สังคม สิ่งแวดล้อม
เงิน 5 บาททำอะไรได้บ้าง?
เงิน 5 บาททำอะไรได้บ้าง?
ผมเคยนึกสงสัยนะว่าเงิน 5 บาทจะใช้ทำอะไรได้ในสมัยนี้ ขบคิดอยู่นาน ทำยังไงหนอให้มันเกิดประโยชน์สูงสุด ซื้ออะไรก็แทบไม่ได้ และถึงจะซื้อได้สิ่งเหล่านั้นก็มักจะไม่มีประโยชน์เท่าไรนัก คำตอบสุดท้ายในใจของผมคือเก็บเงิน 5 บาทนั้นเอาไว้…
จนกระทั่งเมื่อวาน… ผมมีนัดกับเพื่อนและแยกย้ายกันเกือบเที่ยงคืน หลังจากล่ำรากันผมรีบเดินไปขึ้นรถกะป๊อกลับบ้าน เพราะเขาว่ารถจะหมดตอนเที่ยงคืน
โชคยังดีที่ยังเหลือรถอยู่หนึ่งคัน ผมถามคนขับว่าไปถึงสุดซอยหรือไม่ คนขับพยักหน้า ในรถมีหนึ่งป้าและสองวัยรุ่น ทั้งสามดูไม่ได้รู้จักกัน เมื่อขึ้นไปนั่ง ป้าก็บ่นให้คนขับที่นั่งรอคนอยู่นอกรถฟังดังๆ ประมาณว่า “ไหนว่ามีคนขึ้นสองสามคนแล้วรถจะออก ให้นั่งรอนานๆ นี่มันร้อน” สีหน้าของป้าดูหงุดหงิด ไม่เป็นมิตร
คนขับตอบมาว่า “ก็รอพี่น้องเราอีกสักหน่อย เผื่อจะตกหล่น” ผมก็เข้าใจคนขับนะ ว่าการที่มีคนเพิ่มเขาก็ได้เงินด้วย และที่สำคัญ ถ้ารถออกไปแล้วผมคงต้องเสียเงินมากกว่านี้ในการกลับบ้านแน่ๆ ไม่นานนักก็มีหนุ่มนักศึกษาขึ้นมาเพิ่มและรถก็ออก
เมื่อรถออก ผมขยับขาเล็กน้อยเพื่อที่จะนั่งได้มั่นคงมากขึ้น ป้าหยิบสัมภาระที่วางอยู่ใกล้ๆเท้าของผมขึ้นไปมัดไว้กับราวข้างหนึ่ง หน้าตาดูไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก ผมทบทวนตัวเองว่าทำอะไรให้ป้าไม่พอใจหรือไม่ …ก็ไม่นี่
นั่งรถไป ลมเย็นๆเวลาเที่ยงคืนก็พัดไป คนก็ค่อยๆทยอยลงไป เหลือแต่ผมกับป้า…
ป้าถามขึ้นมาว่า “หนูลงสุดซอยใช่ไหม?” ผมก็ตอบว่า “ใช่ครับ” แล้วก็นั่งไปจนสุดซอย ป้าก็บอกถึงแล้ว ผมก็ลงไปจ่ายเงินและเดินต่อไปเพื่อที่จะกลับบ้าน
เดินไปไม่กี่วินาที รถกะป๊อขับไล่หลังมา ตะโกนทักว่าไปไหม จะไปส่งใกล้ๆ ผมเห็นดีด้วยก็ขึ้นไป ป้าที่นั่งอยู่ในรถก็ตะโกนบอกคนขับว่า “สองคน 10 บาทพอเน้อ คนละ 5 บาท” แล้วหันมาบอกผมว่า เดี๋ยวแม่ออกให้ๆ ผมก็ตอบรับว่าขอบคุณครับ
ตอนแรกเราก็นึกว่าเขาใจดีไปส่งฟรี แต่จริงๆป้าเป็นคนจัดแจงให้ เพราะทางที่จะต้องเดินไปนั้นค่อนข้างเปลี่ยว เดินคนเดียวก็คงจะเสียวๆอยู่บ้าง สมัยนี้ถึงเป็นผู้ชายเขาก็ปล้นจี้กันเป็นธรรมดา
ก่อนลงรถ ป้าก็บอกอีกครั้งว่า “เดี๋ยวแม่จ่ายให้เนาะ เดี๋ยวเราเดินต่อไปด้วยกัน” …การแทนตัวว่าแม่ ทำให้ผมนึกถึงสมัยที่ไปเรียนรู้อยู่กับกลุ่มเครือข่ายชาวนาที่จังหวัดยโสธร คนที่นั่นเขาจะแทนตัวว่าพ่อว่าแม่ คือมองทุกคนเหมือนลูกหลาน ก็น่ารักดีนะ เมื่อถึงที่หมาย ผมก็ลงรถและเดินไปยืนรอ ในขณะที่ป้ากำลังจ่ายเงิน
เสร็จแล้วป้าก็เดินถือสัมภาระมา และเดินกันไปต่ออีกราวๆ 15 เมตร ก่อนจะถึงทางแยก ป้าถามว่าเราไปทางไหน เราก็ตอบว่าไปทางนั้น ป้าก็บอกว่าป้าไปทางโน้น ผมก็เลยขอบคุณและลาป้าเดินกลับบ้านต่อไป
แต่ก่อนหน้านี้ผมไม่มีปัญญานะ ว่าเงิน 5 บาทจะทำอะไรที่มีประโยชน์ได้ แต่ป้ากลับใช้เงิน 5 บาทแสดงให้ผมเห็นว่า เงิน 5 บาทนี่มันทำประโยชน์ได้ขนาดนี้เชียวนะ
ป้าก็ดูเป็นชาวบ้านธรรมดา ดูเป็นคนต่างจังหวัดเข้ากรุง ไม่ได้ดูรวยเหมือนป้าคนเมืองทั่วไป แต่กลับสละเงินแม้จะจำนวนไม่มาก แต่ก็เป็นทานที่มีผลให้ผมได้รับความสะดวกและปลอดภัยขึ้น บอกกันตรงๆว่าผมก็คิดไม่ถึงว่า 5 บาทจะสามารถทำประโยชน์ได้ขนาดนี้
ที่สำคัญคือเงิน 5 บาทนี้ไม่ได้ใช้เพื่อตัวเอง ป้าคงเห็นว่าผมจะเดินไปในทางเปลี่ยว ซึ่งคงจะถามคนขับว่าผมจะไปไหน ด้วยความเมตตากรุณาที่มีจึงสามารถใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้
ในตอนแรกป้าอาจจะดูหงุดหงิดเพราะรอรถออกนาน ซึ่งอากาศในรถก็ร้อนอบอ้าว แม้จะเปิดโล่งในทุกทิศก็ตาม แต่เมื่อนั่งไปจนสุดทางป้ากลับเปลี่ยนเป็นอีกคน อาจจะเพราะลมเย็น อาจจะเพราะใกล้ถึงที่หมายแล้ว อาจจะเพราะอะไรก็ตาม
แต่การที่ป้าได้แสดงให้ผมได้เห็นว่า ถ้าเรามีปัญญา เราก็จะใช้เงินแม้เพียงเล็กน้อยสร้างสิ่งที่ดีได้มากมาย นั่นคือประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับผมเลยเชียวล่ะ
คืนนั้นไม่มีรถมอเตอร์ไซค์อยู่ที่วินเพื่อต่อรถเข้าบ้าน ผมกลับดีใจที่ผมจะได้เก็บเงินไว้และเดินกลับบ้านไปแทน เผื่อวันหนึ่งเงินที่ประหยัดไว้ได้ จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นได้แบบป้า
– – – – – – – – – – – – – – –
5.12.2558
การซื้อเนื้อสัตว์ คือหุ้นส่วนร่วมฆ่า
การซื้อเนื้อสัตว์ คือหุ้นส่วนร่วมฆ่า
การที่กิจการใดๆจะสามารถดำรงอยู่และเจริญเติบโตขึ้นได้นั้น เกิดจากแรงสนับสนุนจากหุ้นส่วนใหญ่ที่เรียกว่า “ลูกค้า” เมื่อกิจการปราศจากลูกค้า กิจการนั้นย่อมล้มละลาย
ลูกค้านั้นคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับกิจการ คือหากซื้อผลิตภัณฑ์นั้นแล้วจะเกิดความสุขความพอใจ หากว่าหาซื้อไม่ได้ก็จะเกิดความหงุดหงิดรำคาญใจ นั่นหมายถึงว่ามีการเกื้อกูลกันระหว่างลูกค้าและกิจการ เป็นการขายสิ่งหนึ่งเพื่อแลกกับอีกสิ่งหนึ่ง
เช่นเดียวกับกิจการค้าขายเนื้อสัตว์ การที่อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์เจริญเติบโตอย่างยิ่งใหญ่จนเป็นธุรกิจระดับประเทศในทุกวันนี้ก็เรียกได้ว่า ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเสมอมา เงินทุกบาททุกสตางค์ของลูกค้าที่จ่ายเข้ามาให้กิจการนั้น ได้นำไปพัฒนาปริมาณของการผลิตสินค้าอย่างมากมายเพื่อที่จะมาตอบสนองต่อ “ตัณหา” ของลูกค้าปริมาณมากเพื่อให้ได้ซึ่งเงินปริมาณมหาศาลนั่นเอง
เงินทุกบาทที่ลูกค้าได้จ่ายไปนั้น ยังช่วยเอื้อให้เขาได้เบียดเบียนสัตว์อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะกิจการเล็กหรือใหญ่ จะระดับชาวบ้านหรือบริษัทมหาชน เงินที่ได้จ่ายไปนั้นล้วนช่วยผลักดันให้เกิดการ กักขัง บังคับ ยัดเยียด ข่มขืน ทำร้าย และเข่นฆ่า แม้แต่การซื้อเนื้อสัตว์ผ่านนายหน้าค้าเนื้อสัตว์ ดังเช่นร้านอาหารต่างๆ ก็ส่งผลให้เกิดเงินสะพัดในกลุ่มธุรกิจบาปนี้เช่นกัน
เจตนาที่จะซื้อขายทั้งที่สิ่งเหล่านั้นเป็นการเบียดเบียน นั่นหมายถึงเจตนาที่จะมีส่วนร่วมในกรรมชั่ว เป็นหุ้นส่วนร่วมฆ่า แม้จะไม่ได้ฆ่าเองแต่ก็มีส่วนได้ส่วนเสียในการฆ่า คือได้เสพสุขจากผลของการฆ่าเหล่านั้น
แน่นอนว่าการปันผลให้กับผู้ร่วมหุ้นโดยกรรมนั้นยุติธรรมเสมอ เราร่วมลงทุนไปเท่าไหร่ เขาก็ปันผลให้เท่านั้น เราเบียดเบียนไปเท่าไหร่ เขาก็ให้เราได้รับการเบียดเบียนเท่านั้น เป็นการร่วมหุ้นในกิจกรรมที่ได้รับปันผลอย่างยุติธรรม ทุกคนจะได้รับปันผลเท่าๆกับเงินที่ร่วมลงทุนไปกับการฆ่าเหล่านั้น
และยังมีโบนัสอีกมากมาย เช่น การร่วมหุ้นลงทุนร่วมธุรกิจบาปเหล่านั้น ยังไปส่งเสริมให้คนหลงในอาชีพที่ผิดไปจากทางพ้นทุกข์ ให้เขาได้หลงมัวเมาว่าการล่า การกักขัง การฆ่านี้เป็นคุณ แม้จะบาปแต่ก็คุ้มค่าที่ได้เงินมาใช้จ่าย เป็นอาชีพที่ผู้ร่วมหุ้นทุกคนยอมรับและมองว่าเป็นพนักงานที่เสียสละ
นั่นหมายถึงเราจะได้รับวิบากกรรมอีกส่วนที่ทำให้คนหลงมัวเมาในอาชีพที่ผิดศีล เห็นผิดเป็นชอบ เห็นเงินมีคุณค่ามากกว่าคุณธรรม หลงว่าการเบียดเบียนนั้นไม่มีโทษ ซึ่งเราก็จะได้เผชิญกับเรื่องที่วิปริตผิดศีลธรรมแบบใดแบบหนึ่งในอนาคตอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ควรแล้วหรือที่เรายังร่วมลงทุนในธุรกิจบาปเหล่านี้อีก ในเมื่อเม็ดเงินทุกเม็ดได้ไหลไปสร้างความทุกข์ โทษ ภัยให้กับสัตว์อื่น หรือยังมีความเห็นผิดว่าการร่วมหุ้นในธุรกิจบาปเหล่านี้ไม่มีการปันผลกรรมชั่ว ยังเห็นผิดว่ากรรมที่ทำแล้วไม่มีผล ยังเห็นผิดว่าการเบียดเบียนไม่มีโทษทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
เมื่อนักลงทุนผู้มีปัญญาเห็นดังนี้แล้วว่า นี้เป็นการร่วมหุ้นที่มีแต่ขาดทุนฝ่ายเดียว ไม่มีแม้แต่กำไรใดๆ จึงควรถอนหุ้นจากธุรกิจบาปนี้เสีย และชักชวนให้คนอื่นเลิกลงทุนในธุรกิจบาปเหล่านี้ด้วย รวมทั้งสนับสนุน ส่งเสริม ยินดี ชื่นชมในประโยชน์แห่งการออกจากธุรกิจบาปนี้ เพื่อความสุข เพื่อความเจริญ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น
– – – – – – – – – – – – – – –
30.11.2558
การดูดวงเป็นการเดา
“การดูดวง“เป็นการเดาผลของกรรมในอนาคต
1. การเดาใจ ทายใจ หรือเดาอะไรก็ตาม ศาสนาพุทธไม่สรรเสริญเรื่องพวกนี้
2. ผลของกรรม เป็นเรื่องอจินไตย คิดไปก็ปวดหัว เดาไม่ได้ ไม่ควรคิด ไม่ใช่เรื่องสถิติ
3. การเชื่อเพราะเขาเป็นหมอดูหรือเกจิอาจารย์คนดัง มีชื่อเสียง น่าเคารพ ผิดกาลามสูตรเต็มๆ
4. นักหลอกลวงมักพูดเพ้อเจ้อ พูดเลื่อนลอย กลับกลอก ไม่มีหลักฐาน ไม่มีที่อ้าง เป็นไสยศาสตร์ เป็นเวทมนต์ ไม่ชัดเจน ลึกลับ ไม่เหมือนศาสนาพุทธที่ไม่ลึกลับ ธรรมะเป็นสิ่งที่ยินดีให้ผู้สนใจเข้ามาพิสูจน์ความจริงได้เสมอ
5.อนาคตไม่แน่นอน
พุทธศาสนิกชนที่ยังหลงมัวเมากับการดูดวงอยู่ ก็ยังห่างไกลจากการพ้นทุกข์มากนัก และห่างไกลธรรมะด้วยเช่นกัน หากต้องการเจริญในธรรม ให้เลิกหลงงมงายกับสิ่งเหล่านี้เสียก่อน
ใกล้กลียุคจิตใจคนวิปริต…
ใกล้กลียุค จิตใจคน วิปริต
สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด เลี่ยงศึกษา
มุ่งเสพกาม ยึดยั่วเย้า เมาอัตตา
เหมือนเป็นบ้า อวดมิจฉา ทิฏฐิตน
เห็นกงจักร เป็นดอกบัว นั่นหลงผิด
เห็นเบียดเบียน นั้นเป็นมิตร กับมรรคผล
อวดอ้างเกียรติ์ หยิ่งศักดิ์ศรี ทะนงตน
ยังเวียนวน อยู่ในโลก และอัตตา
– – – – – – – – – – – – – – –
บทขยาย
วันเวลาได้ผ่านจากยุคที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีความเจริญทางจิตใจสูงสุด ก้าวไปสู่ความเสื่อมอย่างที่สุดจนประมาณไม่ได้ ที่เรียกกันว่า “กลียุค” ซึ่งตอนนี้ก็เดินทางมาเพียงแค่กึ่งหนึ่ง กลับเห็นได้ว่าจิตใจของคนนั้นต่ำลงอย่างน่าใจหาย
ในยุคที่ผู้คนไม่สามารถแยกแยะถูกผิดดีชั่วได้ มีแต่เรื่องผลประโยชน์ ตามจิตใจที่โลภ โกรธ หลงทั้งหลาย ปล่อยให้มีการฆ่าสัตว์ได้โดยไม่มีความละอาย โกงบ้านโกงเมืองจนฉิบหาย มีชู้มีกิ๊กยั่วกามกันให้วุ่นวาย โกหกปกปิดซับซ้อนไร้ความจริงใจ เพราะลุ่มหลงมัวเมาในกิเลส และไม่เคยคิดจะศึกษาว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร สนใจเพียงแต่ฉันจะได้เสพอะไร ฉันจะได้ครอบครองอะไร ฉันจะได้เป็นอะไร ฯลฯ
คนส่วนใหญ่นั้นลุ่มหลงอยู่กับกาม อยากได้อยากเสพ ให้ชัดกันก็เรื่องกิน เป็นเรื่องที่แสดงว่าสังคมเสื่อมไปสู่กาม แต่ก็ไม่เคยมีใครตระหนัก ยกตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้ร้านอาหารเกิดขึ้นมากมาย เมนูต่างๆล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมอมเมาคนผู้หลงในกาม ต้องอร่อย ต้องดูดี ต้องแปลกใหม่ ฯลฯ คนก็แห่กันไปเสพกามด้วยความเมา ตนเองเมายังไม่พอยังมาอวดชาวบ้าน เอามายั่วชาวบ้าน “นี่ฉันได้เสพกาม, ฉันสุขในกาม, พวกเธอจงมาเสพกามอย่างฉัน” เพราะมีความยึดว่ากามนั้นคือสุขของฉัน เป็นตัวฉัน ฉันต้องเสพกาม ฉันคือกาม เป็นตัวตนของกันและกันในที่สุด
แล้วก็หลงไปว่าการหลงในรสเสพรสสุขเหล่านั้นไม่เป็นไร ไม่ขัดขวางความเจริญ เราสามารถเสพกามไปได้ พร้อมๆกับปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์ไปได้ อวดมิจฉาทิฏฐิให้เห็นกันชัดๆแบบไร้ยางอาย คือความเสื่อมของผู้ที่เห็นผิดเป็นถูก แล้วยกทิฏฐิตนเป็นใหญ่
เป็นสภาพที่เห็นผิดเป็นถูกโดยสิ้นเชิง มืดบอดอย่างไร้แสงใดๆจะเข้ามาทำให้ปัญญานั้นสว่างขึ้นมาได้ เพราะเห็นกงจักรเป็นดอกบัวไปแล้ว ก็หลงยึดเอาว่ากงจักรนั้นคือความเจริญ แท้ที่จริงแล้วมันเป็นความเสื่อม ยิ่งขยันยิ่งเสื่อม ยิ่งเผยแพร่ก็ยิ่งเลวร้าย และที่ร้ายที่สุดคือเห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้องที่สุดในโลก เป็นเหมือนกับความเพี้ยนที่ซ้อนอยู่ในความเป็นพุทธ และแนบแน่นแนบเนียน จนคนจับไม่ได้ เป็นยิ่งกว่ามายากล ยิ่งกว่าภาพลวงตา เพราะมันคือมิจฉาทิฏฐิลวงใจ ก็เลยล่อลวงคนผู้ตาบอดให้หลงตามไปได้มากมาย
เมื่อถูกกิเลสครอบงำเข้ามากๆ จะไม่สามารถแยกดีแยกชั่วได้ จะมองเห็นว่าแม้ตนจะไม่เลิกเบียดเบียน ก็ยังสามารถเกิดปัญญารู้แจ้งบรรลุธรรมได้ นั่นคือสภาพที่เลี้ยงกิเลสไปด้วยแล้วปฏิบัติมิจฉามรรคไปด้วย คือหลงไปเข้าใจว่าการเบียดเบียนกับการรู้แจ้งในศาสนาพุทธนั้นไม่มีความเกี่ยวเนื่อง ไม่มีนัยสำคัญต่อกัน ทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า พระอริยะหรือสาวกแท้ๆ ของท่านนั้น คือผู้ไม่เบียดเบียน
การเบียดเบียนนั้นมีหลายมิติ ทั้งแต่หยาบๆ เช่นมัวเมาในอบายมุข, ผิดศีล ๕ และละเอียดไปจนผิดในอธิศีลอื่นๆตามลำดับ ยกตัวอย่างการเบียดเบียนหยาบๆเช่นการกินเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามา เพราะไปมีความเกี่ยวเนื่องกับการฆ่า ถ้าจะให้ไม่เกี่ยวคือไม่ต้องเอามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตเลย ถ้ากินอยู่ก็เกี่ยว เอาตัวไปร่วม เอากรรมไปร่วม ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ และนั่นหมายถึงเบียดเบียนตนเองด้วยเช่นกัน หรือยกอีกตัวอย่างคือการกินเหล้าสูบบุหรี่ มันเป็นของไม่มีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องเอามาใส่ร่างกายให้มันเบียดเบียนตนเอง เสียสุขภาพ เสียเงิน เสียเวลา หาประโยชน์ไม่ได้ คนที่มีปัญญารู้ประโยชน์ในการหยุดเบียดเบียนตนเองก็มีทิศทางที่จะลด ละ เลิก ส่วนคนที่หลงในกิเลสก็จะมีข้ออ้างที่แสนจะสวยหรูเพื่อไม่ให้ตัวเองได้เลิก นี่เป็นเพียงการเบียดเบียนหยาบๆเท่านั้น
เมื่อโดนกิเลสหลอกเข้ามากๆ จนเสพติด ยึดติดเข้ามากๆ เมื่อมีคนมาทักว่าทำไมถึงไม่เลิก ทำไมยังเบียดเบียนตนและผู้อื่นอยู่ ทั้งที่มีเหตุปัจจัยให้เลิกได้โดยไม่เกิดผลเสีย ก็มักจะมีอาการตอบสนองที่รุนแรง มีการโต้กลับ เพราะยึดในเกียรติ์ ศักดิ์ศรี เพราะตนนั้นมีอัตตามาก ผู้ที่บรรลุธรรมจะมีภาวะของอุเบกขาเป็นพื้นฐาน ซึ่งมีลักษณะอยู่ข้อหนึ่ง คือ “มุทุ” หมายถึงหัวอ่อนดัดง่าย มีความแววไวในการปรับเปลี่ยนไปทางกุศล จะไม่ต้านทานสิ่งที่เป็นกุศล แต่จะน้อมไปทางกุศล ในทางที่ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น แม้สิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นจะขัดกับสิ่งที่ตนเคยเข้าใจก็ตาม
เมื่อมีอัตตาจึงแข็ง ไม่มีอัตตาก็ไม่แข็ง โอนอ่อนพลิ้วไหวไปในทิศทางแห่งกุศล แต่ถ้ามีอัตตามากๆ จะไม่พลิ้วไหว จะยึด จะปักมั่น ทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยนเข้ามาหาตัวฉัน โลกต้องหมุนรอบตัวฉัน ฉันถูกคนอื่นผิด ฉันเก่ง ฉันเยี่ยม ฉันดี ฉันเลิศ ทำให้ได้อย่างฉันหรือยัง ทำให้ได้อย่างฉันเสียก่อนแล้วค่อยมาติ ให้รู้บ้างว่าใครเป็นใคร … เป็นต้น
สรุปแล้วคนที่มีอัตตามากๆ แล้วยังหลงผิด คิดว่าจะมีมรรคผลได้โดยที่ไม่ลดการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าให้สร้างประโยชน์ตนและผู้อื่นให้ถึงพร้อม พวกเขาจึงยังคงหลงอยู่ในความเป็นโลก อยู่ในความเวียนวนของโลก เหมือนปลาตายที่ลอยไปตามน้ำ แล้วแต่ชะตากรรมจะซัดพาไป ไม่มีแรงขัดขืนโลก โดยมีอัตตาเป็นตัวปิดประตูตอกฝาโลงฝังตัวเองให้ยึดติดอยู่ในความเห็นที่ตัวเองเข้าใจเช่นนั้น ไปชั่วกาลนาน
– – – – – – – – – – – – – – –
8.10.2558