Tag: ไร้เดียงสา
demand & supply กับการไม่กินเนื้อสัตว์
เรื่่อง demand & supply นี่ไม่ค่อยได้เขียน เพราะเป็นรูปธรรมอยู่แล้ว ไม่มีใครที่คิดจะเข้าไปขายของกับคนที่ไม่ต้องการหรอก เช่นเดียวกับเนื้อสัตว์ คนที่ไม่กินเขาก็ไม่กิน ผู้ค้าเขาก็ขายให้กับคนที่กิน ธุรกิจมันก็เลยอยู่ได้ ก็อุ้มธุรกิจบาปกันไป
เรื่องผักก็มีชีวิต อันนี้ก็เป็นเหมือนข้อประชด จะว่าไร้เดียงสาก็ใช่ ผักก็มีชีิวิตจริงใครก็เข้าใจ แต่ผักนั้นพัฒนามาถึงแค่พีชนิยาม ยังไม่ถึงจิตนิยาม ไม่มีกรรมครอง ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ
ถ้าสงสัยจริงๆจะลองดูก็ได้ ไปกินแต่ผักสัก 1 เดือน แล้วสลับไปกินแต่เนื้อสัตว์ 1 เดือนไม่มีผัก ผลมันไม่เท่ากันหรอก วิบากมันต่างกันเยอะ ถ้ากินรวมๆมันไม่ชัดว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดีก็ต้องลองแยกดูแบบนี้
เอาแค่ 1 ชีิวิตก็คุณค่าไม่เท่ากันแล้ว ตบยุงกันไปตั้งเท่าไหร่ ทำไมฆ่ายุงแล้วไม่โดนประหารล่ะ? หนึ่งชีวิตเท่ากันนี่? จริงๆแต่ละชีวิตมีพลังงานไม่เท่ากัน มีกรรมไม่เท่ากัน มีน้ำหนักไม่เท่ากันนะ เทียบคนกับคนก็ได้ คนที่เรารักกับคนที่เราเกลียดก็ไม่เท่ากันแล้วใช่ไหม?
จะว่าไปมันก็ซ้อนๆอยู่เพราะจริงๆในความเป็นคนมันเท่ากัน แต่คุณค่าของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความดีงามของคนนั้น ดีมากก็คุณค่ามาก ดีน้อยก็คุณค่าน้อย ซึ่งคนที่สร้างคุณค่านั้นคือตัวเราเอง ซึ่งเกิดจากการไม่เบียดเบียนตนเองผู้อื่น และสร้างประโยชน์ให้ตนเองและผู้อื่น
แมวตัวนั้น
แมวตัวนั้น
ระหว่างที่ค้นหาภาพประกอบบทความ ก็ไปเจอกับภาพหนึ่งที่เคยถ่ายไว้เมื่อไม่กี่ปีก่อน เป็นภาพแมวเด็กตัวหนึ่งที่กำลังหลบหลังเสาและจ้องมองมาที่กล้อง
ผมเคยเลี้ยงแมวและผูกพันกับแมวมากกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ แต่หลังจากแมวตัวสุดท้ายได้ตายจากบ้านไปเมื่อปลายปี 2555 ก็ไม่ได้นำสัตว์ใดๆเข้ามาในชีวิตอีกเลยซึ่งในใจก็ไม่ได้คิดอยากจะเลี้ยงอีก แม้ว่ามันจะดูน่ารักแต่มันก็เป็นภาระให้เราต้องคอยเป็นห่วงอยู่เสมอ
หลังจากนั้นผมก็ได้พบเจอแมวตามสถานที่ต่างๆ ก็มักจะให้ความสนใจกับมัน ทักทายมันบ้าง ถ่ายรูปมันบ้าง หรือแม้แต่จับมันบ้าง ซึ่งตอนนั้นก็คิดว่าคงไม่ได้เป็นโทษเป็นภัยอะไรมากสำหรับความชอบแมวในระดับนี้
จนผมได้พบกับลูกแมวในภาพ มันอยู่ในวัด เล่นอยู่กับแม่และพี่น้องของมัน ด้วยความที่ผมชอบแมว ผมก็เลยเดินเข้าไปถ่ายรูป และคิดจะไปเล่นกับมัน แต่มันก็วิ่งหนี วิ่งไปสักพักก็หันมามอง เราก็เดินตามไป มันก็วิ่งหนีแล้วก็หันมามองอีก เราก็แอบนึกสนุก เลยตามมันไปสักพักใหญ่
สุดท้ายแล้วมันก็มาถึงทางตัน มันวิ่งขึ้นบันไดและพบกับลูกกรง ผมเริ่มรู้สึกว่ามันกำลังกลัว และกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ มันโดนพรากจากพี่น้องและแม่ของมันมา เพราะผมไปเดินตามมัน เราอาจจะไม่ได้คิดอะไรเพราะคุ้นเคยกับแมว แต่แมวเด็กตัวนี้ไม่คุ้นเคยกับเรา ไม่เคยเจอเรา มันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา
มันเริ่มร้องส่งเสียงดัง ผมรู้ชัดเจนว่าควรจะหลีกออกไปได้แล้ว หากยังยืนอยู่มันก็คงไม่ได้ไปหาแม่ของมัน แต่ก็ยังแอบหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพ ภาพของแมวเด็กที่หลบหลังเสา แล้วโผล่หน้ามามองว่าคนแปลกหน้าคนนี้ไปรึยัง นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเดินตามแมวเพราะหมายว่าจะจับมัน ด้วยความหลงและความเคยชิน
หลังจากนั้นผมก็ไม่ค่อยได้ยุ่งกับแมวสักเท่าไหร่ ถ้ามันเดินผ่านก็จะจับมันบ้าง ลูบมันบ้าง แต่ไม่ถึงกับเดินเข้าไปหามันเหมือนเมื่อก่อน ตัวไหนที่เดินเข้ามาใกล้จึงจะไปยุ่งกับมัน
ต่อมาไม่นานนัก ผมได้คลายความหลงในตัวแมวลงเป็นลำดับ ผมเลือกที่จะไม่ยุ่งกับมัน เลือกที่จะมองมันเฉยๆ มองให้มันเดินผ่านมาและเดินผ่านไป แต่ก็ยังมองมันอยู่ ยังเห็นว่ามันน่ารักอยู่ ยังคิดถึงขนนุ่มๆที่เคยจับอยู่ แม้แต่การดูรูปแมวที่เขาโพสลงในอินเตอร์เน็ตทั้งหลายผมก็ยังมองว่ามันน่ารักดีอยู่เหมือนเดิม
จนกระทั่งตอนนี้ผมรู้แน่ชัดแล้วว่าการที่เราไปหลงชอบใจในแมวนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ควรเลย ในแง่ที่ร้ายที่สุดก็คือเราจะไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตมัน ไปควบคุมมัน และเอามันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราด้วยความหวังดีที่ไร้เดียงสา ไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นเป็นการเบียดเบียนมัน เบียดเบียนทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ รวมถึงการเข้าไปยุ่งวุ่นวายในวิถีแห่งกรรมของมัน
ในแง่ร้ายที่ลึกยิ่งกว่าคือการไปหลงรักหลงชอบใจในสัตว์นั้นเอง คือจิตที่เราจะไปผูกกับสัตว์นั้น ไปหลงเสพหลงสุขจากมัน เอามันเป็นตัวตนของเรา ถ้าได้ดู ได้จับ ได้อุ้ม ฉันจะเป็นสุข ถ้าไม่ได้สิ่งเหล่านั้นฉันจะเป็นทุกข์ มันทุกข์ตรงที่อยากเสพ พออยากเสพจึงพยายามหาทางให้ได้เสพอย่างที่ต้องการ ทีนี้มันจะหยุดไม่ได้ มันจะต้องทำให้ได้เพื่อที่จะเข้าไปดู ไปจับ ไปอุ้ม ซึ่งความอยากนี้ก็ว่าเป็นทุกข์แล้ว ถ้าไม่ได้สมอยากก็ทุกข์อีก นี่แหละคือการสร้างทุกข์ให้ตัวเอง
ผมคงจะเร่งทำลายความหลงในแมวในเร็ววันนี้ เพื่อที่จะได้ไม่ไปเบียดเบียนมันด้วยท่าทาง ด้วยสัมผัส ด้วยวาจา ด้วยสายตา และไม่เบียดเบียนตนเองด้วยจิตใจที่ปนเปื้อนกิเลสนี้เช่นกัน
– – – – – – – – – – – – – – –
16.8.2558