ความสวยงาม บุคลิก

สวยสมัยนิยม

November 21, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,880 views 0

สวยสมัยนิยม

สวยสมัยนิยม

…ความสวยงามที่แตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัยตามกิเลสของคน

ในแต่ละยุคสมัยนั้นคนเรามักมีนิยามความสวยต่างกันไป เช่นยุคเรเนซองส์เขาก็มักจะมองผู้หญิงอวบอ้วนสมบูรณ์ว่าสวย แต่ในยุคสมัยนี้กลับไม่คิดเช่นนั้น การที่เรามองและวิจารณ์ไปว่าสิ่งใดสวยหรือไม่สวย น่าดูหรือไม่น่าดูนั้น มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนอย่างมาก

เช่นในยุคสมัยหนึ่งของจีน นิยมใส่รองเท้าดัดเท้าให้เล็ก โดยมีเหตุผลต่างๆนาๆ ทำให้เชื่อว่าเป็นสิ่งที่สวยและดูดี เมื่อมีคนคิดว่าสวยก็กลายเป็นแฟชั่น ค่านิยม หลายคนทำตามด้วยความหลง หลงไปว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้มีคุณค่า สิ่งนี้สังคมยอมรับ ทั้งๆที่เป็นเรื่องของกิเลสที่ปรุงแต่งกันไปเอง หากคนสมัยนี้มองกลับไปแล้วก็คงต้องสงสัยว่าทำกันไปได้อย่างไร ทั้งลำบาก ทั้งเจ็บ ทั้งทรมาน และที่สำคัญ มันไม่เห็นสวยตรงไหนเลย

นี่คือความคิดที่ผิดยุคผิดสมัย หากเราคิดว่าไม่สวยในสมัยนั้น ณ ที่ตรงนั้นของจีน เราก็จะเป็นคนตกยุค แต่ถ้าใครมาทำสิ่งนั้นในสมัยนี้ก็จะกลายเป็นคนหลงยุค

ในยุคนี้ก็มีความสวยที่สมัยนี้นิยมเหมือนกันในกรณีเรื่องเท้าในยุคนี้ก็มีเติมแต่งกันด้วยการใส่รองเท้าส้นสูง ที่เพิ่มความสูงและความสวยงาม รวมทั้งการทาเล็บเท้าด้วยสีต่างๆ ทั้งที่ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ไร้สาระและไม่จำเป็นทำให้ชีวิตลำบาก เสียเงิน เสียสุขภาพและเสียเวลา แต่คนที่หลงว่ามันทำให้สวย หลงในความสวยก็ยังยินดีจะหา จะเอาสิ่งเหล่านั้นเขามาในชีวิตตนเหมือนสมัยที่จีนทำการดัดเท้าเพราะเชื่อว่ามันสวย

ยังมีความเข้าใจเรื่องความสวยอีกมากมายในยุคนี้ที่เป็นเรื่องตลกที่ทุกคนให้ความสำคัญอย่างจริงจังจนเรื่องไร้สาระกลายเป็นเรื่องจำเป็น เช่นการแต่งหน้าแต่งตาที่ดูจะสิ้นเปลืองแต่คนก็ยังยอมเอาเงินไปซื้อ การยอมฉีดสารเคมีต่างๆเพื่อให้ได้มาซึ่งความแต่งตึง การศัลยกรรมที่ดูแล้วยังไงก็น่าจะเจ็บปวดแต่ทำไมคนถึงยอมแลก หรือแม้แต่การแต่งตัวจนโป๊จนเกือบเปลือยสร้างค่านิยมโชว์เนื้อหนังซึ่งจริงๆ เนื้อหนังก็เป็นของสามัญที่ทุกคนก็มีแต่กลับสร้างให้เป็นเรื่องแปลกและน่าดู แม้จะดูเพี้ยนสุดๆแต่คนในยุคนี้ก็ยังทำกันไปได้

หากคนในอนาคตมองย้อนกลับมาก็อาจจะสงสัยและงงๆว่าคนในยุคนี้ทำไปได้อย่างไร ทั้งการแต่งหน้า ทั้งศัลยกรรม ทั้งการล่อลวงด้วยเนื้อหนัง ท่วงท่า ลีลาทั้งหลาย พวกเขาเป็นสุขกับของหยาบ กิเลสหยาบอย่างนี้ได้อย่างไร ทำไมคนยุคนี้ถึงได้ปรุงแต่งกิเลสกันออกมาได้แบบนี้ นี่คือสภาพที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ไม่มีสิ่งใดคงทนถาวร แม้แต่เรื่องของความเชื่อในเรื่องความสวยงาม

…เราหลงในความสวยนั้นอย่างไร?

คนส่วนใหญ่นั้นหลงมัวเมาไปกับความสวยงามตามยุคสมัย เชื่อปักใจว่าสิ่งเหล่านั้นคือความสวย คือคุณค่า คือความสุข สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่กิเลสหลอก เรียกว่าเป็นอุปาทานหมู่ ซึ่งหลายคนก็ยินดีที่จะแต่งหน้า แต่งตัว ฉีดสารพิษ รวมไปถึงศัลยกรรมตกแต่งให้ร่างกายตัวเองเป็นไปตามความนิยมในยุคสมัยนั้น

กิเลสที่หลอกเราอยู่นั้นหากกล่าวกันกว้างๆก็คืออวิชชา แต่การรับรู้ว่ามันคือความไม่รู้หรือความหลงนั้นไม่สามารถช่วยให้เราเห็นกิเลสได้ ซึ่งจะยกตัวอย่างของรูปแบบและกิเลสที่ฝังอยู่ในความอยากสวยอยากงามกันด้วยกิเลสใน 4 หมวดหมู่ นั่นคือ อบายมุข กามคุณ โลกธรรม และอัตตา

อบายมุข … เป็นความหลงในความสวยในระดับมัวเมา เมามายไปกับการทำให้เกิดความสวยเช่น คนที่เสพติดศัลยกรรม เสพติดการแต่งหน้า ต้องซื้อเสื้อผ้าทุกอาทิตย์ ต้องไปสปา ต้องไปเข้าคอร์สเสริมความงาม เหล่านี้เป็นความหลงกับความสวยในระดับหยาบ ในระดับที่ต่ำ อยู่ในขุมนรกที่ลึกที่สุด ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา

กามคุณ … คือการหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทั่วไป ซึ่งในกรณีของความงามนั้นก็คือผิวงาม เสียงงาม กลิ่นงาม เอาง่ายๆว่าโดยรวมขอให้ดูดีไว้ก่อน ผู้ที่ติดกิเลสในระดับของกามนั้นจะมัวเมาน้อยกว่าระดับอบายมุข ซึ่งจะไม่เน้นการเสริมความงามที่ต้องทรมาน หรือเติมแต่งจนลำบาก แต่ยังมีความอยากแต่ง อยากสวย ซึ่งถ้าบำรุงบำเรอกิเลสมากๆ ก็จะเสื่อมลงไปสู่อบายมุขได้เช่นกัน

โลกธรรม … คือการหลงไปในโลก ในเรื่องของโลก เช่นสังคมเขาว่าต้องสวยแบบนี้ ต้องงามแบบนี้ ต้องหุ่นดีแบบนี้ก็เชื่อตามเขา เขาว่าอย่างไรก็ตามเขา พอไม่เป็นเหมือนอย่างเขาก็จะไม่มีความมั่นใจ คนที่ถูกกิเลสในระดับโลกธรรมจูงไปนั้น จะไม่มีความอยากสวยเป็นส่วนตัวสักเท่าไรนัก แต่ความกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าไม่สวยนั้นยังรุนแรงอยู่ โลกธรรมยังเป็นแรงผลักดันให้กิเลสโตไปถึงขั้นอบายมุขได้เช่นกัน เพราะคนที่สนใจเสียงคนรอบข้างได้ ก็อาจจะโดนสังคมพาลงไปสู่อบายมุขได้เช่นกัน

อัตตา … คือรากแท้ของกิเลส คือความหลงว่าต้องสวย หลงว่าเกิดมาแล้วต้องงาม ต้องดูดีจึงจะมีคุณค่า รวมถึงความรู้สึกมั่นใจลึกๆว่าฉันสวย ฉันดูดี ฉันมีคนนิยม คือมีตัวเราของเรา ความรู้สึกเหล่านี้ทั้งหมดคือสิ่งที่ยึดไว้ให้ตัวเรานั้นยังแสวงหาการเติมเต็มความสวยความงามให้คงอยู่ตลอด ซึ่งแท้จริงแล้วกิเลสนี้คือต้องการการยอมรับ ต้องการความสนใจ ต้องการมีตัวตน พอมีต้องการมีตัวตนก็เลยสร้างตัวตน เกิดมาเป็นคนสวย แม้ไม่สวยก็จะทำให้สวย จนยึดเป็นตัวเป็นตนต่อไปอีกที ยึดมั่นถือมั่นกันไม่ปล่อยไม่วาง ก็เลยต้องเกิดมาเสพความสวยที่ตัวเองยึดไว้กันไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว

…เราจะออกจากความหลงนั้นอย่างไร

ความหลงในความสวยนั้น หากเรายังไม่เห็นสิ่งนั้นว่าเป็นกิเลส ไม่เห็นว่าเป็นภัย ยังคงเห็นว่าการปรุงแต่งให้ความสวยนั้นคงอยู่หรือสวยยิ่งขึ้นเป็นความสุข เป็นความจำเป็นในชีวิต ก็จะไม่สามารถออกจากกิเลสได้

ในขั้นแรกต้องศึกษาให้รู้จริงด้วยใจตัวเอง ยอมรับด้วยใจตัวเองว่าความอยากสวยเหล่านี้ล้วนเป็นกิเลส ล้วนเป็นสิ่งเศร้าหมอง ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และไม่มีตัวตนอยู่จริง สิ่งที่เราเห็นทั้งหมดนั้นคือตัวตนที่เราสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น จริงๆแล้วความสวยไม่มีอยู่ เหมือนกับความสวยที่แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัยนั่นแหละ

เมื่อเห็นความอยากสวยนั้นเป็นกิเลสก็ให้เพียรพิจารณาให้เห็นความจริงตามความเป็นจริงว่าความอยากสวยนั้นเป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นประโยชน์อย่างไรหากจะทำลายความอยากสวย จะมีกรรมอะไรบ้างที่เราต้องรับหากยังยึดติดกับความสวยเหล่านั้น

เพียรพยายามไปจนกระทั่งปัญญานั้นเต็มรอบก็จะสามารถดับกิเลสนั้นๆได้เอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหากเราได้เพียรพิจารณาอย่างถูกตัวถูกตรงกิเลส คือติดกิเลสตัวไหนก็พิจารณาตัวนั้น อบายมุข กามคุณ โลกธรรม พิจารณาไล่มาเรื่อยๆจะจบที่อัตตาเอง

เมื่อพิจารณาจนหมดความยึดมั่นถือมั่นในความสวย ก็จะสามารถออกจากนรกแห่งความสวย หลุดจากวงจรของความสวยสมัยนิยม ไม่ต้องทุกข์เพราะความไม่สวย ไม่ต้องมารับกรรมจากความสวย ไม่ต้องสนใจเรื่องไร้สาระเหล่านี้อีกต่อไป เมื่อไม่มีเหตุให้ทุกข์ก็ไม่เป็นทุกข์ และความหมดทุกข์นั่นเองก็คือความสุขที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับแล้ว

– – – – – – – – – – – – – – –

20.11.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

ฉันอยากสวย ฉันอยากดูดี

August 28, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 3,221 views 0

ฉันอยากสวย ฉันอยากดูดี

ฉันอยากสวย ฉันอยากดูดี

เกิดเป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก เกิดมาไม่สวยตามที่คนอื่นเขาเข้าใจ ยังต้องไปลำบากทำให้มันสวยของมันมาดีอยู่แล้วก็ไปเสริมเติมแต่งตัดต่อให้มันเป็นไปตามความอยาก โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่จริงแล้วทำไปเพื่ออะไร…

การมีความสวยงาม มักดูเป็นเรื่องดี มีแต่คนอิจฉา อยากจะเป็น อยากจะสวยบ้าง อยากจะดูดีบ้าง เหล่าหญิงผู้ที่เข้าใจว่าตัวเองมีหน้าตาธรรมดาทั่วไปก็เลยต้องลำบากไปหาเครื่องเสริมเติมแต่งให้หน้าตาออกมาดูดี หรือถ้ายังไม่พอใจก็จะเริ่มแต่งตัว ไปจนถึงเปิดนั่นนิด เปิดนี่หน่อย จนถึงกระทั่งใช้ร่างกายของตนเป็นจุดขาย โดยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเราอยากจะสวยไปทำไม…

มีหลายคนที่ไม่ได้เกิดมาสวยเลิศเลอ ก็เลยต้องพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสวย ต้องหาเครื่องบำรุง เครื่องประดับ เสื้อผ้าหน้าผม จนกระทั่งการไปผ่าตัดเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ออกมาสวยหรือดูดี เหตุที่ผลักดันความอยากสวยเหล่านี้ ถ้าจะอ้างกันไปคงจะมีหลายประการ แต่ถ้าจะเจาะลงรากลึกๆก็คงจะเป็นเรื่องของความหลงในรูปของตัวเอง กับอยากให้ผู้อื่นสนใจ

ความหลงในรูปและ อยากให้ผู้อื่นสนใจ

คือเข้าใจว่า สวยจึงจะดี ต้องดูดีผิวเนียนหุ่นดี จึงจะดี ต้องมีหน้าตาแบบนั้น แต่งกายแบบนี้จึงจะดี ฯลฯ และหลงไปในความสวยของตัวเอง เสพติดความสวยจนต้องหาสิ่งมาปรนเปรอบำเรอความสวย

ความหลง ความอยากหรือกิเลสเหล่านี้ ถ้ามีมากๆก็จะทะลักออกข้างนอก ไม่อยู่ข้างในตัว คือจะเริ่มเผยแพร่ความสวยของตนออกไป เช่นถ่ายรูปตัวเอง ทำท่าแบบนั้นแบบนี้ เริ่มเปิดโป้เปลือยออกสู่สาธารณะ เพราะความหลงในความสวยของตัวเองมันมากจนควบคุมไม่ไหว และหลงเข้าใจผิดว่าเป็นของควรอวด เข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งควรค่าแก่การนิยม เข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งดี จึงทำให้ไม่สำรวมกายแจกจ่ายออกให้ผู้อื่นรู้ว่าฉันสวย ฉันดูดี สนใจฉันสิ ดังนั้นเหตุหลักๆที่ผลักดันให้คนเกิดความอยากสวยก็คือ ความอยากให้ผู้อื่นสนใจ เป็นที่สนใจ เป็นที่นิยมชมชอบ หรือติดโลกธรรมนั่นเอง

ความอยากให้ผู้อื่นสนใจไม่ได้หมายเพียงแค่เรื่องคู่ แต่เป็นเรื่องที่ขยายไปไกลถึงกระทั่งหมกมุ่นในคำสรรเสริญ คำชม ความนิยมชมชอบ ดังที่จะเห็นได้ชัดในปัจจุบัน มีผู้หญิงมากมายสร้างตัวเองให้เป็นที่นิยม บ้างก็ขายความสวย บ้างก็ขายความน่ารัก บ้างก็ขายเรื่องราว บ้างก็ขายไปถึงร่างกาย เช่น เอาร่างกายส่วนนั้นส่วนนี้มาโชว์ เปิด โป้ เปลือยกันไปเพื่อแลกกับความนิยมชมชอบ

ความนิยมชมชอบเป็นเสมือนแหที่หว่านลงไปในทะเล แท้ที่จริงแล้ว คนเราก็มักจะมีแรงผลักดันจากความเหงา การต้องการคนเข้าใจ เธอเหล่านั้นใช้วิธีด้านปริมาณเพื่อจะมาคัดคุณภาพของสิ่งที่จะได้รับ เพราะเมื่อสร้างความสวยงามที่มากขึ้น ก็จะมีคนเข้ามามากขึ้น เมื่อมีคนเข้ามามากขึ้นก็จะสามารถเลือกได้มากขึ้น สุดท้ายก็จะหนีไม่พ้นเรื่องของการมีคู่

แต่ในความจริง ความสวยงามหรือความนิยมเหล่านั้นจะดึงเอามาได้เฉพาะคนที่มีกิเลส เหมือนการตกปลาก็คงจะมีเฉพาะปลาที่หิวโหยและโง่เท่านั้นที่จะมากินเหยื่อ ดังนั้นการตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาความสวยดังที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นบทความจนกลายมาเป็นที่นิยม ก็เพียงแค่หาเหยื่อโง่ๆ ที่มาหลงไปกับความสวยและยินยอมพร้อมใจจะมาปรนเปรอกิเลสของตัวเองได้เท่านั้นเอง

จริงอยู่ที่ว่าผู้ชายนั้นชอบคนสวย ก็ไม่ต่างกันจากผู้หญิงที่ชอบผู้ชายดูดี เป็นความหลงในรูปของร่างกาย เป็นเรื่องธรรมดาเพราะเป็นของหยาบ รู้ได้เพียงแค่ใช้การมอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากิเลสของผู้ชายเหล่านั้นจะหยุดลงแค่เสพรูปกาย เขาเหล่านั้นยังมีความต้องการอีกมากมายที่คุณอาจจะคิดไม่ถึง จึงเรียกได้ว่า สวยอย่างเดียวไม่เพียงพอจะเติมเต็มกิเลสเขาได้หรอก

ดังนั้น ไม่ว่าจะพยายามที่จะสวยเพื่อบำรุงบำเรอกิเลสตัวเอง หรือปรนเปรอกิเลสของผู้อื่น ก็มีปลายทางเป็นนรก ที่เดือดร้อนใจ และความผิดหวังด้วยกันทั้งนั้น เพราะกิเลสเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเติมได้เต็ม ยิ่งเติมก็ยิ่งพร่อง ยิ่งเติมก็ยิ่งขาด

ผู้ที่ยังอยากสวยพึงพิจารณาให้เห็นลึกลงไปถึงความอยากของตัวเองว่า อยากสวยไปทำไม? สวยแล้วอยากจะได้อะไร ?อยากได้มาแล้วจะเอามาทำอะไร? ได้มาแล้วจะสุขจริงไหม? แล้วจะสุขเช่นนั้นไปตลอดไหม? ทั้งหมดที่ทำมาคืออะไร?เป็นไปเพื่อสร้างสุขหรือแท้จริงแล้วเป็นทุกข์?

หากว่าเราเข้าใจว่าความอยากสวยเหล่านั้นเป็นเพียงแค่คำสั่งของกิเลสที่เข้ามาหลอกให้เราหลงไป เราก็จะเห็นความจริงตามความเป็นจริง สุดท้ายแล้วถึงจะมีความสวยแต่ก็ไม่ยึดติดความสวย ถึงจะไม่สวยก็ไม่ไขว่คว้าหาความสวย เพราะรู้แน่ชัดในใจแล้วว่าสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่สาระแท้ของชีวิต

– – – – – – – – – – – – – – –
28.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

นรกคนสวย

August 27, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,782 views 0

นรกคนสวย

นรกคนสวย

เกิดเป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก เพราะใช่ว่าความสวยที่มีจะทำให้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขเสมอไป และคนที่มีความสวยตั้งแต่กำเนิดเกิดมาก็ใช่ว่าจะพอใจในความสวยที่ตนมีกันทุกคน ยังต้องหลงวนเวียนไขว่คว้าหาวิธีที่จะพัฒนาหรือคงสภาพของความสวยนั้นไปตลอดกาล

ในบทความนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องความทุกข์ หรือนรกของความสวยงามในมุมของผู้หญิง ซึ่งเป็นเพศที่เกิดมาก็มีทุกข์พิเศษแถมมามากกว่าเพศชายอยู่หลายประการ จึงขอยกเรื่องนี้มาเขียนในเฉพาะมุมทุกข์ของผู้หญิง

นรกของคนสวย…

ในสังคม ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหม ก็ต้องมีหญิงงาม แต่ถึงอย่างนั้นคำว่างามในแต่ละยุคก็ไม่เหมือนกัน บางยุคต้องอ้วนบ้าง บางยุคต้องผอมเอวคอด บางยุคต้องหน้าตาแบบนั้นแบบนี้ เป็นความงามที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามกิเลสของคน

ชีวิตของคนสวยไม่ได้เรียบง่ายเสมอไป ความมีเสน่ห์นั้นก็ทำให้ชีวิตยากลำบากหรือเป็นภัยได้เหมือนกัน เหมือนกับมีแม่เหล็กติดไว้ที่ตัว จะดูดอะไรต่อมิอะไรมาติดตอนไหนก็ได้ โดยเฉพาะการดึงดูดผู้ชายที่มีกิเลสเข้ามาหา ผู้ชายส่วนใหญ่ที่เข้าหาผู้หญิงสวยก็มักจะหลงในรูป อยากเสพรูป เอาง่ายๆคืออยากจะได้แค่ความสวยนั้นแหละ ความสวยก็จะดึงคนมีกิเลสเหล่านี้เข้ามาพัวพันใกล้ๆตัว สร้างทุกข์ สร้างปัญหา สร้างความลำบากใจกันไป

คนที่สวยมากๆ ก็จะมีแต่คนเข้ามาในชีวิต อยากคุยด้วย อยากคบหา อะไรก็ว่ากันไป ทั้งมาแบบทีเล่นทีจริงและแบบจริงจัง จนถึงกระทั่งแบบที่เป็นภัย …แรกๆมันก็คงจะดี เพราะมีคนมาชอบ แต่พอเยอะๆเข้าก็เริ่มไม่ไหว เพราะต้องมาคอยตอบคำถามซ้ำๆเดิมๆ ถ้าไม่ตอบไม่รักษาน้ำใจก็กลัวเขาจะว่าหยิ่งเดี๋ยวความนิยมจะลดลง ด้วยความที่ตัวเองก็ติดภาพลักษณ์ ติดสรรเสริญ ติดโลกธรรม ว่าต้องดูดี ก็เลยต้องทำใจรักษามารยาทไปพร้อมๆกับรักษาสภาพความสวยของตนจึงกลายเป็นทุกข์ที่หนีไม่ได้ต้องยอมข่มยอมทนรักษาภาพความสวยต่อไป

ความสวยยังมีค่าบำรุงรักษาที่มาก ต้องจ่ายไปทั้งเงิน ทั้งเวลา ดังเช่นการซื้อเครื่องสำอางมากมายมาแต่งหน้าแต่งตา ใช้เวลาอยู่นาน เขียนแล้วเขียนอีก โดยทำไปเพื่อรักษาความสวยงามให้คงสภาพเดิม และยังมีกระบวนการรักษาความสวยหรือพัฒนาความสวยอีกมากมาย เช่น เข้าสปา ทำผม ผ่าตัด ฯลฯ ผู้หญิงที่หลงในความสวยจะต้องทุกข์จากตรงนี้อีกจุดหนึ่ง เพราะต้องหาปัจจัยมาบำรุงบำเรอตนโดยไม่รู้ว่าจริงๆตัวเองสวยไปเพื่ออะไร บ้างก็ว่าเพื่อความมั่นใจ บ้างก็ว่าเพื่อให้คนสนใจ บ้างก็ว่าใช้ในการทำงาน บ้างก็ว่าสังคมเขาก็ทำกัน ก็เป็นเหตุผลที่ที่กิเลสใช้เป็นคำที่หลอกใจตัวเอง ทำให้คนสวยหลงวนเวียนอยู่กับความสวยของตน ทั้งๆที่สามารถเอาเวลาและเงินเหล่านั้นไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกมากมาย

….กิเลสที่ผลักดันความสวย

หนึ่งในรากแห่งกิเลสของความสวย แท้จริงแล้วคือความอยากมีคู่ เหมือนกับสัตว์ทั่วไปที่ต้องทำให้ตัวเองโดดเด่นเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายมาสนใจ ความเป็นสัตว์เหล่านั้นยังหลงเหลืออยู่เต็มที่ในคนเหล่านั้น และพัฒนาความหลากหลายซับซ้อนมากขึ้นเมื่ออยู่ในรูปของคน

เมื่อคนอยากมีคู่ ก็เลยต้องทำให้ตัวเองสวยเด่น เพื่อที่จะคัดเลือกเอาคู่ที่เหมาะสม ซึ่งเป็นคนที่พอจะปรนเปรอกิเลสของตนเองได้ โดยส่วนหนึ่งก็ต้องมาสนองต่อทุนแห่งความสวยของเธอเหล่านั้นให้ได้ก่อน และสนองต่อให้ได้ถึงกิเลสในอนาคตของเธอ

ในความเป็นจริงแล้ว คนสวยมีอยู่มากมาย แต่ผู้ชายที่เพียบพร้อมที่จะบำรุงกิเลสของคนสวยเหล่านั้นได้ มีอยู่ไม่มากนัก คนสวยบางคนที่เข้าใจว่าตัวเองโชคดี ก็จะมีโอกาสได้รับผู้ชายหนึ่งคนที่พร้อมจะดูแลปรนเปรอบำรุงบำเรอกิเลสของเธอเข้ามาในชีวิต โดยหารู้ไม่ว่า เขาเองก็มีกิเลสของเขาเหมือนกัน และเธอเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่จะปรนเปรอกิเลสของเขา เรียกได้ว่าเป็นเหยื่อของกันและกันนั่นเอง

สุดท้ายถึงจะมีคนมาให้เลือก จนกระทั่งตกลงปลงใจแต่งงาน ก็อาจจะคบกันไปไม่ได้นาน เพราะว่าจุดขายของเธอคือความสวย ผู้ชายที่เข้ามาจะเสพความสวยของเธอได้ประมาณหนึ่ง จนกระทั่งวันหนึ่งความอยากเสพในรูปของเขาเหล่านั้นจางคลายลงไป เมื่อถึงเวลานั้นความสวยที่มีจะไร้ค่าไปในทันที เหลือแต่ความจริง เหลือแต่คุณค่าแท้ในคนที่เคยสวยในสายตาของผู้ชายคนนั้น หากเธอยังมีจิตใจที่ดี ก็ยังจะพอคบกันไปได้ แต่หากเป็นผู้หญิงที่สวยแต่รูปจูบไม่หอม ก็อาจจะเป็นเหตุให้มีอันเลิกรากันไป ส่วนเหตุผลในการเลิกรานั้นก็เป็นปลายทางของกิเลสจะเอามาตัดสินถูกผิดกันคงไม่ได้

ส่วนคนสวยที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย ที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็หาคู่ไม่ได้สักที ทั้งๆที่ตัวเองก็อยากมี แต่เนื่องจากมีต้นทุนคือความสวยมาก ก็จะมีอัตตาก้อนหนึ่งที่ตั้งไว้ดั่งกำแพงว่าเธอจะต้องเจอกับคนแบบนั้นแบบนี้ เรียกง่ายๆว่าสเปคสูง เพราะโดยทั่วไปคนสวยก็จะมีคนให้เลือกมากมาย มาตรฐานของเธอก็จะขยับสูงไปเรื่อยๆ ตามคนที่เข้ามา เป็นเรื่องธรรมดาของกิเลสที่มีความต้องการมากขึ้นไปเรื่อยๆเรียกได้ว่า นอกจากจะไม่ขายต่ำกว่าทุนแล้วยังเพิ่มราคาประมูลขึ้นไปเรื่อยๆ

ทีนี้พอมีให้เลือกมาก ก็เลยยังไม่เลือก เพราะหมายมั่นว่าฉันจะต้องเจอสิ่งที่ดีกว่านี้ เยี่ยมกว่านี้ มากกว่านี้ เพราะทุกวันๆก็มีคนมาต่อคิวรออยู่แล้ว จนเวลาผ่านไปถึงกระทั่งวันที่เธอเริ่มรู้สึกตัวว่า ความสวยของเธอเริ่มจะจางหายไป และไม่สามารถทำให้มันกลับมาได้ กำแพงที่สูงชันจะค่อยๆ เตี้ยลง สเปคหรือข้อเรียกร้องของเธอจะลดน้อยลงตามไปด้วย จากที่เคยขอผู้ชาย หล่อ รวย ก็อาจจะเหลือแค่ รวย หรือไม่ก็เป็นแค่ผู้ชายที่มีความพร้อมจะดูแล จนกระทั่งขอให้เป็นแค่ผู้ชายก็เป็นได้ เรียกได้ว่า ลด แลก แจก แถมกันไปเลย

การมีสเปคที่น้อยลงนั้น สวนทางกับกิเลส เพราะการมีข้อจำกัดน้อยลงนั่นหมายความว่ากิเลสมากขึ้น มากจนยอมทำลายข้อจำกัดของตัวเองลงไปเพื่อให้ได้เสพสมในการมีคู่ จากที่เคยเป็นคนมีศีลมีธรรม ก็อาจจะยอมเวียนกลับไปเป็นคนไร้ศีลธรรม เพื่อแลกกับการมีคู่ ยอมใช้ความสวยหรือร่างกายที่เหลืออยู่แลกกับใครสักคนที่คิดว่าจะมาคอยดูแลในอนาคต ความกลัว ความคาดหวัง ความกังวลต่างๆ จะทำให้คนสวยเหล่านี้เกิดทุกข์ ทุกข์เพราะความสวยค่อยๆพรากจากเธอไป และโอกาสที่จะได้มาซึ่งคู่ที่เพียบพร้อมก็จะทยอยลอยหลุดไปด้วย

แม้ว่าคนสวยจะยอมลดสเปคลงมา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้คู่ที่จะดูแลกันไปตลอดได้ เพราะด้วยวิบากแห่งความสวย ก็มักจะดึงคนมีกิเลสที่ยังหลงในรูปของความสวยมาอยู่ใกล้อยู่ดี การลดกำแพงของตัวเองลง ไม่ได้หมายความว่าจะเจอคนที่ดีขึ้น แต่หมายถึงเปิดโอกาสให้คนชั่วได้มีโอกาสเข้ามาในชีวิตได้มากขึ้น

การตกลงเป็นคู่กัน ไม่ได้หมายความเขาคนนั้นจะคงสภาพเดิมได้ตลอดไป ขึ้นชื่อว่าคนมีกิเลสก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และความสวยที่มีนั้นก็ไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนมีกิเลส เพราะความสวยไม่ใช่ความดี แต่ก็เป็นรูปของกิเลสที่ส่งผลมาจากการที่เราได้สั่งสมความอยากสวยเอาไว้ เมื่อมีความอยากสวย เราก็ไปเสริมเติมแต่งให้มันสวย ใช้เวลาไม่นานนักมันก็สวยได้ ถึงแต่งไม่สวยก็ไปผ่าตัดให้มันสวย สิ่งเหล่านี้คือกิเลสที่สั่งสมก่อให้เกิดภพ เกิดชาติของความสวย เกิดมาเป็นคนสวยได้ แต่ก็เป็นคนสวยที่เต็มไปด้วยวิบากกรรมของกิเลส เป็นคนสวยที่มีแต่ทุกข์ ต้องประสบแต่ความพลัดพรากไม่สมหวังอยู่เรื่อยไป เพราะความสวยเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากความดี

…สวยจากความดี

ความสวยที่เกิดจากความดีนั้นสร้างได้ในชาตินี้ไม่ต้องรอในชาติหน้าเหมือนกัน เป็นความสวยที่สร้างมาจากความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือการมีพรหมวิหาร ๔ จะทำให้เป็นคนมีคุณค่า เป็นความสวยงามทางนามธรรม แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะไม่สวย แต่ก็จะมีคนอยากเข้าใกล้ อยากคบหา น่ารู้จัก น่าอยู่ด้วย เป็นความสวยที่ข้ามพ้นรูปของความงามในความคิดของคนทั่วไป

เมื่อมีความเป็นพรหมอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเกิดมาเป็นแบบไหนก็สามารถที่จะเป็นที่รักใคร่ คนนิยมชมชอบ มีมิตรสหาย มีสังคมรอบข้างที่ดีได้ โดยยังมีผลต่อเนื่องไปยัง ภพ ชาติ ถัดไปด้วยคือทำให้เป็นผู้มีโภคทรัพย์มาก คือมีทั้งร่างกาย ฐานะ ปัจจัย สังคม สิ่งแวดล้อมดี เป็นความงามที่เจริญไปตามธรรม ไม่ใช่สวยงามจากการปรุงแต่งของกิเลส ซึ่งเป็นทุกข์ โทษ ภัย วนเวียนกลับไปกลับมาไม่รู้จบ

– – – – – – – – – – – – – – –
27.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์

แมลงทับ… ความสวยงามในสายตาคน และอาหารในสายตาของมด

August 22, 2014 | | มีผู้เข้าชมทั้งหมด 2,106 views 0

แมลงทับ... ความสวยงามในสายตาคน และอาหารในสายตาของมด

แมลงทับ… ความสวยงามในสายตาคน และอาหารในสายตาของมด

ก่อนจะเดินทางออกจากบ้านสวน ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นสิ่งแปลกตาที่ไม่น่าจะอยู่บนพื้นดิน เดินเข้าไปดูใกล้ๆก็เห็นซากแมลงทับตัวหนึ่งที่ห้อมล้อมไปด้วยฝูงมด

ผมไม่ได้เห็นแมลงทับมานานมาแล้วเพราะอยู่แต่ในเมืองกรุง สีสันของแมลงทับเป็นสีเขียวมันเงาสวยงามเหมือนสีของอัญมณี ผมชอบมันนะ ตอนเด็กก็ยังเคยซื้อแมลงทับมาเลี้ยงอีกด้วย …ผมกำลังคิดจะเก็บมันขึ้นมา แต่เมื่อเห็นฝูงมดรอบๆ ก็เข้าใจได้ทันทีว่าซากแมลงทับตัวนี้คงมีประโยชน์กับพวกมันมากกว่าตัวผมแน่นอน

ฝูงมดพยายามรุมล้อมแมลงทับ คงจะขนย้ายหรือหาอะไรที่พอจะกินได้ มดมันคิดแค่เรื่องดำรงชีวิต ไม่เหมือนกับที่ผมคิด…เพราะเมื่อกี้นี้ ผมคิดจะหยิบมันขึ้นมาเพราะความสวยงามของมัน

…. ผมเดินออกมาจากซากแมลงทับและฝูงมด พร้อมกับคิดว่า…ทำไมเราถึงไปติดกับความสวยงามเหล่านั้นนะ ทั้งที่จริงมันไม่ใช่สาระ หาประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ กินก็ไม่ได้ สิ่งที่มดเห็นคือคุณค่าของชีวิตจริงๆ เป็นอาหารจริงๆ ไม่ใช่เอามาประดับตกแต่งอะไรอย่างคนเรา

ความคิดมันขยายต่อไปอีกว่า การที่คนเรามานั่งแต่งหน้า แต่งตัว ประดับประดา แต่งรถ แต่งบ้าน แต่งสวน…ฯลฯ นี่มันไม่มีสาระทั้งนั้นเลย มีแต่ความอยากสวยอยากงาม …ความอยากที่มดมันยังไม่มีเลย …ถ้าเกิดมาเป็นคนแล้วขยันให้ได้อย่างมด เอาแต่สาระที่จำเป็นให้ได้อย่างมด สามัคคีให้ได้อย่างมด ก็คงจะดีนะ

…ซากแมลงทับถึงคนจะไม่สนใจ แต่มดก็ยังสนใจ แต่ซากคนนี่สิ สวยแค่ไหนก็ไม่มีใครเอา เผาทุกราย ยกเว้นแต่ว่าเป็นคนดี มีคุณค่า น่ากราบไหว้จริงๆ ก็คงจะมีบ้างที่จะมีใครอยากเก็บซากคนดีเหล่านั้นไว้ เพื่อประโยชน์อะไรสักอย่าง

– – – – – – – – – – – – – – –
22.8.2557

ดิณห์ ไอราวัณวัฒน์