สังคม สิ่งแวดล้อม

ยุคสมัยที่มีความเร่งสูง

June 9, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 550 views 0

นึกถึงสมัยก่อนที่กว่าจะได้เจอพระพุทธเจ้า ต้องเดินทางกันนาน หลายวันหลายเดือน จึงจะได้เจอได้ฟังธรรม

มายุคนี้เรียกว่าง่ายและทันใจมาก อยากฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ก็แค่ต่ออินเตอร์เน็ต ดูรายการสดก็ได้ ดูคลิปย้อนหลังก็ได้ อยากจะฟังกี่รอบก็ไม่มีปัญหา เรียกว่า เข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่ายุค 2500 ปีก่อนมาก ๆ

หรือแม้แต่ยุคโควิด19 ที่ไปทำกิจกรรมกลุ่มไม่ได้ ก็ยังมี app ประชุม ซึ่งผมได้ลองแล้ว รู้สึกว่ามันเป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ได้ดีมาก ระยะทางแทบจะไม่เป็นปัญหาเลย แต่ถ้าเน็ตมีปัญหาก็ตัวใครตัวมัน

แต่ในความสะดวกนี้ก็มีความเร่ง คือทุกอย่างมันไวไปหมด คนที่จะทำดี ศึกษาสิ่งที่ดีก็จะทำได้ไว ส่วนคนที่เขาทำชั่ว ชั่วเหล่านั้นมันก็แพร่ได้ไว คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว มีให้เห็นกันทุกเสี้ยววินาทีในอินเตอร์เน็ต

ชั่ว คืออะไร? ชั่วคือ คิด พูด ทำ แล้วส่งเสริมกิเลส เพิ่มความโลภ โกรธ หลง ตัวเองก็กิเลสเพิ่ม คนอื่นก็กิเลสเพิ่ม จากที่ดูผ่าน ๆ แล้ว ประเมินว่าความชั่วที่เผยแพร่ไปจะไวและกว้างกว่าความดีอยู่หลายขุม

ในขณะที่เรากำลังใช้ชีวิตเพลิน ๆ บนโลกที่หมุนด้วยความเร่ง อาจจะทำให้เราเสื่อมและไหลลงไปสู่ความทุกข์โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้

พอผมตระหนักว่า ยุคนี้มันไวจนน่ากลัว ผมก็เริ่มรู้สึกว่าประมาทไม่ได้แล้ว มันไม่ใช่ว่าอะไร ๆ จะคงอยู่ตลอดกาล ความเร่งหมายถึงมันจะจบเร็วขึ้น ใช่ว่าครูบาอาจารย์จะอยู่กับเราตลอดไป ในยุคสมัยที่มีความเร่งเช่นนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะมันเปลี่ยนแปลงไวจนจับไม่ทัน

ชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน โลกมันเร่งขนาดนี้ เราจะอยู่ได้นานขนาดนั้นเชียวหรือ สิ่งที่คิดไว้ อาจจะโดนรวบให้เกิดภายในไม่กี่ปีก็ได้

ซึ่งก็มีเหตุการณ์ที่ผมเคยประเมินว่ามันจะเกิด ตอนนั้นก็คิดว่าน่าจะต้องรอสัก 10 ปี แต่มันดันเกิดภายใน 2-3 ปี เรียกว่าหาร 3 ได้เลย มันเร็วกว่าที่ประเมินไว้มาก แสดงว่าวิบากกรรมของโลกนี้มันเร่ง โลกมันร้อน มันไม่ได้หมุนช้าเหมือนแต่ก่อน มันหมุนไว และไวจนน่ากลัว

ตอนนี้ก็พยายามขยันเรียนให้มากที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจะมีอะไรมาพรากความปกติในชีวิตไปอีก แค่โควิดก็ไม่ธรรมดาแล้ว สั่นไปทั้งโลก เขาก็ประเมินว่ายังมีปัญหาใหญ่ ๆ อีกเยอะที่จะตามมา อันนี้แค่สิ่งที่เขามีข้อมูลนะ มันยังมีสิ่งที่ไม่เคยเปิดเผยตัวซ่อนอยู่อีกเยอะ

ผู้หญิงจะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไร?

February 7, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 706 views 0

ผู้หญิงจะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไร?

มีคำถามมาว่าผู้หญิงจะอยู่อย่างไรให้ปลอดภัย ในองค์ประกอบที่เรียกว่าอยู่ในดงเสือสิงห์กระทิงแรด ในสังคมไม่มีศีล ต้องพบกับคนที่มีครอบครัวแต่ยังไม่เลิกเจ้าชู้  และอีกมากหน้าหลายตาที่ยังไม่เปิดเผยตัวตน

เป็นคำถามที่รู้สึกว่า ถ้าตอบไปแล้วอาจจะปฏิบัติได้ยากสำหรับหลาย ๆ คน เพราะการเป็นอยู่ในยุคนี้มันไม่เอื้อให้เข้าถึงความปลอดภัยได้ง่าย ๆ เป็นข้อจำกัดที่กิเลสสร้างขึ้นมาจากรุ่นสู่รุ่น ยากที่จะฝ่าไปได้ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ผมจะยกมาต่อจากนี้ก็จะเป็นหนทางที่พาให้ปฏิบัติตนให้อยู่รอดปลอดภัยได้จริง ๆ

ในสมัยพุทธกาล จุดรุ่งเรืองสูงสุดของพระพุทธศาสนา มีพระอรหันต์ฝ่ายภิกษุณี คือ อุบลวรรณาเถรี ผู้เป็นเลิศด้านฤทธิ์ แต่ก็ไม่วายถูกหนุ่มแอบบุกเข้ามาเพื่อขืนใจ แม้ท่านจะมีปัญญาขนาดที่บอกทางพ้นทุกข์ให้กับหนุ่มคนนั้นว่า “เจ้าคนพาล เจ้าอย่าพินาศฉิบหายเลย” ถึงสองครั้ง ถึงจะเตือนสติกันแรง ๆ ก็ยังไม่สามารถหยุดความกำหนัดของหนุ่มคนนั้นได้ ทำบาปสำเร็จในที่สุด สุดท้ายหนุ่มคนนั้นก็ถูกธรณีสูบตายเพราะกรรมนั้น หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้ภิกษุณีอยู่ในชุมชน เพราะถ้าห่างออกไปภายนอกจะถูกคนพาล คนบ้ากาม คนลามก เบียดเบียน ทำร้ายเอาได้

ที่ยกมานั้น จะนำมาเทียบให้เห็นว่า แม้ขนาดในยุคที่มีบุญกุศลสูงสุด แม้จะมีสัตบุรุษสูงสุด แม้จะเป็นผู้บรรลุธรรมขั้นสุด ก็ยังถูกคนพาลเบียดเบียนได้ ดังนั้น การจะหาความปลอดภัยในยุคสมัยที่เวลาได้ไหลไปสู่กลียุคอย่างรวดเร็วนั้นหาได้ยากยิ่งนัก ดังนั้นการที่เราดำรงอยู่ในยุคสมัยที่ศีลธรรมตกต่ำเช่นนี้ ยิ่งไม่ควรประมาท ไม่ประมาทว่าชีวิตจะไม่มีภัย ไม่ประมาทว่าสังคมหรือคนใกล้ตัวจะไม่ทำร้าย เพราะในยุคที่เจริญกว่า ในคนที่สูงกว่า ก็ยังโดนทำร้ายได้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรประมาท

สังคมสมัยนี้ก็ไม่มีศีลธรรม ศาสนาก็อ่อนกำลังเพราะมีคนพาลเข้ามาแทรกเยอะ คนเลยหันไปพึ่งการมีครอบครัว เพื่อความปลอดภัย แต่ที่ไหนได้ สุดท้ายก็โดนคนที่รักนั่นแหละ ทำร้ายจิตใจ หรือไม่ก็ร่างกาย อย่างเก่งก็ทุกข์แบบผ่อนส่ง ไม่ผาสุกตามหลักปฏิบัติของพุทธ แต่เป็นไปตามวิถีแบบโลกียะ

การจะอยู่รอดปลอดภัยในยุคนี้นั้น ยังต้องอาศัยธรรมะ คือปฏิบัติตนให้มีศีล ละ รัก โลภ โกรธ หลง ให้เบาบางลงโดยลำดับ แต่ทำตนเองให้ดีนั้นก็ไม่พอ เพราะสังคมมันโหดร้าย มันก็ต้องห่างไกลคนพาล ไกลคนชั่ว ไกลคนไม่มีศีล ถ้าเขาไม่เอาธรรมะ เขาก็ไม่เอาศีล ไม่เอาความดีเช่นกัน เขาก็ดีในแบบของเขา ดีในแบบที่เขายึด แต่มันไม่ดีในแบบที่มันปลอดภัย ดีแบบโลกีย์คือเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย และส่วนใหญ่จะร้าย

ดังนั้นเมื่อห่างไกลคนพาลแล้ว ก็ต้องคบหากับกลุ่มคนดีที่มุ่งปฏิบัติดี เป็นหมู่บัณฑิต ก็สังเกตให้ชัดว่าพวกเขาพากันประพฤติตนเป็นโสดหรือฝักใฝ่ในคู่ครอง ถ้าพากันเป็นโสด ก็คือกลุ่มบัณฑิต แต่ถ้ามุ่งหาคู่ก็คือกลุ่มคนหลง ก็เลือกเข้าไปคบหาทำความคุ้นเคยแต่กับกลุ่มคนดี พึ่งพาเกื้อกูลกัน หาคนที่มีศีลเสมอกันหรือมากกว่า ถ้าต้องเข้ากลุ่มที่มีศีลต่ำ ให้พยายามหาคนที่มีศีลสูงกว่าจะดีกว่า แต่ถ้าหาไม่เจอก็หาครูบาอาจารย์ที่ควรเคารพก็ยังดี เพราะองค์ประกอบในการพ้นทุกข์ ก็จะมีครูบาอาจารย์ดี มีสหายดี มีสังคมที่ดี จะสร้างองค์ประกอบที่ปลอดภัยจากทุกข์ทั้งใจและกาย ทางกายก็ต้องเป็นไปตามวิบากของแต่ละคน แต่ทางใจนี่ฝึกอย่างมุ่งมั่นตามอาจารย์ที่สัมมาทิฏฐิ ก็จะสำเร็จผลได้โดยลำดับ

สรุป ดำรงชีวิตอยู่โดยห่างธรรม ไม่มีวันปลอดภัย มีแต่ภัยและทุกข์แสนสาหัส แต่ถ้าดำรงชีวิตใต้ธงธรรม ในขอบเขตพุทธ ลดกิเลสไปตามลำดับ ก็จะปลอดภัย แม้มีภัย แต่จะไม่ทุกข์มาก

7.2.2563

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ถูกเพื่อนร่วมงานที่มีครอบครัวอยู่แล้วมาตามจีบ คุกคาม ฯลฯ ต้องทำอย่างไร?

February 4, 2020 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 777 views 0

การจีบกันนั้นเป็นการเบียดเบียนอย่างหนึ่ง ไม่ทำให้หลง ก็ทำให้โกรธ น้อยคนที่จะรู้สึกเฉย ๆ ไม่ยินดียินร้าย คนจีบเขาก็หวังจะให้หลงรักเขานั่นแหละ ทีนี้ก็ใช่ว่าทุกคนจะชอบการจีบหรือการเข้าหาในลักษณะต่าง ๆ มันก็เลยกลายเป็นความอึดอัด สุดท้ายก็สะสมกลายเป็นความโกรธเกลียด เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น สรุป การจีบไม่สร้างประโยชน์ใด ๆ กับใครเลย จะสร้างแต่ผลอันเป็นความมัวเมา หดหู่ เศร้าหมองในท้ายที่สุด

ถ้าคนทั่วไป ไม่ค่อยเจอกัน มันก็ไม่เท่าไหร่ ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานมาจีบนี่มันก็อาจจะทำตัวลำบาก เพราะเกรงใจบ้าง กลัวบ้าง ฯลฯ ยิ่งถ้าเป็นหัวหน้ามีตำแหน่งสูงกว่ายิ่งไปกันใหญ่ คนที่เขามีความกำหนัด ใคร่อยาก เขาก็แสดงท่าทีลีลาต่าง ๆ เพื่อยั่วเย้า  หรือเกี้ยวพาราสีเป็นธรรมดา แน่นอนว่าเขาต้องมุ่งหวังผลคือได้เสพสมใจ เขาก็ใช้ทุกวิถีทางที่เขามีนั่นแหละ เข้ามาเป็นกรอบมาบีบให้เราอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดต่าง ๆ

ในการเสพสมใจของเขานั้นเป็นไปได้หลายระยะ ตั้งแต่เราออกอาการเมื่อเขาแซว จนถึงขั้นเรายอมตกเป็นของเขา แม้เขาจะมีครอบครัวแล้วก็ตาม การสาสมใจนั้นเกิดขึ้นเพราะมีการตอบสนองเป็นอาหาร กิเลสจะมีกิเลสเป็นอาหาร ดังนั้นถ้าเราควบคุมอาการไม่ได้ ก็หมายถึงเรายังไปให้อาหารกิเลสเขาอยู่ คนที่ยังยั่วขึ้นอยู่ ก็ยังเป็นเหยื่ออยู่ดีนั่นเอง

การปฏิบัติก็เริ่มจากเบาไปก่อน คือถ้าลองพูดคุยกันได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้น มันเป็นโทษ มันเบียดเบียนอย่างไร ถ้าประเมินแล้วว่าพูดแล้วไม่อันตราย ก็พูด บอกเตือนสิ่งดีมันก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าไม่มั่นใจในการควบคุมสติของตัวเองก็ให้หาเพื่อนหรือผู้ใหญ่ที่มีศีลธรรม ไว้ใจได้ มาช่วยอยู่เป็นเพื่อนหรือมาช่วยแก้ปัญหา แต่ถ้ายิ่งทำยิ่งแย่ ยิ่งเละก็ลองอ่านต่อไป

สิ่งที่ต้องทำคือพิจารณาประโยชน์ของตนเองให้มาก ว่าเราจะสามารถทำงานอยู่อย่างผาสุกต่อไปได้จริงไหม หากเรายังอยู่กับคนที่เขามีความอยากมีคู่ขนาดที่ยอมผิดศีลนั้น บางงานนั้นมีคุณประโยชน์ก็จริง มีผลตอบแทนมากก็จริง แต่สิ่งที่แลกไปบางทีมันก็ไม่คุ้ม คือได้ประโยชน์นิดหน่อย ได้เงินจำนวนหนึ่ง ได้กุศลเล็กน้อย แต่เขาก็จะเอาสิ่งเหล่านั้นนั่นแหละมาล่อเรา ให้เราหลงไปตามสิ่งที่เขาล่อลวง ถ้าเราเมากับโลกธรรมที่เขาล่อลวงไว้ เราก็หลงต่อไป ยังเป็นมิจฉาชีพ เพราะมอบตนในทางที่ผิด รับใช้คนผิดศีล แต่ถ้าเราไม่ได้ยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น เราจะมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงมากขึ้น

พระพุทธเจ้าให้ห่างไกลคนพาล คบบัณฑิต ชีวิตจึงจะอยู่ผาสุก คนที่เขามีคู่อยู่แล้ว แล้วยังมาตามจีบ หรือทำท่าทีหมาหยอกไก่กับคนอื่น อันนี้เขาก็ผิดศีลของเขาอยู่แล้ว เขานอกใจไปแล้ว เขาต่ำกว่าศีล ๕ นะ คนไม่มีศีล คบไว้ไม่เจริญหรอก คนไม่มีศีลก็คือคนพาลนั่นแหละ เพราะเดี๋ยวก็ทำบาป เดี๋ยวก็ทำชั่ว เดี๋ยวก็พาให้เราเดือดร้อน

เข้าหาบัณฑิต คือเข้าหาหมู่มิตรที่ปฏิบัติดี มิตรดีจะช่วยเพิ่มกำลังใจและกำลังปัญญา จะมีพลังในการต้านความชั่ว ต้านคนผิดศีล จะเป็นอยู่ผาสุกต้องเลือกกลุ่มในการร่วมใช้ชีวิต ให้เป็นกลุ่มมีศีลธรรม เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อพัฒนาตนสู่ความพ้นทุกข์ กุญแจที่จะไขรหัสสู่ความสำเร็จของคำถามนี้คือการเข้าหาบัณฑิตนี่แหละ ก็เข้าหา ปรึกษา เป็นลำดับ มันจะมีปัญหาขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็แก้ไปเรื่อย ๆ โดยพึ่งพาปัญญาของมิตรดี ปัญหาก็จะคลายไปเรื่อย ๆ

แต่ถ้าคลุกอยู่กับหมู่คนพาลมันก็มีแต่เรื่องแบบนี้แหละ เรื่องชู้สาว เรื่องผิดศีล ดีไม่ดีเขาลวงเราไปข่มขืนอีก ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ คนพาลนี่เขาอัตตาจัดมาก เขามีความอยากเอาชนะจัดมาก ๆ ยิ่งเราทำแข็งข้อ เขาก็ยิ่งสู้ ยิ่งทำตัวเป็นดีแสนดีดั่งนักบวช เขายิ่งอยากปราบเรา อยากพิชิตเรา แล้วก็ใช่ว่าเราจะไปสอนเขาได้นะ บางทีเขาไม่ได้เราด้วยการยอมของเรา เขาก็ใช้กำลังอำนาจของเขาบีบเราให้เราต้องจำนนได้เลย ดีไม่ดีเขาฆ่าเราปิดปากด้วย คบคนพาลมีแต่เสีย เสียเวลา เสียแรงงาน เสียทรัพย์ เสียชีวิต

แต่หมู่มิตรดีนี่ก็ต้องเลือกนะ ไปเข้าสำนักผิดหนีเสือปะจระเข้อีก กลายเป็นว่าหลงไปในหมู่นักปฏิบัติธรรมเมากาม ปฏิบัติธรรมหาคู่ มันจะไม่พ้นเรื่องบาปที่น่าปวดหัวเหล่านี้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าพรากประโยชน์ตนเพื่อผู้อื่นแม้มาก หมายถึง ต้องยึดประโยชน์ตัวเองไว้เป็นหลักก่อน ต้องเอาตัวเราพ้นทุกข์ให้ได้ก่อนแล้วถึงจะไปช่วยคนอื่น แม้คุณประโยชน์ในการช่วยคนอื่นนั้นจะดูเหมือนมีคุณมากก็ตามที เหมือนกับเรือร่ม เราก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้ก่อน ถึงจะไปช่วยคนอื่น เราว่ายน้ำไม่เป็น ไม่มีอุปกรณ์ ไปช่วยคนอื่นมันก็จะพากันตายเปล่า ๆ มันไม่เหมือนการเสียสละนะ การเสียสละ คือเรามี แต่เราสละสิ่งนั้นให้ อันนี้ประโยชน์ตนเรายังไม่มี เรายังพาชีวิตเราเองไปพ้นทุกข์ยังไม่ได้เลย แล้วเราจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร

ในความเห็นของผม ถ้าต้องคลุกอยู่กับกลุ่มคนผิดศีลเป็นประจำ ผมไม่อยู่หรอก เขาจะพาเราฉิบหาย แต่ถ้ามันมีภาระมาก มันออกไม่ได้ ก็ลองปรึกษาขอความช่วยเหลือกับผู้ใหญ่ในที่ทำงานที่มีศีลธรรม ถ้าเขาช่วยจัดการจนคลี่คลายก็พอทนอยู่ไปได้ แต่ถ้าอยู่แล้วโดดเดี่ยวไม่มีหวัง ไม่มีมิตรดี ไม่สามารถทำให้เจริญขึ้นได้ ก็ลองพิจารณางานอื่น ๆ ดู อย่างน้อยเราก็เจริญขึ้นเพราะพ้นจากมิจฉาอาชีวะอีกหนึ่งเรื่อง

3.2.2563

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ศาสนาพุทธ ในปัจจุบัน

February 2, 2018 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,173 views 1

ศาสนาพุทธในปัจจุบัน

ศาสนาพุทธ ในปัจจุบัน

ระหว่างที่กำลังทำสวนในเย็นวันหนึ่ง ผมมองขึ้นไปบนฟ้า เห็นเส้นสีขาวที่คดไปมา มองต่อไปก็เห็นเครื่องบินกำลังบินอยู่ เครื่องบินก็ดูเหมือนจะบินตรงไปตามทิศทางของมัน แต่เมฆหรือไอน้ำที่เกิดขึ้นกลับเปลี่ยนไปตามลมอย่างไร้ทิศทาง

ในช่วงหนึ่งที่เห็นภาพเหล่านั้น ผมคิดไปถึงความเป็นไปของศาสนาพุทธในปัจจุบัน ซึ่งเหมือนกับภาพของเครื่องบินและไอน้ำที่เกิดตามหลังมา คือพระพุทธเจ้า ท่านก็สอนถูกตรงที่สุดแล้ว แต่พอเวลาผ่านไป ความผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวก็เกิดขึ้น เหมือนเป็นเรื่องธรรมดายังไงอย่างนั้น

ความผิดเพี้ยนไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสมัยนี้เท่านั้น แต่เกิดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ต้องมีสงฆ์คอยชำระแก้ไขความผิดเพี้ยนเหล่านั้นเรื่อยมา แต่ยิ่งนานวันผ่านไป อริยสงฆ์เหล่านั้นก็ค่อย ๆ จากไป เส้นทางที่ชัดเจนได้เลือนหายไปตามกาลเวลา ที่มีอยู่ส่วนใหญ่ก็ล้วนบิดเบี้ยวไปตามวิบากของแต่ละคน มีเพียงฝุ่นปลายเล็บเท่านั้นที่ยังคงปฏิบัติถูกต้องอยู่ได้ ส่วนดินทั้งแผ่นดินที่เห็นคือผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว

เรื่องพุทธแท้พุทธเทียม คงจะเป็นเรื่องที่เถียงกันไม่มีวันจบสิ้น เพราะต่างคนก็ต่างถือว่าตนเอง อาจารย์ของตน ลัทธิของตนนั้นถูกเสมอ ซึ่งมันก็มีทั้งคนถูกทั้งคนผิด แต่คนถูกมีนิดเดียว คนผิดแทบทั้งโลก

สมัยศึกษาธรรมะใหม่ ๆ ผมเองก็ยังแสวงหาหนทางเหมือนกับคนทั่วไป พอเจออาจารย์ที่ปฏิบัติตามแล้วได้ผลจริง คือลดความอยากลงได้จริง มีหลักฐานปรากฏตามจริง สามารถรู้ร่วมกันได้ เช่น การเลิกหลงในการกินเนื้อสัตว์, การประพฤติตนให้อยู่เป็นโสด ฯลฯ และมั่นใจว่าจิตใจข้างในก็เป็นจริงตามนั้น

หลังจากตนเองพอจะมีหลักให้ยึด จึงเริ่มศึกษาผู้อื่น กลุ่มอื่น ลัทธิอื่น ความเชื่ออื่น ก็ศึกษาไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้คิดจะไปรบกับใคร ไม่ได้คิดจะไปปรับเปลี่ยนอะไรเขา เพียงแค่อยากรู้ว่าเขาปฏิบัติเหมือนเราไหม เขาปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างเราไหม หรือเขาปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไร ช่วงแรก ๆ มันก็ยังมีไฟ ยังตั้งใจอยู่ แต่พอศึกษาไปนานวันเข้า มันก็ท้อเหมือนกัน

อาการท้อ นี่คือรู้สึกหมดหวัง รู้สึกประมาณว่าไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร สร้างสำนัก สร้างลัทธิมาหลง ทำไปทำไม แน่นอนว่าเราไปช่วยเขาไม่ได้อยู่แล้ว ตรงนี้ไม่ใช่เป้าหมายแต่แรก แต่ลึก ๆ มันยังมีความรู้สึกเป็นห่วง เพราะเห็นว่าปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ต้องการไปสู่ความพ้นทุกข์เหมือนกัน แต่กลับไปกันคนละทิศละทางอย่างจนดูเหมือนจะไม่มีวันที่จะมาบรรจบกันได้

สุดท้ายหลังจากที่ได้พูดคุย, แลกเปลี่ยน, ปะทะ, ฯลฯ กับคนที่เห็นไม่ตรงกันในการปฏิบัติ จากประเด็นต่าง ๆ ในบทความที่เคยได้พิมพ์ออกไป ก็รู้สึกว่า “พอดีกว่า” หลายครั้งหลายที มันก็ไปไม่ได้ มันทำความเข้าใจกันยาก ยิ่งไม่มีศรัทธาต่อกันยิ่งไปกันใหญ่ มันจะกลายเป็นแค่การแข่งดีเอาชนะกัน ซึ่งมันเสียเวลาเอามาก ๆ สรุปคือนอกจากจะช่วยเขาไม่ได้แล้วยังผลักเขาลงเหวไปอีก

ยิ่งในลัทธิที่แตกต่างนี่ผมยิ่งไม่อยากแตะ เพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีกำลังพอจะไปบอกอะไรเขาได้ มันก็ต้องปล่อยเขาไป ฐานะเราก็เท่านี้ เราก็มีแค่นี้ เราก็เจียมตัวอยู่แบบของเราไป ส่วนใครเขาจะบรรลุธรรมแบบไหน จะเร็วจะช้า จะพิสดารแบบไหนก็เรื่องของเขา มันก็เป็นไปตามวิบากของเขา เป็นไปตามวิบากของโลก เหมือนกับเมฆที่โดนลมพัด เปลี่ยนรูปไปหมด เอาแน่เอานอนไม่ได้

เรื่องเขานี่มันเอาแน่เอานอนไม่ได้ รู้ก็ไม่ชัดเท่าตัวเรา สู้เราเอาเวลามาปฏิบัติของเราดีกว่า ว่าพุทธในปัจจุบันของเรานี่มันเต็มความเป็นพุทธหรือยัง ถ้าเราทำได้ดีแล้วโลกจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ เพราะมันพร่องเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เราก็ช่วยไปตามกำลัง ตามบารมีของเรา มีมากก็ช่วยได้มาก มีน้อยก็ช่วยไปตามบารมีที่มี ไม่ต้องทุกข์อะไร

เท่าที่ผมเห็น ดูเหมือนคนส่วนมากจะเอาเวลาไปทุ่มกับเรื่องนอกตัวเสียหมด ปฏิบัติธรรมก็ไปทำนอกตัว ไปอยู่กับอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะมากมาย ไม่แก้ปัญหาที่จิต ไม่แก้ที่กิเลสในจิต แต่ก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดา ก็ทางปฏิบัติมันหายไปเกือบหมดแล้ว ก็ปฏิบัติกันแบบหลงป่ากันไป ป่าใครป่ามัน คนอยู่ในป่าก็มองจากป่า ก็เหมือนเห็นคนอื่นอยู่อีกป่า แม้คนไม่อยู่ในป่าเขาก็มองว่าว่าอยู่ในป่า เพราะเขามองผ่านป่าของเขา ก็เป็นแบบนี้แหละนะ พุทธในปัจจุบัน

31.1.2561

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์