Tag: ความฝัน
การเดินทางที่แสนพิเศษ

การเดินทางที่แสนพิเศษ
….การท่องเที่ยวผ่านอดีต ไปอนาคต จบลงที่ปัจจุบัน
ในชีวิตหนึ่งเราอาจจะเดินทางไปไหนต่อไหนก็ได้ ไกลเท่าไรก็ได้ อาจจะทั่วโลกหรือทั่วจักรวาลก็ยังได้ เราได้เห็นได้เรียนรู้สิ่งต่างๆระหว่างการเดินทางมากมาย จนถึงจุดหมายซึ่งทำให้เราพบกับสิ่งที่เราเรียกว่าความสุข แต่ก็ยังมีการเดินทางที่พิเศษกว่านั้นเป็นการเดินทางไปที่ไหนก็ได้แม้ว่าจะนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเก่า นอนอยู่บนเตียงเดิมเดิม แต่กลับงดงามอย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้
จินตนาการสามารถพาเราไปที่ไหนก็ได้ ไกลแค่ไหนก็ได้ ละเอียดเท่าไรก็ได้ จะแวะพัก จะย้ายที่ จะทำอะไรก็ได้…
เราจึงใช้จินตนาการเหล่านั้นพาตัวเองผ่านอดีต ผ่านหลายภพหลายชาติที่เคยติดเคยยึดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมา เดินทางตรวจสอบจิตใจว่าเรายังเหลืออะไรให้หวนไปในอดีตเหล่านั้นหรือไม่ เรายังสุขยังทุกข์กับเรื่องราวในอดีตเหล่านั้นหรือไม่ ทุกเรื่องราวที่ผ่านมาสร้างรอยยิ้มและน้ำตามากมาย เป็นเหมือนเส้นทางที่มีแต่ความทรงจำที่ผ่านมามากมายขื่นขมและงดงามหาที่เปรียบไม่ได้
เรายังคงเฝ้าถามตัวเองว่ายังเหลือทุกข์เหลือสุขอยู่ในอารมณ์เหล่านั้นหรือไม่ แม้เรื่องราวเหล่านั้นจะทำให้เรารู้สึกอะไรบางอย่าง เราอยากทำให้มันกลับมาหรืออยากลบมันทิ้งไปหรือไม่
…
หลังจากเราเดินทางไปในอดีต เราก็จะไปท่องเที่ยวกันต่อในอนาคต เราจะพาจินตนาการไปยังที่ที่อยากไป คนที่อยากพบ เหตุการณ์ที่อยากเจอ เป้าหมายในชีวิตของเราที่อยากมี ความฝันวันวานที่เราเคยมี เราใช้เวลาดื่มด่ำไปกับจินตนาการในอนาคต เรามีความสุขหรือไม่ที่เราคิดถึงมัน จะดีไหมถ้าเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นจริง เราใช้มันเป็นแรงผลักดันในชีวิตได้ไหม ถ้าถึงวันที่เราฝันจริงๆ แล้วเราจะมีความสุขจริงๆใช่ไหม?
เราเดินทางไปยังอนาคต ที่เวลาทั้งหลายจะเคลื่อนไปตามจินตนาการของเรา คนข้างๆเราเขายังจะอยู่กับเราถึงวันที่เราหวังหรือไม่ พ่อและแม่ของเราจะจากไปตอนไหน เราจะต้องอยู่คนเดียวอีกนานแสนนานไหม ถ้าเราต้องโดดเดี่ยวและสูญเสียจริงๆ เราจะทุกข์ เราจะเสียใจ เราจะทนได้ไหม เราจะไม่ร้องไห้ได้ไหม
…
หากเรายังคงยินดีในอดีตและอนาคต เราก็ยังคงต้องเดินทางต่อไป การเดินทางของเรานั้นยังไม่จบยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับมัน เราต้องใช้เวลามากมายเดินทางข้ามผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นจากเดือนเป็นปี จากปีเป็นชีวิต เราตายและเกิดใหม่เพื่อเดินทางเรียนรู้บนถนนเส้นเดิม แม้ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่เราก็ยังจะเดินทางตามหาความฝันเหมือนเดิม
จนกว่าเราจะพบว่าเราพอแล้ว เราไม่ยินดีในสุขและไม่สนใจจะจมอยู่กับทุกข์ทั้งในอดีตและอนาคตแล้ว ไม่มีเรื่องใดๆให้เราต้องทำ ไม่ต้องไขว่คว้าฝันนั้นอีกต่อไปแล้ว เราจึงยินดีที่จะหยุดเดิน เราไม่กลับไปอดีต และจะไม่เดินต่อไปในอนาคต การเดินทางของเราจบลงที่ตรงนี้ ตอนนี้ เราอยู่กับปัจจุบัน อดีตคือความทรงจำดีๆ เรื่องราวมากมายที่ผ่านมานั้นยังคงมีอยู่ อนาคตต่อจากนี้ก็ยังมีอยู่แต่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
การเดินทางที่แสนพิเศษจะเกิดขึ้นเพราะมันมีตอนจบ มีเส้นทาง มีประสบการณ์ มีเรื่องราวมากมายที่ผ่านมาแล้วก็มีตอนจบ เป็นการสิ้นสุดของการเดินทางท่องเที่ยวที่ผ่านมานานแสนนาน ผ่านรอยยิ้มและน้ำตามากมาย บทสรุปนั้นงดงามด้วยเรื่องราวของทุกก้าวที่ผ่านมา
พระอาทิตย์กำลังขึ้นในเช้านี้ แต่ไม่มีการเดินทางอีกต่อไป ไม่ต้องท่องเที่ยวอีกต่อไป เหลือเพียงแค่คนหนึ่งคนที่ใช้ชีวิตไปอย่างปกติ โดยไม่ต้องเดินทางไปไหนอีก ไม่ต้องกลับไปอดีต ไม่ต้องไปอนาคต เพราะเขาอยู่กับปัจจุบัน
– – – – – – – – – – – – – – –
22.12.2557
แบ่งปันประสบการณ์ความเบื่อหน่ายคลายกิเลส กรณีศึกษาเรื่องการท่องเที่ยว

แบ่งปันประสบการณ์ความเบื่อหน่ายคลายกิเลส กรณีศึกษาเรื่องการท่องเที่ยว
เรื่องการท่องเที่ยวนี่ก็เป็นเหมือนเป้าหมายในชีวิตของใครหลายคนเลยทีเดียว การได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆที่ไม่เคยไป การได้ไปผจญกับภัยในที่ที่ไม่เคยพบเห็น เป็นประสบการณ์ใหม่ๆที่หลายคนอยากสัมผัสด้วยตัวเอง และแม้แต่การท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนสนองกิเลสก็ยังเป็นความฝันก็ใครหลายคนด้วยเหมือนกัน
ผมเองก็เป็นคนที่เคยรักการท่องเที่ยว แม้จะไม่ได้ไปบ่อยนักแต่จากประสบการณ์ก่อนนั้นก็ชอบที่จะเดินไปตามแนวภูเขา ทุ่งกว้าง ชอบขึ้นภูเขา หน้าผา ทะเลตามสมัยนิยม ก็ชอบเหมือนกันกับคนอื่นเขานี่แหละ มีอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิตเมื่อปี ๒๕๕๔ ซึ่งมีน้ำท่วมถึงกรุงเทพ ผมก็เป็นอีกคนที่หนีน้ำท่วมออกจากบ้านไป(แต่น้ำไม่ท่วมนะ หนีก่อนปลอดภัยไว้ก่อน) และใช้โอกาสนั้นในการท่องเที่ยว ผมเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี เมืองพัทยา ประจวบคีรีขันธ์ ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่เขามีให้เที่ยวโดยใช้การพักแรมที่บ้านเพื่อนบ้าง บ้านญาติบ้างตามโรงแรมรีสอร์ทบ้าง
ด้วยความที่ตัวเราก็ชอบถ่ายรูปอยู่มากเหมือนกัน เรียกได้ว่าสนุกกับการถ่ายรูปเลยก็ว่าได้ ดังนั้นการไปเที่ยวและเก็บภาพบรรยากาศต่างๆจึงเป็นกิจกรรมที่ไปด้วยกันได้ ซึ่งผมเคยมีความสุขกับกิจกรรมเหล่านั้นมาก จนกระทั่งวันหนึ่ง….
….วันหนึ่งผมได้มีนัดพบปะเพื่อนฝูง ในกลุ่มเพื่อนก็จะมีคนที่ชอบท่องเที่ยวเป็นประจำ เที่ยวไปในที่ต่างๆมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ แบกเป้ลุยเที่ยวก็เป็นเรื่องปกติของเขา ซึ่งเขาก็ได้เล่าเรื่องที่ไปเที่ยวจีน ซึ่งการเดินทางในแถบนั้นดูจะลำบากและอันตราย เขาเล่าว่ามีครั้งหนึ่งตอนขึ้นรถที่ขับไปทางริมเขาก็เกือบจะตกเขาด้วยความที่เส้นทางนั้นลาดชันและไม่สมบูรณ์สักเท่าไรนัก
พอได้ฟังเขาเท่านั้นแหละ ความอยากท่องเที่ยวมันหายไปในพริบตา หลังจากที่ได้พิจารณาตามเขาซ้ำๆ ทำไมเราต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงขนาดนั้น การได้เที่ยวมันสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วต้องไปอีกกี่ที่ถึงจะพอใจ ได้เที่ยวไปทั่วโลกแล้วยังไง ได้เห็นทั้งโลกแล้วมันยังไง จะมีความสุขจริงหรือ แค่ฟังก็รู้สึกลำบากแล้ว ยิ่งถ้าไปเสียชีวิตจากการท่องเที่ยวแล้วจะมีใครยินดีกับเราบ้าง มันจะมีประโยชน์อะไรที่เราจะแลกความสุขกับความเสี่ยงขนาดนั้น
….ความอยากมันตายลงบนโต๊ะนั่นแหละ กิเลสมันตายกลางวนสนทนา เป็นความรู้สึกเบื่อหน่ายที่ผมรู้สึกลึกๆอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพื่อนๆยังคงสนุกกับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยว ความฝันว่าอยากไปที่นั่นที่โน่น ผมก็ยังนั่งฟังและคุยตามปกติแต่ในใจเราไม่ได้คล้อยตามเขาไปอีกแล้วมันจบไปแล้ว
หลังจากนั้นก็มักจะมีคำชวนจากครอบครัวให้ไปเที่ยวด้วยกันต่างจังหวัด เช่นไปเกาะกูด ไปฟรีนะเขาออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ไป ชวนกี่ครั้งก็ไม่ไป เพราะมันไม่ได้อยากไปแล้ว ถ้าเป็นตัวเราแต่ก่อนนี่ก็คงจะตอบตกลงแน่นอน เพราะไปฟรี กินฟรี นอนฟรี จะมีอะไรดีกว่านี้อีก แล้วมันก็มีดีกว่าจริงๆนั่นคือไม่ไป…
สภาพแบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญและไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ความยินดีที่จะไม่เสพโดยที่ยังมีความสุขนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้ว คงต้องขอบคุณตัวผมเอง ขอบคุณกรรมของผมเอง ที่หัดพิจารณาเรื่องนี้สะสมมาหลายภพหลายชาติ ผมคงเคยเป็นคนที่เที่ยวมาทั่วโลกมาแล้วไม่ชาติในก็ชาติหนึ่ง เที่ยวจนเบื่อ เที่ยวจนทุกข์ เที่ยวจนเกิดโทษ มาถึงชาตินี้พอมีเหตุการณ์ให้พิจารณาเพียงนิดหน่อยก็หลุดจากกิเลสตัวนี้ได้ และหลุดอย่างถาวรไม่อยากเที่ยวอีกเลย เพราะรู้ชัดแจ้งแล้วว่าเที่ยวไปก็เหมือนเดิมมีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ พระอาทิตย์ขึ้นก็เหมือนเดิม ตกก็เหมือนเดิม หนาวก็หนาวแบบนั้น วิวสวยมันก็เป็นของมันแบบนั้น เราไม่ได้สุขจากการเสพสิ่งพวกนี้อีกแล้ว และยังเห็นโทษด้วยว่าไปก็เปลืองเงิน เปลืองเวลา เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ แถมเวลาที่ไปเที่ยวถ้าเอามาทำประโยชน์ก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเองและคนอื่นมากกว่า เช่นถ้าไปเกาะกูด 3 วัน 2 คืน คงได้บทความดีๆมาอย่างน้อย 1-2 บทความแล้ว อันนี้มันเห็นประโยชน์ของการไม่เที่ยวอย่างชัดเจน
ถ้ามองในเรื่องของประสบการณ์ซึ่งถ้ามันจำเป็นต้องเก็บประสบการณ์นั้นจริงๆมันก็ต้องไป แต่ถามว่าอยากไปไหมก็คงไม่อยาก ถ้าให้หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตได้ก็คงใช้ทางนั้นจะดีกว่า ไปให้มันลำบากกายลำบากใจไปทำไม คนที่มันไม่มีความอยากแล้วไปให้ทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์นี่มันจะไม่อยากไปนะ มันจะเมื่อยๆ เฉื่อยๆ เบื่อๆ ไปอย่างนั้นเลย การที่เราไม่ได้เที่ยวนี้มันไม่ทุกข์นะ มันสุขแสนสุขเลย แม้ไม่ได้ไปเที่ยวก็สุขมันก็สุขตลอดเวลาเพราะไม่ได้มีความทุกข์จากความอยากไปเที่ยว
ผมเข้าใจว่าเวลาที่คนเราอิ่ม มันจะพอเอง พออิ่มจนเสพไม่ไหว รู้ว่าเสพต่อไปมันจะทรมานถ้ามีสติปัญญาพอ มันก็จะพอของมันเอง เหมือนกับการเที่ยวถ้าใครยังไม่อิ่ม ยังอยู่กับโลกไม่อิ่ม ยังชื่นชมโลกไม่พอ ยังเสพกิเลสไม่พอก็คงต้องกินให้อิ่มเสียก่อน อิ่มแล้วอยากกินต่อมันก็กินจนทรมาน ทรมานแล้วก็เห็นทุกข์ เห็นทุกข์ก็คงเห็นธรรมเองสักวัน
– – – – – – – – – – – – – – –
26.11.2557
นั่งจับเข่าคุยกับกิเลส

นั่งจับเข่าคุยกับกิเลส
ทุกข์เกิดมาจากอะไร ทำไมเราจึงต้องทุกข์ ยิ่งใช้ชีวิตนานวันไปยิ่งพบกับทุกข์มากขึ้น ยิ่งค้นยิ่งหาก็ยังไม่เจอเหตุแห่งทุกข์ แล้วมันทุกข์จากอะไร เพราะเราอยากได้ อยากมี อยากเป็น ใช่ไหมเราจึงต้องทุกข์
ความอยากหรือตัณหานั้นเป็นสิ่งที่ผลักดันให้ทุกชีวิต ตื่นลุกออกจากเตียงก้าวออกไปเผชิญชีวิตในสังคมเมือง ออกไปทำงานตามล่าหาเงิน หาความสำเร็จ หาความมั่งคั่ง มาบำเรอความอยาก ที่เรามักจะเรียกให้มันดูดีว่า “ความฝัน”
อารมณ์ต่างๆในชีวิต เช่น ความโกรธ ขุ่นเคือง ไม่พอใจ ฯลฯ อารมณ์เหล่านี้เกิดจากการที่เราไม่ได้สมใจอยาก บางคนสามารถใช้วิธีทางสมถะตบความทุกข์เหล่านี้ออกจากใจได้ สามารถดับความโกรธ ความขุ่นเคือง ความไม่พอใจได้ เขาเหล่านั้นเชื่อว่านี่คือทางแห่งการพ้นทุกข์ แต่จริงๆแล้ว เพียงแต่ตบความคิด ดับความคิด หยุดฟุ้งซ่าน แค่ทำใจให้โล่ง โปร่งสบายได้ ยังมาไม่ถึงคำว่า “พุทธ” เลย
วิถีแห่งสมถะ มีมาก่อนพระพุทธศาสนาจะกำเนิดอยู่แล้ว เป็นวิถีแห่งฤาษี พราหมณ์ ในอดีตสมัยพุทธกาลก็มีกันอยู่มาก พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ทดลองแล้วและพบว่ามันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีคนที่หลงทางอยู่มากมาย เข้าใจว่าการทำสมถะ ดับความคิด ตบความคิดได้ นั่นคือทางแห่งพุทธะ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ใกล้เคียงเลย…
แม้เราจะสามารถดับความคิดขุ่นเคือง เศร้าหมอง โกรธ ฯลฯ ได้ แม้เราจะบอกว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปได้ แม้จะรู้ว่ามันเป็นอนิจจัง ความรู้เหล่านี้เป็นความรู้ในระดับทั่วไป แน่นอนว่าศาสนาพุทธก็สอนให้ดับปัญหาเหล่านั้นที่ปลายเหตุด้วยส่วนหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันเราก็มุ่งเน้นมาที่ต้นเหตุ คือสมุทัย เหตุแห่งทุกข์
ทุกข์มันเกิดจากตรงไหน เกิดจากการที่เราโกรธ ขุ่นเคืองใจอย่างนั้นหรือ? ผู้มีปัญญาตื้นเขินก็จะมองเห็นได้เพียงแค่นั้น และดับความคิดเพียงแค่นั้น จนสุดท้ายหลงเข้าใจผิดว่าการบรรลุธรรมก็มีแค่นั้น ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะเหตุแห่งทุกข์จริงๆเราต้องขุดค้นลงไป ว่าเราโกรธเพราะอะไร ที่เราโกรธเพราะเราไม่ได้เสพสมใจในเรื่องใด
และขุดค้นลงไปอีกว่า การที่เราอยากเสพในเรื่องนั้นๆ เราอยากเสพเพราะอะไร เราอยากได้อยากมีอะไร เราติดสุขอะไรในรสชาติ ติดอะไรในอารมณ์ของสิ่งนั้น พิจารณาลึกลงไปเรื่อยๆ ลึกกระทั่งจนไปถึงเหตุเกิด หรือที่เกิดของความทุกข์ นั่นคือสมุทัย ไม่ใช่ปลายเหตุคือความโกรธที่เราเห็นได้ทั่วไป
เพราะเหตุแห่งทุกข์นั้นมักจะซ่อนอยู่ภายในลึกๆ แม้ว่าจะค้นเจอแล้วครั้งหนึ่งอาจจะไม่ได้หมายความว่าจะเจอทั้งหมด และไม่ได้หมายความว่าที่เราเจอคือต้นเหตุจริงๆ เราต้องเฝ้าพิจารณาหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หารากที่เหลือของมันและขุดรากถอนโคนมันออกมาด้วยวิธี …นั่งจับเข่าคุยกับกิเลส
หลังจากที่เราได้เจอกับกิเลสของเราแล้ว วิธีการที่จะดับกิเลสนั้น ไม่ใช่การทำลายมันด้วยการตบทิ้ง หรือการกดข่ม หรือการดับใดๆ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเราได้เจรจากับกิเลส ได้ใช้เวลาคุยกับกิเลสให้มาก ให้ตัวเราและกิเลสได้ทำความเข้าใจว่า ฉันไม่ใช่เธอ และเธอก็ไม่ใช่ฉัน เราไม่ใช่กันและกัน เธอไม่จำเป็นต้องอยู่กับฉันตลอดไปก็ได้ เราจะใช้เวลาเจรจานานตราบเท่าที่กิเลสจะยอมใจอ่อน เดินจากเราไป อาจจะใช้เวลา 1 วัน 1 เดือน 1 ปี 1 ชาติ 1 กัป หรือ 1 อสงไขยก็เป็นได้
ยกตัวอย่างเช่น เราโกรธเพื่อน เพราะว่าเพื่อนพูดในสิ่งที่เราไม่ชอบ ถ้าสายสมถะหรือสายฤาษีก็จะตบความโกรธทิ้งไป ดับความคิดที่โกรธทิ้งไป แล้วเข้าใจไปเองว่าตนบรรลุธรรม แต่ในทางพุทธ เราจะย้อนกลับมาที่ใจตัวเองว่า… ทำไมเราถึงโกรธเพื่อน
เพราะเขาพูดในสิ่งที่เราไม่ชอบใช่ไหม?
แล้วเราไม่ชอบคำพูดเหล่านั้น
หรือเราไม่ชอบเรื่องราวในคำพูดเหล่านั้น?
หรือเรื่องราวเหล่านั้นมันทำร้ายทำลายใจเรา?
แล้วเรามีเรื่องอะไรให้ต้องเจ็บ?
เพราะเราเคยมีแผลเก่าในใจใช่ไหม?
แผลเก่าในใจนั้นคืออะไร?
เป็นเพราะมีใครคนหนึ่งเคยฝากแผลใจให้กับเราไว้ใช่ไหม?
แล้วเราเจ็บปวดเพราะอะไร
เพราะเราคาดหวังว่าเขาจะต้องทำดีกับเราใช่ไหม?
พอเขาไม่ทำดีกับเรา ทำร้ายเรา เราก็ผิดหวังใช่ไหม?
นั่นเป็นเพราะเราหวังมากเกินจริงใช่ไหม?
เขาก็เป็นของเขาแบบนั้นแล้วเราจะไปหวังอะไรกับเขา
เราหวังเพราะเราอยากเสพดีใช่ไหม?
อยากเสพดีเพราะเราติดว่าดีเป็นสุขใช่ไหม?
….
สมมุติว่าเราหยุดตรงนี้ เราหยุดตรงที่เราติดว่า “เกิดดีจึงจะเป็นสุข” เราก็คุยกับกิเลส ก็คือพิจารณาโทษของการติดดี และประโยชน์ของการไม่ไปติดดี พิจารณากรรมและผลของกรรมว่าถ้าเรายังติดดีอยู่ อนาคตเราต้องรับอะไรบ้าง รวมทั้งพิจารณาว่าการติดดีนั้นเป็นทุกข์อย่างไร ถึงจะติดดีอย่างไรในความจริงมันก็ไม่เที่ยง ไม่สามารถเกิดดีหรือเป็นดังใจเราได้เสมอไป รวมถึงความดีที่เรายึดไว้ แท้จริงมันก็ไม่ได้มีตัวตนอยู่อย่างที่เราคิด เราคิดไปเองว่าความติดดีคือเรา เราคือความติดดี จริงๆแล้วมันไม่ใช่ของกันและกัน เราและความยึดว่าต้องเกิดดีนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับเราเลย
แล้วเราก็ใช้เวลาของเรานั่งจับเข่าคุยกับกิเลสในตัวเองต่อไป คุยไปเรื่อยๆ คุยไปทุกครั้งที่เจอกัน เจอกิเลสเมื่อไหร่เราก็เจรจา หาเหตุผล หาความจริงตามความเป็นจริงมาเรื่อยๆ พิจารณาไปแม้ว่าเราจะพ่ายต่อกิเลส โดยไม่ลดความพยายาม หน้าด้านคุยกับกิเลสไปจนถึงวันหนึ่งกิเลสก็จะยอมถอย เก็บกะเป๋าออกจากจิตใจเรา วันนั้นคือวันที่ปัญญาของเรามากพอที่จะไล่กิเลส ทำลายกิเลส หรือที่เรียกว่าฆ่ากิเลสนี้ลงได้
กิเลสจะไม่มีวันกลับมาได้อีกต่อไป ไปแล้วก็ไปเลย ถึงกิเลสจะวนกลับมา เพียงแค่เราพูดหรือใช้การพิจารณาเพียงเล็กน้อย กิเลสก็ยอมล่าถอย ไม่เข้าใกล้เราอีกต่อไปนั่นคือเรามีปัญญามากพอที่จะพ้นภัยจากกิเลสนั้นๆ
ทั้งหมดนี้คือลักษณะของการวิปัสสนา ซึ่งถ้าใครทำวิปัสสนาอย่างถูกตรงก็จะเข้าใจกระบวนการนี้ได้ดี แต่ถ้าใครหลงผิดไปว่าสมถะของตนนั้นคือวิปัสสนา อาจจะไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะเขาเข้าใจได้เพียงแค่ว่า แค่ดับความคิดก็จบแล้ว ทำไมต้องคิด ทำไมต้องทำขนาดนี้ ซึ่งเขาเองอาจจะไม่ได้สังเกตว่า วิธีที่เขาทำนั้น ความอยากมันไม่ได้หายไป ความอยากมันไม่ได้ตาย มันดับ แล้วมันก็เกิดใหม่ เกิดและดับไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น อย่างเก่งก็ดับได้แบบอัตโนมัติ กดดับไปแบบไม่รู้ตัว กดข่มดับจิตไปทั้งชาติ เกิดมาชาติหน้าก็ต้องมาเจอกิเลสใหม่อยู่ดีเพราะยังตัดตัณหาไม่ขาด กิเลสไม่ตาย ก็ต้องเจอกันใหม่อยู่ดี
ด้วยวิธีนี้เราจะสามารถดับตัณหา หรือความอยากที่มีกิเลสปนเปื้อนได้ และสามารถรู้ได้เองว่ากิเลสของตนนั้น “ลด” ไปเท่าไหร่ กิเลสลดก็รู้ กิเลสเพิ่มก็รู้ กิเลสดับก็รู้ เป็นลักษณะของความรู้แจ้ง ไม่ใช่แบบมั่ว คิดเอาเอง หรือคาดเอาไปเอง ไม่รู้อะไรเลย ศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ใช่ ผู้ไม่รู้ ผู้หลับใหลมัวเมา ผู้เฉยๆ
หากเราได้ใช้เวลาในชีวิตประจำวัน เฝ้าคุยกับกิเลสของตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องขุ่นเคืองใจใดๆ ที่เข้ามาในชีวิตเรา เราจะจับเข่าคุยกับกิเลสทุกครั้งที่ว่างจากการทำงาน หรือกระทั่งพิจารณาสอดร้อยไปในกิจกรรมการงาน เราก็มีโอกาสที่จะเป็นผู้พ้นทุกข์จากกิเลส เพราะเราได้กำจัดเหตุแห่งทุกข์นั้นสิ้นไปแล้ว
– – – – – – – – – – – – – – –
28.9.2557

