Tag: เหตุแห่งทุกข์

อกหัก ช้ำรัก พึ่งธรรม เพื่อคลายทุกข์ แต่ไม่อยากพ้นทุกข์

September 30, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,129 views 0

อกหัก ช้ำรัก พึ่งธรรม เพื่อคลายทุกข์ แต่ไม่อยากพ้นทุกข์

อกหัก ช้ำรัก พึ่งธรรม เพื่อคลายทุกข์ แต่ไม่อยากพ้นทุกข์ : การแก้ปัญหาความรักที่ไม่ลงแก้ไปถึงเหตุแห่งทุกข์

ความทุกข์ที่เกิดจากความรัก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนส่วนหนึ่งหันเข้าหาศาสนา เพื่อที่จะคลายทุกข์เหล่านั้น พวกเขาจึงเลือกธรรมะมาใช้เป็นเครื่องมือกำจัดทุกข์

แต่กระนั้นคนที่ทุกข์จากความรักส่วนมาก ไม่ได้ต้องการที่จะดับทุกข์ให้หมดสิ้น เขาเพียงแค่ต้องการให้ทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นอยู่นั้นได้จางคลายลง เปรียบเหมือนคนที่โดนปืนยิง แต่ไม่ต้องการผ่าเอาหัวกระสุนที่ฝังในออก เพียงแค่ต้องการให้รักษาทั่วไปแล้วเย็บแผลให้ดูหายเป็นปกติ นั่นหมายถึงเขาไม่ได้ต้องการแก้ปัญหาทั้งหมดของความรัก เพียงแค่ต้องการแก้ทุกข์เท่าที่เป็นอยู่เท่านั้น

เขาเหล่านั้นเป็นทุกข์ แต่กลับไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็น “ความอยาก” ว่าเป็นความทุกข์ ไม่เห็นหัวกระสุนที่ฝังในอยู่นั้นคือปัญหา และเขาก็ไม่ได้อยากจะเห็นทุกข์ ไม่ได้อยากเห็นธรรม เขาแค่เพียงไม่อยากเป็นทุกข์ อยากจะหลุดพ้นจากทุกข์ในขณะนั้น โดยไม่ได้ต้องการทำลายเหตุแห่งทุกข์

ซึ่งทุกข์จากความรักเหล่านี้แท้จริงแล้ว ก็เป็นทุกข์ที่เกิดจากกิเลส มันมีเหตุ และสามารถดับเหตุของมันได้ จึงเป็นทุกข์ที่เลี่ยงได้ ไม่จำเป็นต้องมีทุกข์เช่นนี้เกิดขึ้นในชีวิต

หาธรรม ให้ช้ำคลาย

การเข้าหาธรรม ด้วยความบีบคั้นของทุกข์จากความรักนั้น เกิดจากค่านิยมของคนส่วนใหญ่ว่าถ้าเข้ามาหาธรรมแล้วใจจะสงบขึ้น มีปัญญาขึ้น ซึ่งแท้จริงแล้ว ทุกข์เหล่านั้นสามารถดับลงไปเองได้แม้จะไม่ได้ทำอะไรกับมัน ตามวงจรของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่การดับเช่นนี้เป็นลักษณะทั่วไปของโลก เป็นสามัญ แต่เมื่อดับแล้วก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ เพราะเหตุยังไม่ดับนั่นเอง

คนทั่วไปมักจะใช้วิธีเปลี่ยนเรื่องเพื่อช่วยในการออกจากความทุกข์ การใช้ธรรมะก็เช่นกัน เราสามารถนั่งสมาธิ เดินจงกรม เพื่อหยุดความฟุ้งซ่าน หรือถ้าแบบทั่วๆไป ก็ออกไปเที่ยว หากิจกรรมทำ หางานทำให้เรื่องมันเปลี่ยนจะได้ลืมๆความทุกข์ไป วิธีเหล่านี้จะถูกจัดอยู่ในลักษณะของ “สมถะ” คือการใช้อุบายเข้ามาบริหารจิต ให้เกิดความจางคลายจากสภาพหนึ่งๆ

การใช้ธรรมะเป็นทางเลือกก็เป็นโอกาสที่ดีที่ครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้เดินเข้ามาศึกษาธรรมะ ซึ่งก็อาจจะเป็นโอกาสที่จะได้ศึกษาหาความรู้เพื่อการหลุดพ้นอย่างแท้จริง ตามขอบเขตของผู้ที่ต้องการศึกษา หรือจะใช้ธรรมะแค่คลายทุกข์ไปวันๆก็ตามแต่จะประสงค์

หาหมอ แต่ไม่ยอมรักษา

คนที่เลือกใช้ศาสนา ใช้ธรรมะในการคลายทุกข์จากความรัก น้อยคนนักที่จะยอมรักษาให้ถึงเหตุแห่งทุกข์ โดยส่วนมากก็ขอแค่ให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นคลาย พออาการดีขึ้นก็รีบหนีออกจากความดูแลของหมอ(ผู้ผ่าตัดกิเลส) ไปเสพสุขในโลกต่อ เหมือนกับคนที่รักษาโรคแบบขอไปที หรือคนที่อาบน้ำกลัวเปียก

ในกรณีที่ใจป่วยรักษายังไงก็ไม่หาย อาจเพราะไม่กินยา(ไม่ปฏิบัติตาม) ทุกข์จึงไม่หาย บางทีกินยาผิด ไม่ตรงตามที่แนะนำ หรือเข้าใจผิดก็ทำให้ทุกข์ไม่หายไปอีก หรือที่ซวยกว่านั้นคือไปหาหมอผิด เช่น ท่านเหล่านั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และวิธีปฏิบัติสู่การดับทุกข์ แต่หลงเข้าใจไปว่าตนเองนั้นสามารถดับทุกข์ได้ เป็นอาจารย์หมอขั้นนั้นขั้นนี้ แล้วก็ออกมารักษาคน หายบ้างไม่หายบ้าง แต่ที่แน่ๆคือไม่มีวันหายอย่างถาวร และทุกข์จากความรักเช่นนี้ แม้ไม่รักษามันก็จะหายไปเอง ตามธรรมชาติ อาจจะทำให้หลงเข้าใจผิดว่ามันหายไปก็ได้…แต่ถ้ารักษาผิด ไม่ทำลายถึงเหตุแห่งทุกข์สักวันมันก็จะเกิดขึ้นมาใหม่

แท้จริงแล้วการที่คนเราไม่ยอมศึกษาให้ถึงเหตุแห่งทุกข์นั้นเกิดจากความหลง มันหลงในกิเลสจนหวงกิเลส รักกิเลส เสียดายกิเลส กลัวว่าจะมีคนมาล้วงลึก มาทำลายกิเลสของตัวเอง ไม่ยอมเผยธาตุแท้ของกิเลสให้ใครเห็นแม้แต่ตัวเอง เรียกว่ารักกิเลสมากกว่ารักธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่โดนกิเลสปั่นหัวจนหลงมัวเมา เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

หมอที่ตาดีบางท่านเขาก็สังเกตเห็นอาการกิเลสกันได้ตามบารมีที่สะสมมา แต่การจะไปทัก หรือจะเข้าไปรักษานั้น มันก็ขึ้นอยู่กับคนไข้ว่าเขาอยากจะให้รักษาไหม เขาอยากให้แนะนำไหม เขายังหวงกิเลส เขายังผลักไสธรรมะอยู่ไหม ถ้ายัง…ก็ต้องปล่อยเขาไปก่อน ไว้วันใดวันหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่งเขาเห็นทุกข์จนอยากทำลายเหตุแห่งทุกข์นั้นแล้วค่อยมาว่ากัน

ช้ำรัก แต่ไม่หยุดรัก

พอไม่ได้แก้ปัญหาที่เหตุ ไปแก้ที่ผล ไปดับทุกข์กันแต่ที่ผล พอความทุกข์นั้นจางลงไป แต่ความใคร่อยากไม่ได้ลด กิเลสไม่ได้ลดลง สุดท้ายก็จะเวียนกลับไปหาเหาใส่หัว ไปสร้างเหตุแห่งทุกข์ให้ตัวเองเพิ่ม ซึ่งมันจะไม่ทุกข์เท่าเดิม มันจะค่อยๆเพิ่มมากกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเหตุจากความหลงที่เพิ่มขึ้น วิบากบาปก็มากตามที่หลงติดหลงยึดไปด้วย ติดนานเท่าไหร่ก็สะสมไปเท่านั้นและสุดท้ายก็ต้องชดใช้เท่าที่ทำมาไม่ขาดไม่เกิน

นี่คือความเป็นโลก ความวนเวียนอยู่ในโลก เป็นโลกียะ เป็นวิถีของผู้หลงผิด ที่มัวเมาในสุขลวง หลงว่าสิ่งที่เป็นทุกข์เหล่านั้นว่าเป็นความสุขจริงๆ เขาจึงวิ่งเข้าใส่ความทุกข์ด้วยความยินดี เปรียบเหมือนกับคนที่วิ่งเข้าไปในกองไฟแล้วรู้สึกว่ามีความสุขและเข้าใจว่า “ชีวิตมันก็ต้องสุขๆ ทุกข์ๆ เช่นนี้แหละ” นั่นหมายถึงเขาก็จะต้องวนเวียนไปเช่นนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์ เพราะเขายินดีในสิ่งเหล่านั้นนั่นเอง

ดังนั้นการไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือความวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ เสียแรง เสียทรัพย์ เสียเวลา เป็นการเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น ตัวเองก็ทุกข์แล้วไม่ยอมแก้เหตุแห่งทุกข์ ยังต้องไปเบียดเบียนคนอื่นเพื่อหาทางคลายทุกข์ นั่นหมายถึงว่า การไม่พยายามศึกษาและปฏิบัติสู่การพ้นทุกข์ คือการเบียดเบียนที่แท้จริง เป็นการใช้ชีวิตไปในทางที่ผิด เป็นทางไปสู่นรก เป็นไปเพื่อความฉิบหาย เป็นไปเพื่อความทุกข์ชั่วกัลปาวสาน

– – – – – – – – – – – – – – –

30.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

จิตฟุ้งซ่านเพราะถูกกระตุ้น

September 28, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,156 views 0

ถาม : การที่เราได้ไปเจอเหตุการณ์ที่ทำให้หวนคิดถึงเรื่องเก่าๆที่เคยสุขหรือทุกข์ใจ เช่นเรื่องของแฟนเก่า ภาพในวันเก่า จนจิตฟุ้งไปกับอารมณ์นั้น ควรทำอย่างไร?

1.1.ถ้ามันฟุ้งซ่านคุมไม่อยู่ก็เปลี่ยนเรื่องไปทำอย่างอื่น ใช้อุบายกำหนดจิต หลอกจิตให้สงบไปก่อน

1.2.ถ้าไม่ถึงกับฟุ้งซ่านมาก ก็ให้ตามดูอาการที่เกิดขึ้น ดูว่ามีความทุกข์หรือสุขขนาดไหน เพราะอะไร

1.3.ค้นลึกต่อไปที่เหตุของสิ่งที่ทำให้เราสุขหรือทุกข์นั้นว่าเราไป หลงติดหลงยึดอะไรจึงทำให้เกิดอารมณ์เหล่านั้น

1.4.เมื่อเห็นเหตุเหล่านั้นให้ให้พิจารณาธรรมะ ที่ตรงกับเหตุนั้นเพื่อไปทำลายอธรรมที่ทำให้จิตฟุ้งซ่าน

ถาม : ถ้าเราไม่ไปเจอเหตุการณ์เช่นนั้นเราก็ไม่ฟุ้ง เราควรหลีกเลี่ยงหรือไม่อย่างไร

2.1.ถ้าจิตไม่แกร่งพอจะทนไหว ก็ควรจะหลีกเลี่ยงก่อน ถึงจะต้องปะทะกันก็ควรจะรักษาระยะห่าง

2.2.ถ้าพอจะสู้ไหว อาการไม่ออกไปภายนอกก็ลองเข้าไปหาเหตุการณ์เหล่านั้น เพราะ “ผัสสะ” คือตัวที่จะชี้ให้เห็นว่า “เหตุแห่งทุกข์” อยู่ตรงไหน ไม่มีผัสสะ ก็ไม่มีทางได้ปฏฺิบัติธรรม เพราะมีผัสสะจึงมีการปฏิบัติธรรมนั่นเอง ดังนั้นการปฏิบัติธรรมจึงไม่ควรหนีจากผัสสะ แต่ถ้าไม่ไหวก็วนกลับไปทำอย่างข้อ 2.1

2.3. ถ้าปฏิบัติถูกตรง จนทำให้กิเลสจางคลายได้จริง จะสามารถรู้ได้เองเมื่อเกิดผัสสะ ความสุขทุกข์ที่เคยมีจะเบาลง (ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงให้วันเวลาเยียวยา แต่หมายถึงปฏิบัติกันทั้งๆที่เกิดอาการแรงๆกันอยู่เมื่อวาน แล้ววันนี้ทำได้ดีขึ้น)

2.4. ถ้าทำลายกิเลสได้จริง จะเหลือแต่อาการไม่ทุกข์ไม่สุข (ไม่ใช่เพราะเบื่อแบบชาวบ้าน แต่เป็นเพราะทำลายความหลงติดหลงยึดด้วยปัญญา)

ความรักไม่ลึกลับ

September 17, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,375 views 0

ความรักไม่ลึกลับ

ความรักไม่ลึกลับ

ความรัก แท้จริงแล้วไม่ลึกลับ ที่มันลึกลับเพราะว่าหลง หลงจนรู้สึกว่าสิ่งนั้นน่าใคร่น่าพอใจ

คนที่ไม่หลงในความรักจะชัดเจนว่า ความรู้สึกรักและชอบใจนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร ความรู้สึกเช่นว่า ทำไมฉันจึงชอบคนนั้น ในขณะที่รู้สึกเฉยๆกับคนอื่นๆ หรือทำไมถึงคิดถึงคนหนึ่งได้ขนาดนี้ทั้งๆที่แต่ก่อนไม่เคยคิดอะไร ฯลฯ สิ่งเหล่าจะไม่เกิดขึ้นกับผู้ที่รู้ชัดเจนในความรัก

ผู้ที่ยังมีรักที่ลึกลับ รักที่ไม่อยากจะหานิยาม รักที่หาคำตอบไม่ได้ว่ารักเพราะอะไร คือผู้ที่ยังหลงวนอยู่ในความไม่รู้ ไม่รู้เหตุปัจจัยในการเกิดความรัก นั่นหมายความว่า เขาย่อมที่จะไม่รู้เหตุแห่งการดับความทุกข์จากความรักเช่นกัน

เมื่อไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ ดังนั้นการดับทุกข์ย่อมไม่มีวันเกิดขึ้นได้

– – – – – – – – – – – – – – –

17.9.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)

รักเพราะอะไร?

September 9, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,403 views 0

รักเพราะอะไร?

ถ้าอยากจะหลุดพ้นจากบ่วงทุกข์ อยากปล่อยวางความรักให้ได้ เราต้องรู้ให้ชัดว่า เราไปรักเขาเพราะอะไร

ต้องค้นให้เจอว่ามันไปเสพตรงไหนของเขา อย่าทิ้งไว้ให้มันเป็นปริศนา เพราะการหลุดพ้นนั้นต้องหลุดพ้นอย่างสิ้นสงสัย ถ้ายังงงๆอยู่ก็ต้องเจอโจทย์ต่อไป

การที่เราได้รู้ว่าเราเข้าไปเสพ ไปสุข ในอะไร จะทำให้เราสามารถป้องกันความหลงในอนาคตได้

….ค้นไปเถอะ หาเหตุไป เหตุแห่งสุขนั้นแหละคือตัวสะท้อนให้เห็นเหตุแห่งทุกข์