ความสัมพันธ์ ครอบครัว มิตรสหาย
ทันทีที่หันหลังไปจากธรรม เราก็ห่างกันไกลแล้ว
เมื่อชีวิตเราหันมาปฏิบัติธรรม สังคมและกลุ่มเดิม ๆ ก็จะจางไปเป็นธรรมดา ก็อาจจะมีบ้างที่มาสนใจเหมือนกับเรา แต่ถ้าเขาไม่ได้มีศรัทธาในธรรมที่เสมอกัน ไม่นานเดี๋ยวเขาก็จะหลุดไป
ผมก็เคยมีเพื่อนที่มีสนใจธรรมในทางเดียวกันนะ แต่ไม่นานเขาก็ห่างไป ก็เคยนึก ๆ เสียดายว่าพื้นฐานก็ดี ปัญญาก็มี วันใดวันหนึ่งเขาก็คงกลับมาล่ะมั้ง
แต่ในความเป็นจริงมันยากกว่าที่ผมคิด เมื่อได้คิดทบทวนไปว่า เราตั้งใจปฏิบัตินะ ชีวิตเราดำเนินไปตามทางปฏิบัติที่ถูกต้องนะ แล้วเขาหันหลังเดินไปคนละทิศกับเรา มันก็ห่างไปเรื่อย ๆ ล่ะซิ
เหมือนเราพยายามจะเดินขึ้นเหนือ เขาเดินลงใต้ เดินก้าวละวินาที ผ่านไปหนึ่งวินาทีก็ห่างกันสองก้าวแล้ว เขาก็ไปทาง เราก็ไปอีกทาง มันไม่มีทางที่จะกลับมาเจอกันหรอก
ก็คงเหมือนที่ครูบาอาจารย์ท่านได้ขยายข้อธรรมในเรื่องอนันตริยกรรมไว้ว่า ถ้าเจอหมู่มิตรดีแล้ว รู้ว่าคนนั้นกลุ่มนั้นเป็นคนดีจริง แต่ไม่ทำตาม ไม่ปฏิบัติตาม ทำตรงข้าม ก็เข้าข่ายมีกรรมหนัก
ผมเคยสังเกตอยู่เหมือนกันว่า คนจะเข้ามาหาเราได้ มาศึกษาร่วมกับเราได้ เขาจะต้องมีศีล หรือพยายามปฏิบัติศีลที่ใกล้เคียงกับเรา หรือทำความดีอะไรอย่างหนึ่งมาก ๆ อย่างชัดเจนอยู่ มันก็จะพาวนมาเจอกันได้ แต่พอเขาเสื่อมจากศีล เสื่อมจากความดี เขาก็จะหลุดไปเอง
ดังนั้นการจะมาพบกันได้อีกนั้น เขาจึงต้องหยุดชั่วและทำดีมาก ๆ ซึ่งมันจะยากกว่าเจอกันตอนแรกแบบมหาศาล เพราะมันมีวิบากบาปที่เคยหันหลังไม่เอาสิ่งดีแบบเรามาแล้ว จริง ๆ มันก็คือจิตดูถูกนั่นแหละ คือรู้ว่าเราดีนะ แต่ไม่เอาหรอก ไปเอาอย่างอื่นดีกว่า
ถ้าเราไม่ดีจริง มันก็จะไม่มีโทษมาก แต่ถ้าเราดีจริง ปฏิบัติถูกตรงจริง ก็เรียกว่าทำความฉิบหายให้กับชีวิตเลยล่ะ อาจจะกลายเป็นเกิดมาตายเปล่าไปชาติหนึ่งก็ได้ (โมฆะบุรุษ)
อันนี้แค่คนหันหลังเดินไปจากเรานะ ไม่นับคนเพ่งโทษ ถือสา ดูถูก นินทา ฯลฯ พวกนี้ไม่ต้องห่วงนรกอยู่แล้ว นรกตั้งแต่วิบากจากกิเลสตัวเองเป็นชั้นแรก นรกชั้นที่สองก็ตามความจริงที่ได้ดูถูกไว้ ถ้าเรามีคุณค่าจริง แล้วเขาตีค่าว่าถูก เขาก็บาปมาก แต่ถ้าเราราคาถูกแล้วเขาตีค่าว่าแพง อันนี้เราขาดทุน (สรรเสริญโตเกิน) แต่ฝั่งยินดีกัน ศรัทธากันก็พอจะบอกจะปรับกันได้ แต่ฝั่งไม่ศรัทธานี่ลืมไปได้เลย ไม่ต้องเอาภาระ เพราะเขาไม่ศรัทธา บอกไปเขาก็หาว่าแก้ตัว ยังไง ๆ ถ้าเป็นคนพาล เขาก็ย่อมมีการเพ่งโทษเป็นประจำอยู่ดี อันนี้เราไปแก้เขาไม่ได้
ยังดีที่ชาตินี้ยังเหลือเพื่อนร่วมปฏิบัติธรรม ที่ยังพอพูดคุยกันเข้าใจอยู่ คือทันกัน เห็นตรงกัน ส่วนครูบาอาจารย์ก็ยกไว้ อันนั้นท่านทันอยู่แล้ว เพราะท่านไปไกลกว่าเรา ส่วนใหญ่ที่เจอมานี่นอกจากจะไม่ทันแล้วยังงงกันอีก ดีไม่ดีตีความผิดไปเพ่งโทษเราก็มี ถามวัวตอบควายก็มี มันก็ส่วนใหญ่ล่ะนะที่ความเห็นไม่ตรงกัน ความเร็ว(จิต)ไม่เท่ากัน จะหาเท่ากันและสูงกว่า มันก็คงจะเป็นส่วนน้อยนั่นแหละ
คบสหายมีปัญญา ความเป็นสหายไม่มีในคนพาล
ถ้าบุคคลพึงได้สหายมีปัญญา เที่ยวไปด้วยกัน
เป็นนักปราชญ์คอยช่วยเหลือกัน
เขาครอบงำอันตรายทั้งปวงเสียได้
พึงพอใจ มีสติเที่ยวไปกับสหายนั้น
แต่ถ้าไม่ได้สหายมีปัญญาคอยช่วยเหลือกัน
พึงเที่ยวไปคนเดียว และไม่พึงทำบาป
เพราะความเป็นสหายไม่มีในคนพาล(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ “โกสัมพิขันธกะ”่ ข้อที่ ๒๔๗)
อ่านแล้วรู้สึกว่าเห็นด้วยมาก พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ให้ไปคบคนมั่ว ๆ ท่านแนะนำให้คบคนที่สูงกว่าหรือเสมอกัน ดังที่ท่านว่า คอยช่วยเหลือกัน ช่วยให้พ้นภัยอันตราย มีความพึงพอใจในกัน คือเคารพและยินดีในการมีอยู่ของกันและกัน ท่านให้คบหากับคนเหล่านั้น
แต่ถ้าหาไม่ได้ อย่าไปคบเชียว อย่าเชียวล่ะ คนที่ต่ำกว่า มีศีลธรรมต่ำกว่า จะพาปวดหัว เพราะท่านกล่าวว่า ความเป็นมิตรสหายไม่มีอยู่ในคนพาล ซึ่งก็จริงเช่นนั้นจริง ๆ คนที่เขาไม่พัฒนาตน ไม่พัฒนาศีลธรรม เชื่อใจไม่ได้หรอก ดีไม่ดีหลอกเราด้วยว่ามีศีลมีธรรม สุดท้ายก็ทำร้ายเรา นินทาเรา แทงหลังเรา พวกนี้เกิดจากเราไปคบคนพาล เสียทั้งเวลา และสารพัดเสีย ไม่มีมิตรแท้ในหมู่คนพาลนี่เรื่องจริง มีแต่ชิงดีชิงเด่นเอาหน้าเอาผลงาน
ยุคนี้คนพาลเขาฉลาด เขาก็แสร้งว่าเป็นคนดี มีศีลธรรม ก็เหมือนพระปลอม เนื้อปลอม ผู้ชายปลอม ผู้หญิงปลอม อะไรแบบนี้ ได้แค่เหมือน แต่ไม่ใช่ แม้กระนั้นก็ยังหลอกคนได้อยู่ดี แต่ถ้าเราใช้สูตรของพระพุทธเจ้า เราจะไม่พลาด เราไม่จำเป็นต้องไปอนุโลมคบกับคนต่ำกว่า แม้จะมีบทหนึ่งเว้นไว้สำหรับคนที่เขามาขอความช่วยเหลือก็สามารถเอาภาระสอนเขาได้ แต่การจะไปคบคนต่ำกว่าที่เขาไม่ได้ยินดีให้เราแนะนำหรือช่วยเหลือนี่มันผิดสัจจะ มันไม่พาเจริญ ดีไม่ดีเขายกตนข่มเราเข้าไปอีก ซวยไปกันใหญ่
ผมคบคนไม่เยอะ เพราะผมเน้นคุณภาพ ใครที่ดู ๆ แล้วท่าไม่ค่อยดี ผมก็ห่าง ๆ ไว้ มันเมื่อยหัว เพราะสร้างแต่เรื่องอกุศลและไร้สาระ เป็นคนรู้จักห่าง ๆ กันไปดีกว่า ไม่ต้องสนิทชิดใกล้กันหรอก ศีลมันไม่เสมอ ทำยังไงมันก็คุยกันไม่รู้เรื่อง
คนจะเป็นสหายกันนี่มันไม่ต้องพยายามหรอก คุยกันถูกคอ ศีลเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกันเดี๋ยวก็ไปด้วยกันได้เอง ถึงจะพยายามแค่ไหน ถ้ามันไม่เสมอเดี๋ยวก็หลุดไปอยู่ดี ด้วยเหตุที่ฟังแล้วไม่เข้าใจบ้าง อิจฉาบ้าง ฯลฯ เดี๋ยวก็เพ่งโทษ ถือสา หานรก ป่วนไปหมด
ครูบาอาจารย์ก็เคยบอกสอนไว้ แม้ในองค์กรเดียวกัน ก็ต้องเลือกกลุ่มให้ถูก เพราะกลุ่มที่ไม่พาเจริญก็มี กลุ่มที่พาเจริญก็มี ต้องเลือกให้ถูกระดับศีลเรา ถ้าเราถือศีลเคร่ง เราไปอยู่กับกลุ่มเหยาะแหยะบ้ากามหลงงานไม่ปฏิบัติธรรม อันนี้ตายอย่างเดียว มีแต่เสื่อม ไม่มีเจริญเลย เราก็ต้องเลือกกลุ่มที่เสมอกันเป็นอย่างน้อย ถ้ามีดีกว่า ก็ไปอยู่กลุ่มที่ดีกว่า
พระพุทธเจ้าท่านเน้นว่า “สหายมีปัญญา” ด้วยผมเองก็เป็นสายปัญญาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงหาคนที่มีปัญญามากกว่าไม่ยาก ยิ่งสายปัญญายิ่งมีน้อย ๆ อยู่แล้วด้วย คุยไปเถอะ นานไปเดี๋ยวก็รู้เอง คนไม่มีปัญญา เขาจะตามไม่ทัน เข้าใจผิด หลงประเด็น เพ่งโทษ ถือสา ฯลฯ แต่คนมีปัญญาเขาจะตามทัน แถมเขาจะรู้ด้วยว่าเราวางหมากอะไรไว้ แล้วเขาจะแก้ให้เราดูแล้วสอนท่าใหม่ที่เหนือกว่าที่เรามีให้เราด้วยความเมตตา
คนพาลบ้าอำนาจ
เห็นหนังสือนิทานชาดกในร้านมือสองแล้วซื้อมาอ่านดู เจอประโยคที่น่าสนใจ
“อันนิสัยสันดานของคนต่ำช้า เมื่อได้มีอำนาจ แม้เพียงนิดน้อยเท่าใดก็ดี ย่อมมีใจฮึกเหิมทะนงตัว ดูถูกดูหมิ่นผู้อื่นด้วยกิริยา ต่าง ๆ นา ๆ คนเช่นนี้ โบราณท่านห้ามมิให้เกี่ยวข้องเกี่ยวดองด้วยแล”
เนื้อหาของชาดกตอนนี้คือ คนใช้ที่รับใช้เจ้านายช่วยเอาสมบัติไปฝังดินไว้ พอเจ้านายตาย ลูกเจ้านายโต เขาก็จะไปขุด แต่คนใช้ไม่ยอมขุด พอเดินถึงจุดหนึ่งก็ด่าทอลูกเจ้านาย เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้ง สุดท้ายก็ขุดตรงที่คนใช้ยืนด่านั่นแหละ มีสมบัติ
ชาดกตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความเมาในโลกธรรมแม้เล็กน้อยก็เอามาอวดเบ่งได้
คนพาลไม่มีอำนาจต้านโลกธรรม จะไหลไปกับโลกธรรม เช่นบางคนมีคนชมนิดหน่อยก็ตัวพอง ได้สวมหัวโขนก็ผยอง สำคัญว่าตนแน่ คือจะมีลักษณะพองตัวไปตามโลกธรรม หรือมากกว่านั้น ไม่เป็นอิสระ เหมือนลูกโป่งใส่น้ำ ก็พองไปตามน้ำ ไม่มีสติกั้น สุดท้ายก็จะระเบิด
สมมุติได้คนชมมา 1 ครั้ง เขาจะปรุงเพิ่มไปอีก 1 1 1 1 1 . . . ไปเรื่อย ๆ ตามที่ตนอยากเสพ คือชมจริงน่ะ 1 ครั้ง แต่ชมตัวเองอีกหลายครั้งเลย กิเลสมันก็โตเพราะจิตมันปรุงต่อนี่แหละ ก็เป็นอาการเมาโลกธรรม
ผมก็จะใช้ตรงนี้สังเกตคนเหมือนกันว่าพองตัวเกินฐานะไหม เช่นไม่ได้มีดีจริงอย่างนั้นหรอก แต่หลงโลกธรรม เขาก็มักจะสำคัญตนผิด พอเราเห็นท่าไม่ดี เราก็ห่างมา ไม่ต้องไปใกล้ ไม่ต้องไปคบหา เพราะคบคนพาลที่เมาโลกธรรม ก็มีแต่จะหาเรื่องมาใส่เรา
ง้องอน สัญญาณแห่งคนคู่
การปฏิบัติตนเป็นโสด นี่ก็คือโสดในสภาพจิต มีจิตที่พึ่งตนเป็นหลัก ไม่หลงเสพหลงสุขกับการมีคนอื่นในชีวิต
คู่ชายหญิง ทั่วไปมันก็เห็นได้ชัด อยู่กันเป็นคู่ ๆ แม้จะไม่ได้เป็นคู่ คนเขาก็จะคิดไปได้ว่าเป็นคู่ แค่บางทีคุยกันนิดหน่อยคนเขาก็ยังคิดไปได้เลย อันนี้มันก็เข้าใจง่าย เป็นสามัญทั่วไป
แต่คู่แบบลึกลับคือ คู่เพศเดียวกัน ชาย ชาย หญิง หญิง มันจะเป็นได้ทั้งสองสภาพคือเจริญและเสื่อม
แบบเจริญก็อย่างเช่นคู่ของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ก็เป็นเพื่อนกันมาหลายภพหลายชาติ พากันเจริญ เป็นเพื่อนกัน แต่ก็เป็นอิสระต่อกัน ไม่ผูกมัด ไม่ยึดติดกัน
อย่างเสื่อมก็มีเรื่องของคนคู่เข้ามาเกี่ยว คือมีเพื่อนเป็นเชิงชู้สาว เป็นความรัก ความห่วงใยแบบคนคู่ ไม่ใช่แบบเพื่อน มันจะมีมิติที่แตกต่างกัน บางคู่จะแนบเนียนจนคนเข้าใจผิด เหมือนจะเป็นเพื่อนที่พาเจริญ แต่จริง ๆ เป็นพวกที่แอบเสพกันอยู่
อาการง้องอนเป็นสิ่งหนึ่งที่จะเป็นหลักฐานว่าคนเหล่านั้นแม้เป็นเพื่อนก็ไม่พ้นความเป็นคนคู่ เพราะการง้องอนนั้นคือสภาพที่ยังต้องการคนพิเศษมาบำเรอตนอยู่ ถึงแม้จะเป็นคู่ชายชาย หญิงหญิงก็ยังไม่พ้นความเป็นคนคู่
ถ้าเป็นเพื่อนกันจริง ๆ จะไม่ปรากฎอาการง้องอนใด ๆ ให้เห็นเลย มันจะไม่มีความสำคัญพิเศษในสถานะเพื่อน เพื่อนก็คือเพื่อน เหมือน ๆ กับเพื่อนทั่วไป อาจจะสนิทมากน้อยต่างกันไปตามจริต แต่จะไม่มีอาการง้องอนกัน
การงอน คือสภาพเอาแต่ใจ อยากให้คนอื่นมาบำเรอเอาใจ ใช้ความเอาแต่ใจเป็นอำนาจ หมายจะข่มอีกฝ่ายให้ยอมมาบำเรอตน เพราะสำคัญตนว่าสำคัญ ว่าตนเป็นคนพิเศษ จิตจึงสร้างอาการงอนขึ้น เพื่อล่อให้อีกฝ่ายมาสนอง เป็นลักษณะของฝั่งกามในอัตตา คือเอามาเสพให้สมอัตตา
การง้อ คือสภาพเอาชนะ คนที่จะสามารถง้อได้จะถูกกำหนดไว้แต่แรกโดยผู้งอน เหมือนสร้างเกมขึ้นให้ให้ผู้เล่นได้เอาชนะไปตามโจทย์ ผู้ง้อก็คือคนโง่ที่หลงวิ่งตามเกมของคนงอน เพื่อไปถึงเส้นชัยคือหายงอน ได้อัตตาเป็นรางวัล ว่าข้าทำได้ ข้าทำสำเร็จ ข้าปราบเธอได้ ข้าทำให้เธอหายงอนได้ ทั้ง ๆ ที่จริงก็เป็นแค่หมากที่เดินบนฝ่ามือของเขา ไม่มากไปกว่านั้น เขาก็ขีดเส้นทางให้เดินไปแบบนั้นแหละ
การง้องอนจึงเป็นสภาพเสพของคนคู่ ทั้งกามและอัตตา ถ้าเอาสภาพนี้ไปจับ ไปตรวจในใจก็จะเห็นสภาพจิตที่ยังหลงความเป็นคู่ ๆ อยู่ ยังอยากเอาใครมาเสพ มาบำเรอตน ยังอยากเอาชนะใจใครอยู่
การประพฤติตนเป็นโสด คือการที่ไม่ยินดีแล้วในการเอาใครมาบำเรอ ไม่เอาชนะใจใคร ไม่มีความเก่งหรือไม่เก่ง ไม่มีคนพิเศษหรือไม่พิเศษ มีแต่เพื่อน มิตร สหาย ญาติ ไปตามที่มันควรจะเป็น ณ เวลานั้น ๆ
ความง้องอนจึงเป็นหลักฐานหนึ่งที่ยังฟ้องให้เห็นถึงสภาพของคนคู่ที่จัดจ้าน รสจัด กิเลสเข้ม กามจัด อัตตาแรง จนมันออกอาการแบบโลกีย์ คำพูด สีหน้า ท่าทาง ล้วนไปทางอกุศลทั้งสิ้น ถ้ากำจัดความเป็นคนคู่ได้แล้ว จะไม่มีอาการง้องอน สะบัด ประชดประชัน หรือลีลาอาการแบบหญิง ๆ ต่าง ๆ