Tag: คุณค่า

ฆ่าตัวตาย บาปอย่างไร?

December 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,642 views 0

ฆ่าตัวตาย บาปอย่างไร?

ฆ่าตัวตาย บาปอย่างไร?

ถาม: คุณดิณห์ ช่วยบอกผมหน่อย ว่าการฆ่าตัวตาย บาปได้อย่างไร ในเมื่อ เราตายคนเดียว คนอื่นไม่ได้ตายด้วย สมมติว่าถ้าเราไม่เหลือใครแล้ว และไม่มีใครให้ห่วง ไม่มีใครห่วง การตายของเราก็ไม่น่าทำให้ใครเดือดร้อนนะครับ

ตอบ: เป็นบาปเพราะทำให้ตัวเองเดือดร้อน เป็นการเบียดเบียนตนด้วยความเห็นผิดครับ

เพราะเราอาจจะเห็นว่าชาติก่อนไม่มี ชาติหน้าไม่มี ทำอะไรไปก็ไม่มีผล เช่นเดียวกับการฆ่าตัวตายไม่มีผล ย่อมดับสูญไป สลายไป สิ่งที่ทำลงไปแล้วถูกยกเลิกทั้งหมด จึงมักคิดเห็นว่าการฆ่าตัวตายในเงื่อนไขที่ว่าไม่เหลือใครไม่มีผลกระทบกับใครเพราะเรามองแต่องค์ประกอบในชาตินี้ ไม่ได้รู้เหตุที่มา และไม่รู้ที่ไปของมัน

ซึ่งจริงๆ การฆ่าตัวตาย มีผลกระทบกับตัวเราเองโดยตรงเลย ด้วยความที่เราสำคัญผิด คิดว่าตัวเราเป็นของเรา เรามีสิทธิ์ขาดที่จะตัดสินใจทำอะไรก็ได้ แน่นอนว่าภาพที่เห็นคงจะเป็นเช่นนั้น แต่การกระทำใด ๆ ล้วนมีผลดีและร้ายอยู่ ถ้าเราทำดีเราก็จะได้รับผลดี ถ้าเราทำชั่วเราก็จะได้รับผลชั่ว

ทีนี้ชีวิตและร่างกายที่เราได้มานี่มันไม่บังเอิญนะ การที่เราเกิดมาครบ 32 มีสติปัญญาสามารถเข้าถึงคำสอนในศาสนาได้นี่มันไม่ได้มาลอยๆ มันไม่ใช่จับฉลากมาได้ มันมีเหตุมีที่มา เอาง่ายๆว่าเราต้องทำคุณงามความดีมาพอสมควรถึงจะได้สิทธิ์นั้น

สมมุติว่าเราต้องทำดีสัก 100 หน่วย ถึงจะมีสิทธิ์เกิดมาบนแผ่นดินที่มีธรรมะของพระพุทธเจ้าประกาศอยู่ เราก็ทำดีสะสมมาหลายต่อหลายชาติกว่าจะสะสมได้ความดี 100 หน่วย ทีนี้พอเกิดมาเราก็มีความเห็นว่า เราไม่มีญาติเป็นห่วง เราตายไปก็ไม่น่าจะทำให้ใครเดือดร้อน ว่าแล้วเราก็ฆ่าตัวตาย ทิ้งความดี 100 หน่วยที่ได้สะสมมาอย่างไม่เสียดาย

กรรมดีเมื่อได้รับแล้วก็หมดไป เมื่อเราได้รับผลนั้น คือทำดีจนเกิดมาบนแผ่นดินที่มีธรรมะของพระพุทธเจ้าประกาศอยู่ ผลนั้นก็จบไป ดี 100 หน่วยที่ทำมาก็หายไป ถ้าอยากได้ใหม่ก็ต้องทำดีใหม่

ชี้กันชัดๆว่าการฆ่าตัวตายคือการโยนสิ่งที่ดีทิ้งไปโดยไม่รู้ว่ามันดี ชีวิตนี่มันดีนะ มันมีคุณค่า คนเกิดมาแล้วสามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวเองได้ จะตกต่ำจนเป็นมหาโจรก็ได้ จะดีจนเป็นพ่อพระก็ได้ หรือจะพัฒนาจนถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ก็ได้ หนึ่งชีวิตมันมีโอกาส มีคุณค่าแบบนี้ แล้วทีนี้เราไม่สนใจเลยว่ามันมีที่มายังไง เราได้มาเราไม่เห็นค่า เห็นแค่ว่าถึงโยนชีวิตทิ้งไปก็ไม่เดือดร้อนใคร เราก็โยนสิ่งดีทิ้งไปแบบนั้น

ซึ่งลักษณะนี้ก็เข้ากับอุปกิเลสแบบหนึ่งคือ ลบหลู่คุณท่าน คือลบหลู่ ตีทิ้ง มองข้ามคุณความดีที่ตนทำมานี่แหละ แทนที่จะเอาร่างกาย ทรัพย์สิน ปัญหา ไปสร้างคุณค่าสร้างกรรมดีให้เราและโลกได้ใช้ แต่เรากลับเอาทั้งหมดไปโยนทิ้ง

ลองนึกภาพว่าเราต้องสร้างบันไดเพื่อไปให้ถึงยอดเขา เราก็เพียรสร้างมาหลายภพหลายชาติ แล้วชาติใดชาติหนึ่งก็เกิดความเห็นว่าจะสร้างทำไม ว่าแล้วก็พังบันไดเหล่านั้นทิ้ง สุดท้ายมันก็ต้องวนกลับไปเริ่มสร้างใหม่อยู่ดีนั่นแหละ เพราะนอกจากจะหลุดพ้นวัฏสงสารนี้ด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า โดยการทำลายกิเลสแล้ว ทางอื่นไม่มี ก็ต้องทำใหม่ เริ่มใหม่ แล้วชาติใดเห็นผิดอีก ก็ทำลายที่ตนเองสร้างมา แล้วก็วนกลับไปเกิดในกองทุกข์ พอทุกข์แล้วก็อยากพ้นทุกข์ ก็สร้างบันไดหนีทุกข์ใหม่ แล้วก็ทำลายไปอีก วนเวียนไปอยู่เช่นนี้

สภาพของคนที่คิดฆ่าตัวตายมักจะเกิดจากการไม่เห็นคุณค่าในตนเอง เป็นสภาพของความหดหู่ ซึมเศร้า หรือโกรธจัดซึ่งเกิดจากความไม่ได้ดั่งใจ ฯลฯ เป็นลักษณะหนึ่งของกิเลสที่สามารถแก้ไขได้ อยู่ในระดับของอบาย คือหยาบ ฉิบหาย เสียหายมาก เพราะถือว่าล้มโต๊ะ ทำลายคุณค่าที่ทำมาทั้งหมด

จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเราไม่มีคุณค่ากับใครหรอก เพียงแค่เราไม่รู้เท่านั้นเองว่ามี และไม่รู้จักการสร้างคุณค่า การที่เราหายไปนั้นมีผลกับคนอื่นไม่มากก็น้อย

ทรัพยากรที่เราใช้มาตั้งแต่เด็กจนโต สัตว์กี่ตัวที่ตายไปเพราะเรากิน ต้นไม้กี่ต้นหายไปเพราะการเรียนรู้ของเรา หลายสิ่งที่เราผลาญมาจนถึงวันนี้ เราสร้างคุณค่าชดเชยคืนให้กับมันอย่างเหมาะสมแล้วหรือยัง เราใช้ชีวิตเพื่อโลกให้มากพอกับที่เราเคยเอามาจากโลกแล้วหรือยัง หรือเราจะมาเพื่อเพียงเสพสุขแล้วเลือกที่จะจากโลกนี้ไปโดยทิ้งหนี้กรรมไว้ ไม่ยอมชำระสะสาง

ถึงแม้เราจะเหลือเป็นคนสุดท้ายในโลก ไม่มีใครให้ห่วง ไม่เหลือใครมาห่วงเรา ก็ยังไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องทิ้งคุณค่าที่ตนมีไปเลย เรายังสามารถใช้ชีวิตสร้างสรรค์โลกได้นานตราบเท่าที่เราจะอยู่ไหว ถึงเวลาที่สมควรก็ปล่อยให้ร่างกายมันตายไปเอง ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่รีบเร่ง ไม่ฝืน ไม่ต่อต้าน มีแต่จะเสริมให้โลกนั้นหมุนเวียนไปอย่างสงบร่มเย็น

ในวัฏสงสารอันยาวนานนี้ หากสิ่งใดจะสำคัญที่สุดก็คือตัวเราเอง มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่เป็นผู้สร้างกรรม และเป็นผู้รับผลกรรมเหล่านั้น

– – – – – – – – – – – – – – –

7.12.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ทำบุญสวยชาติหน้า? กิเลสหนาสวยชาตินี้

November 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 5,436 views 9

ทำบุญสวยชาติหน้า? กิเลสหนาสวยชาตินี้

ทำบุญสวยชาติหน้า? กิเลสหนาสวยชาตินี้

เราอยู่ในยุคสมัยที่อุดมไปด้วยความรู้ที่ช่วยให้สนองกิเลสได้ง่ายเพียงแค่ควักเงินจ่าย อยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อ ไม่ว่าจะความสุข ความสวยความงาม หรือแม้แต่ความดีก็ตาม

การปรับแต่งรูปร่างหน้าตาในยุคปัจจุบันกลายเป็นเรื่องปกติที่สังคมยอมรับ เราสามารถผ่าตัดปรับเปลี่ยนหน้าได้ตามต้องการเท่าที่กำลังเงินจะอำนวย จึงมีคำกล่าวที่ว่า “ทำบุญสวยชาติหน้า ทำหน้าสวยชาตินี้” ข้อความนี้จะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร ลองมาอ่านบทวิเคราะห์กันดู

ในพระพุทธศาสนานั้นมีความรู้ที่จะช่วยให้บุคคลผู้ต้องการความงามนั้นสร้างความงามอยู่เช่นกัน นั่นคือการเจริญพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) จะทำให้มีโภคทรัพย์มาก โดยทั่วไปหมายถึงทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบต่างๆในชีวิต ไม่ว่าจะฐานะ มิตรสหาย หรือกระทั่งองค์ประกอบทางด้านร่างกายก็ตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลพลอยได้เพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับทรัพย์ทางโลกุตระ

และการเจริญพรหมวิหารนั้นไม่ได้หมายความว่า ทำชีวิตนี้แล้วไปให้ผลในชีวิตหน้า แต่หมายถึงทำเท่าไหร่ก็ให้ผลเท่านั้นทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า และชาติอื่นๆต่อไป นั่นหมายความว่า ถ้าเราเจริญพรหมวิหารเราก็จะมีโภคทรัพย์ที่จะเจริญไปโดยลำดับ เราอาจจะเคยสังเกตเห็นคนที่เขาไม่สวยไม่งาม แต่กลับมีเสน่ห์ น่าเข้าใกล้ น่าพูดคุย น่าคบหา เหมือนมีธรรมรังสีเปล่งประกายออกมา จนบางครั้งหลงชอบใจทั้ง ๆ ที่องค์ประกอบทางร่ายกายของเขาไม่ใช่สิ่งที่เราเคยชอบใจเลยสักนิด

จึงสรุปไว้ก่อนเลยว่า “ทำบุญชาตินี้ ก็งามในชาตินี้แหละ

แต่หลายคนรู้สึกไม่พอใจที่จะต้องทำดีเพื่อรอรับผล ไม่ยินดีรอเวลา ใจร้อน หรือเรียกว่า “โลภ” อยากให้ดีเกิดมากกว่าเหตุปัจจัยที่ควรจะเป็น ที่มันไม่สวยไม่งามมันก็ฟ้องอยู่ในตัวแล้วว่า “เป็นผู้ที่มักโกรธ ผูกโกรธ พยาบาท” ไม่มีพรหมวิหาร ก็ควรจะเร่งสร้างความเจริญขึ้นในจิตใจ

แต่คนส่วนมากไม่ทำเช่นนั้น เขามองข้ามความเจริญทางจิตวิญญาณ แล้วไปสนใจเพียงแค่ร่างกาย บางคนเกิดมามีวิบากกรรมที่ต้องทุกข์ทรมานเพราะร่างกายไม่สมประกอบ การจะผ่าตัดตกแต่งให้ดำรงชีวิตได้อย่างปกตินั้นก็สามารถเอื้อกันได้โดยไม่ผิดอะไร แต่คนที่มีรูปร่างหน้าตาสมบูรณ์ตามปกติดีอยู่แล้ว จะไปเสริมเติมแต่งให้มันมากขึ้น ให้มันสวยขึ้น ให้มันสมใจยิ่งขึ้น อันนี้มันก็เป็นการสนองกิเลส

ซึ่งการสนองกิเลสในระดับที่ไปผ่าให้มันสวยขึ้น ไปเติมให้มันใหญ่ขึ้น ฯลฯ เป็นกิเลสในระดับที่หยาบมาก รองลงมาคือพวกที่แต่งเนื้อแต่งตัว รองลงมาก็พวกที่แต่งหน้าแต่งตา ถ้าให้ดีก็ไม่ต้องไปแต่งหน้าแต่งตาให้มันเสียเงินเสียเวลาก็จะดีที่สุด

เพราะคนนั้นไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี แล้วหลงว่าร่างกาย เนื้อหนังนั้นเป็นสิ่งเลิศ จึงเกิดการแส่หา ไขว่คว้าสิ่งที่ตนอยากได้อยากเสพมาเป็นของตน ในขั้นเริ่มต้นก็มักจะแต่งหน้า โพสท่า แล้วแต่งรูปให้ดูดี แต่ถ้าสะสมกิเลสไปมาก ๆ ก็จะเริ่มไม่พอใจ จะแต่งหน้าแต่งตาไปทำไม? ผ่าตัดให้มันสวยทีเดียวไปเลยดีกว่าจะได้เสพสมใจ

แท้จริงแล้วมันมีความซ้อนในการเสพความสวยงามอยู่ เพราะถึงจะผ่าตัดมาให้สวยปานใด น้อยคนนักที่จะใช้เวลาทั้งวันในการมองหน้าตาและรูปร่างของตัวเอง โดยส่วนมากก็จะแต่งไปให้คนอื่นเขามองมากกว่า ซึ่งมันมีความหลงโลกธรรมซ้อนเข้าไปว่า สนใจฉันสิ มองฉันสิ ชมฉันสิ จนกระทั่งฝังลึกกลายเป็นอัตตาว่า ฉันสวย ฉันน่าสนใจ ฉันมีคุณค่า แล้วก็หลงมัวเมากับความสุขลวงในคุณค่าของเนื้อหนังเช่นนั้นต่อไป

หลอกตัวเองยังไม่พอ ยังเอากาม (ความสวยงาม) เหล่านั้นไปหลอกคนอื่นต่ออีก ให้เขารัก ให้เขาทุ่มเท ให้เขาหลงงมงายอยู่กับเนื้อหนังที่ถูกตัดต่อปรุงแต่งขึ้นมา อีกฝ่ายก็หลอกซ้อนเข้าไปอีกว่าเนื้อหนังนั้นคือคุณค่า เนื้อหนังนั้นน่าสนใจ ก็บำเรอกิเลสกันไป มันก็เลยหลงวนเวียนกันทั้งสองฝ่าย แก้กันไม่ได้ง่าย ๆ

การทำรูปร่างหน้าตาให้สวยขึ้นเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาตามกิเลส จริงอยู่ที่ว่า “ทำหน้าสวยชาตินี้” มันก็ดูสวยขึ้นได้จริงตามสมมุติโลก แต่มันก็มีวิบากบาปซ้อนเข้าไปอีก เพราะถูกเติมแต่งด้วยกิเลส ทีนี้พอเริ่มต้นด้วยกิเลส แล้วเอาไปสนองกิเลส สุดท้ายก็เมากิเลส มันจะมีที่ไปที่ไหน มันก็มีแต่นรก(ความเดือดเนื้อร้อนใจ) เท่านั้น

พอไม่ได้ศึกษาธรรมะก็มักจะมองว่าคุ้ม ฉันขอสวยไว้ก่อน เพราะถ้าฉันสวยฉันก็จะได้เสพอะไรอีกหลายอย่าง เช่น หาคู่ได้, มีคนชม, มั่นใจ ฯลฯ นั่นกิเลสทั้งนั้น เป็นการลงทุนที่สุดท้ายยังไงก็ต้องขาดทุน มีแต่เสียกับเสีย มีแต่สุขลวงกับทุกข์แท้ๆ แต่ก็ยังอยากได้อยากมีกัน นี่แหละที่เขาเรียกว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

คุณค่าของคนมันไม่ได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตา แต่อยู่ที่คุณงามความดีที่ทำ เป็นคนเบียดเบียนโลกหรือทำประโยชน์ให้โลก บ้านเมืองไม่ได้ต้องการคนสวย แต่ต้องการคนดี ถ้าคนดีไปมัวแต่ห่วงสวยแล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาทำดี ก็มีแต่คนดีที่ยังโง่อยู่เท่านั้นแหละ จึงยอมเสียเวลาอันมีค่าไปกับการมัวเมาในเนื้อหนังที่เสื่อมไปตามธรรมชาติทุกวันๆ

– – – – – – – – – – – – – – –

7.11.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

ทุกข์เพราะสำคัญตนผิด

September 7, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,473 views 0

ทุกข์เพราะสำคัญตนผิด

ทุกข์เพราะสำคัญตนผิด

สาเหตุหนึ่งของความทุกข์นั้นเกิดจากกิเลส เกิดจากความโลภ โกรธ หลง แล้วมันโลภอยากได้อะไร มันไปโกรธอะไร มันไปหลงในอะไร ในตอนนี้เราจะมาไขปัญหากันในมุมของ ” อัตตา คือความเห็นว่าเป็นฉัน ฉันเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ มีคุณค่าอย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ

เมื่อเรามีความหลงว่าเราเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ความหลงก็จะลวงให้เกิดความโลภ อยากได้ดีเกินความจริง เมื่อไม่ได้รับการสนองที่สมกับที่ตนเองหลง ก็จะเกิดความโกรธ ขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ และเรามาลองดูจากตัวอย่างเหล่านี้กัน

 

ทุกข์ของคู่รักที่เลิกรากันไป เพราะเขานั้นเข้าใจว่าตนเองเป็นสิ่งสำคัญ เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ควรถูกทิ้ง แต่พอถูกบอกเลิก ก็เหมือนถูกมองข้ามคุณค่าที่ตนเองเคยคิดไว้ เมื่อคุณค่าที่ตนเคยตั้งไว้สูงส่ง กลับถูกเมินเฉยและทิ้งไปโดยไม่ใยดีก็ย่อมจะเกิดความทุกข์

ทุกข์ของคนที่ไม่ได้สิ่งที่หวังจากคนรัก เพราะเขาใจว่าตนสมควรได้รับสิ่งนั้น มีคุณค่ามากพอที่จะได้รับสิ่งนั้น แต่เมื่อไม่ได้รับสิ่งที่หวัง ก็จะทุกข์เพราะรู้สึกว่าได้รับการตอบสนองน้อยกว่าที่หวังไว้

ทุกข์เพราะทำไม่ได้อย่างที่หวัง เพราะเข้าใจว่าตนเองทำได้ดีกว่านั้น มีความสามารถมากกว่านั้น เพราะหลงว่าตนเก่งมีความสามารถ พอมีเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถทำอะไรให้ประสบความสำเร็จดังใจหวัง ก็จะรู้สึกทุกข์เพราะลึกๆในใจนั้น เข้าใจว่าตนเองมีความสามารถมากกว่าผลงานที่ทำออกมา

ทุกข์เพราะไม่เกิดดีดังใจ เพราะเข้าใจว่าทำดีแล้วต้องได้ผลดี เป็นการคาดหวังว่าจะเกิดสิ่งดีขึ้น แต่พอไม่เกิดสิ่งที่ดีก็อกหักอกพัง เพราะสำคัญผิดว่าจะต้องเกิดดีเสมอหากเราทำสิ่งที่ดี ซึ่งในความจริงนั้นการทำดีจะเกิดผลดีหรือไม่ดีก็ได้ ผลที่เกิดนั้นเป็นเรื่องอจินไตย จึงไม่ควรคิดหวังว่าจะเกิดผลดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่การทำดีนั้นจะสร้างกุศลกรรมใหม่อย่างแน่นอน

ความทุกข์นั้นเกิดจากความรู้สึกว่าตนเองไร้คุณค่า ไม่ได้ดีดังใจหมาย ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่มีคนมองเห็นคุณค่า ยิ่งสำคัญตนผิดเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้นและตน หรืออัตตานี่เอง คือตัวการที่สร้างทุกข์ ซึ่งถ้าเทียบเป็นสมการเพื่อให้เข้าใจง่ายก็จะเป็น (ความจริงที่เกิด + อัตตา = ปริมาณทุกข์)

ถ้าเราไม่มีอัตตา ไม่มีความสำคัญตนว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีค่าเท่านั้นเท่านี้ เมื่อเวลาวิบากบาปมาถึง เราก็จะทุกข์เท่าที่กรรมเก่าของเราจะส่งผลเท่านั้น แต่ถ้าเรามีอัตตาไปร่วมด้วย เราจะทุกข์มากขึ้นตามปริมาณอัตตาที่เรามีนั่นเอง

*ลักษณะดังที่ยกตัวอย่างมานั้นเป็นความต้องการให้คนอื่นมาสนองอัตตาเรา พอเราไม่ได้สมใจก็เป็นทุกข์ เมื่อเราเป็นคนขาดพร่องที่ต้องคอยให้คนอื่นมาเติมเต็ม เราจะต้องเป็นทุกข์อยู่เรื่อยไป ดังนั้นการแก้ปัญหาในจุดแรกเราก็ควรจะทำตัวเองให้เป็นคนที่เต็มคนเสียก่อน ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก ให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ให้อัตตาเต็มอัตตาโดยไม่ต้องให้คนอื่นมาเติม หลังจากนั้นค่อยทำลายอัตตาทั้งก้อนอีกทีหนึ่ง

– – – – – – – – – – – – – – –

7.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

มะเขือเทศ

August 22, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,445 views 0

มะเขือเทศ

มะเขือเทศ

จากเคยชังกลายเป็นชอบ จากที่เคยผลักไสมาตลอดชีวิต วันนี้กลับเป็นสิ่งที่ไม่เคยมองข้าม

สมัยก่อนตอนที่ยังกินเนื้อบ้างกินผักบ้าง จะมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบมากเป็นพิเศษ ขนาดว่าให้กินพร้อมสลัดยังไม่อยากกิน ให้กินพร้อมส้มตำก็ไม่ไหวอีก สิ่งนั้นก็คือมะเขือเทศ

ผมเป็นคนที่สามารถกินพืชผักได้หลายชนิด แต่ยอมรับจริงๆว่ามะเขือเทศเป็นสิ่งที่ไม่ชอบมากที่สุด แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่คุ้นตาแบบที่เห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ก็ยังไม่อยากจะสนิทสนมกับมันอยู่ดี

มะเขือเทศกลายเป็นเหมือนกับเครื่องประดับที่ไม่มีวันได้เข้าปาก เป็นเหมือนส่วนเติมเต็มที่ไม่มีก็ไม่เป็นไร แม้มันจะถูกใส่ลงในต้มยำเพื่อให้รสของมันไปทำให้ต้มยำกลมกล่อม แต่เมื่อคิดถึงรสชาติของมะเขือเทศ คิดถึงจังหวะที่ต้องเคี้ยวมะเขือเทศ เพียงแค่นึกเท่านั้นก็ทำให้รู้สึกขยาดไม่อยากกินมันได้แล้ว

รสเปรี้ยวเป็นรสชาติหนึ่งที่ชีวิตผมไม่ค่อยเกี่ยวข้องด้วย แต่ก่อนตอนจะปรุงก๋วยเตี๋ยวก็จะหนักไปทางหวาน เผ็ด ถ้ามีรสไปทางเปรี้ยวนี่จะไม่ค่อยชอบ จนบางครั้งรู้สึกทุกข์มากกับการกินอะไรเปรี้ยวๆ และยิ่งประกอบกับสัมผัสที่นิ่มๆเละๆ ของมะเขือเทศยิ่งไปกันใหญ่ เป็นสัมผัสที่บอกไม่ถูก รู้แค่ไม่ชอบสัมผัสแบบนี้เอามากๆ ดังนั้นมะเขือเทศเลยกลายเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ผมไม่เอาเลย ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ และไม่ใส่ปากด้วย

…….จนกระทั่งมาศึกษาธรรมะ มาศึกษาการลดกิเลส มาหัดลดเนื้อกินผักอย่างจริงจัง ผมเริ่มรู้สึกว่าตนเองนั้นค่อยๆเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อมะเขือเทศ จากที่เคยไม่ชอบมัน ก็เริ่มกลั้นใจกินมันบ้าง พิจารณาประโยชน์ของมันเพิ่มบ้าง เริ่มมองความจริงตามความเป็นจริงได้ชัดขึ้นทีละนิด

มะเขือเทศเป็นพืชที่หาได้ง่าย ปลูกก็ง่าย ราคาไม่แพง เก็บได้นาน แถมยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย ช่วงหลังเลยพยายามทำตัวเองให้สนิทกับมะเขือเทศมากขึ้นด้วยการประกอบอาหารด้วยมะเขือเทศ กินมะเขือเทศกับอย่างอื่นบ้าง จนกระทั่งสามารถกินมะเขือเทศได้โดยไม่รู้สึกรังเกียจเช่นเดิม

ทุกวันนี้ถ้าเห็นมะเขือเทศ ก็รู้สึกว่ามันเป็นของที่ควรกิน จากที่ไม่เคยสนใจใยดี แต่ทุกวันนี้กลับรู้สึกว่าน่าเสียดายหากมะเขือเทศที่อยู่ในจานส้มตำจะต้องถูกเขี่ยทิ้งไป เรียกว่าจากที่เคยไม่มีค่าในชีวิต ในวันนี้กลับเปลี่ยนมาเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกมองข้าม

แต่ก่อนผมมองว่ามันไม่ใช่อาหาร จึงไม่เป็นมิตร เพราะไม่เห็นประโยชน์ของมัน แต่ในวันนี้เมื่อผมได้ทำลายความยึดมั่นถือมั่น ทำลายอคติลำเอียง ทำลายความชอบหรือไม่ชอบในรสใดรสหนึ่งที่เคยจัดจ้านรุนแรงให้เบาบางลง ผมก็จะเริ่มเห็นคุณค่าของมันตามความเป็นจริง

มะเขือเทศมีคุณค่าในตัวของมันและมีมันอยู่อย่างนั้นมาตั้งนานแล้ว แต่ผมกลับไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นเอง เป็นเพราะผมหลงติดหลงยึดในบางสิ่งบางอย่างจนไม่อยากมองตามความเป็นจริง จึงทำให้มองไม่เห็นคุณค่าของมันตามความเป็นจริง

หากเราสามารถมองให้เห็นความจริงตามความเป็นจริงแล้ว เราก็จะรับรู้ว่าทุกอย่างในโลกนี้มีคุณค่าในตัวของมันเองทั้งหมด มันมีเหตุผลในการก่อกำเนิดของสิ่งนั้นเพื่อสืบเนื่องไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง คือเส้นสายแห่งความสัมพันธ์ที่เชื่อมร้อยรูปและนามเข้าด้วยกันหมุนวนสร้างผลและรับผลต่อเนื่องกันไป เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการหลุดพ้นจากวงเวียนแห่งการเกิดและดับเช่นนี้

– – – – – – – – – – – – – – –

21.8.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)