมรับและเข้าใจทุกสิ่ง
เพราะรักจึงเข้าใจและยอมรับ ไม่ว่าจะถูกทิ้งหรือจำใจจะต้องเลิกราก็ตาม สุดท้ายการปล่อยวางจะเกิดจากการเข้าใจทุกเหตุปัจจัยและยอมรับในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ
ผู้ที่ยอมปล่อยสิ่งที่รักได้อย่างเป็นสุข ปล่อยวางได้อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น จะได้รับปัญญาใหม่ ได้รับความรู้เกี่ยวกับความรักชุดใหม่ ได้รักใหม่ที่ดีกว่าเก่า สุขกว่าเก่า สบายกว่าเก่า สงบเย็นกว่าเก่า เมตตากว่าเก่า รักมากกว่าเก่า
4).เหตุเกิดของความยึดมั่นในสิ่งที่เรียกว่าความรัก
เหตุทั้งหมดของเรื่องเหล่านี้คือการยึด แล้วมันยึดอย่างไร ยึดมาตั้งแต่ตอนไหน เราจะมาลองอธิบายปฏิจจสมุปบาทไปกับการยึดของความรักกัน
จิตเดิมแท้ของเรานั้นเป็นจิตใสไม่มีกิเลส แต่ด้วยความไม่รู้คืออวิชชา ไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นกิเลส จึงหลงสร้างสภาพปรุงแต่งทั้งกายวาจาใจ เมื่อมีการปรุงแต่งจึงเกิดวิญญาณคือธาตุรู้ เมื่อมีวิญญาณจึงมีนามรูปคือตัวรู้แล้วตัวที่ถูกรู้ เมื่อมีนามรูปจึงมีสฬายตนะ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนถึงขั้นตอนนี้อาจจะเข้าใจยากสักหน่อยด้วยภาษาด้วยพยัญชนะ ซึ่งเป็นการเกิดของร่างกายและจิตใจเรานี่เอง
เมื่อเรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วจึงเกิดมีผัสสะ คือมีสิ่งกระทบ เช่นตากระทบรูปเห็นคน จำได้ว่าคนแบบนี้เรียกว่าคนสวยเป็นที่นิยม จึงเกิดเวทนาคือมีความสุขที่ได้เห็นคนสวย เมื่อมีความสุขจึงเกิดตัณหาคือความอยากเสพคนสวยหรือความสวยนั้น เมื่อมีตัณหาจึงมีอุปาทานคือการยึดมั่น ว่าฉันชอบคนสวย ฉันอยากได้คนสวย ฉันสุขใจเมื่อมีคนสวย มันยึดเข้าตรงนี้เอง กิเลสกลายมาเป็นตัวเราของเราตรงนี้เอง
ความรักหรือการยึดมั่นถือมั่นในคู่ครองก็เช่นกัน เมื่อเขาล่อลวงเราด้วยอบายมุข บำเรอเราด้วยกามคุณ สนองเราด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์สุข ทำให้เราเสพสมในอัตตาของเรา ทำให้เราได้รับผัสสะต่างๆ ได้กระทบกับสิ่งต่างๆเกิดเป็นความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ในส่วนของคนคู่นั้นก็มักจะเกิดการเป็นสุขมากกว่า เมื่อเป็นสุขก็เลยมีตัณหาคือความอยากเสพความสุขนั้นอีก อยากเสพไปเรื่อยๆจึงเกิดความยึดหรืออุปาทาน มันยึดคู่รัก คนรัก อดีตคนรักไว้ก็ตรงนี้ เพราะได้เสพสมใจในกิเลสจึงยึดมั่นถือมั่นไว้ เกิดความยึดในการเสพสุขนั้นไว้ แต่มันไม่จบเพียงเท่านี้
การยึดนั้นทำให้เกิดภพ หรือที่อาศัย ในที่นี้คือสภาพที่จิตใจได้ดำรงอยู่ เช่นติดอยู่ในภพที่ว่าเขาจะเป็นของฉันเช่นนี้ตลอดไป เมื่ออาศัยอยู่ในภพเช่นนี้จึงมีชาติ คือการเกิด เกิดกิเลสซ้ำ เกิดความอยากได้อยากมีอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่จะเกิดต่อจากความยึดว่าสิ่งนั้นเป็นสุข
แต่เมื่อมีการเกิดก็ต้องมีการดับเป็นธรรมดา คือเมื่อเกิดแล้วก็จะค่อยๆแก่ลงไปชราลงไป หมายถึงรักนั้นไม่ได้สดใสเหมือนเมื่อก่อน มันเสื่อมลง มันน้อยลง แม้ได้เสพก็สุขน้อยลง เมื่อแก่แล้วก็ต้องตาย ความตายอาจจะตายจากกันจริงๆหรือหมายถึงความรักนั้นตายจากใจก็ได้ มันหายไปสลายไปไม่มีเหลือ ที่นี้คนที่ติดสุข ติดภพ ยึดมั่นถือมั่นในคู่รักก็จะเกิดเป็นความเศร้าโศก คร่ำครวญรำพัน เสียใจ สร้างความคับแค้นใจ และความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลในความรักที่มีกิเลสย่อมเกิดด้วยเหตุเช่นนี้
พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น สิ่งนั้นจะไม่ทุกข์เป็นไม่มี” ดังนั้นการจะดับปัญหาที่เกิดขึ้นคือต้องดับที่ความยึดมั่นถือมั่น การจะปล่อยวางได้อย่างแท้จริงต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่การจะทำลายความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ง่ายเพียงแค่ท่องว่าปล่อยวาง แต่เป็นการทำลายกิเลสซึ่งเป็นรากแห่งความยึดมั่นถือมั่นโดยใช้อริยสัจ ๔ เข้ามาเป็นพระเอกในภารกิจนี้ต่อไป
– – – – – – – – – – – – – – –
6.12.2557
กว่าจะถึงธรรมทาน
กว่าจะถึงธรรมทาน
…กว่าจะสร้าง กว่าจะให้ กว่าจะรับ กว่าจะเข้าใจ
ขึ้นชื่อว่าธรรมทานนั้นก็รู้กันดีว่าเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ มีกุศลมาก เป็นบุญมาก มีอานิสงส์มาก แต่การจะให้ธรรมทานนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก กว่าจะสร้างธรรมขึ้นมาในตัวก็ว่ายากแล้ว การจะให้ธรรมนั้นยากยิ่งกว่าและการจะให้ไปจนถึงผลเจริญนั้นยากที่สุด
ก่อนจะให้ธรรมทานนั้นเราต้องมีธรรมนั้นในจิตวิญญาณก่อน เป็นธรรมะแท้ที่เกิดในจิตของเราเป็นของจริงของเรา เมื่อเรามีของจริงแล้วจึงจะสามารถให้ใครก็ได้
แต่การจะให้ธรรมทานนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนักจะเรียกว่ายากสุดยากเลยก็ว่าได้ ก่อนที่เราจะให้นั้นเราต้องบุกป่าฝ่าดงออกจากกองกิเลสของเราก่อน ทำลายดงอัตตาที่ผูกพันตัวเราออกเสียก่อนจึงจะสามารถส่งต่อธรรมทานได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าไม่ทำลายกิเลสของเราก่อนมันก็จะเป็นธรรมที่ไม่ผ่องใสเป็นธรรมที่ปนกิเลสเหมือนกับการให้ของสดปนกับของเน่า และการจะให้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าเราจะมีของดีแค่ไหน ดีที่สุดโลก ดีกว่าที่ใครต่อใครมี ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะยินดีรับธรรมนั้น การให้แก่ผู้ที่ไม่ยินดีรับย่อมไม่ใช่การให้แต่เป็นการยัดเยียดซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย
ถึงแม้ว่าเขาจะเปิดใจรับธรรมนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าธรรมนั้นจะทะลุถึงใจเขาทันที เราต้องฝ่าด่านกิเลสที่ผูกมัดเขาและกำแพงอัตตาอันสูงใหญ่ของเขา เหมือนกับว่าเขาเปิดประตูบ้านต้อนรับเราก็จริง แต่ทางเข้าบ้านนั้นเต็มไปด้วยขวากหนาม มีกำแพงปกป้องบ้านอยู่มากมายหลายชั้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้ธรรมนั้นแล้วเข้าไปถึงจิตใจจนมีผลเจริญทันที โดยส่วนมากเรามักจะต้องผ่าดงกิเลสและกำแพงอัตตาของเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ยากลำบากและทำให้ผู้ให้และผู้รับหลายคนบาดเจ็บกันมานักต่อนักแล้ว เพราะการที่เขาบอกว่ายินดีฟังธรรมจากเราไม่ได้หมายความว่าเขาจะยินดีทั้งหมด เหมือนกับเราเข้าบ้านเขาไปแล้วไปรื้อดงกิเลสสุดหวงของเขา ไปทำลายกำแพงอัตตาสุดที่รักของเขา เขาก็อาจจะโกรธแล้วก็ไล่เราออกจากบ้านได้เหมือนกัน
การประมาณเป็นทักษะที่จำเป็นมาก ต้องรู้ว่าเราคือใคร เรากำลังให้อะไร ผู้รับเป็นใคร ผู้รับต้องการอะไร แค่ไหนที่เขาต้องการ เรื่องไหนที่ไม่ควรก้าวล่วง มีหลายครั้งที่เราอาจจะต้องเสี่ยง เมื่อมีการเสี่ยงนั่นหมายถึงผลอาจจะออกมาเป็นได้ทั้งดีและร้าย ธรรมะไม่เคยทำร้ายใคร แต่สิ่งที่ทำร้ายคือกิเลสของเราเอง รวมถึงดงกิเลสและกำแพงอัตตาของเขานั้นคือสิ่งกั้นธรรมะไว้
การที่เราจะให้ธรรมใดก็ตาม แม้ว่าจะเป็นธรรมสั้นหรือยาว ลึกตื้นหนาบาง เล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ โลกียะหรือโลกุตระ จำเป็นต้องให้ธรรมหรือแสดงธรรมให้นุ่มนวลที่สุด เหมือนกับนักย่องเบาที่ก้าวผ่านดงกิเลสกำแพงอัตตาเข้าไปทำลายกิเลสโดยที่ผู้ฟังไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนสอนธรรม เหมือนการผ่าตัดด้วยหมอที่มีความแม่นยำด้วยมีดอันคบกริบผ่ากิเลสออกได้โดยไม่สร้างบาดแผลที่ไม่จำเป็น
ยังมีอีกหลายเทคนิคที่ต้องใช้ต่างกันไปสำหรับต่างคน ต่างจริต ต่างกรรม เช่น บางคนต้องพูดตรงๆแรงๆ บางคนต้องพูดอ้อมๆ บางคนต้องพูดกระทบชิ่ง บางคนพูดไม่ได้ต้องทำให้ดู บางคนพูดไม่ได้เลยทำอะไรก็ไม่ได้ต้องปล่อยวางรอเวลาอย่างเดียวก็มี
การให้นี่ก็ยากแล้วใช่ไหม แต่เราให้ธรรมไปก็เป็นสิ่งดีแล้วถ้าเราให้ไปด้วยใจที่ไม่ยึดติดในผลก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้แล้ว เพราะการจะให้ธรรมจนเกิดผลเจริญนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ได้ดูง่ายดายเหมือนในประวัติศาสตร์สมัยพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเพียงไม่กี่ประโยคก็บรรลุธรรมกันได้แล้ว
สมัยนั้นผู้ให้ธรรมทานก็เก่งที่สุดในโลกและเหล่าสาวกก็ยังเป็นผู้มีบุญบารมีที่ติดตามกันมาหลายภพหลายชาติ ย่อมจะฟังกันได้ง่าย พูดกันไม่กี่ประโยคก็เข้าใจ ต่างกับยุคเราที่อ่านธรรมพระพุทธเจ้าก็แล้ว ฟังธรรมหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ก็แล้ว ปฏิบัติกันมาก็แล้ว ยังไม่บรรลุธรรมกันเสียที
เพราะธรรมทานไม่ใช่เรื่องง่ายแค่เปิดซีดีฟัง เปิดยูทูปฟัง หรืออ่านหนังสือธรรมะ การแสดงธรรมแบบสดๆ การถามตอบในเรื่องธรรมกันแบบสดๆจะมีพลังงานที่ต่างกันออกไป เป็นเรื่องสดใหม่ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาจากบุญของผู้พูดและบุญของผู้ฟัง เกิดเป็นธรรมนั้นๆ ธรรมที่ถูกปรุงแต่งให้เข้ากับเหตุการณ์ เข้ากับยุคสมัย เข้ากับคน เข้ากับจริต ตรงประเด็นของกิเลส ทำลายอัตตาได้
ยังมีเบื้องหลังอีกมากมายที่เรามองไม่เห็นเกี่ยวกับการบรรลุธรรมจากการฟังธรรม คนที่บุญบารมีถึงรอบที่ควรแค่ใบไม้หล่นก็บรรลุธรรมได้ ฟังธรรมไม่กี่ประโยคก็บรรลุธรรมได้ ถึงจะไม่ตั้งใจแต่ก็จะมีเหตุดลให้เข้าใจธรรมหรือให้ได้มาฟังธรรมนั่นก็เพราะเขามีบุญบารมีที่ควรจะได้รับธรรมนั้น เพราะเขาทำมาเขาจึงได้รับสิ่งนั้น
ส่วนคนที่บุญน้อยบารมีน้อย สะสมมาน้อย ทำมาน้อย แม้ว่าจะมีครูบาอาจารย์อยู่ตรงหน้า มีพระอริยะคอยสั่งสอน หรือมีพระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้ได้ฟัง ก็จะไม่เข้าใจธรรม ไม่บรรลุธรรม ฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจ ยิ่งฟังยิ่งงง เพราะเขาสะสมบุญบารมีมาน้อย ปฏิบัติธรรมมาน้อย ฟังธรรมมาน้อย เขาจึงไม่มีโอกาสได้รับธรรมนั้น เพราะเขาไม่ได้ทำมาเขาจึงไม่มีสิทธิ์รับสิ่งนั้น
ดังนั้นการให้ธรรมเป็นทานจนถึงผล จึงเป็นเรื่องสุดวิสัย เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาผลได้ เพราะเราไม่รู้ว่าตอนนั้นเขาบุญเปิดหรือบาปเปิดอยู่ เราอาจจะต้องลองโยนหินถามทางไปก่อนถามแหย่ไปก่อน สังเกตว่าเขาอยากฟังเราไหม หรือแค่อยากจะบ่นระบายปัญหาในชีวิตเท่านั้นไม่ได้ต้องการคำปรึกษา หรือถ้าหากต้องการคำปรึกษาเราจะพูดเรื่องอะไร เขาสนใจเรื่องอะไร ลองเกริ่นหัวข้อไปก่อนเขาสนใจก็ค่อยพูด เขาไม่สนใจก็ผ่านไปก่อน คนที่วิบากบาปยังส่งผลอยู่ยัดให้ตายก็ยัดไม่เข้า พูดไปก็เปลืองเวลาแถมยังเป็นโทษทั้งสองฝ่ายอีก
ทั้งหมดนี้คือความยากของการเกิดธรรมทาน ตั้งแต่การสร้างธรรมะนั้นในตัว การให้ธรรมะนั้นออกไปกับคนอื่น และการแสดงธรรมให้แจ่มแจ้งจนเกิดผลเจริญทางจิตใจ เป็นสิ่งที่ยากสุดยาก แต่ผลที่ได้นั้นก็คุ้มสุดคุ้มเพราะสามารถให้ธรรมนั้นไปเจริญในจิตใจของผู้อื่นจนเขาใช้ธรรมนั้นเป็นเครื่องมือดับทุกข์ได้
– – – – – – – – – – – – – – –
27.11.2557
มนุษย์เป็นสัตว์กินตามกิเลส : ตอบสารพัดปัญหาไขทุกข้อข้องใจกับเรื่องมังสวิรัติ
มนุษย์เป็นสัตว์กินตามกิเลส : ตอบสารพัดปัญหาไขทุกข้อข้องใจกับเรื่องมังสวิรัติ
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์นั้น หลายคนก็คงจะเข้าใจว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ เป็นสัตว์ที่มีเมตตา มีปัญญา มีจิตใจสูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน สร้างสรรค์สังคมและโลกให้เป็นไปอย่างสงบร่มเย็น
แต่ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็สามารถเป็นสัตว์นรกได้เช่นกัน เบียดเบียน แก่งแย่ง แข่งขัน เห็นแก่ตัว ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายผู้อื่น อยากได้อยากมีสิ่งต่างๆมาปรนเปรอกิเลสตนเอง เป็นมนุษย์นรกที่สามารถสร้างความเดือดร้อนฉิบหายวายวอดให้กับคน สัตว์ และโลก สามารถทำสิ่งที่เลวร้ายเกินกว่าที่สัตว์เดรัจฉานจะสามารถทำได้
สัตว์นั้นล่าเพื่อดำรงชีพ ประทังความหิว ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันในทุกวัน แต่มนุษย์นั้นล่ามาเพื่อบำรุงบำเรอกิเลส จะว่ามีปัญญาสูงกว่าสัตว์ก็คงใช่ และจะว่ามีตัณหาสูงกว่าสัตว์ก็คงใช่อีกเหมือนกัน
เมื่อได้ศึกษาข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับผู้กินมังสวิรัติและปัญหาที่มีการถกเถียงกันในสังคมจึงนำมาวิเคราะห์และตอบคำถามกันใน 7 ประเด็นนี้
1)…คนเป็นสัตว์กินพืช หรือสัตว์กินเนื้อ
มีประเด็นที่ถกเถียงกันบ่อยครั้งระหว่างนักมังสวิรัติกับคนที่หลงรักเนื้อสัตว์ในเรื่องคนเป็นสัตว์กินพืชหรือกินเนื้อ โดยมักจะเอาหลักฐานมาตอบโต้กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของฟัน ลำไส้และระบบการย่อย สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เถียงกันไปก็เท่านั้น เอาชนะกันไปก็เท่านั้น ถึงจะพิสูจน์ได้ว่าจริงๆคนเป็นสัตว์กินพืช ยังไงคนที่เสพติดเนื้อสัตว์ก็ยังเลิกไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละแต่ที่แน่ๆ คนเป็นสัตว์กินตามกิเลส
ในความเป็นจริงแล้วคนกินได้ทั้งพืชและเนื้อสัตว์ เราสามารถย่อยและได้พลังงานจากแหล่งพลังงานทั้งสอง แต่ผลที่ได้จะไม่เหมือนกัน หมู่คนที่มักกินเนื้อเป็นหลัก กินเนื้อเป็นส่วนมาก มักจะมีโรคมากและอายุสั้น เช่นชาวเอสกิโม มีโอกาสที่จะตายตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 ด้วยเหตุแห่งโรคเช่น มะเร็ง ในทางกลับกันชาวฮันซาได้ชื่อว่าอายุยืนนั้น มักจะไม่กินเนื้อสัตว์ กินพืชเป็นหลัก มีผลทำให้อายุเฉลี่ยประมาณ 120 ปี และไม่มีอาการป่วยจากโรคยอดฮิตเช่น มะเร็ง เบาหวาน ฯลฯ ชาวฮันซาที่อายุ 90 ยังแข็งแรงและสามารถเต้นได้
ดังจะเห็นได้ว่าทั้งพืชและเนื้อสัตว์มันกินได้เหมือนกันแต่ผลออกมาไม่เหมือนกัน ดังคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “การเบียดเบียนทำให้มีโรคมากและอายุสั้น” ดังนั้นคนที่หลงเสพติดเนื้อสัตว์ กินเนื้อสัตว์มาก มีส่วนเบียดเบียนมาก เขาก็จะมีโรคมากและอายุสั้น เขาเหล่านั้นใช้ชีวิตของตัวเองพิสูจน์สัจจะนี้ เขาเสียสละให้เราเห็นว่าการกินเนื้อสัตว์มีทุกข์ มีโทษอย่างไร เราก็ดูเขาไป ไม่ต้องไปบังคับให้ใครเขามาเชื่อตามเราว่าการกินมังสวิรัตินั้นดี หรือไปบอกว่าทุกคนควรกินมังสวิรัติ
เพราะการจะมากินมังสวิรัติได้นั้น จำเป็นต้องพิจารณาให้รู้อย่าลึกซึ้งถึงคุณค่าของการกินมังสวิรัติและโทษจากการเบียดเบียนสัตว์อื่นเป็นอย่างมาก และไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ได้ หลายคนยินดีที่จะเบียดเบียนเพื่อให้ได้เสพรสที่ตนติดใจและหลงใหล โดยไม่หวั่นเกรงต่อบาป เวร ภัยที่จะเกิดกับตัวเองแม้แต่น้อย
การที่เรามัวแต่จะไปเอาชนะกัน ข่มกัน เอาเหตุผลมาขัดแย้งกันด้วยอารมณ์เป็นการสร้างความบาดหมาง ซึ่งก็ไม่ได้เป็นประโยชน์กับใครเลย ผู้กินมังสวิรัติไม่ควรจะไปเถียงกับใครจนเกิดความผิดใจกัน ควรจะชี้แจงด้วยเหตุผลแต่พอดี เขาจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ เราได้บอกเขาแล้ว เราก็วาง สุดท้ายผลจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่บาปบุญของเขา แต่เราจะไม่ไปทะเลาะกับเขาอย่างแน่นอน
ผู้กินมังสวิรัตินั้นนอกจากจะต้องมีเมตตาต่อเหล่าสัตว์เดรัจฉานแล้วยังต้องมีความเจริญทางจิตใจด้วย ไม่อย่างนั้นคนกินเนื้อเขาจะดูถูกเอาว่ากินผักกินหญ้าเหมือนวัวเหมือนควาย กินมังสวิรัติแล้วไม่มีปัญญา กินมังสวิรัติแล้วยังนิสัยเสียอยู่เหมือนเดิม เมื่อชาวมังสวิรัติถูกกล่าวหา พึงตั้งตนอยู่ในคำสอนสองประการของพระพุทธเจ้าคือ ๑ พึงตั้งตนอยู่ในความจริงแท้ ๒. ไม่หวั่นไหวขุ่นเคือง ผู้ที่สามารถทนต่อแรงกระแทกของโลก หรือทนต่อคำพูดของคนส่วนใหญ่ที่เขายังเสพเนื้อและหาเหตุผลมากมายที่จะยืนยันว่าการเสพเนื้อนั้นดีได้โดยไม่มีการทะเลาะวิวาท จึงจะเป็นผู้ที่เจริญ ดังคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า ผู้ไม่โกรธตอบ ผู้ที่กำลังโกรธอยู่ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะสงครามที่ชนะได้ยาก
คนที่เขาเห็นผิด เขาก็ต้องเห็นความถูก(มังสวิรัติ)เป็นความผิดอยู่แล้ว จะให้เขาเห็นเรื่องที่ถูกที่ดี เป็นเรื่องที่ถูกไม่ได้ ดังที่เขาเห็นว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นถูกนั้นดี ทั้งที่จริงๆแล้วการเบียดเบียนเป็นสิ่งไม่ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เขาจะได้รับทุกข์ โทษ ภัย จากการเบียดเบียนของเขาในวันใดก็วันหนึ่ง และสุดท้ายในชาติใดชาติหนึ่งเขาก็จะเข้าใจและหันมากินมังสวิรัติเอง
2)…มังสวิรัติมีงานวิจัยรองรับไหม?
เรื่องมังสวิรัติมีงานวิจัยมากมาย และหลักฐานที่น่าเชื่อถือกว่างานวิจัยคือ มีคนกินมังสวิรัติที่ยังใช้ชีวิตปกติหรือมีศักยภาพมากกว่าคนทั่วไป ให้ได้ตรวจสอบคุณค่าของการกินมังสวิรัติ เป็นหลักฐานตัวเป็นๆ ไม่ใช่แค่กระดาษที่อาจจะสามารถอุปโลกน์กระบวนการวิจัยหรือบิดเบือนการเก็บข้อมูลได้ ยังเป็นคนที่ใช้ชีวิตมังสวิรัติอยู่ในโลกใบนี้ โลกเดียวกับคนที่เห็นว่าเนื้อสัตว์นั้นดี โลกเดียวกับคนที่คิดว่าการขาดเนื้อสัตว์จะไม่แข็งแรงนั่นแหละ
ในปัจจุบันเรามีความเจริญทางด้านการแพทย์ในการดูแลสุขภาพมากมาย แต่เรากลับพบโรคมากขึ้น คนป่วยมากขึ้น หมอและพยาบาลทำงานหนักมาขึ้น ทั้งที่จริงแล้ว เมื่อสังคมพัฒนาไปเรื่อยๆเราก็น่าจะมีความสุขขึ้น มีโรคน้อยลง อายุยืนยาวขึ้นสิ
แต่ในทุกวันนี้กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เรามีอายุน้อยลง มีโรคมากขึ้น มีความสุขน้อยลง แม้ว่าเราจะได้เสพสมใจในสิ่งต่างๆก็ตาม ซึ่งอาจจะเป็นไปอย่างสอดคล้องกับคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “การเบียดเบียนทำให้มีโรคมากและอายุสั้น” เรากำลังใช้ชีวิตเบียดเบียนใครอยู่หรือเปล่า ทางที่เราเดินนั้นจะพาเราไปสู่ความสุขจริงหรือ การกินเนื้อสัตว์นั้นทำให้แข็งแรงจริงหรือ
โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่องานวิจัยของพระพุทธเจ้าที่ท่านประกาศมาเมื่อกว่า 2600 กว่าปีมาแล้ว ว่าคนที่จะสงบจากกิเลสคือคนที่ไม่เบียดเบียน ,คนที่จะมีความผาสุกคือคนที่ไม่เบียดเบียน ส่วนใครจะเชื่องานวิจัยยุคใหม่ว่าเนื้อสัตว์ดีอย่างนั้นจำเป็นอย่างนี้ก็ตามใจ เพราะผมเองเชื่อเต็มใจว่าไม่มีใครรู้โลกอย่างแจ่มแจ้งไปกว่าพระพุทธเจ้าแน่นอน
3)…ยังเห็นพระฉันเนื้อสัตว์อยู่เลย
กลายเป็นเรื่องปกติของนักบวชยุคนี้ไปแล้วที่มีการฉันเนื้อสัตว์ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความพระทั้งหมดจะกินเนื้อสัตว์ ยังมีพระและนักบวชบางส่วนที่ท่านไม่ยินดีฉันเนื้อสัตว์ทำไมถึงมีทั้งนักบวชที่ยินดีและไม่ยินดี?
เหตุนั้นคงเพราะกิเลส นักบวชคนใดที่ไม่มีกิเลส รู้ถึงโทษของการเบียดเบียน ก็จะพร่ำสอนให้เหล่าศิษย์และผู้ศรัทธาได้เห็นโทษของการกินเนื้อสัตว์ ในกรณีเดียวกัน นักบวชใดที่ยังไม่ตระหนักว่าความอยากกินเนื้อสัตว์คือกิเลส ก็จะไม่พร่ำสอนให้เลิกกินเนื้อสัตว์ หากสอนให้เลิกกินเนื้อสัตว์ไปแล้ว ตนเองก็อาจจะอดเสพเนื้อสัตว์ที่ตนหลงชอบไปด้วย
นักบวชนั้นอาจจะรับประเคนเนื้อสัตว์ก็ได้ แต่ท่านจะฉันหรือไม่เป็นอีกเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราไปถวายอาหารให้พระ ก็จะมีอาหารมากมายหลากหลาย ท่านสามารถพิจารณาอาหารได้ตามที่สมควร ตามกิเลสและปัญญาที่ท่านมี กิเลสมากก็หยิบเนื้อสัตว์กินไป กิเลสน้อยก็กินพืชผักแล้วพร่ำสอนให้คนได้เห็นโทษของการกินเนื้อสัตว์
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีคุณหรือประโยชน์ใดๆเลยในการเบียดเบียน ไม่ใช่สิ่งที่น่าสรรเสริญ กลับเป็นสิ่งที่ควรละอาย ว่าเรายังต้องใช้ชีวิตสัตว์อื่นมาเลี้ยงกายเพื่อเสพกิเลส
พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยตรัสว่าห้ามกินเนื้อสัตว์ เพราะจริงๆแล้วมีเนื้อสัตว์ที่กินได้อยู่ นั่นคือเดนสัตว์ ซากสัตว์ที่สัตว์อื่นล่ามาแล้วเหลือทิ้งไว้ และสัตว์ที่ตายเองตามกรรมของมัน นั่นคือเนื้อที่กินได้ ไม่บาปในส่วนของปานาติปาต
ท่านยังตรัสตอบในตอนที่พระเทวทัตขอให้บัญญัติว่าให้นักบวชในพุทธศาสนาห้ามกินเนื้อสัตว์ ใครกินถือว่าผิด พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เออออตามพระเทวทัต เพราะโดยสัจจะนั้นมีเนื้อที่กินได้ตามที่กล่าวมาข้างต้น ท่านจึงได้บัญญัติว่าสามารถกินเนื้อได้โดยให้เนื้อนั้นบริสุทธิ์ โดย ๓ ประการ คือ
๑ไม่ได้เห็นว่าเขาฆ่ามา .. เนื้อชิ้นนั้นเราไม่ได้เห็นไม่ได้รับรู้ว่าเขาได้จากการฆ่าสัตว์มาเพื่อเป็นอาหารในมื้อนี้ .. แต่เราก็เห็นแล้วว่ามีฟาร์มสัตว์ มีโรงฆ่าสัตว์..
๒ไม่ได้ยินว่าเขาฆ่ามา … เนื้อชิ้นนั้นเราไม่ได้ยินใครกล่าวอ้างว่าเขาได้จากการสัตว์มาเพื่อเป็นอาหารในมื้อนี้ .. แต่เราก็ได้ยินแล้วว่าเนื้อชิ้นนั้นซื้อมาจากตลาด ที่มาจากโรงฆ่าสัตว์
๓ไม่รังเกียจว่าเขาฆ่ามา … ข้อสุดท้ายนี้คือข้อวัดคุณธรรมของคนอย่างแท้จริง ในสองข้อแรกนั้นยังพอใช้กิเลสหลีกเลี่ยงว่าไม่ผิดได้ แต่ในข้อสุดท้าย เรารู้อยู่เต็มอกว่าเนื้อสัตว์ในยุคสมัยนี้เกิดจากการฆ่ามา ไม่ว่าจะเนื้อสัตว์ในจานใดๆ เขาก็ฆ่ามาทั้งนั้น
เมื่อเกิดการฆ่า นักบวชผู้สงบจากกิเลสย่อมไม่ยินดีในการฆ่านั้น เมื่อไม่ยินดีจึงเกิดความรังเกียจในเนื้อนั้น เมื่อเกิดความรังเกียจก็ไม่สามารถกินเนื้อนั้นได้ เพราะไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งที่จะกินเนื้อสัตว์ที่เบียดเบียนมา
ในข้อสุดท้ายนี้ก็มีคนเฉโกเป็นอย่างมาก คือตีความเข้าข้างกิเลส ประมาณว่าอยากกินเนื้อเลยตีความให้กินเนื้อได้ ก็เลยบอกว่าตนเองไม่รังเกียจเนื้อที่เขาฆ่ามา ตีความเป็นแบบนี้ก็ออกนอกพุทธแล้ว เพราะพุทธนั้นย่อมไม่เบียดเบียน ย่อมไม่ยินดีในการเบียดเบียน พอตนรู้ว่าเนื้อนี้เขาฆ่ามา ไม่รังเกียจ เฉยๆ จิตว่าง คิดเอาเองว่ากินได้ ไม่บาป แล้วสุดท้ายก็กินเข้าไป มันก็มีแต่เพิ่มกิเลสเท่านั้นเอง เหมือนจะปล่อยวาง แต่ก็ไม่ปล่อยวาง
ผู้ปล่อยวางที่แท้จริงคือ ผู้ที่วางการเบียดเบียน ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น ไม่ทำให้สัตว์อื่นลำบาก คนที่ปล่อยวางโดยคำพูดแต่ยังเคี้ยวชิ้นเนื้ออย่างมีความสุขนั้นคือผู้ที่พูดธรรมะด้วยความคิด ไม่ใช่ความเข้าใจ
บางคนถึงกับอ้างว่าพระพุทธเจ้ากินเนื้อสัตว์ เอาเข้าจริงๆก็ไม่มีใครรู้หรอกเพราะเกิดไม่ทัน แม้ท่านจะรับประเคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านกินเนื้อสัตว์ ในยุคนี้ไม่มีใครเกิดทัน คนที่อยากกินเนื้อสัตว์ก็ได้แต่เดาๆกันไปว่าท่านกินเนื้อสัตว์ประมาณว่าหาเหตุผลเพื่อที่จะได้กินเนื้อสัตว์โดยชอบธรรม
พระพุทธเจ้าบอกไว้ก่อนปรินิพพานว่า หลังจากท่านปรินิพพานไปแล้วพระธรรมจะเป็นศาสดาแทนท่าน และในบทโอวาทปาติโมกว่าด้วย เรื่องบรรพชิต (ผู้ออกบวช) ว่าถ้ายังกำจัดสัตว์อื่นอยู่ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ออกบวชในพุทธศาสนา และ สมณะ (ผู้สงบจากกิเลส) ถ้ายังเบียดเบียนสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้สงบจากกิเลสเลย
ธรรมะของศาสนาพุทธนั้น เป็นไปเพื่อความไม่เบียดเบียน เพื่อความมักน้อย เพื่อลดละกิเลส และกิเลสในด้านความอยากกินเนื้อสัตว์เป็นกิเลสในระดับหยาบ ไม่ใช่กิเลสที่ฝังลึกแก้ยากแต่อย่างใด สามารถกำจัดได้ง่าย ได้โดยไม่ลำบากนัก หากนักบวชใดยังมีความสุขจากการเสพเนื้อสัตว์อยู่นั้นก็ดูจะห่างไกลจากคำว่าผู้สงบจากกิเลสอยู่มาก
ถ้าเราเจอพระ หรือครูบาอาจารย์ที่เคารพก็ลองถามดูได้ว่าทำไมท่านไม่สนใจกินมังสวิรัติ ถ้าท่านยังไม่รู้โทษภัยของการเบียดเบียนก็ถวายธรรมเป็นทานให้แก่ท่านก็ได้ ว่าการกินเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามาเบียดเบียนอย่างไร เปิดวีดีโอ เอาสื่อให้ท่านดู ให้ท่านพิจารณาเอาตามปัญญาของท่าน ที่เหลือก็สุดแล้วแต่บุญแต่กรรมว่าท่านจะเห็นว่าอย่างไร ถ้าท่านเห็นดีด้วยเราก็ให้ข้อมูลเพิ่ม ถ้าท่านไม่เห็นดีด้วยเราก็ปล่อยก็วางไป และกินมังสวิรัติของเราต่อไป วันใดวันหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่ง ที่ท่านเห็นโทษภัยของการเบียดเบียน ท่านก็จะเลิกกินเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามา หันมากินมังสวิรัติเองนั่นแหละ
แต่ก็อย่างว่า… นี่มันก็ใกล้กลียุคแล้ว การที่ศาสนาจะเพี้ยนไปในทางเบียดเบียน เป็นไปในทางสะสม เป็นไปในทางเพิ่มกิเลสก็เป็นไปได้ ดังที่เราเห็นในข่าวที่ประโคมอยู่ในปัจจุบัน อย่าว่าแต่มังสวิรัติเลย ที่ชั่วกว่ามังสวิรัติก็มีมาก อลัชชีหรือคนหากินกับผ้าเหลืองที่แฝงมาในศาสนาก็ทำให้ภาพลักษณ์ศาสนาดูเหมือนจะเสื่อมไปไม่น้อย
4)…กินมังสวิรัติไม่มีแรง
เป็นประเด็นอุปาทานระดับโลก ถ้าไปถามคนหัดกินมังสวิรัติใหม่ๆเขาก็จะตอบอย่างนั้น เพราะเขาไม่เข้าใจการกินมังสวิรัติ หรือกินไม่เป็น คือเลือกกินอาหารที่ไม่มีคุณค่า แต่ถ้าไปถามผู้ที่ใช้ชีวิตไปกับมังสวิรัติเขาก็จะตอบทันทีว่า “ข้อคิดเห็นที่ว่ากินมังสวิรัติแล้วไม่มีแรง ไม่เป็นความจริง”
จากการทดลองกินมังสวิรัติ แม้ว่าจะกินมื้อเดียวต่อวัน (กินครั้งเดียว นอกจากนั้นไม่มีอะไรเข้าปากอีก ยกเว้นน้ำเปล่า) ยังสามารถที่จะมีกำลังขุดดิน ปลูกต้นไม้ ขนถุงปุ๋ย ผสมปูน ออกแบบงาน ออกแบบสถานที่ ฟังธรรม เรียกได้ว่ามีแรงทั้งบู๊และบุ๋น ได้ทั้งสายแรงงานและสายคิดคำนวณ ในเวลาทั้งวัน ตื่นตั้งแต่ตี 5.45 จนถึง 21.00 โดยประมาณ
ถ้าสามารถข้ามพ้นอุปาทาน หรือสภาพที่คิดไปเอง ข้ามความยึดมั่นถือมั่นว่าถ้าไม่กินเนื้อสัตว์แล้วจะหมดแรง อ่อนเพลีย ไปได้ ก็จะสามารถเข้าใจได้ว่าจริงๆแล้วกินมังสวิรัติมันก็ไม่ได้ทำให้ร่างกายแตกต่างจากทั่วไปนักหรอก ออกจะเอนเอียงไปในทิศทางสบายกว่าเดิมด้วยซ้ำ
5)…เขาเกิดมาเพื่อให้เรากิน กินเขาแล้ว เขาได้บุญ
คนกินเนื้อหลายคนหลงเข้าใจผิดว่าสัตว์นั้นเกิดขึ้นมาให้เรากิน จริงๆเขาไม่ได้เกิดมาให้เรากิน เราไปจับเขามา นำเขามาใส่กรง เพาะพันธุ์เขา ข่มขืนเขาด้วยกระบอกน้ำเชื้อ ให้เขาได้ออกลูกออกหลานมาให้เรากิน กักขังเขา ผลิตเขา มองเขาเป็นทรัพย์ของเรา เป็นอาหารของเรา ทั้งที่จริงแล้วเขาไม่เคยพูดกับเราสักคำว่ายินดีให้เรากิน ไม่มีสัตว์ตัวไหนยินดีจะตาย มันทั้งวิ่งหนี ทั้งร้องไห้ เมื่อมันจะต้องถูกจับ ถูกฆ่า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ยืนยันว่าเขาเกิดมาเพื่อให้เรากินหรือ? เราสามารถข่มเหงเขาได้หมายความเขาเป็นของเราหรือ? การที่เขาวิ่งหนีคือความยินดีให้เรากินจริงๆหรือ?
เราสามารถเลือกที่จะกินหรือไม่กินเขาได้ แต่โดยสามัญของกึ่งพุทธกาล คนส่วนมากมันโดนมอมเมาด้วยกิเลส หลงมัวเมาว่ากินเนื้อไม่ผิด เราจำเป็นต้องกินเนื้อ ถึงขนาดหลงหนักๆไปว่ากินเขาแล้วเขาจะได้บุญ ก็เฉโกกันไปตามกำลังกิเลสของแต่ละคน
เราไปกินเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่ามามันไม่มีบุญอยู่แล้ว เพราะครบองค์แห่งปาณาติปาต บาปเน้นๆไม่ต้องคิดกังวลเลย แม้แต่ในบทของมิจฉาวณิชชาว่าด้วยการค้าที่ชาวพุทธไม่ควรกระทำ คือ ค้าขายสัตว์เป็น และค้าขายสัตว์ตาย สรุปคือไม่ว่าจะขายสัตว์เป็นหรือตายก็ไม่ใช่พุทธ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้าม แต่บอกว่าชาวพุทธไม่ควรทำ จะทำก็ได้ แค่ไม่อยู่ในวิสัยของพุทธ และถ้าศาสนาพุทธเป็นไปเพื่อความผาสุก แล้วเราทำไม่ถูกทางพุทธ ก็หันหัวไปนรกเท่านั้นเอง
สัตว์ที่ถูกฆ่ามาเป็นอาหารก็ไม่มีทางได้บุญ เพราะคำว่าบุญ หมายถึงการชำระกิเลส การลดกิเลส แล้วโดนฆ่าตายมันกิเลสลดตรงไหน ถ้าบอกว่าตายเพื่อใช้กรรมอันนี้ค่อยตรงประเด็น เพราะถ้าไม่ทำกรรมมาก็ไม่ต้องไปต้องมาตายอย่างทรมาน ก็เป็นไปตามสัจจะ ดังนั้นการจะบอกว่าเรากินเขา เขาได้บุญ อันนี้คิดเข้าข้างตัวเองกันไปเพราะความหลง
หรือถ้าสมมุติแบบมั่วๆมิจฉาทิฏฐิหลุดโลกเลยว่า “กินเขา เขาได้บุญ” เอาแบบคิดเฉโกสุดๆไปเลย แล้วเรากินเขา สุดท้ายเราเอาร่างกายที่ได้พลังงานจากเนื้อของเขาไปทำบาป ไปเสพกิเลส ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ ไปทำลายโลก ไปหลงมัวเมากับกิเลส เช่น เอาร่างกายไปแต่งตัวโป๊ๆยั่วกามชาวบ้าน เอาร่างกายไปเสพอาหารอร่อย เอาร่างกายไปท่องเที่ยวบันเทิงเริงใจ เอาร่างกายไว้ห้อยกระเป๋าแพงๆ เอาร่างกายไว้ทำสารพัดกิจกรรมสนองกิเลส…มันจะได้บุญตรงไหน เขาตายไปเพื่อให้คนกิเลสหนา เอาไปต่อชีวิตสะสมกิเลส แล้วก็ไปกินพวกพ้องเขาต่อ มันได้บุญตรงไหน อย่างไร?
6)…มังสวิรัติ พวกโลกสวย
ถ้ามังสวิรัติคือโลกสวย โลกที่ไม่เบียดเบียนกัน แล้วมันไม่ดีหรือไร หรือเราชอบโลกที่เบียดเบียน แก่งแย่ง แข่งขัน ชิงดีชิงเด่น ฆ่าฟันกัน อยากกินต้องล่า โดยไม่สนใจว่าผู้ที่ถูกล่า ถูกเบียดเบียนจะรู้สึกเช่นไร อย่างนั้นมันดีหรืออย่างไร ..อยากได้โลกแบบไหนต้องสร้างเอาเอง โลกมันจะเป็นอย่างไหนมันก็อยู่ที่คนสร้างให้เป็นแบบนั้น คนมีกิเลสสร้างโลกก็เต็มไปด้วยกิเลส มันก็เป็นเช่นนั้น โลกสวยเริ่มสร้างได้ตั้งแต่ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคมขยายขึ้นไปเรื่อยๆ เท่าที่กำลังจะทำได้ ถึงจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่อย่างน้อยแค่พยายามทำตนเองให้เบียดเบียนผู้อื่นน้อยที่สุดก็พอแล้ว
7)…รู้หมดแต่อดไม่ได้
การกินมังสวิรัติไม่ได้ง่ายขนาดจะคิดเอาแล้วตัดได้ทั้งหมด หลายคนลดการกินสัตว์ใหญ่ได้ก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว แต่ก็ยังมีความอยากกินเนื้อสัตว์อื่นๆเหลืออยู่ บางคนแม้ว่าจะงดกินเนื้อสัตว์ทั้งหมดได้ แต่ก็ยังมีความอยากกินอยู่ จนบางครั้งตบะแตกกลับไปกินเนื้อสัตว์ อยู่ในสภาพที่ว่ารู้หมดว่าอะไรดี อะไรชั่ว แต่มันอดไม่ได้จริงๆ
อันนี้เรียกว่าไม่รู้จริง เพราะถ้ารู้จริง มันจะไม่มีความอยากเหลือเลย มันจะเบื่อ มันจะคลายความอยากไปเอง ต่อให้เอาเนื้อสัตว์ชั้นดีส่งฟรีถึงบ้านทุกเช้าก็ไม่สนใจใยดี ถ้ารู้จริงมันก็ต้องรู้แบบนี้ ถ้ารู้หมดแต่อดไม่ได้นี่แสดงว่ารู้ไม่จริง
การที่จะดับความอยากได้นั้น จำเป็นต้องมีผู้สอนและถ่ายทอดวิธีการฆ่ากิเลสให้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปที่เข้าใจได้โดยการท่องจำ ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องที่เดาเอาเองได้ ไม่ใช่เพียงแค่ดูสัตว์ทรมานหรือดูสัตว์ตาย หรือเมตตาสัตว์แล้วจะผ่านไปได้ เพราะนรกจริงๆมันอยู่ที่ความสุขตอนเอาเนื้อสัตว์เข้าปาก ถ้ายังเหลืออารมณ์สุขอยู่แสดงว่ากิเลสยังไม่ตาย ต่อให้กินมังสวิรัติมาทั้งชีวิตแต่กิเลสไม่ตายมันก็ไม่ได้พบกับความผาสุกที่แท้จริงเสียที
ดังนั้นผู้ที่กินมังสวิรัติได้ไม่ควรประมาท เพราะการกินพืชผักทั้งชีวิต วัวควายมันก็กินได้ เราเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐผู้ประกอบไปด้วยปัญญา จึงควรเห็นค่าของมังสวิรัติมากกว่าแค่การกินพืชผัก มากกว่าแค่เมตตาสัตว์ มากกว่าแค่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น นั่นคือการกินมังสวิรัติเพื่อดับความอยากอย่างสิ้นเกลี้ยง จึงจะถือได้ว่าเป็นคุณค่าสูงสุดของการกินมังสวิรัติ
– – – – – – – – – – – – – – –
30.10.2557
มังสวิรัติวิถีพุทธ ปฏิบัติธรรมด้วยมังสวิรัติ เพื่อการทำลายกิเลส
มังสวิรัติวิถีพุทธ ปฏิบัติธรรมด้วยมังสวิรัติ เพื่อการทำลายกิเลส
การกินมังสวิรัติในทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่มีให้เห็นอยู่บ้างในสังคมไทย ซึ่งกลุ่มคนกินมังสวิรัติมักจะเป็นกลุ่มคนจำนวนน้อย โดยที่คนส่วนใหญ่ต่างพากันชอบใจในรสของเนื้อสัตว์ แต่ในกลุ่มคนที่กินมังสวิรัติ ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่มาก บ้างก็กินเพื่อสุขภาพ บ้างก็กินเพราะประหยัด บ้างก็กินเพื่อภาพลักษณ์ บ้างก็กินเพราะยึดมั่นถือมั่น บ้างก็กินเพื่อลดกรรม บ้างก็กินเพราะเมตตา บ้างก็กินเพราะลดกิเลสฯลฯ
ผมได้ตั้งกลุ่มขึ้นมาในเฟสบุ๊ค โดยมีชื่อกลุ่มว่า Buddhism Vegetarian โดยให้มีชื่อไทยว่า “มังสวิรัติวิถีพุทธ”
หลายคนคงจะสงสัยว่าการกินมังสวิรัติมันเป็นพุทธอย่างไร แล้วกินแบบไหนจึงจะเป็นวิถีพุทธ แล้วถ้ามังสวิรัติเป็นวิถีพุทธจริง ทำไมยังเห็นพระฉันเนื้อสัตว์อยู่เลย…
มังสวิรัติวิถีพุทธ ที่ตั้งกลุ่มขึ้นมาและหมายถึงนั้น คือการปฏิบัติธรรมด้วยการกินมังสวิรัติ โดยใช้วิถีทางของพุทธ คือ วิธีการทั้งหมดเป็นไปเพื่อลดกิเลส เพื่อดับกิเลส คือทำลายความอยากกินเนื้อสัตว์เป็นแนวทาง โดยมีสภาพหมดกิเลส หมดความอยากเสพเนื้อสัตว์ หมดความถือดี ยึดดี หลงตนเองว่าดีเหนือใครนั้นลงได้ ทั้งหมดนั้นคือการทำลาย กามและอัตตานั่นเอง
ซึ่งวิธีปฏิบัติที่จะนำมาใช้ก็เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และสอนไว้แล้วตั้งแต่ 2600 กว่าปีก่อน ไม่ใช่วิธีที่คิดขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด เพียงแต่นำมาใช้กับกิเลสตัวหนึ่ง คือความอยากเสพเนื้อสัตว์เท่านั้น ดังนั้นกลุ่มจึงพุ่งเป้าไปที่การกำจัดกิเลสตัวนี้ เพราะเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ที่เข้าใจกระบวนการล้างกิเลส จะสามารถนำกระบวนการนี้ไปใช้ในกิเลสตัวอื่นๆที่ตนเองยังยึดมั่นถือมั่นต่อได้
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเพื่อการเริ่มต้น สำหรับผู้ที่ยังสงสัยว่าการปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์ต้องทำอย่างไร การกำจัดกิเลสต้องทำอย่างไร สภาพที่พ้นจากกิเลสจะเป็นอย่างไร เราจะมาร่วมแบ่งปันวิธีการที่ได้ปฏิบัติมาไม่ว่าจะถูกทางหรือผิดทางก็จะช่วยแนะนำและชี้แจง แถลงไขให้ตรงกับเป้าหมายของกลุ่มคือการกินมังสวิรัติโดยใช้วิถีของพุทธเข้ามาเป็นองค์ประกอบหลัก
เหตุผลหนึ่งที่ต้องชี้ให้ชัดว่าเป็นวิถีพุทธนั้น เพราะการกินมังสวิรัติได้ ไม่ได้หมายความว่าจะลดกิเลสได้ หรือการที่กินมังสวิรัติเป็น ทำอาหารมังสวิรัติเป็น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะลดกิเลสเป็นเช่นกัน
คนที่กินมังสวิรัติได้นั้น อาจจะลดกิเลสได้จริง หรือลดไม่ได้ก็ได้ ซึ่งโดยส่วนมากก็จะเป็นสภาพที่กดข่มความอยากเอาไว้ ส่วนการทำลายความอยาก หรือล้างกิเลสนั้น จำเป็นต้องปฏิบัติตามวิถีพุทธเท่านั้น วิธีอื่นไม่มีทางทำได้
การกินมังสวิรัติได้ไม่ได้หมายความว่าจะได้พบกับนิพพาน ไม่ได้หมายความว่าจะกลายเป็นผู้ทรงศีล มีสัตว์กินพืชมากมายเช่น วัว ควาย มันก็กินหญ้าทั้งชีวิต ไม่กินเนื้อเลย แต่มันก็ไม่ได้บรรลุธรรมอะไร เช่นเดียวกัน ถ้าเรากินมังสวิรัติแบบไม่มีปัญญา ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์กินพืชอื่นๆ
การเลือกกินมังสวิรัตินั้น เราต้องฝืน ต้องอดทนต่อกิเลส ที่สังคมมักจะบอกว่าเราเป็นสัตว์ที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ แต่แท้ที่จริงแล้ว เราเป็นเพียงแค่สัตว์ที่กินตามกิเลสเท่านั้น วัว ควาย กินหญ้าเพราะมันจำเป็นต้องกิน แต่เรากินเนื้อสัตว์มากมายโดยที่หลายครั้งไม่จำเป็นต้องกิน คนที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่พึงพิจารณาเอาเองว่าตนนั้นอยู่ในระดับไหน
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงประโยชน์ในการกินมังสวิรัติได้ เพราะกิเลสจะรั้งเราไว้ไม่ให้เราทำในสิ่งที่ดี กิเลสมักจะดึงดูดสิ่งที่ชั่วเข้าหาตัว แม้จะมีคนบอกว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นเบียดเบียน แต่คนผู้มากด้วยกิเลสก็มักจะพยายามหาข้ออ้างมาให้ตนได้กินเนื้อสัตว์ได้อยู่ดี นี่คือพลังของกิเลสที่บดบังปัญญาของคน ทำให้คนไม่เอาดี ไม่เอาในสิ่งที่ดี
ถึงแม้ผู้มีปัญญาจะรู้คุณค่าในการกินมังสวิรัติและรู้โทษชั่วจากการกินเนื้อ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเข้าถึงชีวิตมังสวิรัติได้อย่างทันที ไม่สามารถตัดเนื้อสัตว์ทั้งหมดออกจากชีวิตได้อย่างทันที เพราะแรงของกิเลสนั้นผูกไว้มาก คนที่ผูกกิเลส สะสมกิเลสไว้มากก็จะแก้ยาก ต้องใช้ความเพียรมาก ต้องทุกข์ทรมานมากหากต้องเลิกเนื้อสัตว์ในทันที ส่วนคนที่มีกิเลสน้อย หรือเคยล้างกิเลสมาก่อนแล้ว ก็จะแก้ได้ง่าย เลิกกินเนื้อสัตว์ได้ง่าย
การกินมังสวิรัติวิถีพุทธนั้น เป้าหมายคือดับความอยากจนสิ้นเกลี้ยงตามลำดับของกิเลสที่มี ใครที่ติดเนื้อสัตว์ใดมากก็เสพไปก่อน ใครที่พอลดได้ก็ลองลดดู ใครที่พอละได้บ้างในช่วงเวลาหนึ่งก็ลองละดู ใครที่คิดว่าละแล้วยังปกติดี มีความสุขดีก็ให้เลิกเสพเนื้อสัตว์นั้นไปเลย
แต่การกินมังสวิรัติ หรือไม่กินเนื้อสัตว์ได้ยาวนานนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถล้างกิเลสได้ ทั้งหมดที่ทำมาอาจจะเป็นเพียงการกดข่มกิเลสเท่านั้น วิธีทดสอบก็คือการกลับเข้าไปทดลองกินอีกครั้ง ถ้ากิเลสลดจริงๆ จะไม่รู้สึกสุขเหมือนอย่างเคย ดีไม่ดีจะทุกข์ด้วยซ้ำไป อาจจะทุกข์ด้วยอัตตา ทุกข์ด้วยความเข้าใจในกรรม หรือทุกข์ด้วยความยากลำบากในการกินเนื้อสัตว์นั้นก็ตาม แต่ที่แน่ๆ ถ้าผ่านแล้วจะไม่มีความยินดี เต็มใจ พอใจ สุขใจในการกินเนื้อสัตว์นั้นอีกต่อไป
…เมื่อเห็นดังนี้แล้วว่า การกินมังสวิรัติอย่างผาสุกและยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องศึกษาและปฏิบัติตามวิถีทางแห่งพระพุทธศาสนาสอดคล้องไปด้วย เพื่อดับความอยากให้สิ้นเกลี้ยง ไม่ใช่กดข่มกิเลสเอาไว้เท่านั้น แต่ต้องดับกิเลสให้สนิทเพื่อความไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นในชาตินี้ ชาติต่อไป และชาติอื่นๆสืบไป เป็นการเรียนรู้การกินมังสวิรัติข้ามภพข้ามชาติ เป็นนักมังสวิรัติตลอดกาลนับตั้งแต่ตอนนี้ไปจนถึงวันสุดท้ายของจิตดวงนี้ เพื่อประโยชน์ตนเอง ประโยชน์ผู้อื่นและเพื่ออนุเคราะห์โลกให้เป็นไปด้วยความผาสุก
– – – – – – – – – – – – – – –
27.10.2557