ศีลและวินัย

June 30, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,375 views 0

เมื่อศึกษาไปจะค้นพบว่า ศีลคือสิ่งที่ต้องศึกษาเพื่อการเว้นขาดจากการเสพ ไปตั้งแต่กาย วาจา จนถึงใจ

แต่วินัยนั้นคือการห้าม การบัญญัติว่าอะไรห้าม อะไรอนุญาต

ดังนั้นการถือศีลจะไม่ใช่การห้ามตัวเองไม่ให้ทำสิ่งนั้นเพียงเพราะเป็นกฏ แต่เป็นการศึกษาให้เห็นโทษภัยของสิ่งนั้นเพื่อให้เกิดปัญญาจนกระทั่งเว้นขาด จากการทำผิดศีลได้

ยกตัวอย่างวินัยเช่น เราเป็นนักมังสวิรัติ ที่พยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้ไปกินเนื้อสัตว์เพราะกลัวจะผิดศีล นี้คือลักษณะถือเป็นวินัย เป็นกฏ เป็นข้อห้าม

ถ้าเป็นการศึกษาศีลจะเป็น เราเป็นนักมังสวิรัติ เราพยายามที่จะศึกษาว่าเหตุอันใดหนอ ที่ทำให้เราอยากเสพเนื้อสัตว์ เราหลงติดหลงยึดอะไรในสิ่งนั้น แล้วเราจะกำจัดเหตุนั้นอย่างไร ให้เราไม่ต้องกลับไปเสพเนื้อสัตว์นั้นอีก

จะสังเกตุว่า แม้ในข้อปฏิบัติเดียวกัน ยังมีความเห็นความเข้าใจในการปฏิบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งก็มีผลที่แตกต่างกันด้วย ซึ่งโดยหลักของวินัยนั้นจะเน้นควบคุม กาย วาจา แต่ศีลนั้นจะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือประกอบในการชำระกิเลส

ไม่มีศีล ไม่มีปัญญา

June 29, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,480 views 0

การจะเห็นตัวตนของกิเลสได้นั้น ว่ามันหลงเสพหลงติดหลงยึดอะไร ถ้าไม่มีศีลก็ยากนักที่จะเห็นสิ่งเหล่านั้นได้

เพราะคนไม่มีศีลก็ไม่ต้องรู้สึกทุกข์อะไร ไม่ต้องมีกฏ ไม่ต้องมีข้อบังคับ แต่คนมีศีลเขาจะใช้ทุกข์ที่เกิดเมื่อถือศีลนั่นแหละ มาเป็นตัวแกะรอยหาเหตุแห่งทุกข์

นั่นหมายถึงคนที่มีศีลจะมีผัสสะมากกว่าคนไม่มีศีล เพราะถ้าไม่มีศีลมันก็ไม่ต้องมีอะไรมาทำให้รู้สึกผิดชอบชั่วดีให้ต้องเกิดเวทนา

เมื่อผัสสะเกิดแต่ละครั้ง เราสามารถใช้สติปัฏฐานเข้าไปตรวจหาตัวตนของกิเลสนั้นได้ เมื่อมีสิ่งกระทบกายภายนอก จึงรับรู้ถึงกายข้างใน คือรู้เข้าไปถึงการเปลี่ยนแปลงของจิตด้วย

เมื่อรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง ก็ให้รู้ต่อว่าเป็นเวทนาแบบใด เช่นเป็นทุกข์ ก็มาต่อว่าที่ทุกข์นั้นเพราะเรามีกิเลสใดปนเปื้อนอยู่ในจิตของเรา ความอยากเสพที่ทำให้จิตนั้นขุ่นมัวคืออะไร โลภ โกรธ หลง แล้วมันโลภยังไง มันโกรธเพราะอะไร มันหลงสุขในอะไร เมื่อหาเจอแล้วก็ ใช้ธรรมที่ตรงข้ามกันเข้ามาพิจารณาเพื่อหักล้างพลังของกิเลส

กระบวนการของสติปัฏฐานจะมีความต่อเนื่องตั้งแต่ กาย เวทนา จิต ธรรม ส่งต่อกันไปโดยลำดับ แล้วก็ทำซ้ำไปเรื่อยๆเมื่อผัสสะเกิดแต่ละครั้ง ขุดคุ้ยหากิเลสแล้วก็ล้างไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเดี๋ยวก็หมดเอง

ซึ่งก็จะหมดตามขอบเขตของศีลนั้นๆ ตั้งศีลไว้กว้างเท่าไหร่ก็กำจัดกิเลสเท่านั้น พอเสร็จแล้วก็ขยับศีลไปทำเรื่องอื่นต่อ ศึกษาศีลข้ออื่นต่อ

จึงจะเห็นได้ว่า กระบวนการกำจัดกิเลสนั้นต้องเริ่มจากศีล ส่วนจะเป็นศีลอะไรนั้นก็ให้เลือกศึกษาให้สมควรแก่กำลัง ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมก็จะเจริญได้ไว

เหตุของความอยาก…กับการต่อสู้กิเลส

June 29, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,499 views 0

ใครที่หาเหตุของความอยาก(สมุทัย) เจอแล้วนะ ว่าที่มันอยากน่ะ มันอยากเสพอะไร

เช่นเนื้อสัตว์ก็ไปติดกลิ่น ไปติดรสสัมผัสของมัน
หรือ เนื้อสัตว์ไม่ได้ติดรส แต่ไปติดว่ามนุษย์ต้องการโปรตีน
หรือ กินหลายมื้อ เพราะเข้าใจตามผลการศึกษาทั่วไป
หรือ อยากมีคู่ เพราะเข้าใจว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อสืบพันธุ์

พอเห็นเหตุแห่งความหลงผิดเหล่านี้ ว่ามันจะไปเสพตามสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไว้ เห็นตัวเห็นตนดังนี้แล้วก็ เพียรพิจารณาไปด้วยธรรมที่ตรงข้ามกับความอยากนั้นๆแหละ จะเป็นความรู้ทางโลก ข้อมูลวิจัย หรือข้อธรรมะต่างๆก็โถมกระหน่ำซัดไปไม่ต้องยั้ง

กิเลสไม่ตายง่ายๆหรอก เราเถียงมันไป คอยดู!! เดี๋ยวมันก็หาเหตุผลเถียงกลับ เราก็เถียงมันกลับไปด้วยธรรมะ ด้วยความจริงตามความเป็นจริง ด้วยหลักฐานอ้างอิงว่าผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ไม่จำเป็นต้องเสพสิ่งไร้สาระเหล่า นี้เลย

แรกๆส่วนใหญ่ไม่ชนะหรอก แพ้เหตุผลกิเลสตลอด แต่ถ้าเราเพียรแย้งกิเลส สวนกิเลส ไม่ยอมให้มันหลอกเราฝ่ายเดียว เราเอาความจริง เอาธรรมะ เอาสัจจะที่มีเข้าไปสู้ สักวันมันก็จะตายไปเอง ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า

….เว้นเสียแต่ว่า หาเหตุแห่งทุกข์ผิด หรือไม่ก็ตื้นเกินไป ไม่ถูกตัวถูกตนของกิเลส ก็เหมือนการโจมตีที่มุ่งเป้าไปที่ฐานข้าศึก แต่ความจริงนั่นเป็นเพียงแค่กำแพงเมืองของมัน พอยึดกำแพงเมืองได้ก็หลงเข้าใจว่ากำจัดข้าศึกได้ ว่าแล้วก็โดนข้าศึกตีกลับ …เมาหมัดกันไป

กิเลสมาก ค่าใช้จ่ายเยอะ

June 28, 2015 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 1,997 views 0

กิเลสมาก ค่าใช้จ่ายเยอะ

กิเลสมาก ค่าใช้จ่ายเยอะ

ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ มักหมดไปกับการสนองกิเลส

สิ่งที่จำเป็นก็ดูเหมือนจะถูกแต่งแต้มจนเกินความจำเป็น

กลายเป็นว่าเอาสิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาเป็นความจำเป็น

มัวเมาเสพสุขไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะหลงในสุขลวงนั้น

ทำงาน หาเงินมาได้เท่าไหร่ ก็ต้องจ่ายภาษีให้กับกิเลส

เสียเวลา เสียสุขภาพ เสียโอกาส ก็เพื่อบำเรอให้กับกิเลส

โดนขึ้นภาษีเท่าไหร่ก็ไม่เคยเรียกร้อง ขอแค่ให้ได้เสพสุข

เป็นทาสที่แสนดี ไม่เคยแข็งข้อ ไม่เคยอู้งาน ขยันจ่ายภาษี

แถมยังยินดี ว่าตัวฉันนี้มีปัญญาหาเงินมาใช้ ( ให้กิเลส )

ไม่ต้องไปคอยขอเงินใคร ( แต่ขอเสพสุขจากกิเลส )

มีอิสระทางการเงิน ไม่เป็นทาสใคร ( แต่เป็นทาสกิเลส )

– – – – – – – – – – – – – – –

28.6.2558

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์ (Dinh Airawanwat)